Friday, 30 May 2025
NewsFeed

สตูล หน่วยป้องกันและปราบปรามประมงทะเลเกาะหลีเป๊ะ (สตูล) ตรวจยึดเครื่องมือทำการประมงอวนลากแผ่นตะเฆ่ในพื้นที่เขตทะเลชายฝั่ง

(11 ก.ย. 67) หน่วยป้องกันและปราบปรามประมงทะเลเกาะหลีเป๊ะ (สตูล) ศูนย์ฯ กระบี่ กองตรวจการประมง กรมประมง โดยนายสุขเกษม ศรีงาม หัวหน้าหน่วยฯ และนายชัยวัฒน์ รุ่งแก้ว เจ้าพนักงานประมงปฏิบัติงาน พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ นำเรือตรวจประมงทะเล 214 จำนวน 5นาย ออกปฎิบัติงาน ควบคุมการทำการประมง เมื่อมาถึงพื้นที่ ต.แหลมสน อ.ละงู จ.สตูล จากการสังเกตการณ์พบเห็นกลุ่มเรือประมงหางยาวกำลังลักลอบทำการประมงโดยใช้เครื่องมืออวนลากแผ่นตะเฆ่ในเขตทะเลชายฝั่ง ทางด้านทิศใต้ของเกาะกล้วย พื้นที่ ต.แหลมสน อ.ละงู จ.สตูล จึงได้นำเรือตรวจประมง 214 เข้าประชิดแต่กลุ่มเรือดังกล่าวได้ตัดอวนและทำการเร่งเครื่องหลบหนีการจับกุม จนไม่สามารถติดตามได้ทัน จึงทำการตรวจยึดของกลางอวนลากแผ่นตะเฆ่ จำนวน 4 ปาก สัตว์น้ำจำนวน 2 กิโลกรัม (ทำลายด้วยวิธีการฝังกลบ) ซึ่งมีความผิดตามมาตรา 36 มาตรา 67(3) แห่ง พรก.ประมง 2558 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และความผิดตามประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่อง กำหนดเครื่องมือทำการประมง วิธีการทำการประมง และพื้นที่ทำการประมงที่ห้ามใช้ทำการประมงในที่จับสัตว์น้ำเขตทะเลชายฝั่ง พ.ศ. 2566 ข้อ 2 (1) มีบทกำหนดโทษตามมาตรา 129, 147, และ 169 แห่ง พรก. ประมง 2558  และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยได้ทำบันทึกตรวจยึดเครื่องมือทำการประมง นำส่ง สภ.ละงู อ.ละงู จ.สตูล เพื่อประกอบเป็นหลักฐานและดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

นิตยา แสงมณี // ผู้สื่อข่าวภูมิภาคประจำจังหวัดสตูล

เริ่มแล้ว!! ดีเบต ‘ทรัมป์ VS แฮร์ริส’ เลือกตั้งชิงผู้นำสหรัฐฯ มีแต่ 'ซัด-สวน-แขวะ' ปม 'การเมือง-เศรษฐกิจ-ความมั่นคง'

(11 ก.ย. 67) สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ศึกดีเบตรอบแรกระหว่าง ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ และ รองประธานาธิบดี ‘กมลา แฮร์ริส’ เริ่มเปิดฉากขึ้นในเวลา 21.00 น. ตามเวลามาตรฐานตะวันออก (ET) ที่เมือง ‘ฟิลาเดเฟีย’ รัฐ ‘เพนซิลเวเนีย’ โดยมีสถานีโทรทัศน์ ‘ABC News’ เป็นเจ้าภาพ ท่ามกลางคำถามว่า ทรัมป์และแฮร์ริส ซึ่งไม่เคยพบเจอกันตัวเป็นๆ มาก่อนจะทักทายกันอย่างไร? ซึ่งปรากฏว่าแฮร์ริสจบข้อสงสัยด้วยการเป็นฝ่ายเดินไปหาทรัมป์ที่โพเดียมของเขา และยื่นมือทักทายพร้อมแนะนำตัวเองว่า ‘กมลา แฮร์ริส’ ซึ่งถือเป็นการจับมือในศึกดีเบตระหว่างผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2016 เป็นต้นมา

รอยเตอร์ชี้ว่าท่าทีของแฮร์ริสเป็นการส่งสัญญาณ ‘ลดการ์ด’ ให้กับชายซึ่งใช้เวลาตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาดูหมิ่นเหยียดหยามเธอทั้งในแง่ของเพศและเชื้อชาติ

แฮร์ริส ซึ่งเป็นอดีตอัยการวัย 59 ปี พุ่งเป้าโจมตีจุดอ่อนต่างๆ ของทรัมป์ซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้ง จนทำให้ทรัมป์ในวัย 78 ปีออกอาการโมโหอย่างเห็นได้ชัด และพยายามตอบโต้ด้วยการอ้างข้อมูลบิดเบือนต่างๆ โดยในช่วงหนึ่งของการอภิปราย แฮร์ริสได้กล่าวถึงการปราศรัยหาเสียงของทรัมป์ โดยเยาะเย้ยว่าคนส่วนใหญ่ ‘มักจะกลับก่อน’ เพราะว่า ‘ทนความเบื่อไม่ไหว’

ทรัมป์ก็ตอกกลับทันควันว่า “ในการปราศรัยของผม เรามีการปราศรัยขนาดใหญ่ที่สุด และเหลือเชื่อที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองสหรัฐฯ” พร้อมทั้งกล่าวหาว่า แฮร์ริส ‘จัดรถบัส’ ไปขนคนเข้ามาฟังการปราศรัยของตัวเอง

พร้อมกันนั้น ทรัมป์ยังอ้างทฤษฎีสมคบคิดไร้หลักฐานที่ระบุว่า ผู้อพยพผิดกฎหมายชาวเฮติในเมืองสปริงฟิลด์ รัฐโอไฮโอ ‘กินสัตว์เลี้ยง’ ของประชาชนในพื้นที่ โดยข้อมูลนี้ถูกแชร์กันอย่างกว้างขวางในโลกออนไลน์ และถูกนำมาโหมกระพือโดย ‘เจ. ดี. แวนซ์’ ซึ่งเป็นคู่ชิงรองประธานาธิบดีของทรัมป์เอง

“ที่สปริงฟิลด์ คนพวกนั้นกินสุนัข พวกที่อพยพย้ายเข้ามา พวกเขากินแมว” ทรัมป์ กล่าว “พวกนั้นกินสัตว์เลี้ยงของประชาชนที่อาศัยอยู่ในเมือง”

เจ้าหน้าที่เมืองสปริงฟิลด์เคยออกมาชี้แจงแล้วว่าข้อครหาเหล่านั้นไม่เป็นความจริง และผู้ดำเนินรายการของ ABC ก็รีบโต้แย้งทันทีหลังจากที่ทรัมป์พูดเรื่องนี้ขึ้นมา ขณะที่แฮร์ริสแสดงออกด้วยการหัวเราะและเย้ยหยันอีกฝ่ายว่า “พูดจาสุดโต่ง”

แฮร์ริสซึ่งเป็นอดีตอัยการรัฐแคลิฟอร์เนีย ยังพยายามขุดคุ้ยพฤติกรรมในอดีตของทรัมป์ขึ้นมาโจมตี โดยเฉพาะเรื่องที่เขาพยายามล้มผลเลือกตั้งในปี 2020 ซึ่งตลอด 1 ชั่วโมงแรกของการดีเบตดูเหมือนว่ายุทธศาสตร์นี้จะได้ผลไม่น้อย และบีบให้ ทรัมป์ต้องพยายามหาทางแก้ต่างให้กับตัวเอง

ทรัมป์กล่าวว่าตนเอง ‘ไม่มีอะไรเกี่ยวข้อง’ กับเหตุจลาจลที่อาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 ม.ค. 2021 นอกเหนือไปจาก “พวกเขาขอให้ผมขึ้นไปกล่าวสุนทรพจน์” และยังคงอ้างเหมือนเดิมว่าตนเองคือผู้ที่ชนะศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2020

แฮร์ริสยกพฤติกรรมในอดีตของทรัมป์มาเป็นเหตุผลว่าถึงเวลาแล้วที่สหรัฐฯ จะต้องพลิกประวัติศาสตร์หน้าใหม่

“โดนัลด์ ทรัมป์ ถูกชาวอเมริกัน 81 ล้านคนไล่ลงจากเก้าอี้ ขอให้ทุกท่านเข้าใจชัดเจนตามนี้ด้วย และเห็นได้ชัดว่าเขามีปัญหาในการทำความเข้าใจข้อเท็จจริงข้อนี้ แต่เราไม่สามารถยอมให้สหรัฐฯ มีประธานาธิบดีที่พยายามล้มล้างเจตนารมณ์ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งในการเลือกตั้งที่จัดขึ้นอย่างเสรีและเป็นธรรม อย่างที่เขาเคยพยายามทำมาในอดีตได้” แฮร์ริส กล่าว

รองประธานาธิบดีหญิงผู้นี้ยังจิกกัดทรัมป์ด้วยการบอกว่าผู้นำทั่วโลกต่าง ‘หัวเราะเยาะ’ เขา และมองว่าเขา ‘สร้างความอับอาย’ ต่อสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นสำนวนภาษาเดียวกันกับที่ทรัมป์มักจะพูดเย้ยหยัน ‘โจ ไบเดน’ ระหว่างที่เดินสายหาเสียง

ด้านทรัมป์ก็หันมาเล่นงานแฮร์ริสด้วยการอ้างว่าเธอ ‘ไม่เคยได้รับคะแนนโหวต’ ในการเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครต และยังอ้างว่าเธอก้าวขึ้นมาแทนที่ไบเดน ตามแผน ‘รัฐประหาร’ (coup) ของคนในพรรค

“เขาเกลียดเธอ” ทรัมป์อ้างว่าไบเดนรู้สึกเช่นนั้น “เขาทนเธอไม่ได้”

อย่างไรก็ตาม การโต้เถียงเช่นนี้ดูเหมือนจะยิ่งไปเพิ่มน้ำหนักให้กับคำพูดของแฮร์ริสที่ว่า ทรัมป์ขาดความสามารถในการ ‘ควบคุมอารมณ์’ ซึ่งประธานาธิบดีควรจะมี

ผู้สมัครทั้งสองยังแลกหมัดกันในประเด็นด้านเศรษฐกิจ ซึ่งผลสำรวจความคิดเห็นพบว่า ทรัมป์มีคะแนนนิยมสูงกว่าแฮร์ริส ในด้านนี้

แฮร์ริสได้แจกแจงนโยบายต่างๆ ที่เธอได้นำเสนอตลอดช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา เช่น การให้ประโยชน์ทางภาษีแก่ครอบครัวและผู้ประกอบการรายย่อย เป็นต้น ขณะเดียวกันก็โจมตีแผนของทรัมป์ ในการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ โดยบอกว่ามันไม่ต่างอะไรกับการรีดภาษีการขาย (sales tax) เอากับชนชั้นกลาง

“โดนัลด์ ทรัมป์ ทำให้เราต้องเผชิญปัญหาการว่างงานรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (Great Depression)” แฮร์ริสกล่าว โดยอ้างถึงตัวเลขการว่างงานในสหรัฐฯ ซึ่งพุ่งสูงสุด 14.8% ในเดือน เม.ย. ปี 2020 และลงมาอยู่ที่ 6.4% ในขณะที่ทรัมป์พ้นตำแหน่ง

ด้านทรัมป์ก็วิพากษ์วิจารณ์แฮร์ริสเกี่ยวกับปัญหาเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นในรัฐบาลไบเดน โดยระบุว่า “เงินเฟ้อถือเป็นหายนะสำหรับประชาชน สำหรับกลุ่มชนชั้นกลาง และคนทุกๆ กลุ่ม” จากนั้นก็รีบเปลี่ยนไปสู่ประเด็นเรื่องผู้อพยพ โดยอ้างแบบไร้หลักฐานยืนยันว่ามีผู้อพยพ ‘จากโรงพยาบาลบ้า’ (insane asylums) หลบหนีข้ามพรมแดนจากเม็กซิโกเข้ามายังสหรัฐฯ เป็นจำนวนมาก

ผู้สมัครทั้ง 2 รายยังแสดงมุมมองที่แตกต่างเกี่ยวกับประเด็นการทำแท้ง ซึ่งผลสำรวจความคิดเห็นบ่งชี้ว่าคนอเมริกันส่วนใหญ่สนับสนุนแนวทางของแฮร์ริสมากกว่า

ทรัมป์อ้างไปถึงคำพิพากษาของศาลสูงสุดในปี 2022 ที่ยกเลิกสิทธิตามรัฐธรรมนูญในการทำแท้ง และให้แต่ละรัฐมีอำนาจตัดสินใจในประเด็นนี้เอง โดยเขาอ้างว่า “ผมเองมีส่วนในการผลักดันเรื่องนี้ และใช้ความกล้าหาญในการทำสิ่งนี้”

ด้านแฮร์ริสแสดงความไม่พอใจต่อข้อกล่าวอ้างของทรัมป์ที่ว่าการที่สิทธิทำแท้งกลายเป็นเรื่องของแต่ละรัฐถือเป็นผลลัพธ์ที่ประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วย

“นี่คือสิ่งที่ประชาชนต้องการงั้นหรือ? คนจำนวนมากถูกปฏิเสธรับเข้าห้องฉุกเฉิน เพราะพวกเจ้าหน้าที่สาธารณสุขกลัวว่าจะติดคุกเนี่ยนะ?” แฮร์ริสตั้งคำถาม

เมื่อถูกถามว่าจะใช้สิทธิ ‘วีโต’ หรือไม่หากสภาคองเกรสผ่านกฎหมายแบนการทำแท้ง? ทรัมป์ยืนยันว่า “สิ่งนั้นจะไม่เกิดขึ้น” แต่ก็ปฏิเสธที่จะตอบอย่างตรงไปตรงมา

ทรัมป์และแฮร์ริสยังกล่าวหาซึ่งกันและกันว่าพยายามใช้กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ เป็น ‘อาวุธ’ โจมตีฝ่ายตรงข้าม โดย ทรัมป์นั้นอ้างว่าการที่ตนถูกยื่นฟ้องฐานสมคบคิดล้มผลเลือกตั้งเมื่อปี 2020 และจัดการเอกสารชั้นความลับอย่างไม่เหมาะสม รวมถึงเรื่องการจ่ายเงินปิดปากดาราหนังผู้ใหญ่ที่เคยมีสัมพันธ์สวาทด้วยนั้น ทั้งหมดเป็น ‘แผนสมคบคิด’ ที่ แฮร์ริสและไบเดนร่วมมือกันสร้างขึ้นมา ซึ่งก็เป็นการกล่าวหาแบบไม่มีหลักฐานตามเคย

ด้านแฮร์ริสฟาดกลับด้วยการชี้ว่า ทรัมป์ข่มขู่จะใช้กฎหมายเอาผิดกับบรรดาศัตรูทางการเมือง หากได้กลับมาเป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2

“โปรดเข้าใจด้วยว่า เขาคือคนที่เคยออกมาพูดอย่างเปิดเผยว่าจะฉีก --- นี่ดิฉันเอ่ยตามที่เขาพูดนะ --- จะฉีกรัฐธรรมนูญ” เธอกล่าว

ทรัมป์ยังคงอ้างซ้ำๆ เหมือนเดิมว่าการที่ตนแพ้ศึกเลือกตั้งในปี 2020 ก็เพราะ ‘ถูกโกง’ พร้อมทั้งกล่าวหาแฮร์ริสว่าเป็นพวก ‘มาร์กซิสต์’ และอ้างด้วยว่าผู้อพยพเป็นต้นเหตุทำให้สถิติอาชญากรรมในสหรัฐอเมริกาพุ่งสูงขึ้น

ในประเด็นสงครามอิสราเอล-กาซา แฮร์ริสประกาศว่า “สงครามจำเป็นต้องยุติลงทันที และมันจะยุติลงได้ก็ต่อเมื่อเรามีข้อตกลงหยุดยิง และเราจำเป็นต้องช่วยตัวประกันทั้งหมดออกมา” ขณะที่ทรัมป์ระบุว่าแฮร์ริส “เกลียดชังอิสราเอล ถ้าเธอได้เป็นประธานาธิบดี ผมเชื่อว่าภายใน 2 ปีข้างหน้าจะไม่มีชาติอิสราเอลเหลืออยู่แน่นอน”

แฮร์ริสเถียงกลับทันควันว่า “นี่ไม่ใช่ความจริงเลยแม้แต่น้อย ตลอดชีวิตและการทำงานของดิฉันสนับสนุนอิสราเอลและประชาชนชาวอิสราเอลเรื่อยมา”

‘OpenAI’ วางแผนเปิดตัวแชตบอต ‘Strawberry’ โดดเด่น ‘คิดเป็นเหตุเป็นผล’ แตกต่างจาก AI ตัวอื่น

(11 ก.ย. 67) ดิ อินฟอร์เมชัน (The Information) เว็บไซต์ข่าวด้านเทคโนโลยีรายงานว่า โอเพนเอไอ (OpenAI) วางแผนที่จะเปิดตัว ‘สตรอว์เบอร์รี’ (Strawberry) ซึ่งเป็นปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่เน้นการใช้เหตุผล ภายในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้า

รายงานดังกล่าวระบุว่า ‘สตรอว์เบอร์รี’ (Strawberry) จะแตกต่างจาก AI การสนทนาอื่น ๆ ตรงที่สามารถ ‘คิดก่อนตอบ’ แทนที่จะตอบคำถามในทันที โดยจะเน้นการคิดแบบเป็นเหตุเป็นผล สำหรับคำถามด้านคณิตศาสตร์-วิทยาศาสตร์

และจากข้อมูลที่มีในตอนนี้ ระบุได้ว่า ‘สตรอว์เบอร์รี’ (Strawberry) ยังรองรับเฉพาะข้อความตัวหนังสือ และให้คำตอบเป็นตัวหนังสือเท่านั้น จึงยังไม่ใช่โมเดล AI แบบสื่อผสมผสาน (Multimodal)

อย่างไรก็ตามยังไม่มีรายละเอียดที่แน่ชัดว่าผู้ใช้งานจะได้ใช้ ‘สตรอว์เบอร์รี’ (Strawberry) ในรูปแบบใด และต้องจ่ายเงินเพิ่มหรือไม่ ส่วนทางด้าน OpenAI ก็ปฏิเสธที่จะให้ความเห็นต่อรายงานข่าวนี้

'สามารถ' แจง!! คลิปหลุด บ้านป่าฯ ไม่ใช่ของจริง ชี้!! เทคโนโลยี AI ไปไกลมาก ยกตัวอย่างใช้ AI ทำคลิปเสียง 'ลุงป้อม' ร้องเพลงข้ามกำแพง ก็มีมาแล้ว

(11 ก.ย. 67) นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่มีคลิปเสียงสนทนาคล้ายเสียงของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ หลุดออกมาเผยแพร่ว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีไปไกลมาก ทั้งในเรื่องจัดทำคลิปเสียง หรือปลอมคลิปเสียง พร้อมเปิดคลิปตัวอย่างที่มีการใช้ AI ทำคลิปเสียง พล.อ.ประวิตร ร้องเพลงข้ามกำแพงกับนาย ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี 

แต่ข้อเท็จจริง พล.อ.ประวิตร ไม่ได้ไปร้องเพลง และคนก็ไม่เชื่อว่าเป็น พล.อ.ประวิตร ทั้งที่มีภาพเงารูปร่างคล้าย พล.อ.ประวิตรมาก แล้วคลิปเสียงที่หลุดออกมาจะไปเชื่อว่าเป็นเสียง พล.อ.ประวิตรจริงได้อย่างไร แต่คนที่ปล่อยคลิปมีเจตนาชัดเจนว่าต้องการให้คนเข้าใจผิด ซึ่งส่วนตัวมองว่า ไม่เป็นธรรมกับ พล.อ.ประวิตร และกระบวนการตรวจสอบมีอยู่แล้ว 

ส่วนจะเป็นการดิสเครดิต พล.อ.ประวิตรหรือไม่นั้น นายสามารถ ยอมรับว่า การดิสเครดิตทางการเมืองมีทุกวันอยู่แล้ว ไม่ใช่แค่เฉพาะช่วงนี้ แต่การโจมตี ให้ร้าย ใส่ร้าย สะท้อนว่า พล.อ.ประวิตรสามารถเป็นนายกรัฐมนตรีได้ใช่หรือไม่ จึงมีกระบวนการนี้ออกมา แต่ส่วนตัวเชื่อว่า พล.อ.ประวิตรคงจะไม่ได้ใส่ใจ เพราะไม่ใช่เรื่องจริง 

ส่วนความเป็นไปได้ที่คนอัดคลิปเสียงจะเป็นคนใกล้ชิด พล.อ.ประวิตรหรือไม่นั้น นายสามารถ กล่าวว่า ส่วนตัวไม่ทราบ แต่โดยปกติ พล.อ.ประวิตรเป็นคนเปิดกว้างต้อนรับทุกคนที่ต้องการจะเข้าหาอยู่แล้ว ไม่ได้ปิดกั้นใคร แต่สิ่งที่อยากจะเน้นย้ำ คือจะมั่นใจได้อย่างไรว่าคลิปเสียงนั้นเป็นของจริง 

ส่วนกรณีนายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ยอมรับว่า เป็นเสียงของตัวเองจริงนั้น นายสามารถ บอกว่า ส่วนตัวไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ จึงไม่ทราบ และคงต้องไปถามนายสุทธิพงษ์เองว่า ท่านคุยเรื่องอะไร แต่ในส่วน พล.อ.ประวิตร เชื่อว่า ไม่ได้รับความเสียหายจากคลิปดังกล่าว เพราะไม่ใช่คลิปจริง จะไปถือเป็นสาระได้อย่างไร คงต้องไปพิสูจน์ก่อน ทางที่ดีต้องให้สื่อที่นำคลิปมาเปิดเผย บอกถึงกระบวนการได้มาซึ่งพยานหลักฐานเหล่านี้ได้มาจากใคร และได้มาอย่างไร 

“ส่วนตัวเชื่อว่า บ้านจันทร์ฯ น่าจะมีคลิปมากกว่า ไม่น่าจะเป็นที่บ้านป่าฯ แต่กระบวนถ้าไปถึงศาลรัฐธรรมนูญ ก็คงต้องมีการไต่สวนหาข้อเท็จจริงอยู่แล้ว และมองว่าประชาชนน่าจะสนใจคลิปที่บ้านจันทร์ฯ มากกว่า”

นายสามารถ กล่าวย้ำว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้มองว่า พล.อ.ประวิตรเป็นคนดี ที่ไม่ได้สกรีนอะไรเลย อย่าไปมองว่าคนรอบข้าง พล.อ.ประวิตรจะไว้ใจไม่ได้ เพราะท่านมองทุกคนเหมือนลูกเหมือนหลาน และเป็นจิตใจดีเหมือนท่าน ไม่ได้ระแวดระวังใครเลย จึงควรนับถือหัวใจ พล.อ.ประวิตร และทุกครั้งที่ พล.อ.ประวิตรโดนกระทำ รังแก ก็ไม่เคยออกมาตอบโต้ แต่อาศัยความเป็นชายชาติทหาร เป็นนักรบ เป็น ผบ.ทบ. ใช้เกียรติของท่านรับเองทั้งหมด 

ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้รอบตัวของ พล.อ.ประวิตร อาจจะเป็นคนที่ไว้ใจไม่ได้นั้น นายสามารถ กล่าวว่า ขอให้มองว่าท่านเป็นคนดี ไม่ได้มีการคัดกรองอะไร ท่านเป็นบุคคลที่ควรนับถือหัวใจ ทุกครั้งที่โดนกระทำก็ไม่เคยออกมาตอบโต้ ใช้ความเป็นชายชาติทหารนักรบ โดยที่ไม่ได้ออกมาบอกว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ และเป็นผู้ถูกกระทำอยู่ฝ่ายเดียว ส่วนจะไปตรวจสอบอะไรหรือไม่ คิดว่าพล.อ.ประวิตรคงไม่ได้รู้สึก เพราะมันไม่ใช่เรื่องจริง ส่วนอนาคตถ้าเป็นคลิปเรื่องคอขาดบาดตาย ก็ขอให้ค่อยว่ากัน อย่าคาดเดาเหตุที่ยังไม่เกิด 

นายสามารถ ยังมองการลาออกของสมาชิกพรรคพลังประชารัฐว่าเหมือนกับนักฟุตบอล เพราะนักการเมืองก็เป็นอาชีพที่ไม่ใช่ว่าใครก็จะจับต้องไม่ได้ อาชีพที่มีเข้าออก ฟุตบอลเมื่อมีการเปิดฤดูกาลก็จะเห็นว่านักเตะหลายทีมไปเข้ากับทีมที่มีเงื่อนไขดีกว่า เราจึงควรเคารพการตัดสินใจ อย่างตระกูลรัตนเศรษฐ์ ที่ขอลาออกไปแบบนั้น ส่วนจะออกไปกันไปด้วยดีหรือไม่ตนไม่ทราบ แต่ไม่อยากให้มาเป็นประเด็นทางการเมือง 

ส่วนการลาออกของสมาชิกพรรคคนอื่น ๆ แม้ว่ายังจะไม่ถึงระยะเวลาเลือกนายกรัฐมนตรีนั้น ตนคิดว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะพรรคจะได้เริ่มใหม่ ไม่ใช่มีแต่คนตระกูลใหญ่บ้านใหญ่ จะได้มีบุคคลใหม่ใหม่มาทำเพื่อชาติบ้านเมือง หากจะเอาแต่คนรุ่นเก่าไว้ก็จะการเมืองไม่ได้ ส่วนเหตุผลที่หลายคนลาออก เพราะไม่ชอบนายไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ นั้น นายสามารถคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัว อย่าเอามาตัดสินภาพรวม ในฐานะที่ตนอยู่ในพรรคมาตั้งแต่ปี 2561 เลขาธิการพรรคก็มีมาหลายคน ส่วนตัวก็เห็นว่านายไพบูลย์มีความเหมาะสมสำหรับช่วงนี้ที่พรรคต้องการจะปรับรูปแบบการดำเนินการ และย้ำว่าต้องเคารพความคิดเห็นของทุกคน

ชม ARMY-2024 งานแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ EP#3 เยือน KTRV บริษัทออกแบบ-ผลิตระบบขีปนาวุธสุดล้ำของรัสเซีย

หลังจากเยี่ยมชมและรับประทานอาหารกลางวันที่บริษัท United Shipbuilding Corporation (USC) แล้ว ทีมงานของบริษัท ROSOBORONEXPORT ก็พาเดินย่อยอาหารไปยังอาคารของบริษัท Tactical Missiles Corporation (KTRV) ซึ่งเป็นบริษัทที่ออกแบบและผลิตระบบขีปนาวุธของสหพันธรัฐรัสเซีย โดยออกแบบและผลิตขีปนาวุธทุกชนิดไม่ว่าจะเป็น อากาศสู่อากาศ อากาศสู่พื้น พื้นสู่อากาศ พื้นสู่พื้น Smart Bombs และตอร์ปิโด เพื่อใช้สำหรับปฏิบัติการบนอากาศยาน เรือรบผิวน้ำ เรือดำน้ำ และกองกำลังภาคพื้นดิน

KTRV ก่อตั้งขึ้นจากโครงสร้างพื้นฐานเดิมของบริษัท Zvezda-Strela โดยรัฐกฤษฎีกาหมายเลข 84 ซึ่งลงนามโดยประธานาธิบดีเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2002 ด้วย Zvezda-Strela เป็นผู้ออกแบบและผลิตระบบขีปนาวุธทางการทหารรายใหญ่ ประกอบด้วยสำนักงานออกแบบการทดลอง Zvezda (OKB) สำนักงานออกแบบการผลิตแบบต่อเนื่อง (SKB) โรงงานหลัก Strela ในระหว่างกระบวนการปรับโครงสร้างใหม่ บริษัทได้รับโอนหุ้นจากองค์กรที่รวมอยู่ใน Defense Industry Complex การจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทเสร็จสิ้นในเดือนมีนาคม 2003

โดยมีการพัฒนาและการผลิตผลิตภัณฑ์พลเรือนและการใช้งานคู่ที่มีเทคโนโลยีสูงสำหรับอุตสาหกรรมต่าง ๆ เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ที่นำไปสู่การก่อตั้งบริษัทคือ การรักษาและพัฒนาศักยภาพด้านการวิจัยและการผลิตขีปนาวุธ การจัดหาและเพิ่มขีดความสามารถในการป้องกันประเทศ การระดมทรัพยากรที่จำเป็นสำหรับขีปนาวุธนำวิถีที่มีประสิทธิภาพสูง และการผลิตระบบอาวุธบนอากาศ บนพื้นดิน และบนทะเล รวมถึงการเสริมสร้างตำแหน่งทางทหารของรัสเซียในตลาดอาวุธโลก รัฐกฤษฎีกาฉบับที่ 591 และฉบับที่ 930 ได้ทำให้บริษัทขยายตัวมากขึ้น และปัจจุบันได้มีการรวบรวมเอาบริษัทต่าง ๆ มากมายหลายบริษัทนี้เข้ามาอยู่ด้วย

Tactical Missiles Corporation (KTRV) เข้าร่วมงาน International Military-Technical Forum 'ARMY-2024' ครั้งที่ 10 ระหว่างวันที่ 12 ถึง 14 สิงหาคม โดยมี Boris Obnosov เป็นหัวหน้าคณะ KTRV จัดแสดงอาวุธทางอากาศที่มีความแม่นยำสูงที่ศูนย์สาธิต KTRV นำเสนอขีปนาวุธอากาศสู่อากาศ (RVV-BD, RVV-SD, RVV-MD และ RVV-MD2) ขีปนาวุธอากาศสู่พื้นอเนกประสงค์ (Kh-MD-E, Grom-E1, Kh-38MLE, Kh-38MTE, Kh-69, X-29TE และ X-59MK รุ่นปรับปรุง) 

นอกจากนี้ ยังมีการจัดแสดงขีปนาวุธต่อต้านเรดาร์ Kh-31PD และ X-58UShKE ขีปนาวุธต่อต้านเรือ Kh-31AD Kh-35UE และ X-59MK ขีปนาวุธต่อต้านเรือดำน้ำทางอากาศ APR-3ME รวมถึงระเบิดอากาศอัจฉริยะขนาด 250, 500 และ 1,500 กิโลกรัม และอาวุธร่อน Grom-E2 

ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีระบบขีปนาวุธเพื่อป้องกันโครงสร้างพื้นฐานชายฝั่ง ได้แก่ Bastion ที่มีขีปนาวุธร่อนต่อต้านเรือ Yakhont, Bal-E และ Rubezh-ME ที่มีขีปนาวุธ Kh-35UE ระบบต่อต้านเรือดำน้ำขนาดเล็ก Paket-E/NK พร้อมระบบต่อต้านตอร์ปิโด ตอร์ปิโดไฟฟ้า ET-1E และ TE-2 ตอร์ปิโดขนาดเล็กสากล UMT ตอร์ปิโดเทอร์มอลขนาดกะทัดรัด MTT และตอร์ปิโดนำวิถีความลึกอเนกประสงค์ UGST นอกจากนี้ ผู้เยี่ยมชมศูนย์สาธิตยังได้จัดแสดงระบบอาวุธ Shkval-E ที่มีจรวดใต้น้ำความเร็วสูงอีกด้วย

ทุ่นระเบิดใต้ทะเล MDM-2

ส่วนผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของ KTRV ที่ใช้เพื่อป้องกันอาณาเขตพื้นที่ ซึ่งเป็นน้ำของท่าเรือและฐานทัพเรือ ได้แก่ ทุ่นระเบิดใต้ทะเล MDM-1, MDM-2 และ MDM-3 ทุ่นระเบิดใต้ทะเล MShM อุปกรณ์ตรวจจับเสียงขับเคลื่อนด้วยตัวเอง MG-74ME ยานยนต์ใต้น้ำขับเคลื่อนด้วยตัวเองของระบบบูรณาการ Alexandrite-ISPUM-E ที่ใช้ค้นหาและทำลายทุ่นระเบิด

ระบบควบคุมการยิงบนเรือ Uran-E และระบบอาวุธขีปนาวุธต่อต้านเรือรบแบบ KH-35e/ue

ทั้งนี้ บริษัทในเครือของ KTRV ยังมีส่วนร่วมในการออกแบบและผลิตอุปกรณ์เรดาร์หลากหลายประเภท ได้แก่ ระบบควบคุมการยิงบนเรือของระบบอาวุธขีปนาวุธ «Uran-E» และระบบเรดาร์กำหนดเป้าหมายบนเรือที่ได้รับการอัปเกรด 3C-25E ระบบเรดาร์ MRK-50UE สำหรับเรือดำน้ำเพื่อเฝ้าระวังสภาพแวดล้อมผิวน้ำและอากาศที่มีความน่าจะเป็นต่ำมากในการสกัดกั้นด้วยเรดาร์ และสำหรับการกำหนดเป้าหมายขีปนาวุธและตอร์ปิโด รวมไปถึงยานพาหนะขนส่งนักดำน้ำรายบุคคล 'Coral' สถานีโซนาร์ Mayak-s สำหรับตรวจจับวัตถุใต้น้ำขนาดเล็ก คอมเพล็กซ์ป้องกัน 'Corvet' สำหรับหน่วยป้องกันภัยทางทะเลและชายฝั่งที่สำคัญเป็นพิเศษ

ตอร์ปิโดแบบต่าง ๆ ที่ออกแบบและผลิตโดย KTRV

นอกเหนือจากอาวุธต่าง ๆ แล้ว KTRV ยังนำเสนอผลิตภัณฑ์สำหรับใช้งานสองแบบและสำหรับพลเรือนสำหรับการบิน เรือ การขนส่งทางรถไฟและถนน ยา โรงกลั่น โรงไฟฟ้า อุตสาหกรรมโลหะและเคมี ในศาลา 'B' ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการจัดแสดงผลิตภัณฑ์พลเรือน KTRV แยกกัน ได้แก่ สถานีชาร์จไฟฟ้าความเร็วสูง EZS-150 สำหรับรถบัสไฟฟ้า แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนหลากหลายประเภท แพลตฟอร์มไฟฟ้าอเนกประสงค์ HARD-E สำหรับที่อยู่อาศัยและบริการชุมชน เครื่องจำลองพลร่ม รวมถึงแบบจำลองอุปกรณ์แรงขับกลับสำหรับเครื่องยนต์เครื่องบิน PD-8 และ PD-14 นวัตกรรมใหม่คือ เรือเดินทะเลที่มีลำตัวแบบผสม

ผู้เขียนกับขีปนาวุธโจมตีแบบ X-69 ซึ่งออกแบบมาเพื่อปล่อยจากเครื่องบินแบบ Su-57

Tactical Missiles Corporation (KTRV) จึงเป็นบริษัทที่มีโครงสร้างแบบบูรณาการซึ่งรวมเอาบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศของรัสเซียกว่าห้าสิบแห่งเข้าด้วยกัน พื้นที่กิจกรรมที่มีความสำคัญ ได้แก่ การพัฒนา การผลิต การปรับปรุงอาวุธการบินที่มีความแม่นยำสูงในประเภทต่าง ๆ ระบบอาวุธทางทะเลแบบรวม จรวดและอวกาศ ตลอดจนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ การบำรุงรักษา การซ่อมแซม และการปรับปรุงผลิตภัณฑ์ทางทหาร การฝึกอบรมบุคลากรตามสัญญาการบริการที่ครอบคลุมให้กับลูกค้า และภายใต้มาตรการ Sanction จากชาติตะวันตก บริษัทฯ ได้ยึดแนวคิด 'การพึ่งพาตนเอง' นำไปสู่การปฏิบัติอย่างสมบูรณ์แบบ จนทำให้บริษัทฯ ยังคงขับเคลื่อนต่อไปได้อย่างไม่หยุดยั้ง

เครือข่าย ปปท. 'กาฬสินธุ์' คว้ารางวัลดีเยี่ยมป้องทุจริต ก่อสร้าง '7 ชั่วโคตร' ด้าน ปปท.-สตง.-ปปช.-ดีเอสไอ เดินหน้าตรวจสอบเอาผิดเรียกเงินคืนแผ่นดิน

เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ท.มอบรางวัล เครือข่ายพื้นที่สีขาวต้นแบบในการป้องกันและเฝ้าระวังการทุจริต ด้าน เครือข่ายกาฬสินธุ์ คว้ารางวัลดีเยี่ยมป้องกันการทุจริต ปัญหาก่อสร้าง 7 ชั่วโคตร ขณะที่ องค์กรอิสระ ปปท.-ปปช.-สตง.-ดีเอสไอ เดินหน้าสอบเอาผิด ด้านกรมโยธาฯ เร่งทำหนังสือถึง กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ดำเนินการเรียกเงินคืนทั้งหมด

(11 ก.ย. 67) ที่ห้องบอลรูม A ชั้น 5 โรงแรมเบสท์เวสเทิร์นพลัสแวนด้าแกรนด์ ถนนแจ้งวัฒนะ จ.นนทบุรี นายภูมิวิศาล เกษมศุข เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ท.เป็นประธานพิธีมอบรางวัล 'เครือข่ายพื้นที่สีขาวต้นแบบในการป้องกันและเฝ้าระวังการทุจริต ปีงบประมาณ พ.ศ.2567' ภายใต้โครงการเครือข่าย ป.ป.ท. เฝ้าระวังการทุจริต 'PACC Connect' ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 โดยมีนางสาวพรหมพรรณ สายทองคำ ผู้อำนวยการกองป้องกันการทุจริตในภาครัฐ คณะกรรมการส่งเสริมและสนับสนุน การมีส่วนร่วมของประชาชนในการต่อต้านการทุจริต (สปท. ป.ป.ท.) ผู้บริหาร เจ้าหน้าที่ สำนักงาน ป.ป.ท. และผู้แทนเครือข่ายที่ได้รับรางวัลเครือข่ายพื้นที่สีขาวต้นแบบในการป้องกันและเฝ้าระวังการทุจริตร่วมพิธี

สำหรับการมอบรางวัลเครือข่ายพื้นที่สีขาวต้นแบบในวันนี้ สืบเนื่องจากที่ผ่านมาการแก้ไขปัญหาการทุจริตของภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งองค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนยังคงขาดการบูรณาการและสร้างความร่วมมือเพื่อแก้ปัญหา สำนักงาน ป.ป.ท. จึงนำนโยบายของรัฐบาล นโยบายผู้บริหาร และแผนในระดับต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องแปลงไปสู่การปฏิบัติให้เห็น เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น 

โดยเสริมสร้างและขับเคลื่อนบูรณาการ ให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต โดยมุ่งเน้นให้การป้องกัน เป็นการหยุดระงับยับยั้งปัญหาก่อนเกิดความเสียหาย เสริมสร้างนโยบายให้ “ทุกคนไม่ทน ต่อการทุจริต”และแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการดำเนินงานภาครัฐ รวมทั้งสร้างกลไกในการส่งเสริมให้ประชาชนรวมตัวกัน เพื่อมีส่วนร่วมในการรณรงค์ให้ความรู้ ต่อต้านหรือชี้เบาะแส 

ดังนั้นเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคมในการป้องกันและเฝ้าระวังการทุจริต การรณรงค์ให้ความรู้ การแจ้งเบาะแส รวมถึงการยกย่องเครือข่าย ที่มีผลดำเนินการด้านการป้องกันการทุจริต ให้เป็นเครือข่ายต้นแบบในพื้นที่ทั่วประเทศ และสร้างแรงจูงใจให้ภาคประชาสังคมเข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกันและเฝ้าระวังทุจริตในพื้นที่อย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพ ผ่านการดำเนินการใน 3 ส ได้แก่ สร้างความไว้ใจ สร้างงาน สร้างแรงจูงใจ เพื่อเป็นมาตรการ ในการสร้างและพัฒนาเครือข่ายต้านทุจริตของประเทศ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างเครือข่าย พัฒนา และเพิ่มประสิทธิภาพเครือข่ายภาคประชาสังคม พัฒนากลไกและสนับสนุน การทำงานในระดับพื้นที่ การบูรณาการและสร้างการมีส่วนร่วมของเครือข่าย การรณรงค์ ป้องกันและเฝ้าระวังการทุจริต เพื่อสรรหา คัดเลือกเครือข่ายคุณภาพ ในการป้องกันและเฝ้าระวังการทุจริตมีผลงาน เป็นที่ประจักษ์ และประกาศยกย่องให้เป็น เครือข่ายพื้นที่สีขาวต้นแบบในการป้องกันและเฝ้าระวังการทุจริต 

โดยเริ่มตั้งแต่การร่วมสร้างความไว้ใจ ความศรัทธาเชื่อมั่น สร้างเครือข่ายโดยการ 'เปิดเวทีสาธารณะ' ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายทั่วประเทศ เพื่อเป็นเวทีเชื่อมต่อระหว่างภาคประชาสังคม กับสำนักงาน ป.ป.ท. ในการรับฟังปัญหา ร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมตัดสินใจ ในการแก้ไขปัญหาการทุจริต และความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ เป็นที่พึ่งของภาคประชาสังคมอย่างแท้จริง  ทำการเปิดบ้าน ป.ป.ท. (Open House) พร้อมเปิดรับข่าวสาร ข้อมูล เบาะแส

ตลอดจนร่วมกันสอดส่อง เฝ้าระวังและป้องกัน หรือแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการทุจริต หรือความเดือดร้อนต่าง ๆ หรือกรณีที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม จากการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐ นำไปสู่การสร้างแรงจูงใจ สร้างขวัญกำลังใจให้กับเครือข่าย ที่ร่วมเปิดเวทีสาธารณะ และแจ้งข้อมูลเบาะแสต่าง ๆ ผ่านการเปิดบ้าน ป.ป.ท. (Open House) ที่มีผลงานโดดเด่นเป็นที่ประจักษ์ มีจิตอาสา ที่เข้ารับการคัดเลือกจนได้รับรางวัลเครือข่ายพื้นที่สีขาวต้นแบบในการป้องกันและเฝ้าระวังการทุจริต ซึ่งมีเครือข่ายต้นแบบที่ได้รับรางวัลในวันนี้ ในระดับดีเยี่ยม 56 เครือข่าย ระดับดีเด่น 8 เครือข่าย ระดับดี 19 เครือข่าย และระดับมาตรฐาน 8 เครือข่าย รวมทั้งสิ้น 91 เครือข่าย 

สำหรับจังหวัดกาฬสินธุ์ ศูนย์ประสานงานเครือข่ายภาคประชาสังคมในการต่อต้านการทุจริตจังหวัดกาฬสินธุ์ โดยนายชาญยุทธ โคตะนนท์ ประธานเครือข่ายฯจ.กาฬสินธุ์ ได้รับโล่ห์เกียรติคุณ ประกาศเป็นเครือข่ายพื้นที่สีขาวต้นแบบในการป้องกันและเฝ้าระวังการทุจริต ปี งบประมาณ พ.ศ.2567 ระดับดีเยี่ยม ในการสอดส่องปัญหาการก่อสร้างท่อระบายน้ำในเขตเทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ รวมถึงแนวป้องกันตลิ่ง รวม 8 โครงการ งบประมาณรวมกว่า 545 ล้านบาทดำเนินการก่อสร้างตั้งแต่ปี 2561 แต่ไม่มีโครงการไหนสร้างแล้วเสร็จแม้แต่โครงการเดียว แต่กลับถูกจ่ายเงินไปกว่า 250 ล้านบาท ทั้งหมดนี้เป็นงประมาณของกรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย ว่าจ้าง 2 หจก.ประกอบด้วย หจก.ประชาพัฒน์และ หจก.เฮงนำกิจ  ปัจจุบันยังตกเป็น ผู้รับจ้างทิ้งงานตามคำสั่งของกรมโยธาฯ ที่ได้สร้างความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะในเขตเทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ จนถูกประมาณว่าเป็นการก่อสร้าง 7 ชั่วโคตร 

ล่าสุดรายงานแจ้งว่าขณะนี้ ปปท.-ปปช.-สตง.-ดีเอสไอ กำลังทำการตรวจสอบเอกสารทั้งหมดกับเพื่อดำเนินการตามกฏหมาย ส่วน กรมโยธาธิการและผังเมือง ก็กำลังประสานหนังสือไปยังกรมบัญชีกลาง เพื่อดำเนินการทางพัสดุในการเรียกเงินคืนเงินรวมถึงค่าเสียหายทั้งหมดเป็นภาษีของประชาชน ด้านเครือข่ายฯ ปปท.จ.กาฬสินธุ์ รวมถึง ธรรมาภิบาลจังหวัดกาฬสินธุ์ และประชาชนผู้รับความเดือดร้อนในพื้นที่ ยังคงเฝ้ารอความชัดเจนในการแก้ไขปัญหารวมถึงการดำเนินคดีกับผู้รับจ้าง ที่สร้างความเสียหายในครั้งนี้ที่ยืนยันว่าเงินทุกบาททุกสตางค์ในการก่อสร้างจะต้องได้รับคืนทั้งหมด

‘โซเชียลจีน’ ถกสนั่น!! อากาศร้อน ‘ควรติดแอร์ในห้องเรียน’ หรือไม่? บางคนเห็นด้วย แต่บางคนบอกเป็นการฝึกความอดทนให้กับเด็กๆ

(11 ก.ย. 67) ความขยันหมั่นเพียร, มัธยัสถ์, อดทน เป็นค่านิยมที่ชาวจีนมักปลูกฝังให้แก่บุตรหลานตั้งแต่ยังเล็ก ๆ เพื่อจะได้โตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในวันข้างหน้า แต่ทว่า วันนี้ ค่านิยมเหล่านี้กำลังถูกท้าทาย ด้วยสาเหตุจาก… ‘ภาวะโลกร้อน’

เมื่อไม่นานมานี้ โลกโซเชียลจีนมีการถกเถียงในประเด็นเรื่องการติดแอร์ในห้องเรียน เนื่องจากจีนกำลังเผชิญปัญหาจากคลื่นความร้อน ส่งผลให้อุณหภูมิสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ บางเมืองมีอุณหภูมิเฉลี่ยสูงเกิน 35 องศาเซลเซียส 

ทำให้ผู้ปกครองจำนวนมากรู้สึกเป็นห่วงบุตรหลาน ที่ต้องทนเรียนในห้องเรียนในช่วงภาวะอากาศร้อนรุนแรงเช่นนี้ และเรียกร้องให้ทางโรงเรียนติดตั้งเครื่องปรับอากาศในห้องเรียน เพื่อให้นักเรียนสามารถเรียนหนังสือได้สบายขึ้น 

แต่ข้อเรียกร้องของผู้ปกครองกลับถูกปฏิเสธอย่างไม่ไยดี จากหน่วยงานด้านการศึกษาประจำนครฉางชา ของมณฑลหูหนาน ที่ตั้งอยู่ในภาคกลางตอนใต้ของจีน เขตที่เจอมรสุมคลื่นความร้อนรุนแรงที่สุดแห่งหนึ่งของจีนในขณะนี้ โดยเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ออกมายืนยันว่า จะไม่มีการติดตั้งเครื่องปรับอากาศใด ๆ ในโรงเรียนไหนทั้งสิ้น ทั้งนี้เพื่อจะได้ปลูกฝังคุณธรรม ‘ด้านความอุตสาหะ’ และ ‘ความอดทน’ ให้แก่เด็กนักเรียน

คำตอบของเจ้าหน้าที่นครฉางชา ได้จุดกระแสการถกเถียงเรื่อง ‘ควร-ไม่ควร’ ติดแอร์ในห้องเรียนขึ้นอย่างร้อนแรงเป็นไฟลามทุ่ง ที่มาพร้อมกับคำถามว่า แล้วใครสมควรที่จะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในส่วนของเครื่องปรับอากาศนี้

ผู้ปกครองคนหนึ่ง แสดงความเห็นใน Weibo ว่า "ให้ฝึกความขยันและอดทนเหรอ? ไหนลองให้ผู้ใหญ่ในกระทรวงศึกษาธิการลองมานั่งในห้องทำงานอุณหภูมิ 40 องศาดูบ้างซิ แล้วพูดใหม่อีกทีว่านี่เป็นวิธีในการฝึกความอดทนให้เด็กจริงหรือเปล่า" 

อีกความเห็นหนึ่งกล่าวว่า "ปัญหาภาวะโลกร้อนไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ และจะยิ่งรุนแรงขึ้น แล้วคุณจะให้เด็ก ๆทำยังไง"

หลิน ยูจิน คุณพ่อของเด็กนักเรียนในโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งในเมืองกวางโจว แสดงความเห็นผ่านสื่อท้องถิ่น สนับสนุนการติดแอร์ในห้องเรียนว่า ถ้าไม่มีแอร์ คงยากที่จะทำให้เด็กมีสมาธิในการเรียนได้เต็มที่ 

แต่ทั้งนี้ ก็มีผู้ปกครองอีกฝั่งที่เห็นต่าง ในประเด็นเรื่องการติดแอร์ในห้องเรียน โดยคำนึงถึงหลักสุขอนามัย หากติดแอร์แล้วจะทำให้ห้องเรียนที่เคยมีอากาศถ่ายเทกลายเป็นห้องปิด ที่นอกจากกจะบ่มเพาะเชื้อโรคแล้ว ยังเสี่ยงที่จะเกิดการแพร่ระบาดของโรคติดต่อ อาทิ ไข้หวัด หรือ Covid-19 ในห้องเรียนได้ง่าย

ผู้ปกครองบางคน เสนอไอเดียในการปรับเปลี่ยนภาคการเรียนให้สอดคล้องกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนไป  หรือบางห้องเรียนก็นำถังน้ำแข็งมาตั้งไว้ในห้องช่วยเพิ่มความเย็นในห้องเรียนได้ 

ในปัจจุบัน ห้องเรียนส่วนใหญ่ในโรงเรียนจีนไม่มีเครื่องปรับอากาศ แต่อาศัยความเย็นจากพัดลมเพดาน แต่ด้วยภาวะโลกร้อนในปัจจุบัน ที่ทำให้ค่าเฉลี่ยอุณหภูมิในหน้าร้อนของจีนสูงขึ้น และยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นไปอีกเมื่อต้องเจอกับมรสุมคลื่นความร้อนเช่นในปีนี้ ซึ่งกรมอุตุนิยมวิทยาจีนคาดการณ์ว่า อุณหภูมิสูงสุดของจีนมีโอกาสเพิ่มขึ้นอีก 2.8 องศาในอีก 30 ปีข้างหน้า 

แต่ถึงกระนั้น หลายโรงเรียนยังลังเลกับข้อเรียกร้องของผู้ปกครองที่ต้องการให้ติดแอร์ในห้องเรียน เพราะติดเรื่องค่าใช้จ่าย และ ค่าไฟ ที่จะเพิ่มสูงขึ้น ที่เกินงบประมาณของโรงเรียน

และเคยมีประเด็นมาแล้ว เมื่อโรงเรียนประถมแห่งหนึ่งในเมืองเซียงถัน ของมณฑลหูหนาน ขอให้ผู้ปกครองช่วยกันบริจาคเงินเพื่อซื้อเครื่องปรับอากาศให้โรงเรียน แต่สุดท้ายคณะกรรมการด้านการศึกษาพิจารณาว่าไม่สมควร และสั่งให้โรงเรียนคืนเงินบริจาคให้ผู้ปกครอง ทั้ง ๆ ที่ผู้ปกครองนักเรียนส่วนใหญ่สนับสนุน และเต็มใจบริจาคเงินช่วยโรงเรียน เพราะเห็นว่าควรคำนึงถึงความสะดวกสบายของนักเรียนเป็นอันดับแรก

ด้วยเหตุนี้ ประเด็นเรื่องการติดแอร์ในห้องเรียนของจีน จึงตีไม่แตก แม้จะได้รับแรงสนับสนุนจากผู้ปกครอง ที่ยินดีที่จะเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเพื่อให้บุตรหลานได้เรียนหนังสืออย่างสบาย แต่ก็ติดที่นโยบายภาครัฐ ที่มองว่าสุดท้ายรัฐบาลก็ต้องแบกค่าใช้จ่ายในเรื่องค่าไฟ และ ค่าซ่อมบำรุงเพิ่มขึ้นอยู่ดี หรือหากมองในแง่มุมความเท่าเทียมของโรงเรียนรัฐ ที่ควรมีสิ่งอำนวยความสะดวกแบบเดียวกันในทุกโรงเรียน ที่ทำให้นโยบายห้องเรียนติดแอร์ไม่ผ่าน

ดังนั้น สิ่งที่นักเรียนหวังพึ่งได้ ก็คือ ความขยันหมั่นเพียร, มัธยัสถ์, อดทน ของตนเอง ที่ต้องทนเรียนในห้องเรียนในช่วงอากาศร้อน ที่รุนแรงกว่าสมัยก่อนให้ได้ จนกว่าพวกเขาจะเติบโตขึ้นเพื่อไปเปลี่ยนแปลงอนาคตในวันข้างหน้าด้วยตัวของพวกเขาเอง

“เราเก่งคนเดียวไม่ได้…ถ้าไม่มีทีมที่ดี” ข้อคิดดี ๆ จาก ‘ซุปเปอร์เล็ก เกียรติหมู่ 9’

❤ข้อความจากใจแชมป์โลก 2 กติกา ถึง #เทรนเนอร์คู่ใจ พี่ชายผู้อยู่เบื้องหลังในทุกไฟต์ที่เขาทำมันสำเร็จ

สตูล ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 3 / ผู้อำนวยการ ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 3 ได้เดินทางมาตรวจเยี่ยมหน่วยงานของกองทัพเรือบนเกาะต่างๆในจังหวัดสตูล

(11 ก.ย. 67) พลเรือโท สุชาติ ธรรมพิทักษ์เวช ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 3 / ผู้อำนวยการ ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 3 ได้เดินทางมาตรวจเยี่ยมหน่วยงานของกองทัพเรือในพื้นที่เกาะจังหวัดสตูลโดยมี นาวาโท ธนภูมิ ประทีป ผู้บังคับหน่วยปฏิบัติการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่งที่ 452 หัวหน้าสถานีตรวจการณ์ทางทะเลเกาะปูยูและหัวหน้าตรวจการณ์ทางทะเลเกาะยาวพร้อมกำลังพลให้การต้อนรับที่เกาะปูยู โดยได้รับการสนับสนุนเรือรับ-ส่งกำลังพลในการให้การต้อนรับจาก หน่วยงานศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลโดย นาวาเอก แสนไทย์ บัวเนียม และต่อมา นาวาโทน้ำน่าน  บุนนาค ผู้บังคับหน่วยปฏิบัติการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่งที่491ร่วมให้การต้อนรับพร้อมทั้งกำลังพล ที่เกาะหลีเป๊ะ

ทั้งนี้เพื่อติดตามผลการปฏิบัติงานในห้วงที่ผ่านมา และรับทราบปัญหาอุปสรรคข้อขัดข้องของหน่วยต่างๆ ตลอดจนเยี่ยมบำรุงขวัญเพื่อสร้างกำลังใจให้กับกำลังพลในการปฏิบัติงานเพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล และตรวจความพร้อมของกำลังพลและยุทโธปกรณ์เพื่อให้หน่วยต่างๆ ในทัพเรือภาคที่ 3 ทั้งพื้นที่ฝั่งและในพื้นที่เกาะต่างๆ ให้มีความพร้อมในการป้องกันประเทศและช่วยเหลือพี่น้องประชาชนครอบคลุมทั้ง 6 จังหวัด ของฝั่งทะเลอันดามันจากภัยต่างๆ โดยเฉพาะภัยจากธรรมชาตินับวันจะมีความรุนแรง และเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนมิอาจจะทันตั้งตัว ดังนั้น หน่วยต่างๆ ของทัพเรือภาคที่ 3 และหน่วยงานศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลในพื้นที่จังหวัดสตูลจะต้องมีความพร้อม และตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้สามารถช่วยเหลือพี่น้องประชาชนได้ทันท่วงที และช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนให้ได้มากที่สุด

นิตยา แสงมณี // ผู้สื่อข่าวภูมิภาคประจำจังหวัดสตูล

'รมว.เอกนัฏ' ลุยงานเชิงรุก สางปม 'กาก-น้ำ-อากาศพิษ' กระทบประชาชนเตรียมยกเครื่องจัดการกากอุตสาหกรรมทั้งระบบอย่างเป็นรูปธรรม

(11 ก.ย. 67) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ลุยงานเชิงรุก ลงพื้นที่บริษัท วินโพรเสส จำกัด อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง รับฟังข้อมูล เพื่อวางแนวทางการแก้ไขปัญหาการลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรมทั้งระบบ โดยมี ดร.ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะผู้บริหารระดับสูงกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วม

นายเอกนัฏ กล่าวว่า จากปัญหาการลักลอบทิ้งกากของเสียอุตสาหกรรมออกสู่สิ่งแวดล้อมและพื้นที่สาธารณะ นำไปสู่การรั่วไหลแพร่กระจายของสารมลพิษเป็นพื้นที่ปนเปื้อนในหลายพื้นที่ ก่อให้เกิดความเสียหายและส่งผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพอนามัยของประชาชนเป็นวงกว้าง ซึ่งตนได้รับเรื่องร้องเรียนจากชาวบ้านและติดตามสถานการณ์มาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกรณีของ บริษัท วินโพรเสส จำกัด อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง ที่เกิดเหตุเพลิงไหม้อาคารโรงงานที่มีการลักลอบเก็บกากของเสียและสารอันตรายจำนวนมาก ทำให้สารเคมีและสารมลพิษเกิดการแพร่กระจายและชะล้างออกสู่พื้นที่ภายนอก สร้างปัญหาและความเดือดร้อนให้แก่ชาวบ้านข้างเคียง 

"วันนี้ ได้ลงพื้นที่ร่วมกับคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อรับฟังข้อมูลข้อเท็จจริงและผลกระทบจากการแพร่กระจายของมลพิษ ตลอดจนแนวทางและการดำเนินการแก้ปัญหาด้วยตนเอง เพื่อวางแนวทางการจัดการกากอุตสาหกรรมตกค้างอย่างเข้มงวด พร้อมยกระดับการบริหารจัดการกากอุตสาหกรรมทั้งระบบอย่างเป็นรูปธรรม"

นอกจากนี้ รมว.อุตสาหกรรม ยังเตรียมที่จะรื้อปรับปรุงกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง จัดตั้งกองทุนเพื่อการปฏิรูปอุตสาหกรรมแบบครบวงจร พร้อมผสานความร่วมมือกับภาคประชาชน เอกชน ท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อบูรณาการงานให้สำเร็จตามเป้าหมายภายในระยะเวลาที่ชัดเจน ยกระดับความปลอดภัยในพื้นที่โรงงานอุตสาหกรรม และสร้างความเชื่อมั่นให้กับชุมชนที่อาศัยอยู่โดยรอบ ต่อไป

ด้าน ดร.ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า กรณีของ บริษัท วินโพรเสส จำกัด อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง กระทรวงอุตสาหกรรมได้ฟ้องร้องต่อศาลจังหวัดระยองและเร่งรัดให้บริษัทฯ ทำการบำบัดกำจัดกากของเสียและสารอันตรายในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งเกิดเหตุเพลิงไหม้ในช่วงเช้าของวันที่ 22 เมษายน 2567 ทำให้สารเคมีและสารมลพิษเกิดการแพร่กระจายและชะล้างออกสู่พื้นที่ของชาวบ้านข้างเคียง โดยในระยะเร่งด่วน กระทรวงอุตสาหกรรมได้เร่งดำเนินการ ดังนี้...

1)  ทำการเบี่ยงทางน้ำป้องกันปริมาณน้ำฝนไม่ให้ไหลกัดเซาะบ่อกักเก็บน้ำเสียและชะล้างสารเคมีหรือกากอุตสาหกรรมไหลปนเปื้อนออกสู่พื้นที่ของชาวบ้านข้างเคียง ซึ่งปัจจุบันดำเนินการติดตั้งระบบไฟฟ้า เครื่องสูบน้ำและวางระบบท่อพร้อมใช้งาน โดยได้รับการสนับสนุนจากภาคอุตสาหกรรมผ่านกิจกรรม 'อุตสาหกรรมรวมใจ' เช่น บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด กลุ่มบริษัทในเครือเอสซีจี บริษัท อูเบะ เคมิคอลส์ (เอเชีย) จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) 

2) เร่งทำการบำบัดกำจัดตะกรันอะลูมิเนียมโดยใช้งบประมาณ 4 ล้านบาท จากเงินที่วางไว้ต่อศาลจังหวัดระยอง 

และ 3) เร่งทำการบำบัดน้ำเสียในพื้นที่เพื่อลดการปนเปื้อนและรั่วซึมไปสู่พื้นที่ของชาวบ้าน นอกจากนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมจะเร่งทำการกำจัดของเสียทั้งหมดที่อยู่ภายในอาคารโรงงานและพื้นที่โดยรอบอาคาร และจะทำการบำบัดกำจัดของเสียที่อยู่ใต้ดิน ตลอดจนทำการฟื้นฟูพื้นที่ในระยะต่อไป เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านโดยเร็วที่สุด 

"ผมจะต่อสู้กับปัญหาขยะพิษที่ทำร้ายชีวิตประชาชน ไม่อ่อนข้อให้ผลประโยชน์ ไม่เกรงกลัวต่ออิทธิพล เดินหน้า เร่งคืนน้ำที่สะอาด และอากาศที่บริสุทธิ์ให้คนไทย" รมว.เอกนัฏ กล่าวทิ้งท้าย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top