Saturday, 31 May 2025
NewsFeed

‘ไทยออยล์’ คว้ารางวัล ‘องค์กรที่น่าทำงานด้วยมากที่สุดในไทย ประจำปี 67’ ตอกย้ำแนวคิด ‘คนสำราญ งานสำเร็จ’ สภาพแวดล้อมองค์กรเป็นมิตรกับบุคลากร

เมื่อไม่นานมานี้ นายบัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยนายวิโรจน์ วงศ์สถิรยาคุณ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ด้านบริหารศักยภาพองค์กร และทีมงาน รับมอบรางวัลและประกาศเกียรติคุณอย่างเป็นทางการจากนายราโดลสลอว์ กอลสกี ผู้บริหารสูงสุดบริหารสายงานระบบข้อมูล และนายจีรวัฒน์ ตั้งบวรพิเชฐ ที่ปรึกษาอาวุโสด้านการสร้างแบรนด์นายจ้าง บริษัท เวิร์คเวนเจอร์ เทคโนโลจีส์ จำกัด (WorkVenture) ให้บริษัทไทยออยล์เป็น ‘Best Places to Work’ องค์กรที่น่าทำงานด้วยมากที่สุดในประเทศไทยประจำปี 2567 ซึ่งเป็นการยอมรับจาก WorkVenture บริษัทที่ปรึกษาชั้นนำด้านการสร้างแบรนด์องค์กร และผู้จัดทำโพลสุดยอด 50 องค์กรที่คนรุ่นใหม่อยากทำงานด้วยมากที่สุดของประเทศไทย (TOP50 Companies in Thailand)

รางวัลและการรับรองนี้ มาจากการสำรวจความคิดเห็นของพนักงานที่ทำงานในไทยออยล์ โดยพิจารณา 4 ด้านหลัก ได้แก่ ลักษณะงาน (Job Attributes) ค่าตอบแทนและความก้าวหน้า (Reward and Career) การดูแลพนักงานและวัฒนธรรมองค์กร (People and Culture) รวมถึงภาพลักษณ์องค์กร (Corporate Image) 

โดยผลการสำรวจถูกนำมาวิเคราะห์ตามหลักเกณฑ์มาตรฐานของ WorkVenture ซึ่งรางวัลและผลการรับรอง Best Places to Work เป็นเครื่องยืนยันว่าไทยออยล์ เป็นองค์กรที่มอบประสบการณ์เชิงบวก ทำให้พนักงานรู้สึกพึงพอใจและมองเห็นคุณค่าในการทำงาน มีวัฒนธรรมองค์กรที่ส่งเสริมการทำงานเป็นทีม มีความมั่นคงในอาชีพการงาน ได้รับโอกาสในการทำงานที่ท้าทาย พร้อมทั้งโอกาสในการเติบโตในสายอาชีพอย่างเหมาะสม

นอกจากนี้ไทยออยล์ยังให้ความสำคัญกับการสร้างประสบการณ์ที่ดีเยี่ยมแก่พนักงาน ด้วยการดูแล และสนับสนุนด้านสวัสดิการต่าง ๆ เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้พนักงาน ซึ่งสะท้อนถึงแนวคิดในการดูแลทรัพยากรบุคคลของไทยออยล์ที่ว่า ‘คนสำราญ งานสำเร็จ’

ข้อมูลจากการสำรวจยังสะท้อนให้เห็นถึงความผูกพันของพนักงานที่มีต่อองค์กรในระดับสูงรวมถึงความมุ่งมั่นในการสร้างสภาพแวดล้อมของการทำงานที่ดีอย่างยั่งยืนให้แก่พนักงาน และผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม ตามวิสัยทัศน์ของไทยออยล์ในการ ‘สร้างสรรค์คุณภาพชีวิต ด้วยพลังงานและเคมีภัณฑ์ที่ยั่งยืน’ และนี่คืออีกหนึ่งความสำเร็จที่ไทยออยล์ภาคภูมิใจและมุ่งมั่นที่จะพัฒนาต่อไปในอนาคต เพื่อให้เป็นองค์กรชั้นนำที่ประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน

‘สุรัชนี’ ชี้ ควรยึดประโยชน์ของไทยเป็นที่ตั้ง แนะ ไทยสามารถร่วมมือกับประเทศอื่นนอกจากมหาอำนาจ

เมื่อไม่นานมานี้ สำนักข่าว TNN ได้มีการจัดสัมมนาในหัวข้อ ‘ปลดล็อกกับดัก: การปรับจุดยืนไทย ในโลกที่แบ่งขั้ว’ ซึ่งการจัดงานสัมมนาที่ได้มีการเชิญนักวิชาการไทยจากหลากหลายสาขาและภูมิภาคมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันว่า ประเทศไทยควรมีการดำเนินนโยบายอย่างไรเพื่อสร้างความเข้มแข็งและให้ผลประโยชน์กับเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศชาติได้

‘ผศ.ดร. สุรัชนี ศรีใย’ นักวิจัยอาคันตุกะ สถาบันเอเชียอาคเนย์ศึกษา ยูซุฟ อิสฮัค ประเทศสิงคโปร์ และเป็นหนึ่งในนักวิชาการที่ได้รับเชิญไปสัมมนางานดังกล่าว มีความเห็นว่า ประเทศไทยจะต้องตอบตนเองให้ได้ก่อนว่าต้องการผลประโยชน์ของชาติแบบใด นโยบายแบบใด ที่น่าจะสามารถให้ประโยชน์กับทุกคนในประเทศส่วนใหญ่ที่ไม่ใช่เพียงเฉพาะคนบางกลุ่มเท่านั้น และยังเสริมว่า ประเทศไทยสามารถทำงานร่วมกับประเทศอื่นๆ นอกเหนือจากประเทศมหาอำนาจที่กำลังจะก้าวขึ้นมาเป็นตลาดอื่นๆ ทางเศรษฐกิจได้ เช่น อาเซียนและประเทศในกลุ่ม EU เป็นต้น 

“คิดว่าไทยต้องเริ่มจากการ Identify ความต้องการของตนเองก่อนว่าผลประโยชน์ของชาติไทยมันคืออะไร ซึ่งอันนี้ขีดเส้นใต้เยอะมากว่าหมายถึง ‘ผลประโยชน์ของคนไทย’ ส่วนใหญ่นะคะว่า การที่ประเทศจะบริหารความสัมพันธ์ระหว่างไทยเองกับประเทศที่เป็นมหาอำนาจนี้น่ะค่ะ มันจะส่งผลประโยชน์ต่อคนไทยยังไง เมื่อไปจากจุดนั้นแล้ว เราก็จะสามารถนึกได้นอกกรอบว่า เราจะสามารถบริหารความสัมพันธ์เหล่านี้ยังไงได้บ้างนะคะ นี่คือจุดเริ่มต้นสำคัญที่เราจะต้องเริ่มก่อน หลังจากนั้นเราก็จะสามารถที่จะเลือกได้ว่า เราจะไปสู่ผลประโยชน์เหล่านั้นเนี่ย โดยการที่จะทำงานร่วมกับมหาอำนาจไหน? หรือเราไม่จำเป็นต้องทำงานร่วมกับมหาอำนาจอย่างเดียวค่ะ เราสามารถที่จะนึกถึงตัวละครอื่นๆ อย่างเช่น ทำงานผ่านกรอบอาเซียน ทำงานร่วมกับ EU ก็ได้ หรือแม้กระทั่งกับประเทศอื่นๆ ที่กำลังจะก้าวขึ้นมาเป็นตลาดอื่นๆ ที่ไทยจะสามารถ Explore ได้ค่ะ” 

อย่างไรก็ตาม ศตวรรษที่ 21 ไม่ใช่ยุคแห่งสงครามเย็น แต่เป็นยุคสงครามร้อนที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งต่างๆ มากมายที่เกิดขึ้นหลายพื้นที่ทั่วโลก พร้อมกันนั้น ประเทศไทยก็เป็นอีกหนึ่งประเทศที่ได้รับผลกระทบมากมายต่อการขับเคี่ยวกันทางการเมืองของประเทศมหาอำนาจ ดังนั้นงานสัมมนาครั้งนี้จึงมีความสำคัญที่จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถสร้างจุดยืนที่เป็นประโยชน์ท่ามกลางความร้อนระอุของโลกยุคนี้

'ดุลยภาค' ชี้ โลกกำลังเข้าสู่การแบ่งขั้วมหาอำนาจที่ชัดเจน ย้ำ!! ประเทศไทยควรวางตัวเป็นกลางอย่างสร้างสรรค์

เมื่อไม่นานมานี้ สำนักข่าว TNN ได้มีการจัดสัมมนาในหัวข้อ ‘ปลดล็อกกับดัก: การปรับจุดยืนไทย ในโลกที่แบ่งขั้ว’ ซึ่งการจัดงานสัมมนาที่ได้มีการเชิญนักวิชาการไทยจากหลากหลายสาขาและภูมิภาคมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันว่า ประเทศไทยควรมีการดำเนินนโยบายอย่างไรเพื่อสร้างความเข้มแข็งและให้ผลประโยชน์กับเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศชาติได้

‘รศ.ดร. ดุลยภาค ปรีชารัชช’ จาก สถาบันเอเชียศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในนักวิชาการที่ได้เข้าร่วมสัมมนาดังกล่าว ได้มีความคิดเห็นว่า ประเทศไทยเหมาะที่จะดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศด้วยการเป็นกลางอย่างยืดหยุ่นและสร้างสรรค์มากกว่า และเน้นยึดหลักความถูกต้องและกฎกติการะหว่างประเทศเป็นตัวนำ พร้อมกับเลือกดำเนินงานที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศโดยไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นการถาวร อย่างเช่น ประเทศไทยโยกเข้าหาสหรัฐอเมริกาในเรื่องการทหาร และ โยกเข้าหาจีนในเรื่องของการค้าและเศรษฐกิจ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องปิดกั้นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมากจนเกินไป รวมไปถึงขณะเดียวกันก็ให้ประเทศไทยหันมาเสริมสร้างแกนนอก ซึ่งหมายถึง การขยายอิทธิพลทางเศรษฐกิจนอกประเทศไทยด้วย

“ผมคิดว่าเราน่าจะดำเนินนโยบายเป็นกลางแบบยืดหยุ่น นั่นก็คือ เราไม่ประกาศว่าเราฝักใฝ่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด เนื่องจากยังไม่ได้มีแรงบีบคั้นทางยุทธศาสตร์อย่างรุนแรงที่ถึงขนาดประเทศไทยต้องเลือกข้างนะครับ เพราะฉะนั้นเราน่าจะยึดประเด็น ยึดความถูกต้อง ยึดกฎกติกา บรรทัดฐานระหว่างประเทศเป็นตัวนำ มหาอำนาจชาติใดทำเหมาะไม่เหมา จะต้องมีการประณามหรือยังไง แล้วก็ปฏิบัติไปตามความเหมาะสมบนหลักการแบบนี้ แต่ในขณะเดียวกันในบางครั้ง ในบางประเด็น เราอาจจะต้องโยกเข้าหาสหรัฐฯ หรือจีนบ้าง แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะฝักใฝ่ประเทศเหล่านั้นเป็นการถาวร ยกตัวอย่างเช่น ในเรื่องของการซ้อมรบ พันธมิตรทางทหาร พันธมิตรทางยุทธศาสตร์ กำลังทหารของสหรัฐอเมริกายังมีความสำคัญอยู่ เพราะฉะนั้น ไทยก็น่าจะเอนเข้าหาสหรัฐฯ หรือว่าระบบอาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพอากาศ เครื่องบินรบต่าง ๆ เราก็ต้องเน้นสหรัฐอเมริกา แล้วก็จีนก็เข้ามาตาม จีนอยากจะถ่วงดุลกับสหรัฐฯ ก็เข้ามาบริหารความสัมพันธ์ดู แต่ในมิติของการค้าชายแดน ในมิติของการลงทุน การท่องเที่ยวต่างๆ เนี่ย อิทธิพลจีนน่าจะมีอยู่สูงกว่าอย่างชัดเจน เราก็ต้องโยกเข้าหาจีนไปโดยปริยาย แต่เราก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะปิดโอกาสนี้สำหรับสหรัฐอเมริกาหรือประเทศอื่นๆ เพราะฉะนั้นผมคิดว่า ความเป็นกลางแบบยืดหยุ่น แบบสร้างสรรค์น่าจะเหมาะสมกับไทยนะครับ”

“แล้วอีกเรื่องหนึ่งก็คิดว่า ประเทศไทยน่าจะเสริมสร้างแกนนอก เสริมสร้างแกนนอกก็คือ ให้เราไปมองดูพื้นที่นอกประเทศไทยว่า ส่วนไหนจะเป็นอิทธิพล เขตไหนเป็นอิทธิพลของเรา เหนือ, ใต้, ออก, ตก อย่างนี้ เช่น พื้นที่รัฐฉานของพม่า พื้นที่บรรจบทางทะเลระหว่าง ไทย, พม่า, อินเดีย, อินโดนีเซีย อะไรอย่างนี้เป็นต้น เป็นพื้นที่ที่เราจะต้องทำ Power Projection นะครับ ทำการสำแดงอำนาจ หรือเพิ่มปฏิบัติการทางเศรษฐกิจหรือมิติต่าง ๆ ให้มากขึ้น” 

อย่างไรก็ตาม ศตวรรษที่ 21 ไม่ใช่ยุคแห่งสงครามเย็น แต่เป็นยุคสงครามร้อนที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งต่างๆ มากมายที่เกิดขึ้นหลายพื้นที่ทั่วโลก พร้อมกันนั้น ประเทศไทยก็เป็นอีกหนึ่งประเทศที่ได้รับผลกระทบมากมายต่อการขับเคี่ยวกันทางการเมืองของประเทศมหาอำนาจ ดังนั้นงานสัมมนาครั้งนี้จึงมีความสำคัญที่จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถสร้างจุดยืนที่เป็นประโยชน์ท่ามกลางความร้อนระอุของโลกยุคนี้

'นราธิวาส' – ผบ.ทบ.และคณะฯ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมหน่วยในพื้นที่ จชต. พร้อมมอบนโยบายการปฏิบัติงาน เพื่อให้ทุกส่วนเข้าใจหลักการทำงาน และประสานสอดคล้อง ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

พลเอก เจริญชัย หินเธาว์ ผู้บัญชาการทหารบก / ผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก / รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร และคณะผู้บังคับบัญชา ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมหน่วยเฉพาะกิจตำรวจนราธิวาสที่ 93 ตำบลโคกเคียน อำเภอเมืองนราธิวาส จังหวัดนราธิวาส พร้อมรับฟังการบรรยายสรุป ติดตามผลและการปฏิบัติงานของหน่วยในพื้นที่และร่วมพบปะกำลังพล ตลอดจนรับทราบปัญหา ข้อขัดข้อง และข้อเสนอแนะ รวมทั้งมอบนโยบายการปฏิบัติงานแก่กำลังพลให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ยังได้มอบสิ่งของอุปโภค บริโภคแก่หน่วยในพื้นที่ เพื่อแทนคำขอบคุณและเป็นขวัญกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ต่อไป โดยมี พลโท ศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4 / ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 พร้อมด้วย พลโท ปราโมทย์ พรหมอินทร์ แม่ทัพน้อยที่ 4/ รองผู้อำนวยรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า, พลตรี ไพศาล หนูสังข์ รองแม่ทัพภาคที่ 4 / รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส, ตำรวจ, ทหาร, หัวหน้าส่วนราชการ, ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจตำรวจนราธิวาสที่ 93 และกำลังพลร่วมให้การต้อนรับ

จากนั้น ผู้บัญชาการทหารบก และคณะฯ เดินทางไปปฏิบัติศาสนกิจ ณ วัดเขากง ตำบลลำภู อำเภอเมืองนราธิวาส จังหวัดนราธิวาส โดยได้สักการะพระพุทธทักษิณมิ่งมงคล ถวายสังฆทาน และกราบนมัสการพระครูบรรพต พรหมญาณ เจ้าอาวาสวัดเขากง  ก่อนรับมอบวัตถุมงคลเพื่อเป็นขวัญกำลังใจและที่ยึดเหนี่ยวทางใจให้แก่กำลังพลผู้ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มารอให้การต้อนรับ

ต่อมาเวลา 14.15 น. ผู้บัญชาการทหารบก และคณะฯ พร้อมด้วยแม่ทัพภาคที่ 4 ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ศูนย์ปฏิบัติการ อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี และฐานปฏิบัติการชุดคุ้มครอง ตำบลท่าสาป อำเภอเมือง จังหวัดยะลา พร้อมมอบสิ่งของเครื่องอุปโภคบริโภค เพื่อเป็นขวัญกำลังใจตอบแทนการปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

โอกาสนี้ผู้บัญชาการทหารบก ได้รับฟังบรรยายสรุปการปฏิบัติงาน เหตุการณ์และแนวโน้มสถานการณ์ในอนาคต พร้อมมอบนโยบายการปฏิบัติงานที่สำคัญให้แก่เจ้าหน้าที่อาสารักษาดินแดน ตลอดจนรับทราบปัญหา ข้อขัดข้อง และข้อเสนอแนะ เพื่อให้ทุกส่วนเข้าใจหลักการทำงาน และปฏิบัติได้ประสานสอดคล้อง ทั้งทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง ให้เกิดประสิทธิภาพยิ่งขึ้นตามแผนบูรณาการการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ต้องการเสริมสร้างศักยภาพของสมาชิกอาสารักษาดินแดนจังหวัดชายแดนภาคใต้ทุกนาย ทำงานดูแลความปลอดภัยและสร้างความเชื่อมั่นให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ได้ โดยการเข้าถึงพื้นที่และใกล้ชิดกับพี่น้องประชาชน เพื่อเป็นการสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีนำไปสู่ความเข้าใจและความร่วมมือระหว่างกัน ทั้งนี้ขอให้เชื่อมั่นว่า กองทัพบก กระทรวงมหาดไทย 

ตลอดจนทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีความร่วมมือและตั้งใจร่วมกันในการปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่ ซึ่งที่ผ่านมาได้ให้ความสำคัญกับการฝึกเสริมสร้างศักยภาพของอาสารักษาดินแดนจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อให้เกิดการพัฒนาขีดความสามารถ มีความพร้อมเพิ่มมากขึ้นในห้วง 2-3 ปีนี้ นั่นจะทำให้เขาเหล่านั้นมีขีดความสามารถในการดูแลพี่น้องประชาชนได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ในระยะยาว เกิดความยั่งยืน และหากมีสิ่งไหนที่ต้องการหนุนเสริมเรื่องใด สามารถสะท้อนผ่านมายัง กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

‘นิวซีแลนด์’ หมดขลัง ‘ดินแดนแห่งสวรรค์บนดิน’ เผชิญหน้า ‘วิกฤติสมองไหล’ ‘หนุ่ม-สาว’ ย้ายประเทศหลักแสนต่อปี เหตุ!! ‘งานน้อย-เงินเฟ้อ-ค่าครองชีพสูง’

‘นิวซีแลนด์’ เคยถูกขนานนามว่า ‘ดินแดนแห่งสวรรค์บนดิน’ ประเทศในฝันที่หลายคนอยากใช้ชีวิตอยู่ ด้วยภาพลักษณ์ประเทศที่พัฒนาแล้ว ที่มีภูมิประเทศสวยงาม มีความเจริญ กินดี อยู่ดี มีเสรีภาพ 

แต่ทว่าวันนี้ ‘นิวซีแลนด์’ กำลังเผชิญปัญหาใหญ่ เมื่อคนหนุ่ม-สาว วัยทำงาน ไม่อยากอยู่นิวซีแลนด์อีกแล้ว และตัดสินใจย้ายออกไปตั้งรกรากในประเทศอื่นอย่างต่อเนื่อง 

จากตัวเลขล่าสุดในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา พบว่ามีคนนิวซีแลนด์ย้ายประเทศมากถึง 131,200 คน สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งในจำนวนนี้ เป็นพลเมืองชาวนิวซีแลนด์แท้ ๆ เกือบ 70% เลยทีเดียว แถมมากกว่า 50% ของผู้ย้ายถิ่นเป็นคนวัยหนุ่ม-สาว อายุระหว่าง 20-39 ปี โดยเฉพาะช่วงวัย 25-29 ปี ที่เป็นกลุ่ม First Jobber หรือเด็กจบใหม่ที่เริ่มหางานทำ เป็นกลุ่มที่ย้ายประเทศมากที่สุด 

นักเศรษฐศาสตร์ชี้ว่า ปัจจัยที่ทำให้มีพลเมืองชาวนิวซีแลนด์ทิ้งถิ่นฐานของตนไปอยู่ต่างประเทศกันเป็นจำนวนมากอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน มีสาเหตุมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยยาวมาตั้งแต่ช่วงการระบาด Covid-19 ที่ส่งผลถึงปัจจุบัน ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ และค่าครองชีพสูงขึ้นมาก ซึ่งสวนทางกับโอกาสการทำงาน และ ปริมาณการจ้างงาน โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานวัยหนุ่ม-สาวที่มีทักษะ และการศึกษาสูง แต่ประสบปัญหาการว่างงาน หรือ มองไม่เห็นความก้าวหน้าในหน้าที่การงานในประเทศของตน

วิลสัน ออง วัย 32 ปี ผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อในธุรกิจแฟชั่นค้าปลีกที่กำลังวางแผนย้ายออกเพื่อไปหางานใหม่ในต่างแดนกล่าวว่า เพื่อน ๆ รอบตัว ล้วนย้ายไปอยู่ต่างประเทศกันหมดแล้ว และตัวเขาก็กำลังจะตามเพื่อนไปเร็ว ๆ นี้เช่นกัน เพราะสำหรับคนหนุ่ม-สาว นิวซีแลนด์แล้ว คุณภาพของงานที่ทำสำคัญที่สุด และพวกเขารู้สึกว่าโอกาสในการทำงานที่นิวซีแลนด์มีจำกัดกว่าหลายประเทศชั้นนำอื่น ๆ 

สอดคล้องกับความเห็นของ นิค ทัฟเฟลย์ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจของธนาคาร ASB ที่เห็นว่าคนรุ่นใหม่นิวซีแลนด์ ปรารถนาที่จะออกไปหาประสบการณ์ใช้ชีวิตต่างแดนมากขึ้น ซึ่งการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยราบรื่นนักหลังวิกฤติโรคระบาดเป็นตัวเร่งที่ทำให้คนรุ่น Gen Y และ Gen Z ของนิวซีแลนด์ตัดสินใจย้ายประเทศกันมากขึ้น

ซึ่งในประเทศที่มีประชากรเบาบางเพียง 5 ล้านคนเศษนั้น การที่คนหนุ่ม-สาว พร้อมใจกันย้ายประเทศทะลุหลักแสนคนต่อปี อาจเรียกได้ว่าเป็น Exodus หรือ การอพยพหนีภัยครั้งใหญ่เลยก็ว่าได้ 

ชามูบีล ยาคุบ นักเศรษฐศาสตร์จากสถาบัน New Zealand Institute of Economic Research ได้นิยามสถานการณ์สมองไหลของนิวซีแลนด์ว่า เป็น Economic refugees หรือผู้ลี้ภัยเชิงเศรษฐกิจ และตราบใดที่รัฐบาลนิวซีแลนด์ไม่สามารถแก้ปัญหาตลาดแรงงานในประเทศ และความสมดุลระหว่างรายได้ และ ค่าครองชีพ โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายด้านอสังหาริมทรัพย์ การลี้ภัยเชิงเศรษฐกิจของคนหนุ่ม-สาวนิวซีแลนด์ก็จะยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไม่จบสิ้น

อาจไม่ใช่เรื่องแปลกที่แรงงานจะไหลเทไปสู่ตลาดแรงงานที่ค่าตอบแทนสูงกว่า ที่ก็เป็นปัญหาในหลายประเทศ ไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทย 

แต่สำหรับนิวซีแลนด์นั้น อาจจะมีปัญหาที่หนักหนากว่าประเทศอื่น เพราะนอกจากประชากรจะน้อยแล้ว ยังมีประเทศเพื่อนบ้านอย่าง ‘ออสเตรเลีย’ ที่มีเป้าหมายที่จะดึงดูดแรงงานหนุ่มสาวทักษะสูงจากนิวซีแลนด์โดยตรง ด้วยการออกวีซ่าพิเศษให้แก่ชาวนิวซีแลนด์อย่างเต็มที่ และสามารถโอนสัญชาติได้ทันทีหากพำนักในออสเตรเลียตั้งแต่ 4 ปีขึ้นไป 

รัฐบาลออสเตรเลียถึงกับซื้อโฆษณาเต็มหน้าสื่อของนิวซีแลนด์ เชิญชวนให้แรงงานชาวกีวีย้ายไปอยู่ออสเตรเลียอย่างเปิดเผย ด้วยสโลแกนว่า "warmer days and higher pays" - "อากาศดีกว่า และ ค่าแรงสูงกว่า" 

แต่รัฐบาลนิวซีแลนด์ก็ต้องยอมรับความจริงว่า เศรษฐกิจนิวซีแลนด์กำลังถดถอย ส่งผลต่อโครงการก่อสร้างชะลอตัวลงอย่างมาก นั่นทำให้นิวซีแลนด์กำลังสูญเสียวิศวกร หัวหน้าช่างก่อสร้าง และแรงงานฝีมือของตนให้แก่ออสเตรเลีย ที่จ่ายค่าแรงสูงกว่า การอยู่ทำงานในเมืองศูนย์กลางธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดอย่างโอ๊กแลนด์ถึง 60%

แต่ยังโชคดีที่นิวซีแลนด์สามารถชดเชยการสูญเสียพลเมืองของตนได้ด้วยการรับผู้ย้ายถิ่นฐานจากประเทศอื่นเข้ามาได้ จากตัวเลขล่าสุดในรอบ 1 ปี จนถึงเดือนมิถุนายนของปีนี้ (2567) มีชาวต่างชาติย้ายมาอยู่นิวซีแลนด์ราว 128,500 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวอินเดีย, ฟิลิปปินส์, จีน และ หมู่เกาะฟิจิ 

ทำให้ตัวชี้วัดการเพิ่มขึ้น หรือลดลงของประชากรในปัจจุบันของนิวซีแลนด์ กลายเป็นอัตราการย้ายถิ่นฐานเข้า-ออก ของประเทศในแต่ละปี แทนที่จะเป็นตัวเลขจากอัตราการเกิด-ตายของประชากรไปเสียแล้ว แต่ทั้งนี้ เราไม่สามารถประเมินจำนวนประชากรด้วยมิติเชิงปริมาณแต่เพียงอย่างเดียว 

เพราะหากพิจารณาในเชิงคุณภาพแล้ว สิ่งที่เป็นคำถามมากที่สุดคือ ผู้ย้ายถิ่นต่างชาติที่เข้ามาสามารถชดเชยกับกลุ่มประชากรที่นิวซีแลนด์สูญเสียไปให้กับประเทศเพื่อนบ้านได้หรือไม่ และทำอย่างไร ที่จะหาแรงจูงใจให้พลเมืองหนุ่มสาวชาวนิวซีแลนด์ ทักษะสูงให้อยู่ในประเทศได้ เพราะนิยาม ‘ดินแดนแห่งสวรรค์บนดิน’ ของนิวซีแลนด์ ไม่สามารถตอบโจทย์ในเรื่องปากท้อง และความทะเยอทะยานเพื่ออนาคตของหนุ่มสาวยุคใหม่ได้เสมอไป 

‘ดร.ธรณ์’ ชี้!! ‘ไต้ฝุ่นยางิ’ เป็นสัญญาณความหย่อนยานลดก๊าซเรือนกระจก ลั่น!! จากนี้ 'โลกจะยิ่งแปรปรวน-น้ำท่วม-ระบบนิเวศพัง' นี่ไม่ใช่คำขู่

(10 ก.ย. 67) ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิชาการด้านทะเลและสิ่งแวดล้อม อาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Thon Thamrongnawasawat’ เตือนภัยถึงสถานการณ์ของซูเปอร์ไต้ฝุ่น ‘ยางิ’ ระบุว่า…

ไต้ฝุ่นยางิคือ พายุรุนแรงที่สุดในรอบ 30 ปีที่ขึ้นฝั่งทางตอนเหนือของเวียดนาม สร้างความเสียหายเหลือคณานับ

ทุกคนทราบว่าไต้ฝุ่นกำลังมา แต่ไม่คาดคิดว่าจะแรงถึงเพียงนี้ นั่นคือสิ่งที่เกิดในยุคโลกร้อน เพราะเราไม่เคยชินกับภัยพิบัติในยามที่โลกโกรธ

ความแปรปรวนของโลกจะเพิ่มมากขึ้น จะไม่หยุด จะต่อเนื่องไปอีกหลายสิบปี ตราบใดที่มนุษย์ยังไม่บรรลุเป้าหมายในการลดก๊าซเรือนกระจก

นี่ไม่ใช่คำขู่ ไม่ใช่คำทำนาย นี่คือเรื่องจริงที่นักวิทยาศาสตร์บอกมานานแล้ว แต่มันน่ากลัว มันไม่สนุก เราไม่อยากฟัง

จนเมื่อโลกคำรามดังลั่น เราถึงได้ยิน เราถึงตัวสั่นด้วยความกลัว

แม้โอกาสที่ไต้ฝุ่นเข้าเมืองไทยโดยตรงจะมีน้อยมาก แต่ผลกระทบด้านอื่นยังมี เราเป็นประเทศเสี่ยงต่อน้ำท่วมรุนแรง ทะเลยังปั่นป่วนจนระบบนิเวศเสื่อมโทรมลงอย่างรวดเร็ว

ความเสี่ยงสูงสุดของโลกในยุคนี้และยุคต่อไปคือโลกร้อน เราต้องตั้งหลัก หันมาทุ่มเทสุดๆ ในการเรียนรู้และเข้าใจ ทุ่มเทให้กับการรับมือและปรับตัวชีวิตความเป็นอยู่

ทุ่มเทกับการรักษาธรรมชาติให้ถึงที่สุด !

โลกยุคที่ใช้ GDP และเศรษฐกิจแบบเดิมเป็นตัววัดจากไปแล้ว การคิดแบบเดิมๆ ทำแบบเดิมๆ จากไปเช่นกัน

ตัวอย่างมีมากมายใน 5-6 ปีที่ผ่านมา หวังว่าเราคงเลิกปิดหูปิดตาแล้วหันมายอมรับความจริง

ความกลัวเป็นนายที่เลว แต่เป็นทาสที่ดี เมื่อใดที่เรากลัว แต่คุมสติไว้ได้ เตรียมการรับมือกับสิ่งที่เรากลัว เราจะมีหวัง

ขอแสดงความเสียใจกับชาวเวียดนามทุกท่าน เมื่อใดที่มีช่องทางการช่วยเหลือ เชื่อว่าน้ำใจจากคนไทยจะไปถึงเพื่อนๆ ของเราครับ

‘สว.อังกูร’ เดินหน้าแก้ปัญหาช้างป่ากับคน เชิญ TSPCA หาแนวทางเพื่อลดความขัดแย้งอย่างยั่งยืน

เมื่อวันที่ (9 ก.ย. 67) ที่ห้องประชุม CA328 รัฐสภา ฝั่งสมาชิกวุฒิสภา พล.ต.ต.อังกูร คล้ายคลึง สมาชิกวุฒิสภา (สว.) และสมาคมป้องกันการทารุณสัตว์แห่งประเทศไทย (TSPCA) ประชุมร่วมเพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งของคนและสัตว์ กรณีช้างป่า

พล.ต.ต.อังกูร กล่าวว่า สืบเนื่องมาจากสถานการณ์ช้างป่าที่ออกนอกพื้นที่อนุรักษ์ จนก่อให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินและชีวิตของประชาชน โดยล่าสุด เมื่อวันที่ 6 ก.ย.2567 ได้รับแจ้งเกิดเหตุช้างป่าจากอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ลงมายังพื้นที่ชุมชน หมู่ 3 ตำบลสาริกา อำเภอเมืองนครนายก จังหวัดนครนายก ก่อนจะวิ่งเข้าทำร้ายนายนิคม ซ้อนพิมพ์ อายุ 58 ปี ชาวบ้านได้รับบาดเจ็บสาหัส และเสียชีวิตในเวลาต่อมา

จากการสอบถามชาวบ้านทราบว่าก่อนเกิดเหตุผู้บาดเจ็บ เห็นช้างป่าเดินมา จึงใช้ไฟส่อง ช้างจึงวิ่งพุ่งมาหาและทำร้าย ต่อมาเจ้าหน้าที่จากอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ชุดเฝ้าระวังช้าง ตำบลสาริกา จึงออกติดตาม พบช้างอยู่ภายใต้วัดตำหนัก พื้นที่ตำบลสาริกา ซึ่งห่างจากจุดเกิดเหตุ 800 เมตร จึงทำการผลักดันช้างกลับขึ้นสู่พื้นที่เขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ที่อยู่นอกแนวเขตชุมชน

ด้าน รศ.น.สพ.ปานเทพ รัตนากร อุปนายกสมาคมป้องกันการทารุณสัตว์แห่งประเทศไทย (TSPCA) กล่าวว่า ปัญหาช้างป่าเป็นปัญหาที่ซับซ้อน ต้องการการแก้ไขที่ยั่งยืน ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน ไม่กลัวช้างป่าจนเกินไป ควรเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับช้างป่าอย่างสันติ การเลี้ยงช้างเพื่อการท่องเที่ยวเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการฆ่าทิ้งหรือควบคุมประชากรด้วยวิธีรุนแรง ช่วยสร้างรายได้ให้กับควาญช้างและชุมชนควรมีการจัดการอย่างถูกต้องและมีระบบ  การหาแนวทางเยียวยาผู้เสียหายจากปัญหาช้างป่า เป็นเรื่องที่สำคัญ ปัญหาช้างป่าเป็นปัญหาใหญ่ที่จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน ปัญหาความขัดแย้งระหว่างคนกับช้าง ประชากรช้างป่าเพิ่มขึ้น พื้นที่ป่าลดลง ทำให้ช้างออกมาหากินในพื้นที่เกษตรกรรม เกิดปัญหาความขัดแย้ง ช้างทำลายพืชผล ชาวบ้านได้รับผลกระทบ มีการเปรียบเทียบกับประเทศอินเดีย ศรีลังกา ที่มีจำนวนช้างตายจากคนเป็นจำนวนมาก ประเทศไทยยังมีระดับความขัดแย้งที่ต่ำกว่า แต่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ประเด็นหลัก การลดความขัดแย้งระหว่างช้างป่าและมนุษย์ ควรนำเทคโนโลยีที่ช่วยติดตามช้างป่าและแจ้งเตือนชาวบ้าน การศึกษาและเก็บข้อมูลเกี่ยวกับช้างป่าและประชากร การจัดการพื้นที่ป่าเพื่อลดการเผชิญหน้าระหว่างช้างป่าและมนุษย์  ที่สำคัญพบว่า ชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ถูกช้างป่าไล่บ่อยขึ้น จำเป็นต้องให้ความรู้แก่ชาวบ้านเกี่ยวกับพฤติกรรมช้างป่า ใช้เทคโนโลยี AI สามารถช่วยจำแนกช้างแต่ละตัวและติดตามความเคลื่อนไหว จำเป็นต้องมีระบบแจ้งเตือนภัยแบบเรียลไทม์ การเชื่อมต่อพื้นที่ป่าช่วยลดการเผชิญหน้าระหว่างช้างป่าและมนุษย์ ต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับประชากรช้างป่าและผลกระทบต่อพื้นที่เกษตร โดยต้องหาและจัดสมดุลระหว่างการปกป้องช้างป่าและการสร้างพื้นที่ด้านความปลอดภัยของมนุษย์ด้วย

ทางด้าน ดร.สาธิต ปรัชญาอริยะกุล เลขาธิการและผู้อำนวยการสมาคมป้องกันการทารุณสัตว์แห่งประเทศไทย (TSPCA) กล่าวว่า  จากการสรุปสถานการณ์ช้างป่า ข้อมูลจาก ศ.(ปฏิบัติ) น.สพ.ดร.ฉัตรโชติ ทิตาราม คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พบว่าจำนวนประชากรช้างป่ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากรายงานของ สำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และ พันธุ์พืช ประมาณการว่าในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ 93 แห่งทั่วประเทศ ในปีพ.ศ. 2566 มีช้างป่าจำนวน 4,013-4,422 ตัว ในปี พ.ศ. 2566 พบคนเสียชีวิตจากช้างป่า จำนวน 21 ราย และได้รับบาดเจ็บจากช้างป่าจำนวน 29 ราย และช้างป่าล้ม (ตาย) จากความขัดแย้งนี้จำนวน 24 ตัว ซึ่งเพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งปัญหาช้างออกนอกพื้นที่นี้พบได้ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ 70 แห่ง จาก 93 แห่ง (75%) ทั่วประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มป่าตะวันออก สำหรับสถานการณ์ช้างเลี้ยง ในประเทศไทย มีจำนวนประมาณ 3,800-4,000 เชือก

สำหรับสถานการณ์ด้านกฎหมายที่เกี่ยวกับช้างไทย เช่น

1.ควรแก้ไขปรับปรุงข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับช้างเลี้ยง หรือระเบียบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กฎหมายในเรื่องการป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ เช่น การออกประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่อง กำหนดสัตว์ที่อาศัยอยู่ในธรรมชาติ (เพิ่มเติม) ตามมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ พ.ศ. 2557 ให้ครอบคลุมถึงช้างป่า และเสนอแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่เพิ่มเติม ตามมาตราดังกล่าว ในส่วนของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ในการดูแลเฉพาะสัตว์ป่า
2. เร่งรัดผลักดัน  (ร่าง) พระราชบัญญัติช้าง พ.ศ. .... ให้ครอบคลุมถึงช้างป่า ในการป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพ รวมทั้งการป้องกันมิให้มีการนำช้างป่ามาสวมสิทธิเป็นช้างบ้านโดยมิชอบ การลักลอบค้าช้างป่า การค้างาช้าง การค้าซากและผลิตภัณฑ์อื่นที่ทำมาจากช้างป่า การมีกองทุนในการช่วยเหลือและพัฒนาช้างป่าและการตั้งคณะกรรมการช้างแห่งช้าง ในการขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาช้างโดยเฉพาะ เป็นต้น
3. ควรมีการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ หรือกำหนดแนวทางที่ถูกต้องเหมาะสม เกี่ยวกับ พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 โดยเฉพาะในมาตรา 12 และ มาตรา 13 สำหรับในส่วนของการกระทำ ด้วยความจำเป็นและเหตุสุดวิสัยจากการบุกรุกของช้างป่าภายใต้เงื่อนไข เพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นพ้นจากอันตราย หรือเพื่อสงวนหรือรักษาไว้ซึ่งทรัพย์สินของตนเองและผู้อื่นนั้น ควรดำเนินการตามแนวทางสันติวิธี มีมาตรการแนวทางที่เหมาะสมสอดคล้องตามสภาพบริบทแต่ละพื้นที่และเหตุการณ์ต่างๆ  โดยควรใช้มาตรการแนวทางที่ต่ำสุดเท่าที่จำเป็นในการกระทำเพื่อให้พ้นภัย หรือควรพิจารณาทางเลือกอื่นที่เหมาะสมมีสัดส่วนของการกระทำต่อช้างป่า ไม่เกินความเสียหายที่ได้รับ โดยการกระทำต่อช้างป่านั้น ต้องเป็นการกระทำที่พอสมควรแก่เหตุอย่างแท้จริง ตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย ในการสงวนอนุรักษ์และการคุ้มครองสัตว์ป่านั้น เป็นต้น

ครูใหญ่โรงเรียนอนุบาลโดนไล่ออก เพราะรับช็อกโกแลตจากเด็กนักเรียน

(10 ก.ย. 67) สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า ‘หวัง’ ครูใหญ่ประจำโรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่ง ในนครฉงชิ่ง ยื่นฟ้องศาลหลังจากที่เธอถูกไล่ออก เพราะรับช็อกโกแลตจากเด็กนักเรียน 

เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนวันที่ 10 ก.ย.2023 ซึ่งถือเป็นวันครูของจีน โดยตามธรรมเนียมเด็ก ๆ มักจะมีการส่งของขวัญ หรือการ์ดเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อฉลองวันครู เช่นเดียวกับหวังที่ได้รับช็อกโกแลต มูลค่าประมาณ 6.16 หยวน (ประมาณ 30.8 บาท) จากนักเรียน

รายงานระบุว่า ต่อมา หวังได้นำช็อกโกแลตดังกล่าวไปแบ่งให้เด็กนักเรียนคนอื่น ๆ

อย่างไรก็ตาม ทางโรงเรียนกลับไล่เธอออก โดยให้เหตุผลว่า เธอรับของขวัญจากนักเรียน ซึ่งถือเป็นการละเมิดกฎของกระทรวงศึกษาธิการที่ระบุไว้ว่า “ห้ามครูร้องขอ หรือรับของขวัญ หรือเงินจากนักเรียน หรือผู้ปกครองไม่ว่าจะในรูปแบบใดก็ตาม”

ด้านหวังที่รู้สึกไม่เป็นธรรมและไม่เห็นด้วย จึงยื่นฟ้องต่อศาลประชาชนเขตจิ่วหลงโพ โดยในการพิจารณาครั้งแรก ทางโรงเรียนชี้แจงว่า การรับของขวัญไม่ว่าจะมีมูลค่าเท่าใด ก็ถือเป็นการฝ่าฝืนกฎของกระทรวงศึกษาธิการ รวมทั้งยังสร้างความเสื่อมเสียให้ทางโรงเรียน

ต่อมาในช่วงเดือน มี.ค. ศาลได้มีคำสั่งตัดสินว่า การที่โรงเรียนอนุบาลไล่หวังออกนั้นผิดกฎหมาย และสั่งให้จ่ายค่าชดเชย เนื่องจากช็อกโกแลตที่หวังรับมานั้นเป็นเพียงสิ่งที่แสดงถึงความรักและความเคารพของนักเรียนที่มีต่อครู ดังนั้น การรับช็อกโกแลตจึงไม่ควรถือว่าเป็นการรับของขวัญ

ภายหลังโรงเรียนอนุบาลได้มีการยื่นอุทธรณ์ ก่อนที่เดือน ส.ค.ที่ผ่านมา ศาลจะมีคำสั่งตัดสินโดยยืนยันตามคำตัดสินเดิม

เรื่องราวการถูกไล่ออกของหวังกลายเป็นกระแสบนโซเชียล โดยมีผู้เข้าชมบนติ๊กต็อกเวอร์ชันจีนกว่า 7.2 ล้านครั้ง พร้อมคอมเมนต์ เช่น “น่าขันสิ้นดี! เธอถูกไล่ออกเพราะรับของขวัญมูลค่าเพียง 6 หยวน?” / “ในฐานะครู ฉันรู้สึกผิดหวัง บทลงโทษนั้นร้ายแรงมาก”

เปิดภาพล่าสุด!! 'แม่ชีกิ๊ก มยุริญ' กลับไทยแล้ว หลังตัดขาดทางโลก-บวชที่พม่านาน 9 เดือน

(10 ก.ย. 67) ข่าวช่องวัน รายงานว่า 'แม่ชีแห่งวงการบันเทิง' อย่าง 'กิ๊ก' มยุริญ ผ่องผุดพันธ์ ที่ได้ละทางโลกและออกบวช เมื่อช่วงปลายปี 2566 ณ ประเทศเมียนมานั้น ได้เดินทางกลับประเทศไทยแล้วหลังออกบวชเป็นระยะเวลา 9 เดือน

โดยล่าสุดบนอินสตาแกรมของ 'กิ๊ก มยุริญ' มีผู้แท็กโพสต์เป็นภาพในชุดแม่ชีและโกนผมทั้งศีรษะ ระบุข้อความว่า "กลับมาแล้ว แม่ชีกิ๊ก หลังไปบวชนาน 9 เดือน วันนี้มาออกรายการ เอาบุญมาฝากเพื่อน ๆ ทุกคนนะคะ" ซึ่งเหล่าแฟนคลับเข้าไปคอมเมนต์อนุโมทนาสาธุกันเป็นจำนวนมาก

ต่อมา 'กิ๊ก มยุริญ' เปิดใจครั้งแรกกับทางทีมข่าวช่องวันว่า เพิ่งกลับมาจากพม่า เพราะมีความจำเป็น หลังจากไปบวชได้ 9 เดือน ตอนนี้ยังคงเป็นแม่ชีเหมือนเดิม แต่คาดว่าอีกไม่นานก็คงลาสิกขา เพราะมีงานที่รับไว้และต้องรับผิดชอบ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่กลับมาในสภาพแม่ชี เพราะครั้งก่อนลาสิกขาที่พม่าเลย

‘ชัยวุฒิ’ ลั่น ‘พปชร.’ พร้อมเป็นความหวังให้คนไม่เอา 'ส้ม-แดง' ชู 3 กรอบประเด็นตรวจสอบ มั่นใจ!! ทำหน้าที่ฝ่ายค้านแบบเต็มที่

(10 ก.ย. 67) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์กับรายการ 'สีสันการเมือง แบบ เด้งเด้ง' ทางช่องยูทูบ 'แนวหน้าออนไลน์' ในประเด็นพรรคพลังประชารัฐไม่ได้ไปต่อในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล และต้องไปเป็นฝ่ายค้าน ว่า รู้สึกสนุกขึ้น เพราะเป็นฝ่ายรัฐบาลบางครั้งก็ทำอะไรไม่ได้เต็มที่ เห็นอะไรที่ขัดใจหรือไม่ถูกต้อง คราวนี้จะได้ตรวจสอบอย่างเต็มที่ เพราะตนก็มีข้อมูลอยู่ไม่น้อย แต่ไม่มีคำว่ามือใหม่ ตนเชื่อว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ทุกคนพร้อมทำหน้าที่ทั้งฝ่ายค้าน และฝ่ายรัฐบาลอยู่แล้ว

เมื่อถามว่าได้คุยกับ สส. ในพรรคหรือไม่? เรื่องนี้ก็ชัดเจนอยู่แล้ว คนที่อยู่ก็คืออยู่ พร้อมเป็นฝ่ายค้าน ส่วนคนที่ไม่อยากเป็นฝ่ายค้าน กลัวเสียผลประโยชน์ ถูกดูดไปก็ไปกันหมดแล้ว เหลือแต่คนที่เป็นเนื้อแท้พร้อมจะทำงาน ส่วนเรื่องการทำงานฝ่ายค้านร่วมกับพรรคประชาชน เบื้องต้นมีการคุยกัน เริ่มจากรัฐบาลแถลงนโยบายก็จะขอแบ่งเวลาอภิปราย ส่วนจะพูดประเด็นใดบ้างคงต้องหารือกัน ซึ่งหลังจากนี้ทางสภาก็คงจะมีเจ้าหน้าที่มาประสานการพูดคุยกันของวิปฝ่ายค้านต่อไป แต่ตนเข้าใจว่าขณะนี้คงรอพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ผู้นำฝ่ายค้านคนใหม่กันก่อน

“ยังไม่มีการตั้งวิปฝ่ายค้านอย่างเป็นทางการ คือปกติเจ้าหน้าที่สภาเขาจะมานัดประชุมเรื่องเกี่ยวกับการเตรียมงานของฝ่ายค้าน เพราะอย่างวิปรัฐบาลเขามีสำนักงานเลขาธิการนายกฯ หรือ ครม. เป็นคนจัดประชุมวิปรัฐบาล แต่ขอฝ่ายค้านทางสภาจะเป็นคนจัด ณ วันนี้อาจจะยังไม่ลงตัว ยังไม่เป็นทางการเท่าไร ไม่เป็นไร ทำงานได้ไม่ต้องห่วง” นายชัยวุฒิ กล่าว

นายชัยวุฒิ กล่าวต่อไปว่า พรรคพลังประชารัฐจะเป็นฝ่ายค้านอิสระ ทำงานแยกตัวกับพรรคประชาชนหรือไม่ จริง ๆ ฝ่ายค้านคืออิสระอยู่แล้ว แต่ก็ต้องคุยกัน ต้องประสานงานการแบ่งเวลาอภิปราย การลงมติว่าจะไปในทิศทางใด ส่วนการตรวจสอบรัฐบาลในการแถลงนโยบาย ประเด็นที่จะตรวจสอบ...

1.เรื่องที่พูดแล้วไม่ได้ทำ ทั้งที่เป็นนโยบายของพรรคการเมือง หรือนโยบายที่ประชาชนคาดหวัง เช่น ราคาพลังงานที่บอกว่าค่าน้ำมันและก๊าซต้องถูกลงทำไมยังทำไม่สำเร็จ หรือดิจิทัลวอลเล็ตเหตุใดยังไม่สำเร็จเสียที เป็นต้น

2.ความพร้อมของรัฐบาล ตัวบุคคลมีความเหมาะสมสามารถทำงานได้หรือไม่ เพราะอย่างที่ทราบว่ามีปัญหาและประชาชนก็รู้อยู่ 

3.ความผิดปกติของรัฐบาล ที่มีเรื่องร้องเรียนต่าง ๆ 

ส่วนคำถามว่า จะได้เห็น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งเป็น สส.บัญชีรายชื่อของพรรค อภิปรายในสภาหรือไม่ ต้องบอกว่า พล.อ.ประวิตร ไม่ถนัดเรื่องอภิปราย แต่ถนัดเรื่องประสานงาน วางแผน หรือทำงานด้านยุทธศาสตร์มากกว่า 

ทั้งนี้ ความเคลื่อนไหวของ พล.อ.ประวิตร คงไม่ต่างจากเดิม คือการสนับสนุนสมาชิกพรรคให้ทำงานได้อย่างเต็มที่ และช่วยประสานงานกิจกรรมต่าง ๆ ให้พรรคเดินไปข้างหน้า แต่ที่จะเข้มข้นขึ้นคือการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล ตนก็ขอใช้คำว่าไม่ต้องเกรงใจกัน คือมีอะไรก็พูดกันตรง ๆ เลย ส่วนที่มีการพูดกันว่า การทำงานของพรรคพลังประชารัฐอยู่นอกสภาเสียเยอะ ก็ต้องยอมรับความจริงก่อนว่าจำนวน สส. ในสภามีไม่มาก คือแบ่งคนละครึ่งกับ สส. ฝ่ายของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เฉลี่ยฝ่ายละ 20 คน คงไม่สามารถล้มรัฐบาลหรือเปลี่ยนแปลงอะไรได้

โดยการทำงานนอกสภา หมายถึงการที่ประชาชนหรือกลุ่มต่าง ๆ ที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล รวมถึงมีเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการทุจริตต่าง ๆ อาจส่งข้อมูลมาที่พรรค เพราะคาดหวังให้พรรคพลังประชารัฐนำไปดำเนินการต่อให้ หากไม่มีใครดำเนินการก็จะถูกปล่อยค้างอยู่อย่างนั้น ก็ต้องมีคนนำไปดำเนินการให้ถึงที่สุด แต่คงไม่ต้องถึงกับตั้งทีมรับเรื่องร้องเรียนขึ้นมา เพราะในพรรครู้กันอยู่แล้วว่าใครทำหน้าที่นี้บ้าง

ส่วนที่มีการตั้งนายไพบูลย์ นิติตะวัน มือกฎหมายมาเป็นเลขาธิการพรรคคนล่าสุด มีคำถามว่าเป็นการส่งสัญญาณว่าจะทำอะไรหรือไม่ ก็เป็นอย่างที่คิด คือพรรคพลังประชารัฐจะมีบทบาทขับเคลื่อนเรื่องกฎหมายเยอะ อีกอย่างนายไพบูลย์ก็เป็นผู้ใหญ่คนหนึ่งที่คณะกรรมการบริหารพรรคให้ความนับถือ การทำงานก็จะราบรื่นและต่อเนื่อง ตนมองว่าเป็นผลดีต่อพรรค ส่วนนายไพบูลย์จะไปผนึกกำลังกับสมาชิกพรรคอย่าง นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ หรือไม่ ก็พูดคุยกันอยู่ แต่เชื่อว่าต่างคนต่างทำหน้าที่ ไม่ถึงกับต้องมาประชุมหรือประสานกัน ใครเห็นปัญหาก็ว่าไป

โดยตนก็เป็นห่วงรัฐบาล เพราะแม้จะเป็นรัฐบาลต่อเนื่อง มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำเหมือนเดิมต่อมาจากนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งก็ต้องยอมรับว่ามีหลายอย่างประชาชนผิดหวังมาจากรัฐบาลชุดก่อน จึงคาดหวังว่ารัฐบาลชุดปัจจุบันที่นำโดยนายกฯ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร จะทำให้ดีขึ้น แต่เท่าที่ดูก็ยังไม่เห็นอะไรที่ชัดเจนว่าจะดีขึ้น แต่ที่น่าเป็นห่วงคือปัจจุบันหนักกว่าเดิมเพราะมีเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลที่ขัดอารมณ์คน

“ทั้งการดูด สส. ไป การเอาพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งความรู้สึกของคนกลุ่มหนึ่งก็ไม่เห็นด้วยมาร่วม และที่หนักกว่านั้นก็คือปัญหาเรื่องจริยธรรม ซึ่งมันทำให้นักการเมืองหลายคนไม่สามารถดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีได้ แต่รัฐบาลนี้ก็ไปเลี่ยงกฎหมาย เลี่ยงรัฐธรรมนูญด้วยการใช้นอมินี ใช้ตัวแทนมาทำหน้าที่แทน ซึ่งอันนี้มันทำให้ประชาชนรู้สึกไม่ไว้วางใจ ไม่สบายใจกับสิ่งที่รัฐบาลทำ คือพอมันเริ่มต้นไม่ดี ผมว่าการเดินหน้าให้มันได้ใจประชาชนมันก็เป็นไปได้ยาก” นายชัยวุฒิ ระบุ

นายชัยวุฒิ ยังกล่าวอีกว่า ส่วนคำถามว่าพรรคพลังประชารัฐจะมีทีเด็ดอะไรหรือไม่ เพราะสังคมก็จับตาดูอยู่ ก็ต้องรอดูกันไปก่อน คงจะเป็นการตรวจสอบรัฐบาล และเป็นหลักในการรวบรวมกลุ่มต่าง ๆ ที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลมาช่วยกันทำงานเพื่อตรวจสอบรัฐบาล และแก้ปัญหาให้ประชาชน ซึ่งก็ต้องยอมรับว่า สีส้มกับสีแดงเคยอยู่ด้วยกันมาก่อน หรือมาจากไข่ใบเดียวกัน จึงอาจไม่ได้ค้านกันทุกเรื่อง บางเรื่องที่เห็นด้วยเหมือนกันก็ไม่ได้ค้าน แต่พรรคพลังประชารัฐไม่ได้มาจากไข่ใบเดียวกับส้มหรือแดง ชัดเจนว่าตรงข้ามกันแน่นอนเรื่องอุดมการณ์ และการทำงาน

อย่างพรรคการเมืองสีส้ม เวลาค้านก็เหมือนนักมวยเต้นฟุตเวิร์กวน ๆ แล้วออกหมัดแย็บ แต่ไม่มีหมัดน็อก อย่างเรื่องนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เรื่องชั้น 14 ไม่มีการพูดถึง ในขณะที่พูดเรื่องทหารไม่ยุติธรรมบ้าง นักการเมืองเก่าไม่ดีบ้าง มันสะท้อนเรื่องการมีอยู่จริงของดีลลับระหว่างส้มกับแดง จึงต้องมีพรรคพลังประชารัฐเป็นหลักในการต่อสู้จริง ๆ ไม่มีดีลลับ ตนมองว่าเรื่องนี้เป็นความคาดหวังของประชาชนที่ไม่ไว้วางใจทั้งพรรคส้มและนายทักษิณ ซึ่งพลังนี้กำลังก่อตัวขึ้น 

“วันนี้คนมีส้ม-แดง และคนที่ไม่เอาส้มกับแดง แล้วผมเชื่อว่าส้มกับแดงเขาแตะมือกัน เพราะผมก็เคยวิเคราะห์การเมืองว่าถ้ารัฐบาลนี้มีปัญหามาก โดนร้องเรียน ไปไม่รอด เขายุบสภาปุ๊บ! เลือกตั้งรอบหน้าผมก็มีความเชื่อว่าส้มกับแดงพร้อมจะรวมกันแน่นอน ถามว่าส้มจะรวมกับพลังประชารัฐไหม? เป็นไปไม่ได้เพราะเราปกป้องสถาบันฯ จะรวมกับส้มได้อย่างไร และแดงก็ชัดเจนกับเราแล้วว่าไม่เอากัน มันก็เห็นอยู่แล้ว รัฐบาลหน้าหลังเลือกตั้งก็คือเป็นส้มกับแดงรวมกัน ซึ่งเขาก็พร้อมจะยุบสภาเพื่อรักษาความได้เปรียบทางการเมืองอย่างแน่นอน” นายชัยวุฒิ กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top