Sunday, 1 June 2025
NewsFeed

10 นโยบายเร่งด่วน ‘รัฐบาลแพทองธาร’ ทำทันที พบ!! ‘SPR’ ของ ‘พีระพันธุ์’ ถูกบรรจุวาระเร่งด่วน

(9 ก.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันที่ 12-13 กันยายน 2567 รัฐบาลชุดใหม่ภายใต้การนำของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะนำคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง และเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณเป็นที่เรียบร้อย แถลงนโยบายคณะรัฐมนตรีต่อที่ประชุมรัฐสภา โดยมีการเปิดเผยนโยบายเร่งด่วนที่รัฐบาลจะดำเนินการทันที ซึ่งมีการเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์รัฐสภา ดังนี้…

นโยบายที่ 1 รัฐบาลจะผลักดันให้เกิดการปรับโครงสร้างหนี้ทั้งระบบ โดยเฉพาะกลุ่มสินเชื่อบ้านและรถ ช่วยเหลือลูกหนี้ทั้งในระบบและนอกระบบ ภายใต้ปรัชญาที่จะไม่ขัดต่อวินัยทางการเงินและไม่ทำให้เกิดภาวะภัยทางจริยธรรม (Moral Hazard) ของผู้มีภาระหนี้สิน ควบคู่กับการเพิ่มความรู้ทางการเงินและส่งเสริมการออมในรูปแบบใหม่ ๆ ที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของคนไทย โดยจะดำเนินนโยบายผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ธนาคารพาณิชย์ และบริษัทบริหารสินทรัพย์

นโยบายที่ 2 รัฐบาลจะดูแลและส่งเสริมพร้อมกับปกป้องผลประโยชน์ของผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะ SMEs จากการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมของคู่แข่งทางการค้าต่างชาติ โดยเฉพาะผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ และการแก้ไขปัญหาหนี้ของ SMEs เช่น การพักหนี้ การจัดทำ Matching Fund ซึ่งเป็นการลงทุนร่วมกันระหว่างรัฐบาลและเอกชน เพื่อประคับประคองให้กลับมาเป็นกลไกที่แข็งแรงในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ 

นโยบายที่ 3 รัฐบาลจะเร่งออกมาตรการเพื่อลดราคาค่าพลังงานและสาธารณูปโภค ปรับโครงสร้างราคาพลังงาน ควบคู่กับการเร่งรัดจัดทำปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง เช่น ข้อกำหนดเกี่ยวกับการทำสัญญาซื้อขายพลังงานได้โดยตรง (Direct PPA) รวมทั้งการพัฒนาระบบสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อความมั่นคงทางยุทธศาสตร์ของประเทศ (Strategic Petroleum Reserve: SPR) สำรวจหาแหล่งพลังงานเพิ่มเติม และการเจรจาประเด็นพื้นที่ทับซ้อนกับกัมพูชา (OCA) เพื่อลดต้นทุนด้านพลังงาน พร้อมทั้งผลักดันการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนสาธารณะ (Mass Transit) และการกำหนดโครงสร้างอัตราค่าโดยสารร่วมในเขตกรุงเทพมหานคร เพื่อรองรับนโยบาย ‘ค่าโดยสารราคาเดียว’ ตลอดสาย เพื่อลดภาระค่าเดินทาง

นโยบายที่ 4 รัฐบาลจะสร้างรายได้ใหม่ของรัฐด้วยการนำเศรษฐกิจนอกระบบภาษี (Informal Economy) และเศรษฐกิจใต้ดิน (Underground Economy) เข้าสู่ระบบภาษี ที่คาดว่าจะมีมูลค่าสูงกว่าร้อยละ 50 ของ GDP เพื่อนำไปจัดสรรสวัสดิการด้านการศึกษา สาธารณสุข และสาธารณูปโภค รวมทั้งอุดหนุนค่าใช้จ่ายขั้นพื้นฐานของประชาชน พร้อมทั้งจะปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ทันสมัย สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน

นโยบายที่ 5 รัฐบาลจะเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างความเชื่อมั่นและกระตุ้นให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย ควบคู่กับการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายและเพิ่มโอกาสในการประกอบอาชีพ โดยให้ความสำคัญกับกลุ่มเปราะบางเป็นลำดับแรก และผลักดันโครงการดิจิทัลวอลเล็ต (Digital Wallet) ซึ่งจะเป็นการวางรากฐานเศรษฐกิจดิจิทัล และพัฒนาศูนย์ข้อมูลภาครัฐ ที่มุ่งการพัฒนานโยบายที่ตอบสนองความต้องการของประชาชน พร้อมเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งทุนเพื่อการพัฒนาหมู่บ้านและชุมชน และการประกอบอาชีพ

นโยบายที่ 6 รัฐบาลจะยกระดับการทำเกษตรแบบดั้งเดิมให้เป็นเกษตรทันสมัย โดยใช้แนวคิด ‘ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้’ นำเทคโนโลยีด้านการเกษตร (Agri-Tech) เช่น เกษตรแม่นยำ (Precision Agriculture) และเทคโนโลยีด้านอาหาร (Food Tech) มาใช้พัฒนาอาชีพด้านการเกษตร ประมง ปศุสัตว์ และอาชีพที่เกี่ยวเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหาร รวมถึงการคว้าโอกาสในตลาดใหม่ ๆ รวมทั้งอาหารฮาลาล และฟื้นนโยบาย ‘ครัวไทยสู่ครัวโลก’ ซึ่งเป็นจุดเด่นของประเทศไทยเพื่อตอบสนองความต้องการของโลกด้านความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) และเร่งเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรและราคาพืชผลการเกษตร รวมทั้งเพื่อยกระดับรายได้ของเกษตรก

นโยบายที่ 7 รัฐบาลจะเร่งส่งเสริมการท่องเที่ยว ด้วยการสานต่อความสำเร็จในการปรับโครงสร้างการตรวจลงตราทั้งหมดของประเทศเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ขอวีซ่า เช่น กลุ่มผู้เข้าร่วมงานแสดงสินค้านานาชาติ (MICE) และกลุ่มชาวต่างชาติที่ทำงานทางไกล (Digital Nomad) ซึ่งสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวถึง 1.892 ล้านล้านบาท ในปี 2566 โดยส่งเสริมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ เพิ่มแหล่งท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้น (Man-made Destinations) เช่น สวนน้ำ สวนสนุก ศูนย์การค้า สถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) นำคอนเสิร์ต เทศกาล และการแข่งขันกีฬาระดับโลกมาจัดในประเทศไทย รวมถึงส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองน่าเที่ยว เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและเม็ดเงินมหาศาลที่จะกระจายลงสู่ผู้ประกอบการภายในประเทศได้อย่างรวดเร็ว 

นโยบายที่ 8 รัฐบาลจะแก้ปัญหายาเสพติดอย่างเด็ดขาดและครบวงจร เริ่มตั้งแต่การตัดต้นตอการผลิตและจำหน่ายด้วยการร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน การสกัดกั้น ควบคุมการลักลอบนำเข้าและตัดเส้นทางการลำเลียงยาเสพติด การปราบปรามและการยึดทรัพย์ผู้ค้าอย่างเด็ดขาด การค้นหาผู้เสพในชุมชนเพื่อเข้าสู่กระบวนการรักษา ตลอดจนการบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด การฝึกอาชีพ การศึกษา และการฟื้นฟูสภาพทางสังคม รวมทั้งมีระบบติดตามดูแลช่วยเหลือเพื่อไม่ให้กลับไปสู่วงจรยาเสพติดอีก เพื่อคืนคนคุณภาพกลับสู่สังคม 

นโยบายที่ 9 รัฐบาลจะเร่งแก้ปัญหาอาชญากรรม อาชญากรรมออนไลน์/มิจฉาชีพ และอาชญากรรมข้ามชาติเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน โดยการเพิ่มศักยภาพและประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และรับมือกับอาชญากรรมออนไลน์อย่างรวดเร็ว ช่วยเหลือเหยื่อของมิจฉาชีพอย่างทันท่วงที โดยผนึกกำลังกับประเทศเพื่อนบ้าน และสร้างกลไกการร่วมรับผิดชอบของบริษัทผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมและธนาคารพาณิชย์

นโยบายที่ 10 รัฐบาลจะส่งเสริมพัฒนาศักยภาพ และจัดสวัสดิการสังคมให้สอดคล้องกับสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป สร้างความเท่าเทียมทางโอกาสและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่สำคัญ ได้แก่ คนพิการ ผู้สูงอายุ กลุ่มชาติพันธุ์ บุคคลไร้รัฐไร้สัญชาติ เพื่อให้สามารถเข้าถึงสิทธิและสวัสดิการของรัฐได้โดยสะดวกตามที่กฎหมายบัญญัติ

‘สวนสัตว์เปิดเขาเขียว’ เตรียมเปิดขายเสื้อ-กางเกงลาย ‘น้องหมูเด้ง’ หลัง ‘เจ้าหมูเด้ง’ ลูกฮิปโปฯ แคระตัวตึง ครองใจพี่ๆ โซเชียลอยู่หมัด

(9 ก.ย. 67) เชื่อว่านาทีไม่มีใครไม่รู้จัก 'เจ้าหมูเด้ง' ลูกฮิปโปฯ แคระ เพศเมีย วัย 2 เดือน ตัวตึงประจำสวนสัตว์เปิดเขาเขียว จ.ชลบุรี โดยทางสวนสัตว์มักอัปเดตความน่ารักของ 'เจ้าหมูเด้ง' ผ่านทางช่องทางโซเชียลของทางสวนสัตว์เปิดเขาเขียว ซึ่งใครหลายคนเห็นก็ต่างตกหลุมรักเจ้าฮิปโปแคระตัวนี้เข้าอย่างจัง

ล่าสุด ทาง 'สวนสัตว์เปิดเขาเขียว' ประกาศเตรียมเปิดตัวคอลเล็กชันเสื้อและกางเกงลายการ์ตูน ‘น้องหมูเด้ง’ มาให้ทุกคนเตรียมช็อปกัน โดยระบุข้อความในบัญชี X ว่า “พบกันเร็ว ๆ นี้ กดติดตามกันไว้นะ” พร้อมแนบรูปตัวอย่างเสื้อและกางเกงลายเจ้าหมูเด้ง ซึ่งชาวเน็ตก็เข้าไปคอมเมนต์ เฝ้ารอความน่ารักของคอลเล็กชัน 'เจ้าหมูเด้ง' กันเป็นจำนวนมาก 

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ทางสวนสัตว์เปิดเขาเขียวได้เปิดขายกางเกงกะปิปลาร้า (คาปิบาร่า) มาแล้ว ซึ่งถือว่าได้รับการตอบรับอย่างดี ทำให้ผู้ติดตามเพจบางส่วนอยากให้ทางสวนสัตว์เปิดเขาเขียวเปิดขายคอลเล็กชันตัวอื่น ๆ ในสวนสัตว์เพิ่มอีกด้วย

'ชาติมุสลิม' คว่ำบาตร ‘โค้ก-เป๊ปซี่’ หนุน ‘น้ำอัดลมท้องถิ่น’ โตช่วงสงคราม หลังทั้งสองยักษ์ถูกมองเป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึง 'อเมริกา-อิสราเอล'

(9 ก.ย. 67) สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานว่า ยอดขายปีนี้ของ 'โค้ก' ในอียิปต์ตกต่ำ สวนทางกับแบรนด์ท้องถิ่น 'V7' ในอียิปต์ ที่สามารถส่งออกโคล่าไปยังตะวันออกกลางได้มากกว่าโค้ก 3 เท่า และขยายตลาดในภูมิภาคได้มากกว่าปีก่อน ขณะที่ 'เป๊ปซี่' ที่เคยเติบโตอย่างรวดเร็วในตะวันออกกลาง ก็ทำยอดขายได้ไม่ดี หลังจากเกิดสงครามในกาซาเมื่อเดือน ต.ค. 2566

ด้าน ซันบาล ฮัสซัน ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทแห่งหนึ่งในปากีสถาน สะท้อนถึงเรื่องนี้ว่า เธอได้ตัดเครื่องดื่มโค้กและเป๊ปซี่ออกจากเมนูอาหารในงานแต่งงานของเธอเมื่อเดือน เม.ย. เพราะเธอไม่อยากรู้สึกว่าเงินของเธอตกไปถึงคลังภาษีของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นพันธมิตรที่เหนียวแน่นของอิสราเอล

ทั้งนี้ ผู้บริโภคจำนวนมากในโลกมุสลิมพยายามหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ของ 'โคคา-โคล่า' และ 'เป๊ปซี่โค' โดยอ้างว่าสหรัฐฯ สนับสนุนอิสราเอลในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบันที่อิสราเอลทำสงครามกับฮามาส ส่งผลให้มีการตัดสินใจซื้อสินค้าจากตัวเลือกที่แตกต่างไป เพราะทัศนคติทางการเมือง ซึ่งการคว่ำบาตรดังกล่าวส่งผลกระทบต่อพื้นที่ทางภูมิศาสตร์เฉพาะแห่ง เช่น เลบานอน, ปากีสถาน และอียิปต์

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทาง เป๊ปซี่โค ออกมายืนยันถึงเรื่องนี้ว่า ตัวบริษัทฯ หรือ แบรนด์ใด ๆ ภายใต้บริษัท ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับรัฐบาลหรือกองทัพสหรัฐฯ ในเรื่องของความขัดแย้ง ขณะที่ 'โคคา-โคล่า' ก็เผยว่า บริษัทฯ ไม่ได้ให้เงินทุนสนับสนุนปฏิบัติการทางทหารในอิสราเอลหรือประเทศอื่น ๆ ใด ๆ

สำหรับรายได้ของทั้ง 2 บริษัท มีการเปิดเผย ระบุว่า รายได้ทั้งหมดของเป๊ปซี่โคในตลาดแอฟริกา ตะวันออกกลาง และเอเชียใต้ อยู่ที่ 6,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2566 และในปีเดียวกันนั้น รายได้ของโคคา-โคล่า ในภูมิภาคยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกาอยู่ที่ 8,000 ล้านดอลลาร์ 

แต่ในช่วง 6 เดือน หลังจากฮามาสเปิดฉากโจมตีอิสราเอลวันที่ 7 ต.ค. 67 ยอดขายเครื่องดื่มเป๊ปซี่โคในแอฟริกา ตะวันออกกลาง และเอเชียใต้แทบไม่เติบโต เมื่อเทียบไตรมาส 2565/66 ขณะที่ยอดขายโค้กในอียิปต์ ลดลงสองหลักในช่วง 6 เดือนจนถึง 28 มิ.ย. 2567 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2566

อย่างไรก็ตาม การคว่ำบาตรไม่ได้ทำให้แบรนด์เครื่องดื่มอเมริกันรายได้หดเพียงอย่างเดียว แต่เงินเฟ้อ และความปั่นป่วนทางเศรษฐกิจในปากีสถาน, อียิปต์ และบังกลาเทศ ได้บั่นทอนอำนาจซื้อของผู้บริโภคตั้งแต่ก่อนเกิดสงครามแล้ว และทำให้แบรนด์ท้องถิ่นน่าสนใจมากกว่า

โดย กัสซิม ชรอฟฟ์ ผู้ก่อตั้งคราฟ มาร์ต (Krave Mart) แอปพลิเคชันดิลิเวอรีชั้นนำในปากีสถาน เผยว่า คู่แข่งในท้องถิ่นอย่างโคล่าเน็กซ์ (Cola Next) และปาโคลา (Pakola) ได้รับความนิยมมากขึ้น จนมีส่วนแบ่งตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลมราว 12% ซึ่งก่อนที่แบรนด์น้ำอัดลมสหรัฐฯ ถูกบอยคอต แบรนด์ท้องถิ่นสองรายมีส่วนแบ่งตลาดรวมกันราว 2.5% เท่านั้น

ขณะที่โมฮัมเหม็ด นูร์ อดีตผู้บริหารโคคา-โคล่า ที่ลาออกเมื่อปี 2563 หลังทำงานมานาน 28 ปี และกลายเป็นผู้ก่อตั้งแบรนด์เครื่องดื่มอียิปต์ 'V7' เปิดเผยว่า ธุรกิจส่งออกเครื่องดื่ม V7 เติบโต 3 เท่าในปีนี้ เมื่อเทียบกับปี 2566 และตอนนี้แบรนด์สามารถจำหน่ายสินค้าได้มากถึง 21 ประเทศ แถมยอดขายในอียิปต์ตั้งแต่ ก.ค. 2566 ก็เติบโตขึ้นถึง 40%

อย่างไรก็ตาม ‘โค้ก-เป๊ปซี่’ ก็ยังมองบวกตลาดมุสลิม โดยในฝั่ง โคคา-โคล่า ยังคงลงทุนเพิ่มอีก 22 ล้านดอลลาร์ในปากีสถานเมื่อเดือน เม.ย. เพื่อปรับปรุงเทคโนโลยีให้ดีขึ้น ขณะที่ตัวแทนบริษัทเป๊ปซี่โคยืนยันกับรอยเตอร์สว่า บริษัทได้กลับมาเปิดแบรนด์น้ำอัดลม 'ทีม' (Teem) ในตลาดปากีสถานอีกครั้ง และผลิตภัณฑ์พิมพ์คำว่า 'Made in Pakistan' บนฉลากไว้อย่างโดดเด่น

นอกจากนี้ โคคา-โคล่า และ เป๊ปซี่ ก็ยังคงนำแบรนด์เข้าไปในหลายประเทศที่มีชาวมุสลิมเป็นส่วนใหญ่ ด้วยการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนท้องถิ่น ผ่านการนำผลิตภัณฑ์ร่วมสนับสนุนองค์กรการกุศล นักดนตรี และทีมกีฬาคริกเก็ต ซึ่งความเคลื่อนไหวเหล่านี้ ล้วนเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้โค้กและเป๊ปซี่ยังคงรักษาฐานลูกค้าในหลายประเทศที่มีชาวมุสลิมในระยะยาว แม้ต้องเผชิญกับอุปสรรคมากมาย

ครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว!! กำลังใจจาก 'อ้น สราวุธ' ถึง 'แน็ก-ชาลี' ดูแลคนอื่นเป็นเรื่องดี แต่อย่าลืมดูแล 'ตัว-หัวใจ' ตนให้มากๆ ด้วย

(9 ก.ย. 67) จากกรณีดาราหนุ่ม ‘แน็ก-ชาลี ปอทเจส’ ที่ได้ประกาศแยกย้ายกับแฟนสาวชาวเกาหลี ‘จีกามิน’ ซึ่งได้รับความสนใจและมีการวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานาในโลกโซเชียล โดยมีการแชร์คลิปทั้งมุมของแน็ก และ กามิน ออกมาอ้างแพร่สะพัด

ทว่าภายใต้มรสุมดรามาของทั้งสอง ก็ได้มีคลิปวิดีโอเก่าที่ถูกโพสต์ลงเพจเฟซบุ๊ก ‘fcชาลี กามิน’ ซึ่งเป็นคลิปที่นำมาจากบัญชีติ๊กต๊อก (TikTok) ชื่อ ‘aonsarawut929’ ซึ่งถูกโพสต์เมื่อช่วงต้นปี 67 ที่ผ่านมาของ โดยมี ‘อ้น สราวุธ มาตรทอง’ นักแสดง นายแบบ และนักร้องชื่อดังได้เคยลงคลิปวิดีโอให้กำลังใจ ‘แน็ก-ชาลี’ ไว้ มีเนื้อหาดังนี้ ว่า...

แม้ตัวเอง (อ้น) จะไม่ได้มีโอกาสร่วมงานกับตัวแน็ก-ชาลี แต่ก็รู้สึกว่าเป็นคนที่น่ารักนับตั้งแต่ที่เห็นแน็กแสดงภาพยนตร์เรื่อง ‘แฟนฉัน’ ซึ่งเป็นหนึ่งในภาพยนตร์แจ้งเกิดของแน็กชาลี อีกทั้งยังมีความเห็นว่าเป็นนักแสดงที่มีฝีมือและมีความเป็นธรรมชาติ ตลกโปกฮาและเป็นกันเอง และตัวเขาก็เฝ้าติดตามดาราหนุ่มคนนี้มาตลอด 

“แน็กฟังพี่อ้นนะ พี่อ้นดูแน็กมาตลอดแม้ไม่เคยได้ร่วมงานกับแน็กนะ เห็นแน็กมาตั้งแต่ภาพยนตร์เรื่อง ‘แฟนฉัน’ ยังรู้สึกว่า เด็กคนนี้น่ารักจัง แล้วก็เฝ้าติดตามดูงานมาตลอด แน็กเป็นหนึ่งในนักแสดงคนหนึ่งที่พี่อ้นว่ามีฝีมือมากทีเดียวนะ แล้วก็เป็นธรรมชาติมากด้วย มีช่วงหนึ่งที่แน็กหายไป พี่อ้นยังคิดถึงอยู่ว่าหายไปไหน เสียดาย…แต่พอสักพักหนึ่ง แน็กกลับมาในโลกออนไลน์ โลกโซเชียล และคนก็พูดถึงความตลกโปกฮา บ้าบอนู่นนี่นั่น ซึ่งพี่อ้นชื่นชมนะ มันน่ารักดี” 

หลังจากนั้นคุณอ้นยังเสริมต่ออีกว่า แน็กเป็นเหมือนพลังงานดีๆ ให้กับสังคม ชอบช่วยเหลือผู้อื่น ทั้งยังมีเมตตากับสัตว์เลี้ยง ซึ่งในฐานะที่ตัวคุณอ้นเองก็เลี้ยงสัตว์เช่นกัน ก็เลยมีความรู้สึกอยากให้กำลังใจแน็ก พร้อมกับให้กำลังใจพร้อมแง่คิดกับแน็กชาลีเป็นใจความสรุปว่า ก่อนที่แน็กจะให้ความสุขและช่วยเหลือผู้อื่นนั้น จะต้องดูแลตัวเองให้ดีและเข้มแข็งก่อน จึงจะไปช่วยเหลือผู้อื่นได้

“หากแน็กเดินทางบ่อยๆ แน็กจะรู้ว่าเวลาที่เราขึ้นเครื่องบินนั้น เวลาที่เครื่องบินตกหลุมอากาศ มันจะมีเครื่องให้ออกซิเจนตกลงมา วิธีในการใช้ก็คือ เขาให้เราสวมออกซิเจนให้ตัวเองก่อนแล้วค่อยสวมให้คนข้างๆ แน๊กจำคำของพี่อ้นไว้นะ เราต้องแข็งแรง ถึงจะช่วยเหลือผู้อื่นให้แข็งแรงได้ คนรอบข้างจะรอดและมีความสุขได้ เราต้องแข็งแรง การที่แน็กช่วยเหลือผู้อื่นให้มีความสุขนั้นพี่อ้นชื่นชมมาก… แต่น้องต้องแข็งแรง รักษาตัวเองไว้ให้แข็งแรง การดูแลคนอื่นเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยม แต่อย่าลืมดูแลผู้ชายที่ชื่อ… ‘แน็ก ชาลี’ ด้วย อย่าลืม…"

ช่วงท้ายของคลิป คุณอ้น ยังให้แง่คิดแก่แน็กชาลีเพิ่มเติมอีกด้วยว่า "วันหนึ่งแน็กต้องโตเป็นผู้ใหญ่ ต้องแก่ตัวลงและจากไป ทุกอย่างล้วนมีช่วงเวลาในการเปลี่ยนแปลง แต่สิ่งหนึ่งที่แน็กสามารถทำได้คือ อยู่กับหัวใจของตัวเอง ดูแลตัวเองให้ดีที่สุด และย้ำอีกครั้งว่า เมื่อเราแข็งแรง เราก็จะสามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้"

"วันหนึ่งเราต้องโตเป็นผู้ใหญ่ ต้องแก่เฒ่าและจากไป แน็กรู้แล้วเรื่องนี้ ทุกอย่างจะมีช่วงเวลาในการเปลี่ยนแปลง ก็เหมือนกับโฮมสเตย์ เหมือนบ้านพักชั่วคราว ขอให้แน็กอยู่กับตรงนี้ อยู่กับหัวใจของตัวแน็กเอง ดูแลหัวใจของตัวเองให้ดี เมื่อเราแข็งแรง เราก็สามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้ และทำให้โลกใบนี้น่าอยู่ขึ้น เพราะคนอย่างแน็กนี่แหละ รักแน็กนะ พี่มองเห็นสิ่งที่แน็กทำนะ…"

จากนั้นก็ทิ้งท้ายก่อนจบคลิปว่า แน็กชาลี คือ ที่สุดของคนที่มีแต่พลังงานบวก เพราะมันคงไม่ง่ายเลยที่จะมีคนๆ หนึ่งเอาตุ๊กแกมาเล่นตีขิมตีระนาดได้

สำหรับคลิปดังกล่าวมีการนำมาแชร์อีกครั้ง หลังจากที่แน็ก ชาลีได้ออกมาไลฟ์สดระบายความรู้สึกอัดอั้นจากดรามาครั้งล่าสุด

ตกผลึกความโชคดีของ 'ประเทศไทย' ใต้ทำเลที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ขอบคุณบรรพบุรุษไทย 'เลือกเฟ้น-ปกป้อง' ผืนแผ่นดินนี้มาให้ลูกหลาน

(9 ก.ย. 67) เพจ 'Bangkok I Love You' ได้โพสต์ข้อความถึงสถานภาพของประเทศไทย ภายใต้พิกัดยุทธภูมิด้านทำเลที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งมักจะรอดพ้นจากภัยพิบัติใหญ่ ๆ ได้เสมอ ว่า...

'พายุมักก่อตัวในมหาสมุทร และจะสลายลงเมื่อผ่านภูเขา' นี่คือธรรมชาติที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นในช่วงเวลานี้ของปี เราก็มักจะเห็นพายุใต้ฝุ่น เคลื่อนตัวจากกลางมหาสมุทรแปซิฟิก เข้าถล่มชายฝั่ง โดยมี ฟิลิปปินส์ เป็นปราการด่านหน้า และเมื่อผ่านมาได้ก็จะเกิดการสะสมพลังในทะเลจีนใต้อีกครั้ง ก่อนที่จะเข้าสู่แผ่นดิน ไม่ว่าจะเป็นตะวันออกเฉียงใต้ของจีน หรือ ชายฝั่งของเวียดนาม ดังนั้น พื้นที่เหล่านี้จะปะทะแรงลมพายุอย่างเต็มที่ 

แต่...นี่คือความโชคดีของประเทศไทย เพราะว่า เมื่อผ่านชายฝั่งประเทศเวียดนามมาแล้ว พายุจะปะทะกับเทือกเขาอันนัม ที่มีความยาวประมาณ 1,100 กิโลเมตร ในบริเวณชายแดนตลอดแนวทิศตะวันตกของประเทศเวียดนามต่อกับลาวและทางตอนเหนือของกัมพูชา ซึ่งเทือกเขาอันนัม ประกอบด้วย ภูเขาและยอดเขาเป็นจำนวนมาก ยอดเขาที่สูงที่สุด คือ ภูเบี้ย ความสูง 2,819 เมตร 

ฉะนั้น เมื่อลมพายุพัดมาปะทะกับแนวเขา ก็จะทำให้พายุลดกำลังกลายเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำ กำลังลมลดลงอย่างมาก ทำให้พื้นที่หลังแนวเขาซึ่งก็คือประเทศไทย ปลอดภัยจากพายุ และได้ผลพลอยได้ที่สำคัญคือความชุ่มชื้นที่พายุหอบมาไว้สำหรับทำการเกษตรในพื้นที่ต่างๆ ทั่วทั่งประเทศ

ขอขอบคุณบรรพบุรุษไทย ที่เลือกเฟ้น และปกป้องผืนแผ่นดินนี้มาให้ลูกหลานได้อยู่อย่างปลอดภัยและอุดมสมบูรณ์

‘อดิศร์ พฤกษ์พัฒนรักษ์’ ขึ้นแท่นผู้บริหาร ‘ดีเอสเอสพลัส’ ไทย มั่นใจ!! หนุนการเติบโตทางกลยุทธ์แก่หลากอุตฯ เมืองไทย

(9 ก.ย. 67) บริษัท ดีเอสเอสพลัส (dss+) ที่ปรึกษาที่มีความเชี่ยวชาญด้านการจัดการการดำเนินงานระดับโลก ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ได้แต่งตั้ง นายอดิศร์ พฤกษ์พัฒนรักษ์ เป็นผู้อำนวยการคนใหม่ของประเทศไทย

การเคลื่อนไหวเชิงกลยุทธ์นี้ เน้นย้ำถึงการมุ่งเน้นของ dss+ ในการแก้ไขปัญหาการดำเนินงานที่สำคัญภายในภาคอุตสาหกรรมที่หลากหลายของประเทศไทย อุตสาหกรรมหนักในประเทศไทยกำลังเผชิญกับความกังวลทางธุรกิจหลายประการ รวมถึงการใช้กำลังการผลิตต่ำ ต้นทุนพลังงานที่เพิ่มขึ้น นโยบายด้านกฎระเบียบและสิ่งแวดล้อม และการแข่งขันที่รุนแรงจากการนำเข้าที่ราคาถูกกว่า dss+ มีเป้าหมายที่จะใช้ความเชี่ยวชาญด้านการจัดการความเสี่ยง ประสิทธิภาพการดำเนินงาน การปรับตัวทางธุรกิจ และความยั่งยืนเพื่อช่วยนำทางผ่านความซับซ้อนเหล่านี้

dss+ มีความพร้อมที่จะช่วยเหลือภาคส่วนต่างๆ เช่น ปิโตรเลียมและก๊าซ เคมีภัณฑ์ พลังงานใหม่ การผลิตอุตสาหกรรม การเกษตร และธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ในการดำเนินการปรับปรุงประสิทธิภาพและการจัดการความเสี่ยงอย่างเร่งด่วน เพื่อช่วยให้บริษัทต่างๆ ปรับตัวเข้ากับสภาพตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป

“การแต่งตั้งนายอดิศร์ เป็นการเสริมสร้างความมุ่งมั่นของเราต่อประเทศไทย ด้วยความเชี่ยวชาญลึกซึ้งและความเป็นผู้นำที่มีพลวัตของเขามีความสำคัญอย่างยิ่งเมื่อเรายังคงขยายขีดความสามารถของเราและมอบคุณค่าอันยอดเยี่ยมให้กับลูกค้าในอุตสาหกรรมของเรา รวมถึงมีส่วนร่วมกับชุมชนในประเทศไทยโดยรวม”

ด้าน นายศรีนิวาสัน รามาบัดรัน กรรมการผู้จัดการภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกของ dss+ กล่าว “การแต่งตั้งครั้งนี้สอดคล้องกับกลยุทธ์การเติบโตของเราสำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าและช่วยแก้ไขปัญหาการดำเนินงาน เพื่อเร่งการเติบโตทั่วทั้งภูมิภาค”

ขณะที่นายอดิศร์ กล่าวเสริมด้วยว่า “ผมรู้สึกตื่นเต้นที่ได้เข้าร่วมกับ dss+ และมุ่งหวังที่จะขับเคลื่อนการเติบโตทางกลยุทธ์ในประเทศไทย ผมมุ่งมั่นที่จะพัฒนาความเชี่ยวชาญด้านการจัดการความเสี่ยงและความเป็นเลิศในการดำเนินงาน รวมถึงทำงานอย่างใกล้ชิดกับลูกค้าของเรา เพื่อยกระดับประสิทธิภาพและรับรองว่าพวกเขาจะเติบโตได้ในตลาดที่ท้าทายแต่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ”

ทั้งนี้ นายอดิศร์ เชื่อว่าจะนำประสบการณ์ความเป็นผู้นำและความเชี่ยวชาญด้านความเป็นเลิศในการดำเนินงานมากกว่าสามทศวรรษมาสู่ dss+ ตลอดเส้นทางอาชีพของเขา เขาได้ดำรงตำแหน่งสำคัญในด้านการให้คำปรึกษาและการบริหารจัดการในบริษัทข้ามชาติหลายแห่ง ซึ่งเขาได้ผลักดันการเติบโตและนวัตกรรมพลิกโฉมองค์กรอย่างต่อเนื่อง

สำหรับ นายอดิศร์ เคยดำรงตำแหน่งเป็นประธานบริหาร ของบริษัท Bite Consulting Group และเคยดำรงตำแหน่งผู้นำหลายตำแหน่ง ในอาชีพการทำงานก่อนหน้านี้ รวมถึงที่ Johnson Controls, Inc. ในประเทศไทยและเวียดนาม Italthai Industrial และ Trane-Ingersoll Rand

รรท.รอง ผบ.ตร. เปิดอบรมยกระดับการปราบปรามการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กทางอินเทอร์เน็ต พร้อมแสวงหาความร่วมมือทุกภาคส่วน ร่วมขับเคลื่อนอย่างมีประสิทธิภาพ

(9 ก.ย. 67) พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.รอง ผบ.ตร.(มค) เปิดเผยว่า ตามนโยบายรัฐบาล ที่ตระหนัก และให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาการกระทำผิดเกี่ยวกับเด็ก สตรี ครอบครัว การป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์  และภาคประมง ซึ่งได้มีการกำหนดไว้ให้เป็นวาระแห่งชาติ โดยมุ่งหวังให้ ตร.มีส่วนสำคัญในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ภายใต้การนำของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ได้นำนโยบายรัฐบาล มาสู่การปฏิบัติ โดยได้มอบหมายให้ พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.รอง ผบ.ตร.(มค)/ผอ.ศพดส.ตร.
ขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้บรรลุผลสำเร็จเป็นรูปธรรมโดยเร็ว

ต.ท.ประจวบฯ เปิดโครงการสัมมนาพัฒนาศักยภาพในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ปราบปรามการล่วงละเมิดทางเพศ  ต่อเด็กทางอินเทอร์เน็ต สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้น ระหว่างวันที่ 9 - 11 ก.ย.67 ณ โรงแรม ดิ เอมเมอรัลด์ กรุงเทพฯ  โดยมีผู้เข้ารับการอบรมเป็น รอง ผบก.สส. และ รอง สว. - ผบ.หมู่ ผู้รับผิดชอบงานล่วงละเมิด  ทางเพศต่อเด็กทางอินเทอร์เน็ต ทุก บก./ภ.จว. ในสังกัด บช.น. และ ภ.1 - 9 รวม 180 คน

พล.ต.ท.ประจวบฯ กล่าวว่า การแสวงหาประโยชน์ทางเพศจากเด็กในโลกออนไลน์ เป็นปัญหาระดับโลกที่มีวิวัฒนาการอย่างรวดเร็ว และต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยต้องมีการเพิ่มพูนความรู้และพัฒนาศักยภาพของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการป้องกันปราบปรามการแสวงหาประโยชน์ทางเพศจากเด็กในโลกออนไลน์ ปัจจุบันรูปแบบของการแสวงหาประโยชน์ทางเพศจากเด็กในโลกออนไลน์ ได้แก่ สื่อแสดงการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็ก การตระเตรียมเด็กออนไลน์เพื่อวัตถุประสงค์ทางเพศ       การส่งข้อความหรือรูปภาพยั่วยุทางเพศ การแบล็คเมล์ทางเพศออนไลน์ การถ่ายทอดสดการละเมิดทางเพศต่อเด็ก และการกลั่นแกล้งรังแกกันในโลกออนไลน์ ซึ่งการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กในโลกออนไลน์ เป็นตัวชี้วัดหนึ่งในการจัดทำรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ (TIP Report) ของสหรัฐอเมริกา โดยในปี 2024 ประเทศไทยถูกจัดอันดับให้อยู่ใน Tier 2 ต่อเนื่องเป็นปีที่สาม    ดังนั้น การสัมมนาในวันนี้จึงมีความสำคัญ และเป็นการมุ่งพัฒนาศักยภาพในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการ เพื่อให้การป้องกันปราบปรามการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กในโลกออนไลน์ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ยึดหลักเด็กเป็นศูนย์กลาง วิเคราะห์เป้าหมายและข้อมูลเบาะแส รับแจ้งเหตุและการบริหารจัดการเคสอย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มความรู้ความเชี่ยวขาญและทักษะในการสืบสวนพยานหลักฐานทางดิจิทัล นำความรู้ในการสืบสวนทางเทคโนโลยีไปประยุกต์ใช้กับการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม มีความรู้เท่าทันกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ปัจจุบัน

จากนั้น พล.ต.ท.ประจวบฯ ได้ประชุมหารือแนวทางแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ ร่วมกับ พล.ต.ต.ฐิตวัฒน์ สุริยฉาย รอง จตร./หน.ชป.TICAC, นางเตือนใจ คงสมบัติ ผู้ตรวจราชการ พม., นายรัชพล มณีเหล็ก ผอ.กองต่อต้านการค้ามนุษย์, นายวิจิตา รชตะนันทิกุล อดีตที่ปรึกษาวิชาการ พม. และ NGOs ได้แก่ ผู้แทนมูลนิธิไอเจเอ็ม, คลินิก กม.แรงงาน HRDF แม่สอด, ศูนย์พิทักษ์เด็กพัทยา มูลนิธิ A21, โครงการ ASEAN - ACT ประจำประเทศไทย, ไซเบอร์ วินร๊อก อินเตอร์เนชั่นแนล, องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (IOM) ประจำประเทศไทย และ มูลนิธิ Spring เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นการปราบปรามการค้ามนุษย์และอาชญากรรมที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการแสวงหาความร่วมมือต่างๆ ในการปฏิบัติงาน

สำหรับความผิดฐานค้ามนุษย์ในรูปแบบต่างๆ ได้กำหนดให้มีการระดมกวาดล้างจับกุมในระหว่างวันที่ 15 - 30 ก.ย.67 ส่วนความผิดเกี่ยวกับการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กทางอินเตอร์เน็ต ได้ส่งการระดมกวาดล้างจับกุม ในระหว่างวันที่ 20 ส.ค. - 30 ก.ย.67 ด้วยการป้องกันปราบปรามที่เข้มข้น ได้มุ่งเน้นผลการปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพและเป็นรูปธรรม

พล.ต.ท.ประจวบฯ รรท.รอง ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศพดส.ตร. กล่าวทิ้งท้ายว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีความมุ่งหวังว่าการระดมสรรพกำลังของเจ้าหน้าที่ตำรวจและทุกภาคส่วน ในการเร่งรัดปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับเด็ก สตรี ครอบครัว  การป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมงจะประสบผลสำเร็จ ตอบสนองนโยบายรัฐบาล เสริมสร้างความเสมอภาค  เท่าเทียม และรักษาไว้ซึ่งศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ภายใต้กรอบของกฎหมาย ประชาชนและสังคมมีความสงบเรียบร้อยสืบไป

รอง ผบ.ตร.สั่งการมอบเงินช่วยเหลือข้าราชการตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บ ขณะปฏิบัติหน้าที่ปะทะต่อสู้ระงับเหตุชายคลุ้มคลั่งข่มขู่ใช้อาวุธมีดทำร้ายบุคคลในครอบครัว

เมื่อวานนี้ (9 ก.ย. 67) เวลา 14.30 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รับผิดชอบงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรม และผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.(ปป)/ผอ.ศอ.ปส.ตร.)  มอบหมายให้ พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผู้บัญชาการประจำสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะหัวหน้าส่วนอำนวยการและสนับสนุน ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ ศปก.ตร. เป็นผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เดินทางไปมอบเงินกองทุนสวัสดิการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  ให้แก่ ร.ต.ต.นิรันด์ วังใน รองสารวัตรป้องกันปราบปราม  สถานีตำรวจภูธรเวียงแหง  จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 200,000 บาท จากกรณีได้รับบาดเจ็บสาหัส ขณะปฏิบัติหน้าที่ปะทะต่อสู้ระงับเหตุชายคลุ้มคลั่งข่มขู่ใช้อาวุธมีดทำร้ายบุคคลในครอบครัว บริเวณบ้านเวียงแหง หมู่ 4 ต.เวียงแหง อ.เวียงแหง จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา โดย ร.ต.ต.นิรันด์ฯ ได้รับบาดเจ็บบริเวณหลัง และจมูกถูกมีดตัดเกือบขาดเป็นแผลฉกรรจ์ (หากแพทย์ห้ามเลือดไม่ทัน จะทำให้เลือดลงปอดแล้วเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้) แพทย์จึงได้รีบทำการรักษาห้ามเลือด และเย็บจมูกส่วนดังกล่าวกลับคืน และส่งมาทำการรักษาต่อยัง รพ.มหาราชนครเชียงใหม่ เพื่อทำการผ่าตัดซ่อมแซมแล้วต่อโพรงจมูกให้สามารถใช้งานได้ตามปกติ หลังรับการผ่าตัดต้องระมัดระวังเรื่องการติดเชื้อเป็นอย่างมาก ปัจจุบันอาการบาดเจ็บดีขึ้น สามารถเข้าเยี่ยมได้ แต่ยังคงต้องใส่ท่อเพื่อช่วยพยุงทางเดินหายใจ ไม่ให้โพรงจมูกล้ม และสามารถหายใจได้ตามปกติ

ทั้งนี้ พล.ต.ท.นิธิธร ฯ กล่าวว่า ในฐานะผู้แทนของผู้บังคับบัญชา ขอแสดงความห่วงใย เป็นกำลังใจ และขอชื่นชมการทำงานเป็นทีมของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้าร่วมระงับเหตุบุคคลคลุ้มคลั่ง ร่วมกับ ร.ต.ต.นิรันต์  ในการจับกุมคนร้าย และสามารถปฏิบัติหน้าที่ตามหลักยุทธวิธี ได้เป็นอย่างดี  สมกับความเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ไม่ทำให้ผู้กระทำผิดเป็นอันตรายจนถึงแก่ชีวิต แม้ว่าตนเองจะได้รับบาดเจ็บ ขณะเข้าระงับเหตุก็ตาม  และหวังว่าเงินช่วยเหลือนี้ จะตัวช่วยเสริมสร้างกำลังใจในการฟื้นฟูร่างกายให้หายจากอาการบาดเจ็บโดยเร็ว

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง จัดงบกว่า 4 ล้านบาท เร่งฟื้นฟูหลังน้ำลด และช่วยเหลือค่าฌาปนกิจแก่ญาติผู้เสียชีวิตจากอุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือ 5 จังหวัด พร้อมติดตามสถานการณ์น้ำท่วมปัจจุบันเพื่อประเมินการช่วยเหลืออย่างใกล้ชิด

(10 ก.ย. 67) ระหว่างวันที่ 4-10 กันยายน 2567 มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการ พร้อมด้วยนางจินดา บุญลาภทวีโชค กรรมการตรวจสอบ นายชาญกิจ วิทยาวรากรณ์ กรรมการ นางศิริพร กระจ่างหล้า ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ และนายรัชพร ประสงค์ทรัพย์ หัวหน้าแผนกสาธารณภัย นำทีมลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยจังหวัดจันทบุรี และจังหวัดตราด ในโครงการฟื้นฟูหลังน้ำลด แจกจ่ายเครื่องอุปโภคบริโภค ประกอบด้วย ข้าวสาร บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปลากระป๋อง น้ำมันพืช และน้ำปลา ให้แก่ผู้ประสบภัยน้ำท่วมในพื้นที่จังหวัดเชียงราย พะเยา น่าน สุโขทัย และแพร่ รวม 5 จังหวัด เครื่องอุปโภคบริโภคจำนวน 8,500 ชุด นอกจากนี้ยังได้ มอบเงินสงเคราะห์ค่าฌาปนกิจให้แก่ญาติผู้เสียชีวิตจำนวน 9 รายๆ ละ 20,000 บาท รวมงบประมาณการช่วยเหลือทั้งสิ้น 4,005,000 บาท (สี่ล้านห้าพันบาทถ้วน) โดยมี ผู้แทนจากหน่วยงานรัฐเป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย นางศิริวรรณ โอภาสวงศ์ อาสาสมัครกิตติมศักดิ์มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ร่วมลงพื้นที่แจกจ่ายมูลนิธิฯ / สมาคมจีนประจำจังหวัดต่างๆ เป็นผู้ประสานงานและร่วมในพิธี

นอกจากนี้ นางสาวเนาวรัตน์ วรรณศิริ หัวหน้าแผนกหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้นำทีมหน่วยแพทย์ฯ และเจ้าหน้าที่กู้ชีพ แผนกบรรเทาสาธารณภัยฯ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ลงพื้นที่ให้บริการประชาชนฟรี ประกอบด้วย บริการตรวจรักษาโรคทั่วไป จ่ายยา คัดกรองเบาหวาน ตรวจวัดสายตาพร้อมแจกแว่น บริการตัดผม ฯลฯ ให้แก่ประชาชนในพื้นที่จังหวัดสุโขทัย แพร่ และน่าน โดยมีประชาชนเข้ารับบริการเป็นจำนวนมาก

เมื่อเกิดอุทกภัย มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้จัดทีมบรรเทาสาธารณภัย พร้อมเรือท้องแบน และ โรงครัวเคลื่อนที่เพื่อประกอบอาหารกล่อง พร้อมถุงยังชีพ ชุดยาเวชภัณฑ์ และอาหารสุนัขและแมว นำแจกจ่ายแก่ผู้ประสบภัย เพื่อการบรรเทาทุกข์และช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ต่างๆ ในเบื้องต้น หลังจากนั้น ฝ่ายสังคมสงเคราะห์ จะดำเนินการประสานหน่วยงานในพื้นที่เพื่อบรรเทาทุกข์ ฟื้นฟูหลังน้ำลด โดยแจกเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น รวมถึงมอบเงินค่าฌาปนกิจศพแก่ญาติผู้เสียชีวิตจากอุทกภัย รายละ 20,000 บาท ทั้งนี้ หากมีผู้เสียชีวิตจากเหตุอุทกภัย ญาติของผู้เสียชีวิตสามารถขอรับเงินช่วยเหลือค่าฌาปนกิจศพ จากมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่ สายด่วนป่อเต็กตึ๊ง 1418 ต่อ ฝ่ายสังคมสงเคราะห์

ทั้งนี้ มูลนิธิฯ ยังคงอยู่ระหว่างดำเนินการภารกิจในพื้นที่ และเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อประเมินและเข้าให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยด้านต่าง ๆ ต่อไป

ติดตามข่าวสารกิจกรรม การช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung

#มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง #ช่วยชีวิต #รักษาชีวิต #สร้างชีวิต”
#แอปพลิเคชัน และ #สายด่วน #ป่อเต็กตึ๊ง1418
#ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน

สำรวจ 'สเปก-ราคา-สี-ความจุ' iPhone 16 เปิดจอง 13 วางจำหน่ายจริง 20 ก.ย.นี้

(10 ก.ย. 67) TNN Tech เปิดเผยว่า Apple ได้ประกาศเปิดตัว iPhone 16 ทั้ง 4 รุ่น อย่างเป็นทางการแล้วเมื่อเที่ยงคืนของวันที่ 10 ก.ย. ตามเวลาในประเทศไทย

โดยในปีนี้ iPhone 16 มาพร้อมวัสดุอะลูมิเนียมเกรดเดียวกับอุตสาหกรรมการบินและมีสีใหม่ ๆ มากขึ้น ได้แก่ 'อุลตรามารีน' / 'เขียวอมฟ้า' และสีชมพู 

Apple ยังคงจุดเด่นด้านความทนทานกันน้ำและฝุ่นได้มากขึ้น และมีหน้าจอเซรามิกกระจกแบบใหม่ แข็งแกร่งกว่ารุ่นก่อนหน้า 50% และแข็งแกร่งกว่า 'สมาร์ตโฟนอื่น ๆ' ถึงสองเท่า หน้าจอสามารถแสดงความสว่างได้ระหว่าง 2,000 นิตถึง 1 นิต

ขนาดหน้าจอ iPhone 16 มีให้เลือกทั้งขนาด 6.1 นิ้วและ 6.7 นิ้วในรุ่นพื้นฐานและรุ่น Plus ทั้งสองรุ่นจะมีปุ่ม Action ที่ปรับแต่งได้ใหม่ทางด้านซ้าย 

เทคโนโลยีประมวลผลข้อมูลขับเคลื่อนด้วยชิป Apple Silicon รองรับฟีเจอร์ปัญญาประดิษฐ์ Apple Intelligence พร้อมติดตั้งชิปเปลี่ยนจาก A16 Bionic เป็น A18 บน iPhone 16 ใช้พลังงานน้อยกว่าชิป A16 Bionic ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ เทียบชั้นคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อป

การถ่ายภาพยังคงเป็นจุดเด่นด้วย 'ระบบอัจฉริยะด้านภาพ' ที่มาพร้อมกับระบบควบคุมกล้องใหม่ของ iPhone 16

กล้องบน iPhone 16 ติดตั้งเลนส์เทเลโฟโต้ 2x 12MP ใช้ข้อมูลจากเซ็นเซอร์หลักมารวมกับเลนส์ พร้อมกล้อง Fusion 48MP ถ่ายวิดีโอ 4K 60p พร้อมรองรับ HDR และกล้อง Ultrawide

ความคมชัดกล้องถ่ายภาพหลัก 48MP Fusion Camera กล้อง Tele Photo 12MP รองรับภาพถ่าย Macro และวิดีโอแบบ Spatial Video

การเชื่อมต่อข้อมูลรองรับการส่งข้อมูลไร้สาย Wi-Fi 7 ความจุเริ่มต้น 128GB ทั้ง 2 รุ่น

จุดเด่นมาพร้อมกับปุ่ม Camera Control ช่วยให้ถ่ายภาพและดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ทันทีทำงานร่วมกับ ChatGPT และ Google กดถ่ายรูปง่ายมากขึ้น 

ราคาจำหน่าย
iPhone 16 
- 128GB: 29,900 บาท
- 256GB: 33,900 บาท
- 512GB: 41,900 บาท

iPhone 16 Plus
- 128GB: 34,900 บาท
- 256GB: 38,900 บาท
- 512GB: 46,900 บาท

โดยจะเริ่มเปิดให้จองสั่งซื้อล่วงหน้าในวันที่ 13 กันยายน ตั้งแต่เวลา 19.00 น และ เริ่มวางจำหน่ายจริง 20 ก.ย.นี้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top