Tuesday, 3 June 2025
NewsFeed

‘กัน จอมพลัง’ ประสานตำรวจ ตามรวบตัว ‘ขอทานหน้าเหลว’ สารภาพรับ!! คนไทยใจดี ทำให้มี ‘รายได้วันละ 5 พันบาท’

เมื่อวานนี้ (7 ก.ย. 67) สืบเนื่องมาจากการ ‘กัน จอมพลัง’ ประสานตำรวจตามรวบ ‘ขอทานหน้าเหลว’ ชาวกัมพูชา แกล้งพิการ แกล้งเป็นใบ้ แกล้งตาบอด แกล้งเดินไม่ได้ รายได้ วันละ 5พันบาท  ล่าสุดเมื่อวันที่ 6 ก.ย 2567 พ.ต.ท.หญิง พรรัมภา พัฒนาวาท สว.กก.ดส.บช.น. พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ ชุดปฏิบัติการที่ 2  พบเบาะแส มีสามี ภรรยา ‘ขอทานกัมพูชา’ กำลังเดินกลับมาในซอยรามอินทรา 73 เมื่อพบทั้งสองเจ้าหน้าที่ได้เข้าไปสอบถามข้อมูล ทราบชื่อว่า นางเล้ง กับนายเม้ง กำลังกลับมาจากขอทาน ย่านลาดกระบัง

โดยนางเล้งกล่าวว่า ตนมาอาศัยอยู่ ที่ประเทศไทยประมาณ 20 ปีแล้วโดยตอนแรกทำอาชีพเป็นลูกจ้างธรรมดาทั่วไปแต่กระทั่ง 2-3 ปีที่ผ่านมาได้ผันตัวมาขอทาน และได้คบหากับสามีมา 8 ปี โดยสามีก็ขอทานเหมือนกัน และมีลูกด้วยกัน 1 คน ก่อนหน้านี้ตนรู้จักกับเพื่อนชาวกัมพูชาชักชวนให้มาขอทานได้เงินวันละ 100 - 800 บาท ต้องทำงานส่งเงินกลับไปบ้าน ที่ประเทศกัมพูชา กู้เงินมาสร้างบ้านกว่า 400,000 บาท ต้องจ่ายเดือนละ 8,000 บาท

หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ขอค้นบ้านของสองสามีภรรยาคู่นี้ เมื่อเข้าไปเจอกับ น.ส.เอ (นามสมมติ) หญิงชาวกัมพูชากำลังอุ้มลูกหลบอยู่ด้านหลังภายในห้องเช่า นอกจากนี้ยังมีชาวกัมพูชาอีกหลายครอบครัวมีการเปิดโซเชียลดูไลฟ์สดของ กัน จอมพลัง ที่ กำลังตามหาชาวกัมพูชาอยู่ด้วย ในตอนแรกเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มาเคาะบ้านหลังดังกล่าวแล้ว แต่พบว่ามีการล็อกประตูเอาไว้จากด้านหน้าเพื่อพรางว่า ไม่มีคนอยู่ ภายในบ้านเช่าพบมีไพ่อยู่ในกระเป๋า และพบขวดแอลกอฮอล์ตั้งอยู่หน้าห้อง

โดย น.ส.เอ(นามสมมติ)ที่พิการทางใบหน้า กล่าวว่า ที่ใบหน้าเละแบบนี้เพราะเกิดจากเหตุการณ์แก๊สระเบิดเมื่อ 19 ปีก่อน หลังจากนั้นตัดสินใจมาประเทศไทย โดยมีรถตู้ไปรับที่ชายแดนกัมพูชา คิดค่ารถ 3,000 บาท ยอมรับว่า ไม่ได้มีพาสปอร์ตเข้าประเทศไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมายและทราบว่าทำสิ่งผิดกฎหมายอยู่ แต่ไม่รู้ว่าจะไปทำอาชีพอะไร เพราะว่าอยู่ที่ประเทศกัมพูชาก็ไม่มีรายได้ แต่อยู่ที่นี่ มีรายได้ดีจากการขอทาน เพราะคนคนไทยเป็นคนใจดี โดยตน ได้รายได้ต่อวัน เป็นเงิน 800-1,000 บาท

ในขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ตรวจสอบห้องเช่าข้าง ๆ กัน ยังพบ นายบี ชายพิการหน้าเละ ชาวกัมพูชา อาศัยอยู่มีภรรยาและลูกอีก 1 คน เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจค้นห้องพบเงินสด 3 หมื่นบาท และมีทองคำที่ใส่อยู่ในตัวอีกด้วย 

โดย นายบีอ้างว่า ตนเข้า ๆ ออก ๆ ประเทศไทย 5-6 ปี เนื่องจากมีบ้านอยู่ที่ประเทศกัมพูชาด้วย แต่ไม่มีรายได้ ไม่มีอาชีพอะไร เมื่อ 19 ปีที่แล้ว ตนทะเลาะกับเพื่อนแล้วถูกเพื่อนสาดน้ำกรดใส่หน้า ทำให้ต้องมาขอทานที่ประเทศไทย เพราะ คนไทยใจดี เวลาเห็นคนพิการก็จะให้เงินตลอด มีรายได้วันละ 1,500 บาท ได้มาก็ให้ภรรยาเก็บ

ทั้งนี้ พ.ต.ท.หญิง พรรัมภา พัฒนาวาท สว.กก.ดส.บช.น. สั่งการให้ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ชุดปฏิบัติการที่ 2 กก.ดส.บช.น. คุมตัว ชาวกัมพูชา 10 คน ไปที่ กก.ดส.บช.น. เพื่อดำเนินคดีตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป

‘น็อคเอาท์ ซีพีเอฟ’ ชนะคะแนน ‘อเล็กซ์ วินวู้ด’ ป้องกันแชมป์โลก ‘WBA’ ได้สำเร็จ ที่ออสเตรเลีย

เมื่อวานนี้ (7 ก.ย. 67) น็อคเอาท์ ซีพีเอฟ ชนะคะแนน อเล็กซ์ วินวู้ด ผู้ท้าชิงชาวออสเตรเลีย ป้องกันแชมป์โลกรุ่นมินิมั่มเวทสมาคมมวยโลก (105 ป.) WBA เอาไว้ได้สำเร็จ ที่เมืองเพิร์ท ประเทศออสเตรเลีย น็อคเอาท์ได้ 2 นับ แต่คะแนนไม่เอกฉันท์ 113-113 , 114-112 ,114-112 

‘สำนักวิจัยซูเปอร์โพล’ เผย!! ประชาชนมั่นใจ ‘รัฐบาลแพทองธาร’ จะอยู่ครบเทอม พร้อมคาดหวัง!! การฟื้นฟูเศรษฐกิจ-แก้ปัญหาปากท้อง-ยาเสพติด-ดูแลสาธารณสุข

(8 ก.ย. 67)  สำนักวิจัยซูเปอร์โพล เสนอผลสำรวจเรื่อง รัฐบาลใหม่ ครม.ใหม่ ในความเห็นประชาชน กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ ดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) รวมจำนวนตัวอย่างในการวิเคราะห์ทางสถิติทั้งสิ้น จำนวนทั้งสิ้น 2,078 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 6 – 7 กันยายน 2567 ที่ผ่านมา

เมื่อถามความเห็นของประชาชนต่อ รัฐบาลใหม่ คณะรัฐมนตรีใหม่ของนางสาว แพทองธาร ชินวัตร แบ่งออกตามกลุ่มคนเคยเลือกพรรคการเมือง พบว่า กลุ่มคนเคยเลือกพรรคเพื่อไทยส่วนใหญ่หรือร้อยละ 81.2 เห็นด้วย ในขณะที่ร้อยละ 18.8 ไม่เห็นด้วย และเมื่อวิเคราะห์ความเห็นของกลุ่มคนเคยเลือกพรรคอื่นพบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 75.6 ไม่เห็นด้วย ในขณะที่ร้อยละ 24.4 เห็นด้วย

อย่างไรก็ตาม เมื่อถามถึงความเชื่อมั่นของประชาชนต่อนายกรัฐมนตรี นางสาว แพทองธาร ชินวัตร ในด้านต่างๆ พบจุดแข็งของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่เคยอยู่ในความนิยมของประชาชนมาช้านานอันดับแรกหรือร้อยละ 42.6 ได้แก่ เชื่อมั่นด้านสาธารณสุข ดูแลสุขภาพของประชาชน รองลงมาอันดับที่สอง หรือร้อยละ 33.7 ที่เกิดจากการรณรงค์จุดกระแสใหม่ของพรรคเพื่อไทย ได้แก่ เชื่อมั่นด้าน ซอฟต์พาวเวอร์ ฟื้นฟูการท่องเที่ยว เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมและอื่น ๆ อันดับที่สาม หรือร้อยละ 33.2 ได้แก่ ด้าน เชื่อมั่นการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาปากท้อง ค่าครองชีพ อันดับที่ สี่ หรือร้อยละ 25.3 ได้แก่ เชื่อมั่นด้าน การแก้ไขปัญหายาเสพติด และอันดับที่ห้า หรือร้อยละ 23.9 ได้แก่ เชื่อมั่นด้าน การแก้ไขปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ความไม่ปลอดภัยทางไซเบอร์ ตามลำดับ

ที่น่าสนใจคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 62.0 ค่อนข้างเชื่อมั่นถึงเชื่อมั่นมากที่สุดว่า รัฐบาลนางสาวแพทองธาร ชินวัตร จะอยู่ครบเทอม ในขณะที่ร้อยละ 38.0 ไม่ค่อยเชื่อมั่นถึงไม่เชื่อมั่นเลย

รายงานของซูเปอร์โพลเกี่ยวกับความเห็นของประชาชนต่อรัฐบาลใหม่และคณะรัฐมนตรีใหม่นำโดยนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างของมุมมองจากกลุ่มผู้เลือกพรรคเพื่อไทยเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่เลือกพรรคอื่นๆ ความนิยมและความเชื่อมั่นในนายกรัฐมนตรีและพรรคเพื่อไทยที่ยังคงมีอยู่สะท้อนถึงความคาดหวังในหลายๆ ด้านที่ประชาชนมีต่อรัฐบาลใหม่นี้ โดยเฉพาะในด้านสาธารณสุขและการฟื้นฟูเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ข้อมูลยังชี้ให้เห็นว่าความเชื่อมั่นที่ประชาชนมีต่อการอยู่ครบเทอมของรัฐบาลนี้มีมากกว่าความไม่เชื่อมั่น สิ่งนี้อาจส่งผลต่อการดำเนินนโยบายและการตัดสินใจของรัฐบาลในอนาคตเพื่อรักษาความนิยมและตอบสนองความคาดหวังของประชาชนได้อย่างต่อเนื่อง

รายงานของซูเปอร์โพล ยังระบุด้วยว่าผลสำรวจครั้งนี้สามารถช่วยให้นักการเมืองและนักวิเคราะห์นโยบายมองเห็นแนวโน้มและความท้าทายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้ ในหลายมิติ ได้แก่

1.ความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลใหม่ ด้วยสัดส่วนของตัวอย่างที่ให้การสนับสนุนที่สูงจากกลุ่มที่เคยเลือกพรรคเพื่อไทยและการมีสัดส่วนความเชื่อมั่นที่ค่อนข้างสูงว่ารัฐบาลจะอยู่ครบเทอม แสดงให้เห็นว่ามีฐานเสียงที่มั่นคงและความคาดหวังที่ประชาชนมีต่อรัฐบาลนี้อยู่ในระดับสูง สิ่งนี้เป็นเครื่องมือสำคัญที่รัฐบาลสามารถใช้เป็นกลไกในการผลักดันนโยบายหรือโครงการใหม่ๆ ได้

2. ด้านที่ประชาชนเชื่อมั่น การที่ประชาชนให้ความเชื่อมั่นในด้านสาธารณสุขและการฟื้นฟูเศรษฐกิจเป็นหลัก นักการเมืองและรัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาและปรับปรุงนโยบายในสองด้านนี้เป็นพิเศษ การลงทุนในโครงการสาธารณสุขและการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจอาจช่วยรักษาความนิยมและสร้างความเชื่อมั่นได้

3. การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ด้วยความเชื่อมั่นที่ต่ำในการแก้ไขปัญหายาเสพติดและปัญหาความไม่ปลอดภัยทางไซเบอร์ แก๊งมิจฉาชีพ คอลเซ็นเตอร์ รัฐบาลใหม่อาจจำเป็นต้องพิจารณาเพิ่มความพยายามและทรัพยากรในด้านเหล่านี้ เพื่อตอบสนองและสร้างความเชื่อมั่นกับประชาชนให้มากขึ้น

4.ผลกระทบต่อการเมืองไทย ความแข็งแกร่งของฐานเสียงและความเชื่อมั่นที่มีต่อรัฐบาลนี้อาจนำไปสู่ความมั่นคงในระยะสั้นถึงระยะกลาง อย่างไรก็ตาม รัฐบาลต้องระมัดระวังในการตอบสนองความคาดหวังของประชาชนในทุกกลุ่ม เพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเมืองและเพิ่มศักยภาพในการอยู่รอดตลอดเทอมการบริหาร

การตีความผลสำรวจทางการเมืองครั้งนี้จึงต้องพิจารณาทั้งความนิยมและจุดอ่อนเพื่อวางแผนกลยุทธ์ทางการเมืองและการบริหารที่เหมาะสม รวมทั้งต้องเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงและความท้าทายที่อาจเกิดขึ้นตามสถานการณ์ทางการเมืองที่รวดเร็วและไม่คาดคิดได้

‘แฮ็กเกอร์ตี’ เปิดใจ หลังโดน ‘ซุปเปอร์เล็ก’ สับศอกร่วง ยินดีกับชัยชนะอันสวยงาม ลั่น!! จะกลับมาให้แกร่งกว่าเดิม

เมื่อวานนี้ (7 ก.ย. 67) ผลการแข่งขันจบเร็วกว่าที่คาดไว้ สำหรับคู่มวยที่แฟนๆอยากชม ในการพบกันระหว่าง ‘The General’ โจนาธาน แฮ็กเกอร์ตี แชมป์โลก ONE มวยไทย และคิกบ็อกซิ่ง รุ่นแบนตัมเวต (135-145 ป.) จากสหราชอาณาจักร ป้องกันแชมป์โลกมวยไทย กับ ‘เครื่องจักรนักเตะ’ ซุปเปอร์เล็ก เกียรติหมู่ 9 แชมป์โลก ONE คิกบ็อกซิ่ง รุ่นฟลายเวต (125-135) ใน ศึก ONE 168: Denver ณ สังเวียน บอล อารีนา สหรัฐอเมริกา 

ซึ่งการชกจบลงแค่เพียงยกแรก หลัก ซุปเปอร์เหล็ก ฟันศอกขวาเข้าขมับ แฮ็กเกอร์ตี ร่วงลงไปกองกับพื้น จนกรรมการต้องยุติการชก ทำให้ ซุปเปอร์เล็ก กลายเป็นอีกหนึ่ง ราชัน 2 กติกา ที่สามารถคว้าแชมป์โลก ONE มวยไทย และคิกบ็อกซิ่ง มาครองได้สำเร็จ

หลังเกมการชก โจนาธาน แฮ็กเกอร์ตี โพสต์ข้อความผ่านทาง jhaggerty_ ใจความสรุปว่า ผลการแข่งขันในค่ำคืนที่ผ่านมาไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดไว้ แต่นั่นคือการต่อสู้ ผมนึกว่า ซุปเปอร์เล็ก มีอาการบาดเจ็บ จึงรีบเดินเข้าหา แต่กลับพลาดโดนศอกที่สวยงามของเขา ซึ่งต้องให้เครดิตกับเขา สำหรับชัยชนะอันสวยงามในครั้งนี้

ขอแสดงความยินดีกับ ซุปเปอร์เล็ก และขอขอบคุณแฟนๆที่น่าทึ่งทุกคนที่ ONE Championship สำหรับความรักและการสนับสนุน

นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการเดินทาง ผมสัญญาว่าจะกลับมาแข็งแกร่ง และกระหายมากกว่าเดิม ผมจะลุกขึ้นสู้ และเรียนรู้ เพื่อสู้ต่อไป แล้วพบกันใหม่

ปิดตำนาน 62 ปี ห้างเก่าแก่ ‘ตั้งฮั่วเส็ง’ การไฟฟ้านครหลวง เตรียมตัดไฟ เปิดให้บริการวันสุดท้าย 9 ก.ย.นี้ เหตุ!! เจรจาผู้ร่วมทุนใหม่ ยังไม่แล้วเสร็จ

(8 ก.ย. 67) นับเป็นหนึ่งในห้างสรรพสินค้าที่เก่าแก่ห้างหนึ่ง สำหรับ ตั้งฮั่วเส็ง ห้างแห่งความทรงจำของใครหลายคน ที่ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 2505 ปัจจุบันเปิดให้บริการกว่า 62 ปีมาแล้ว

ก่อนกลายเป็นประเด็นไวรัลในโลกโซเชียลขณะนี้ เมื่อผู้ใช้ X โพสต์ภาพพร้อมแชร์ประสบการณ์การไปเยือน ‘ห้างตั้งฮั่วเส็ง’ โดยบรรยายว่า 

“ไปแวะตั้งฮั่วเส็งซื้อของให้แม่ บรรยากาศหม่นหมองมากก ทั้งห้างเหลืออยู่แค่แผนกงานฝีมือที่ชั้น 3 เสื้อผ้า+เครื่องสำอาง ไม่กี่แบรนด์ที่ชั้น 1 กับซูเปอร์มาเก็ตชั้นใต้ดิน”

ล่าสุดทางห้างสรรพสินค้าตั้งฮั่วเส็ง ได้ออกหนังสือแจ้งปิดทำการ แก่ผู้ประกอบการภายในห้าง เมื่อวันที่ 6 ก.ย.ที่ผ่านมา ระบุว่า เนื่องด้วย ห้างสรรพสินค้าตั้งฮั่วเส็ง ได้รับหนังสือแจ้งจากการไฟฟ้านครหลวง เรื่องขอยุติการจ่ายกระแสไฟฟ้าให้แก่อาคารสรรพสินค้า สาขาธนบุรี ในวันอังคารที่ 10 ก.ย.67 เวลา 08.00 น. เป็นต้นไป

บริษัทฯ จึงมีความจำเป็นต้องปิดทำการ ห้างสรรพสินค้าตั้งฮั่วเส็ง สาขาธนบุรี โดยบริษัทฯ อยู่ในระหว่างดำเนินแก้ไข และเจรจากับผู้ร่วมทุนใหม่ยังไม่แล้วเสร็จ หากดำเนินการแล้วเสร็จ ห้างฯ จะเร่งกลับมาเปิดบริการในเร็วๆ นี้ และขออภัยในความไม่สะดวกกับเหตุการณ์ครั้งนี้

เบื้องต้นทราบว่า ห้างสรรพสินค้าตั้งฮั่วเส็ง สาขาธนบุรี จะเปิดให้บริการวันสุดท้ายในวันจันทร์ที่ 9 ก.ย.นี้

4 หนุ่มอัจฉริยะจากไทย สร้างชื่อเสียงถึง สาธารณรัฐอาหรับอียิปต์ จากการแข่งขัน ‘คอมพิวเตอร์โอลิมปิกระหว่างประเทศ’

(8 ก.ย. 67) เพจเฟซบุ๊ก ‘Olympic ipst’ รายงานข่าวความเก่งของเด็กไทย จากเมืองอเล็กซานเดรีย สาธารณรัฐอาหรับอียิปต์ โดยได้ระบุว่า ...

IOI 2024 

รายงานตรงจากเมืองอเล็กซานเดรีย สาธารณรัฐอาหรับอียิปต์ และขอแสดงความยินดีแก่ผู้แทนประเทศไทยฯ กับผลงาน 2 เหรียญเงิน 2 เหรียญทองแดง ของทีมคอมพิวเตอร์โอลิมปิกระหว่างประเทศ ประจำปี พ.ศ. 2567 ซึ่งผลการแข่งขันมีรายละเอียด ดังนี้
1. นายชร วาณิชยชลกิจ ร.ร.ระยองวิทยาคม เหรียญเงิน 
2. นายปภังกร อภิญญานนท์ ร.ร.สวนกุหลาบวิทยาลัย เหรียญเงิน
3. นายกันต์ธี ยงวณิชย์ ร.ร.ประชาคมนานาชาติ เหรียญทองแดง
4. นายธาวิน เต็งอำนวย ร.ร.สามเสนวิทยาลัย เหรียญทองแดง

นอกจากความสำเร็จของผู้แทนประเทศไทย เราคงจะลืมไปไม่ได้เลยกับความช่วยเหลือจากเหล่าคณะอาจารย์ ทั้ง 6 ท่านที่ได้เดินทางร่วมไปกับเหล่าผู้แทนประเทศไทยฯ ในครั้งนี้ ซึ่งประกอบด้วย
1) รศ.ดร.จิตร์ทัศน์ ฝักเจริญผล มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ หัวหน้าทีม
2) นายผนวกเดช สุวรรณทัต มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี รองหัวหน้าทีม
3) ดร.พศิน มนูรังษี บริษัท กูเกิล (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ช่วยหัวหน้าทีม
4) นายเศรษฐา ปิณฑานนท์ สสวท. ผู้จัดการทีม
5) ผศ.ดร.จักริน ชวชาติ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผู้สังเกตการณ์ สอวน.
6) นางสาวรัชดา ยาตรา สสวท. ผู้สังเกตการณ์

ทั้งนี้ คณะผู้แทนประเทศไทยมีกำหนดเดินทางกลับด้วยเที่ยวบิน EK372 และถึงสนามบินสุวรรณภูมิ ในวันที่ 9 กันยายน 2567 เวลา 19.15 น. โดย สสวท. กำหนดจัดพิธีแสดงความยินดี ณ บริเวณประตู 1 ชั้น 2 อาคารผู้โดยสารขาเข้า เวลา 20.30 น. 

ช่างแต่งหน้ารับปริญญา แซะ!! ลูกค้าอยากสวยเหมือน ‘ต้าเหนิง’ เช็กเบ้าหน้าก่อนยื่นเรฟ ชาวเน็ตเสียงแตก!! ‘ช่างแต่งหน้าไม่ใช่หมอศัลย - แต่ควรมีคำพูดที่ดีกว่านี้บอกลูกค้า’

(8 ก.ย. 67) วนกลับมาอีกครั้ง สำหรับฤดูกาล ‘รับปริญญา’ ซึ่งเป็นพิธีสำเร็จการศึกษาอย่างเป็นทางการสำหรับนิสิต – นักศึกษา จากมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ เป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่งที่ใครหลายคนอยากจะทำให้เป็นช่วงเวลาที่น่าจดจำ

โดยเฉพาะนิสิต – นักศึกษา ผู้หญิง ที่อยากจะสวยในวันนั้นเป็นพิเศษ ส่วนใหญ่จึงทำการจ้างช่างแต่งหน้า – ทำผม มืออาชีพ เพื่อให้ตัวเองออกมาดูดีที่สุด และมักจะเลือกต้นแบบการแต่งหน้า – ทำผม จากเหล่าคนดัง

หนึ่งในคนที่โดนยื่นเป็นแบบมากที่สุดในยุคนี้ คือ นักแสดงหน้าหมวย หุ่นดี ‘ต้าเหนิง กัญญาวีร์’ ซึ่งแต่งออกมากี่ลุกส์ก็กลายเป็นไวรัลทั่วบ้านทั่วเมือง

ล่าสุดเกิดดราม่าขึ้น เมื่อช่างแต่งหน้ารายหนึ่ง ได้โพสต์เฟซบุ๊กว่า 

“บัณฑิต หยุดเอาเรฟ ต้าเหนิง มาแต่งรับปริญญา ขอร้อง เราต้องเช็กเบ้าและข้อห้ามนิดนึงลูก แนะนำเอาสวยปกติที่เรารอดคะ”

หลังจากโพสต์กลายเป็นไวรัล ก็มีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นมากมาย มีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ฝั่งที่เห็นด้วยก็มองว่า ช่างแต่งหน้าไม่ใช่หมอศัลย แต่งให้สวยได้ แต่ให้เหมือนเลยคงยาก บ้างก็บอกว่าเข้าใจช่าง แต่งตามเป๊ะเลยก็ยาก

ส่วนฝั่งที่ไม่เห็นด้วย มองว่า มีคำพูดที่ดีกว่านี้ในการบอกลูกค้า ที่ไม่เป็นการทำลายความมั่นใจคนอื่น ช่างเก่งๆ เขาก็คงสามารถปรับลุกส์ที่เป็นเรฟให้เข้ากับลูกค้าได้

บ้างก็บอกว่า เขายื่นเรฟให้ คือเป็นแนวทางการแต่ง คงไม่ได้คิดว่าจะต้องออกมาเหมือนเป๊ะอยู่แล้วอย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าโพสต์ดังกล่าวจะถูกลบออกไปแล้ว

‘อุ้ม ศศิราวรรณ อินทโชติ’ เจ้าของเหรียญทองแดงคนแรก ของนักกรีฑาไทย จากเด็กสาวแขนพิการ ที่พูดน้อย เก็บตัว สู่ความภาคภูมิใจของคนไทย

(8 ก.ย. 67) เพจเฟซบุ๊ก ‘เสียงจากทหารเรือ’ ได้โพสต์ข้อความสุดซึ้งเกี่ยวกับ ‘อุ้ม ศศิราวรรณ อินทโชติ’ เจ้าของเหรียญทองแดงคนแรก ของนักกรีฑาไทย โดยได้ระบุว่า ...

ชีวิตดั่งเทพนิยายขีดเขียนบทให้เธอเดิน
เธอคือสาวงามแห่ง ‘ทุ่งนครลำดวน’
เธอคือ นักกรีฑาหญิงไทยคนแรก ที่คว้าเหรียญพาราลิมปิกมาครอง
จากเด็กสาวที่อยู่ในมุมใดมุมหนึ่งของห้องเรียน
เป็นเด็กที่เก็บตัว พูดน้อยด้วยความพิการแขน
วันนี้เธอทำสำเร็จแล้ว
เธอคือความภูมิใจของ ‘พ่อแม่’ วันที่เธอได้เหรียญครั้งแรกจากการแข่งขัน แม่เธอวิ่งเอาเหรียญไปโชว์ทั่วหมู่บ้าน
และวันนี้ เธอเป็นความภาคภูมิใจขคนไทย
ที่อยากจะบอกก้องโลกว่าภูมิใจและดีใจกับเธอเช่นเดียวกัน

สาวน้อยวัย 21 ปีจาก ‘แดนปราสาทขอม หอมกระเทียมดี มีสวนสมเด็จ เขตดงลำดวน หลากล้วนวัฒธรรม เลิศล้ำสามัคคี’ #ศรีสะเกษ สร้างประวัติศาสตร์ให้กับวงการกีฬาไทย โดยการคว้า ‘เหรียญทองแดง’ พาราลิมปิก ปารีส สำเร็จ ศศิราวรรณ อินทโชติ  

เธอมีหน้าตาที่สะสวย แต่เป็นคนพูดน้อยเก็บตัว และพิการแขนข้างหนึ่ง หรืออาจจะเรียกให้เข้ากับคนยุคนี้ว่า ‘introvert’ นั้นเอง ด้วยแววตาของ ‘คุณครู’ โรงเรียนศรีรัตนวิทยา ที่ศรีสะเกษ ของเธอเห็นว่านี่จะเป็นโอกาสให้เธอเป็นนักกีฬาสร้างรายได้เลี้ยงดูครอบครัวได้ในอนาคตจึงแนะนำ

จากเด็กผู้หญิงที่เก็บตัวมาตลอด ลองเริ่มหัดวิ่งเธอใช้เวลาเพียง 6 เดือนเท่านั้น ขอย้ำว่าเพียง 6 เดือนเท่านั้น ก็สามารถติดธงชาติไทยที่น่าอกเป็นตัวแทนไปแข่งขันระดับนานาชาติเป็นครั้งแรก ที่น่าภาคภูมิใจที่สุดเมื่อออกไปแข่งครั้งแรกที่ได้เหรียญรางวัลกลับมาทันที แต่ดูเหมือนคนที่ภูมิใจมากที่สุดน่าจะเป็น ‘คุณแม่’ ของเธอเสียมากกว่า แม่เธอเอาเหรียญรางวัลวิ่งไปโชว์ ‘คุณป้า’แถวบ้านไปทั่วเลย

ด้วยความสุดยอดของเธอก่อนมาแข่ง ‘พาราลิมปิก’ เธอสร้างบ้านหลังใหม่หลังงามให้พ่อแม่ของเธอสำเร็จ จากรายได้แห่งการวิ่ง

และแล้วรางวัลแห่งชัยชนะก็มาถึง อุ้ม ศศิราวรรณ อินทโชติ สร้างประวัติศาสตร์ คว้าเหรียญทองแดง พาราลิมปิก ในการแข่งขัน กรีฑา 200 เมตรหญิง คลาส T47 โดยเข้าเส้นชัยด้วยเวลา 25.20 วินาที ที่ สนาม สต๊าด เดอ ฟรองซ์ กรุงปารีส ฝรั่งเศส

เธอบอกหลังคว้าเหรียญสำเร็จว่า 

ดีใจมาก แต่ตอนแรกไม่คิดว่าจะได้เหรียญแค่เข้าชิงก็ดีใจสุดๆแล้ว ขอบคุณทางบ้านที่เป็นกำลังใจให้วันนี้หนูทำสำเร็จแล้ว

‘พื้นที่ศูนย์กลางธุรกิจ’ คึกคัก!! เหตุ ‘ต่างชาติ’ ย้ายสำนักงานใหญ่ ค่าเช่าเพิ่มขึ้น 0.5% จากไตรมาสก่อน เป็น 933 บาท ต่อตร.ม.ต่อเดือน

(8 ก.ย. 67) ปัญญา เจนกิจวัฒนาเลิศ กรรมการบริหารหัวหน้าส่วนพื้นที่สำนักงาน บริษัท ไนท์แฟรงค์ ชาร์เตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่าไตรมาส2 ปี2567 อุปทานอาคารสำนักงานในกรุงเทพฯเพิ่มขึ้น 29,200 ตร.ม. หรือ 0.5% จากไตรมาสก่อนคิดเป็น 6.16 ล้าน ตร.ม.

โดยมีอาคารสำนักงานใหม่ 2 แห่งสร้างแล้วเสร็จแล้ว ได้แก่ ศุภาลัย ไอคอน สาทร และรัชโยธิน ฮิลส์ ขณะที่ซัพพลายในอนาคตยัง"ไม่มี"การประกาศก่อสร้างโครงการใหม่ทำให้พื้นที่ให้เช่ารวมสำหรับการพัฒนา ‘ลดลง’ เหลือ 1.46 ล้าน ตร.ม.คิดเป็น 24% ของระดับอุปทานในปัจจุบัน

สำหรับ ‘พื้นที่ศูนย์กลางธุรกิจ’ (CBD) ยังคงเป็นทำเลหลักมีสัดส่วน 60% ของอุปทานใหม่จะกระจุกตัวอยู่ในย่านศูนย์กลางธุรกิจ จากการประเมินพบว่าในอีก 2.5 ปีข้างหน้าอุปทานพื้นที่สำนักงานใหม่ ในครึ่งปีหลัง 2567 อยู่ที่ 410,700 ตร.ม. ในปี 2568 คาดการณ์ 316,000 ตร.ม.และในปี 2569 คาดการณ์ 440,400 ตร.ม.

โดยดีมานด์การดูดซับสุทธิของตลาดพื้นที่สำนักงานในไตรมาสนี้เป็นบวกหรือเท่ากับ 18,400 ตร.ม เพิ่มขึ้นจากที่ติดลบในไตรมาสก่อน ส่งผลให้พื้นที่ครอบครองทั้งหมดเพิ่มขึ้น 0.4% จากไตรมาสก่อน เป็น 4.73 ล้าน ตร.ม. ซึ่งนับเป็นครั้งแรกตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2565 ที่การดูดซับสุทธิของพื้นที่สำนักงานสีเขียวติดลบลดลงเหลือ5,900 ตร.ม.

ขณะที่พื้นที่สำนักงานที่ ‘ไม่ใช่’ สำนักงานสีเขียวเพิ่มขึ้น 24,300 ตร.ม. คาดว่าจะฟื้นตัวในไตรมาสหน้าตามเทรนด์ความยั่งยืนยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญในตลาดสำนักงาน 

‘ความต้องการพื้นที่สำนักงานในย่านศูนย์กลางธุรกิจเพิ่มขึ้น มีการดูดซับสุทธิที่ 23,400 ตร.ม. ในขณะที่ความต้องการพื้นที่สำนักงานในย่านนอกศูนย์กลางธุรกิจ (Non-CBD) หดตัวเล็กน้อย การดูดซับสุทธิติดลบ 4,950 ตร.ม. เนื่องจากมีความต้องการจากบริษัทข้ามชาติที่ย้ายสำนักงานใหญ่เข้ามาในกรุงเทพฯมากขึ้น’

อย่างไรก็ตามอัตราการครอบครองตลาดอาคารสำนักงานภาพรวม ‘ทรงตัว’ อยู่ที่ 77% สอดคล้องกับไตรมาสก่อน หากแยกตามแต่ละกลุ่ม พบว่า สำนักงานเกรด A มีเสถียรภาพมากที่สุด อัตราการครอบครองสูงสุดที่ 80% แม้ว่าจะลดลง 2.5% เมื่อเทียบปีต่อปี เนื่องจากแรงกดดันอย่างต่อเนื่องของอุปทาน สำนักงานเกรด B เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.3% ส่วนสำนักงานเกรด C ลดลง 1% เหลือ 77%

ขณะที่ค่าเช่าเฉลี่ยในไตรมาสแรกอยู่ที่ 817 บาท ต่อตร.ม.ต่อเดือน เพิ่มขึ้น 0.5% จากไตรมาสก่อน และ 0.3% จากปีก่อน ค่าเช่าเฉลี่ยของอาคารทุกเกรดเพิ่มขึ้น แม้ว่าเทรนด์โดยรวมมีแนวโน้มเป็นบวก แต่ผู้ให้เช่าส่วนใหญ่เลือกที่จะคงค่าเช่าในอัตราเดิม ส่วนค่าเช่าเฉลี่ยของอาคารย่านศูนย์กลางธุรกิจในกรุงเทพฯ เพิ่มขึ้น 0.5% จากไตรมาสก่อน เป็น 933 บาท ต่อตร.ม.ต่อเดือน 

ขณะที่อัตราการครอบครองเฉลี่ยยังคงทรงตัวที่ 79% สีลม-สาทร-พระราม 4 เป็นย่านหลักที่ขับเคลื่อนพื้นที่การเช่าในย่านศูนย์กลางธุรกิจ โดยพื้นที่ย่านดังกล่าวมีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญโดยการดูดซับสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 22,200 ตร.ม. ทำให้อัตราการครอบครองเพิ่มขึ้น 0.4% จากไตรมาสก่อน ส่วนอัตราค่าเช่าลดลงเล็กน้อย 0.7% จากไตรมาสก่อน

ตรงกันข้ามกับอาคารสำนักงานนอกย่านศูนย์กลางธุรกิจที่มีค่าเช่าและอัตราการครอบครอง ‘ลดลง’ ค่าเช่าเฉลี่ยลดลง 1.6% จากไตรมาสก่อน เหลือ 660 บาท ต่อตร.ม.ต่อเดือน อัตราการครอบครองเฉลี่ยก็ลดลงเช่นกัน โดยลดลง 0.5% จากไตรมาสก่อน เหลือ 74% ค่าเช่าของตลาดทั้ง 3 กลุ่มมีการเติบโตเป็นบวก แต่อัตราการครอบครองลดลง

อย่างไรก็ตาม ‘คุณภาพ’  ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญของการเลือกอาคารสำนักงาน แม้ว่าคำจำกัดความของ ‘คุณภาพ’ ยังคงพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง หลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 ผู้เช่าจำนวนมากได้ปรับเปลี่ยนการใช้พื้นที่สำนักงาน โดยให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่น เทคโนโลยี และการปรับตัว การสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่รองรับรูปแบบการทำงานที่หลากหลายและเน้นความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงานมีความสำคัญมากขึ้น

รวมทั้งผู้เช่ายังให้ความสำคัญกับแนวคิดในเรื่องความยั่งยืนและ ESG ก่อนตัดสินใจเช่า ด้วยความมุ่งมั่นด้านคาร์บอน บางบริษัทจะพิจารณาเฉพาะอาคารที่ได้รับการรับรองสีเขียวเท่านั้น แม้ว่าตัวเลือกที่ไม่ได้รับการรับรองจะมาพร้อมกับสิ่งจูงใจที่น่าดึงดูดก็ตาม ดังนั้นอาคารเก่าที่ไม่ได้รับการปรับปรุงสินทรัพย์ (AE) หรือปรับปรุงการจัดการสิ่งอำนวยความสะดวก (FM) ต้องเผชิญกับการคุกคามมากขึ้นจากการเกิดขึ้นของอาคารใหม่ ๆ ที่ใช้กลยุทธ์การกำหนดราคาที่แข่งขันได้ พื้นที่ทางกายภาพ และบริการที่ตอบสนองความต้องการของผู้เช่ายุคใหม่

ทั้งนี้เนื่องจาก จะมีพื้นที่อุปทานใหม่เกือบ 1.2 ล้าน ตร.ม. ในอีก 2.5 ปีข้างหน้า จะกลายเป็น ‘แรงกดดัน’ ต่อจำนวนการเช่าพื้นที่และค่าเช่าจะเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต ราคาค่าเช่าจะกลายเป็นตัวชี้วัดของตลาดที่มีความน่าเชื่อถือน้อยลง เนื่องจากช่องว่างระหว่างอัตราค่าเช่าและค่าเช่าที่แท้จริงเริ่มกว้างขึ้น โดย ช่วงครึ่งหลังของปี 2567 คาดว่าจะมีการเช่าเพิ่มมากขึ้นในพื้นที่ ย่านสีลม-สาทร-พระราม 4 จากการเปิดตัวอย่างเป็นทางการของโครงการ วัน แบงค็อก เฟส 1 ซึ่งเป็นตัวชี้วัดหลักของตลาดที่น่าจับตามอง โดยเฉพาะในช่วงที่กลไกตลาดมีการเปลี่ยนแปลงอย่างหลากหลายตลอดเวลา

“การแข่งขันในตลาดสำนักงานกรุงเทพฯรุนแรงขึ้น ดังนั้น การมีคุณสมบัติของอาคารสีเขียวและการเน้นการปฏิบัติตามหลัก ESG จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการทำให้ทรัพย์สินของคุณมีความสามารถในการแข่งขันและดึงดูดใจในตลาดปัจจุบัน เพราะความยั่งยืนเป็นปัจจัยที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้” นายปัญญา กล่าวทิ้งท้าย

‘หลานม่า’ ทำรายได้ใน ‘จีนแผ่นดินใหญ่’ ทะลุ 500 ล้านบาท หากรวมรายได้ในประเทศอื่นด้วยมีไม่ต่ำกว่า 1,700 ล้านบาท

(8 ก.ย. 67) ‘หลานม่า’ ขึ้นแท่นหนังทำเงินอันดับ2 ประจำสัปดาห์ในจีนแผ่นดินใหญ่ เข้าฉาย 17 วัน รายได้รวมทะลุหลัก 100 ล้านหยวน หรือราว 500 ล้านบาทในไทย สัดส่วนแบ่งรายได้ประจำสัปดาห์ 11 % จากตารางหนังเข้าฉาย ขณะนี้เป็นรอง Alien: Romulus ซึ่งเข้าฉายมาได้ 24 วันแล้ว สัดส่วนรายได้ที่ 13%

ทั้งนี้น่าสนใจเป็นอย่างมากเนื่องจากการเปิดตัวในช่วงแรกของหลานม่า ในจีนแผ่นดินใหญ่ ในอันดับ 7-8 ของ TOP 10 หนังทำเงินประจำสัปดาห์ในจีนและค่อยๆ ไต่อันดับขึ้นมาจนถึงอันดับ 2 โดยหากรวมรายได้อย่างไม่เป็นทางการ #หลานม่า ทำเงินจากการเข้าฉายในหลายประเทศไม่ต่ำกว่า 1,700 ล้านบาท 

** อ้างอิงจากตัวเลขรายได้การแถลงในงาน GDH LINEUP 2025 + ตัวเลขรายได้ในจีนแผ่นดินใหญ่


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top