Monday, 2 June 2025
NewsFeed

‘อัครเดช’ เชื่อ!! นโยบาย ‘พลังงาน-อุตสาหกรรม’ ตอบโจทย์ประชาชน ฝากฝ่ายค้าน!! อภิปรายให้สร้างสรรค์ เพื่อส่งผลดี ‘ด้านการค้า-การลงทุน’

(8 ก.ย. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยถึงกรณีการแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา ว่า

ในวันที่ 12-13 กันยายน 2567 นี้จะมีการประชุมร่วมกันของรัฐสภา เพื่อให้ คณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตามมาตรา 162 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 

ลำดับแรกพรรครวมไทยสร้างชาติ เชื่อมั่นอย่างยิ่งในนโยบายของรัฐบาลว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะในกระทรวงพลังงานและกระทรวงอุตสาหกรรมที่ได้มีการทำงานอย่างต่อเนื่อง 

สำหรับในกระทรวงพลังงานภายใต้การกำกับของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นั้นนโยบายหลักในการ ‘รื้อ ลด ปลด สร้าง’ โครงสร้างราคาพลังงาน เพื่อคืนความเป็นธรรมให้พี่น้องประชาชนไม่ว่าจะเป็นราคาน้ำมัน ราคาก๊าซ และค่าไฟฟ้า ซึ่งมีความคืบหน้าเป็นอย่างมาก ตามที่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้แถลงถึงความคืบหน้าเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะสามารถดำเนินการแล้วเสร็จในระยะเวลาไม่นานนับจากนี้ 

ลำดับต่อมาในส่วนของการอภิปรายการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ของคณะรัฐมนตรีนั้น เชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าสมาชิกสภาผู้แทนราฎรในส่วนของฝ่ายค้านจะอภิปรายตรงข้อบังคับที่มีข้อเสนอแนะสำหรับการบริหารราชการแผ่นดิน ดังเช่นที่ได้อภิปรายในช่วงการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2568 ที่ผ่านมา ที่ไม่มีการประท้วงมากนัก

และตนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการอภิปรายในครั้งนี้จะไม่ใช้เวทีของรัฐสภาเพื่ออภิปรายไม่ไว้วางใจ รัฐมนตรี

หากการอภิปรายเป็นไปอย่างสร้างสรรค์แล้ว ตนเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นการใช้กลไกของรัฐสภาเพื่อสร้างบรรยากาศการเมืองที่ดี จะส่งผลด้านดีในด้านอื่นๆไม่ว่าจะเป็นการค้า การลงทุน เป็นต้น

ท้ายที่สุดตนเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าทุกกระทรวงโดยเฉพาะใน 2 กระทรวง ได้แก่กระทรวงพลังงานและกระทรวงอุตสาหกรรม การแถลงนโยบายจะเป็นไปอย่างชัดเจนและสามารถสร้างความเชื่อมั่นแก่พี่น้องประชาชนได้อย่างแน่นอน

‘สุกฤษฏิ์ชัย’ ที่ปรึกษากมธ. ‘อากาศสะอาด’ เดินหน้ารณรงค์ ชี้!! ต้องเร่งผลักดันกม. - เตรียมความพร้อมรับมือ - สร้างการตระหนักรู้

(8 ก.ย. 67) นายสุกฤษฏิ์ชัย ธีระเริงฤทธิ์ ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะผู้ช่วยผู้อำนวยการมูลนิธิสถาบันราชพฤกษ์ (หน่วยงานดีเด่นแห่งชาติสาขาอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) กล่าวถึงในกิจกรรม ‘Unmask the Future’ ซึ่งจัดโดยภาคีเครือข่ายภาคประชาสังคมและภาคประชาชนตื่นรู้ (Active Citizen) ในประเทศไทย เนื่องในโอกาสวันอากาศสะอาดสากล (International Clean Air Day) ซึ่งเริ่มขึ้นปี ค.ศ.2020 อันเป็นผลจากที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งองค์การสหประชาชาติ ได้ตระหนักถึงความสำคัญของอากาศบริสุทธิ์ต่อสุขภาพและการใช้ชีวิตของพวกเราทุกคน ซึ่งตนมีบทบาทในการเป็น ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. .... ในสภาผู้แทนราษฎร ด้วยนั้น

ขอสนับสนุนและขอรณรงค์เรื่องดังกล่าวอย่างเร่งด่วน พร้อมมีข้อเสนอ 3 ข้อ คือ

1.ภาคการเมือง ควรเร่งรัดและผลักดันให้กฎหมายอากาศสะอาด มีผลบังคับใช้โดยเร็วที่สุด เพื่อเป็นเครื่องมือในการจัดการกับปัญหานี้ ให้ทันฤดูแล้งที่กำลังจะมาถึง รวมถึงการประสานงานเรื่องฝุ่นควันข้ามแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน 

2.ภาคราชการ ดำเนินการสั่งการและประสานงานทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือวิกฤติมลพิษฝุ่นควันพิษ ทั้งในแง่การป้องกัน การปราบปรามและดูแลด้านสุขภาพ เพื่อลดผลกระทบที่จะมีขึ้นต่อประชาชนให้น้อยที่สุด

3.ภาคประชาสังคมร่วมกันสร้างการตระหนักรู้และให้ความรู้ รวมถึงการป้องกันกับภาคประชาชนในพื้นที่อย่างเข้มข้น โดยภาคราชการไม่ว่าจะเป็นกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุขและอื่นใดที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่

ไม่ว่าอย่างไรก็ตามปัญหาสิ่งแวดล้อมนี้ เป็นปัญหาสำคัญที่ใกล้ตัวพวกเรามาก เรารับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมอยู่ตลอดเวลา ฉะนั้นการแก้ปัญหาร่วมกันจากทุกภาคส่วน จากทุกคน คือหนทางการแก้ไขปัญหาที่ดีที่สุด

สำนักงานตำรวจแห่งชาติเตือนเทรนด์ใหม่มิจฉาชีพ เปิดบัญชีปลอม ลงโฆษณาผ่าน Reels หลอกขายสินค้าราคาถูก

( 8 ก.ย. 67) พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศปอส.ตร. ได้มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนที่อาจได้รับความเสียหายจากอาชญากรรมรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งในปัจจุบันสำนักงานตำรวจแห่งชาติพบว่ามีกลุ่มมิจฉาชีพได้มีการพัฒนารูปแบบวิธีการในการหลอกลวงประชาชน จากเดิมที่มิจฉาชีพจะลงโฆษณาหลอกขายสินค้าราคาถูกผ่านโพสต์ในสื่อสังคมออนไลน์ เปลี่ยนเป็นการโฆษณาผ่านการลงคลิปสั้น หรือ Reels ในเฟซบุ๊ก โดยมิจฉาชีพจะสามารถใส่ปุ่มให้กดซื้อสินค้า ซึ่งเป็นลิงก์ที่จะนำไปสู่เว็บไซต์ขายสินค้าปลอม

อีกทั้งมิจฉาชีพยังใช้กลวิธีในการทำให้โฆษณาปลอมดังกล่าวดูน่าเชื่อถือ ด้วยการนำคลิปวิดีโอจริงของอินฟลูเอนเซอร์ มาตัดต่อใส่ข้อความหลอกขายสินค้า อีกทั้งในรูปโปรไฟล์ของบัญชีปลอมดังกล่าว ยังมีการใส่เครื่องหมายติ๊กถูกสีฟ้า หรือ Meta Verified เพื่อหลอกให้หลงเชื่อว่าเป็นบัญชีที่ได้รับการรับรอง พร้อมทั้งยังใส่ข้อความจำนวนผู้ติดตามปลอมไว้ในข้อมูลทั่วไปของเพจ เพื่อหลอกให้หลงเชื่อว่ามีผู้ติดตามเพจจำนวนมากอีกด้วย

สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงขอแจ้งเตือนพี่น้องประชาชนให้ระมัดระวังในการใช้สื่อสังคมออนไลน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การกดลิงก์ หรือการสั่งซื้อสินค้าที่มีการลงโฆษณาผ่านคลิปวิดีโอสั้น ในสื่อสังคมออนไลน์แพลตฟอร์มต่าง ๆ เพราะอาจเป็นคลิปวิดีโอจากเพจปลอมที่มิจฉาชีพสร้างขึ้นมาเพื่อหลอกลวงพี่น้องประชาชน

สุดท้ายนี้ หากพี่น้องประชาชนได้รับความเสียหายจากอาชญากรรมรูปแบบต่าง ๆ สามารถแจ้งความร้องทุกข์ได้ที่สถานีตำรวจในพื้นที่ และสำหรับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สามารถแจ้งความร้องทุกข์ได้ที่ศูนย์รับแจ้งความออนไลน์ บนเว็บไซต์ www.thaipoliceonline.go.th หรือสายด่วน 1441 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

คณะกรรมการตัดสินเวทีประกวดไอดอล ลาออกแล้ว พร้อมอัดคลิปขอโทษ แสดงความรับผิดชอบ

จากกรณีที่เกิดกระแสเรื่องการประกวดโครงการทูบีนัมเบอร์วัน ที่จ.พิษณุโลก 

เมื่อวันที่ (7 ก.ย. 67) ที่ผ่านมา แล้วปรากฏว่ามีคุณครูท่านหนึ่งที่ได้นำเด็กนักเรียน 3 คนมาเข้าร่วมการประกวดโครงการเยาวชนต้นแบบเก่งและดีทูบีนัมเบอร์วันไอดอล ซึ่งมีนักเรียน 1 ท่าน เป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เข้าประกวดลักษณะการร้องเพลงและเต้นความยาว 1.30 นาทีนั้น จนต่อมาทางกรรมการรายนี้ ได้ขอโทษนักเรียนคนดังกล่าวแล้ว แต่ดูเหมือนกระแสดราม่าจะยังไม่จบ

ในขณะที่เมื่อคืนของวันที่ 8 ก.ย. 2567 ที่ผ่านมา ที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดพิษณุโลก 'นายแพทย์ไกรสุข เพชระบูรณิน' นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดพิษณุโลกพร้อมด้วย 'ดร.กอบภณ แสงสมบัติ' ศึกษาธิการจังหวัดพิษณุโลก และ 'นางณัฐธภา นพจินดา' นักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการพิเศษสำนักงานเขตสุขภาพที่2 (กรรมการทูบีนัมเบอร์วัน) ได้ตั้งโต๊ะแถลงข่าวสื่อมวลชนเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

'นางณัฐธภา' ในนามคณะกรรมการตัดสินการประกวดทูบีนัมเบอร์วัน กล่าวว่า เนื่องจากกระแสดรามาที่เกิดขึ้นในเรื่องของการตัดสินโครงการทูบีนัมเบอร์วันไอดอลเมื่อวานนี้ เป็นกระแสที่แพร่หลายออกไป เนื่องจากว่าทางตนได้ใช้คำพูดที่มันไม่ถูกต้อง แล้วก็ไม่เหมาะสม จนทำให้เกิดความไม่พอใจไม่สบายใจในคำพูดที่ๆที่เกิดขึ้น ตนเองมีความรู้สึกว่าเสียใจเป็นอย่างมาก แล้วก็รู้สึกอยากจะขอโทษ ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของตัวน้องๆเอง หรือองค์กรที่เกี่ยวข้อง หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงโครงการทูบีนัมเบอร์วันด้วย ที่ตนมีส่วนทำให้เกิดผลกระทบอย่างแรง ทำให้มีกระแสออกไปอย่างเป็นวงกว้าง ซึ่งความจริงแล้วไม่มีเจตนาในการที่จะทำให้เกิดความรู้สึก อธิบายว่าเรามีเกณฑ์การตัดสินแบบนั้น ซึ่งเป็นประเภทชายและเป็นประเภทหญิง เราไม่ปิดกั้นใคร เราไม่ปิดกั้น แต่ว่าผลการตัดสินต้องเป็นไปตามกติกา กฏ กติกา คือชายและหญิง ผลออกมาก็คือจะต้องเป็นประเภทชาย ประเภทหญิงเท่านั้น เพราะฉะนั้นเรามีเวลาในการที่จะชี้แจงของคณะกรรมการมันสั้น มันน้อยมาก เราไม่มีเวลามาอธิบายให้เข้าใจว่ามันเป็นอะไรยังไง

แล้วก็หลังจากที่ประกวดเสร็จน้องก็กลับเลย จนมาเกิดกระแสดังกล่าว เมื่อคืนนี้หลังจากประชุมกันตนก็ได้รับความกรุณาจากศึกษาธิการเดินทางไปหาน้องแล้วและครูที่โรงเรียนในพื้นที่ อ.นครไทย จ.พิษณุโลก เพื่อทำการขอโทษทำความเข้าใจในคำพูดที่กรรมการได้พูดออกไป ซึ่งขอนำเรียนว่าในส่วนของการดำเนินการของกิจกรรม ไม่ว่าจะเป็นเพศทางเลือกก็ตาม การดำเนินการกิจกรรมอย่างที่ท่าน นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนำเรียนไป ทุกกิจกรรมเราจะมีน้องๆเหล่านี้เป็นพลังแ ต่เกณฑ์การประกวดในเรื่องของไอดอลมันเป็นแบบนั้น เราก็ต้องยึดกติกามารยาทในเรื่องของการประกวด

จริงๆเรามีการประกวดในกลุ่มที่ open อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเราก็มีความรู้สึกว่าเราไม่ได้ปิดกั้น ตนทำงานกับทูบีนัมเบอร์วันมา 16 ปี รู้ดีว่ามีน้องๆที่หลากหลายในเพศสภาพเหล่านี้ที่อยู่ในกลุ่ม วันนั้นเราสื่อสารไปรู้สึกไม่ดีต้องขอโทษกับสังคมด้วย จากนี้จะระมัดระวังในการใช้คำพูดไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก

ด้านดร.กอบภณ แสงสมบัติ ศึกษาธิการจังหวัดพิษณุโลก ได้กล่าวว่าในนามสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดพิษณุโลก ขอแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สถิติที่ผ่านมาของจังหวัดพิษณุโลกเราได้รับความไว้วางใจ แล้วก็ลูกหลานของเราเข้าร่วมกิจกรรมเพิ่มขึ้นทุกปี ดังนั้นจึงเป็นตัวชี้วัดหนึ่งได้ว่าความกระตือรือร้นจากพวกเราที่จะเข้ามาร่วมกิจกรรม เป็นกิจกรรมที่สามารถพัฒนาให้กับบุตรหลานพวกเราเป็นเยาวชนเป็นต้นแบบ เป็นคนเก่ง คนดี แต่ในสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นก็อาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่อาจจะเป็นการสื่อสารที่อาจจะคลาดเคลื่อน อาจจะมีบางคำพูดที่ไปกระทบกระเทือนจิตใจเด็กๆ หรือครูอาจารย์ที่นำเด็กๆเข้ามาประกวด ก็ต้องขอแสดงความเสียใจอีกครั้งหนึ่ง

โดยล่าสุด หลังเสร็จสิ้นงานแถลงข่าว ‘นางณัฐธภา นพจินดา’ นักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการพิเศษสำนักงานเขตสุขภาพที่ 2 ในนามคณะกรรมการตัดสินการประกวดทูบีนัมเบอร์วัน ได้ทำการอัดคลิปวิดีโอขอโทษน้องแมน ครูสังคม และหน่วยงานที่เกิดขึ้นอีกครั้ง และเพื่อแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จากนี้ไปจะไม่ขอรับคำเชิญในการเป็นคณะกรรมตัดสินการประกวดทูบีนัมเบอร์วันในครั้งต่อ ๆ ไปอีก

‘ยางิ’ แผลงฤทธิ์!! ทำยอดเสียชีวิตพุ่ง 14 ราย บาดเจ็บ 219 ราย อุตุฯ ชี้!! แม้อ่อนกำลังลง แต่ยังเสี่ยง 'น้ำท่วมฉับพลัน-ดินถล่ม'

(9 ก.ย. 67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่าจากกรณีที่ ‘ซูเปอร์ไต้ฝุ่นยางิ’ (typhoon Yagi) พายุที่รุนแรงที่สุดที่เกิดขึ้นในทวีปเอเชียประจำปีนี้ หลังจากพัดกระหน่ำมณฑลไห่หนานจนราบเป็นหน้ากลอง

ซึ่งล่าสุด 'ซูเปอร์ไต้ฝุ่นยางิ' ได้พัดขึ้นฝั่งเวียดนามด้วยความเร็วลม 149 กม./ชม. ทำให้เกิดคลื่นสูง 4 เมตร ในหลายจังหวัดริมชายฝั่ง บ้านเรือนได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมและลมแรงกว่า 3,200 หลัง ต้นไม้และเสาไฟฟ้าหักโค่น ทำให้เกิดไฟดับและสัญญาณโทรคมนาคมถูกตัดขาด ซึ่งสร้างความยากลำบากในการประเมินความเสียหายจากพายุ 

โดย 'ซูเปอร์ไต้ฝุ่นยางิ' อ่อนกำลังจากไต้ฝุ่นเป็นดีเปรสชันแล้ว สร้างความเสียหายอย่างหนักในภาคเหนือของเวียดนาม ทำให้เกิดฝนตกหนัก ลมแรง ดินถล่ม และมีเรือหลายลำจมหาย คร่าชีวิตประชาชนอย่างน้อย 14 ราย และมีผู้บาดเจ็บกว่า 219 ราย หลังจากพายุพัดขึ้นฝั่งด้วยความรุนแรงระดับพายุไต้ฝุ่นที่เมืองไฮฟองและจังหวัด ‘กว๋างนิญ’ ทางภาคเหนือของเวียดนาม

นอกจากนี้กระทรวงเกษตรและพัฒนาชน รายงานอีกว่า ในจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งหมด มี 4 ราย อยู่ในจังหวัดกว๋างนิญ, อีก 3 ราย อยู่ใน ‘กรุงฮานอย’ และอีก 4 ราย เสียชีวิตจากดินถล่มในจังหวัด ‘ฮวาบิ่ญ’ และผู้บาดเจ็บส่วนใหญ่อยู่ในจังหวัด ’กว๋างนิญ’

ขณะเดียวกันมีรายงานเรือล่ม 25 ลำในจุดที่ทอดสมอในจังหวัดกว๋างนิญ ชาวประมงสูญหาย 13 คน และเมืองไฮฟอง ที่เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรม เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายที่สุด มีน้ำท่วมเกือบ 50 เซนติเมตรในบางพื้นที่ และเกิดไฟดับในวงกว้าง

ด้านสำนักงานอุตุนิยมวิทยา ประกาศว่า พายุอ่อนกำลังเป็นดีเปรสชันแล้วแต่ยังเตือนมีความเสี่ยงเกิดน้ำท่วมฉับพลันและดินถล่ม ขณะพายุมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก

ส่วนสถานการณ์ในกรุงฮานอย เจ้าหน้าที่เริ่มเก็บกวาดถนน ที่มีต้นไม้หักโค่นกีดขวางทั่วเมือง ‘สนามบินโหน่ยบ่าย’ ในกรุงฮานอยเริ่มกลับมาให้บริการแล้ว หลังจากปิดบริการเช่นเดียวกับสนามบินอีก 3 แห่งในเมืองท่าตามแนวชายฝั่ง เมือง ‘ไฮฟอง’ จังหวัดกว๋างนิญ และจังหวัด ’ทัญฮว้า’

เปิดเหตุผล!! ทำไมเลือกตั้งท้องถิ่น 'ส้ม' มักปราชัย สวนทางเลือกตั้งใหญ่ เพราะท้องถิ่นต้องวัดกันตัวต่อตัว ส่วนเวทีใหญ่พรรคอื่นตัดแต้มกันเอง

(9 ก.ย. 67) นายนิธิพัฒน์ พันธุ์ธุมจินดา นักธุรกิจ ฟาร์มปลาสวยงาม โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘Nitipat Bhandhumachinda’ ระบุว่า...

มีเพื่อนถามผมว่าทำไม พรรคสีส้มถึงชนะการเลือกตั้งใหญ่ แต่เลือกตั้งย่อย ๆ ที่ไหน ก็มักจะไม่ชนะ

ผมก็เล่าให้ฟังว่า สมัยผมเรียนที่เกาหลีนั้น มีการเลือกตั้งผู้นำประเทศครั้งหนึ่ง ซึ่งเบอร์ ๑ นั้น เป็นผู้สืบทอดอำนาจจากผู้นำคนเก่าที่ใครต่อใครก็ไม่ชอบหน้า

เรียกว่างานนี้ดูยังไง ๆ ฝ่ายค้านที่มีตัวหลัก ๆ สองคนนั้น ส่งคนไหนมาแข่งก็ชนะแบเบอร์แน่ ๆ

แต่ก็ไม่รู้ฝ่ายค้านสองคนนั้นเอาความมั่นใจมาจากไหน ที่ดันแย่งกันลงแข่งทั้งคู่ เป็นผู้สมัคร เบอร์ ๒ กับเบอร์ ๓ โดยต่างก็มั่นใจว่าตนจะได้ชัยชนะแน่นอน

ผลก็ออกมาอย่างที่ผมคาดเอาไว้ คือคะแนนเบอร์ ๒ กับเบอร์ ๓ นั้น ถ้าเอามารวมกันก็ชนะเบอร์ ๑ แบบไม่ต้องลุ้น

แต่ผลสรุปแล้ว เบอร์ ๑ ได้เป็นผู้นำประเทศ เพราะคะแนนแยกของทั้งเบอร์ ๒ และเบอร์ ๓ ที่ดันแข่งกันเองนั้น สู้คะแนนที่ไม่ต้องแข่งกับใครของเบอร์ ๑ ไม่ได้ทั้งคู่

การเลือกตั้งใหญ่ครั้งที่ผ่านมาของประเทศเรานั้น ขณะที่พรรคการเมืองทั้งหลาย ยังเล่นการเมืองแบบเดิม ๆ ส่งผู้แข่งขันไปแย่งคะแนนกันเหมือนเดิม ๆ และ เห็นหน้าก็รู้ว่า คงไม่มีเกมการเมืองใหม่ ๆ อะไรให้เล่นเลยนั้น

พรรคสีส้มเขามีฐานเสียงหลักของเขาที่อยากลองพรรคการเมืองใหม่ที่ไม่เหมือนการเมืองเดิม ๆ ไม่เคยต้องแย่งกับใคร และก็ไม่ได้มีพรรคไหนลงไปเเข่งขันแย่งฐานเสียงดังกล่าวนั้นตรง ๆ เลย

นั้นก็คือเหตุผลหลัก ๆ ที่ พรรคสีส้มได้คะแนนมากกกว่าพรรคการเมืองอื่น ๆ ที่ มัวแต่ตัดคะแนนกันเอง จนไปไม่เป็นกันสักพรรค

ส่วนในการแข่งขันการเมืองย่อยไม่ว่าจะเลือกตั้งซ่อม เลือกตั้ง อบจ. อะไรต่อมิอะไรนั้น

พรรคส้มมักเจอคู่แข่งแบบตัวต่อตัว ซึ่งคะแนนของส้มนั้น จริง ๆ ก็ไม่ใช่เสียงส่วนใหญ่ เมื่อไม่มีการตัดคะแนนกันให้วุ่นวาย

พรรคส้มก็มักจะปราชัยด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้

ผมไม่ได้เชี่ยวทางการเมืองขนาดจะสอนใครว่า  พรรคการเมืองควรจะรวมพลังกันในการเลือกตั้งใหญ่ หรือ ควรจะมีพรรคการเมืองใหม่มาเบียดแย่งคะแนนจากฐานเสียงของพรรคส้ม

แต่ถ้าถามว่า ทำไม พรรคน้อยใหญ่ไม่ชนะพรรคส้มในการเลือกตั้งใหญ่คราวที่แล้ว

ก็จะหาเหตุผลได้ประมาณนี้นะครับ

'ชาวมาเลเซีย' เกินครึ่ง เห็นด้วย!! จำกัดเด็กต่ำกว่า 14 เล่นโซเชียลมีเดีย แนะ!! 'ครู-ผู้ปกครอง' สำคัญ ช่วยสร้างภูมิเท่าทันภัยโลกออนไลน์

(9 ก.ย. 67) สำนักข่าวซินหัว เปิดเผยผลสำรวจจาก ‘อิปซอสส์’ (Ipsos) บริษัทวิจัยการตลาดและสำรวจความคิดเห็นระดับโลก พบว่า มีชาวมาเลเซียถึง 71% เห็นด้วยกับการจำกัดการเข้าถึงโซเชียลมีเดียในกลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า 14 ปี

โดยผลโพลการติดตามการศึกษาของอิปซอสส์ ซึ่งสำรวจความคิดเห็นของผู้คนในมาเลเซีย ไทย, อินโดนีเซีย, และสิงคโปร์ ระบุว่า มาเลเซียเป็นประเทศที่มีผู้คนคิดเห็นตรงกันในเรื่องนี้มากที่สุดเป็นอันดับสอง รองจาก ‘อินโดนีเซีย’

"ชาวมาเลเซียระมัดระวังการเข้าถึงโซเชียลมีเดียของเด็กๆ มากที่สุด ขณะที่ความคิดเห็นเกี่ยวกับการใช้สมาร์ตโฟนและปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในโรงเรียนนั้นแตกต่างกันออกไป" ผลสำรวจระบุ

ต่อมา ผลสำรวจยังพบว่าชาวมาเลเซีย 51% มองว่าควรห้ามผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 14 ปีใช้สมาร์ทโฟนทั้งในระหว่างคาบเรียนและหลังเลิกเรียน ส่วนอีก 29% เห็นด้วยว่าควรห้ามใช้โมเดลภาษาเอไออย่างแชทจีพีที (ChatGPT)

ขณะเดียวกัน ชาวมาเลเซีย 56% เชื่อว่าครูและโรงเรียนควรมีหน้าที่ในการสอนความรู้ด้านดิจิทัลและความปลอดภัยบนโลกออนไลน์ ด้าน 39% มองว่าหน้าที่นี้ควรเป็นของผู้ปกครอง

'รัฐบาล' เล็ง!! สร้าง 9 เกาะปากอ่าวไทยรับมือน้ำท่วม-เสริมสร้างเศรษฐกิจใหม่ ใช้แนวทางถมทะเล ก่อสร้างประตูกั้นน้ำขึ้น-ลง แบบ ‘เนเธอร์แลนด์โมเดล’

(9 ก.ย. 67) นายปลอดประสพ สุรัสวดี อดีตรองนายกรัฐมนตรี ประธานคณะกรรมการนโยบายสิ่งแวดล้อม ‘พรรคเพื่อไทย’ ขยายความถึงแนวคิดสำคัญเกี่ยวกับโครงการถมทะเล บางขุนเทียน เพื่อสร้างเมืองใหม่ และแก้ปัญหาน้ำท่วมว่า แนวคิดดังกล่าวมีเหตุผลยืนยันถึงความจำเป็นต้องผลักดันออกมาให้เร็ว เพื่อรองรับปัญหาน้ำท่วมที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และเป็นเรื่องที่พรรคเพื่อไทยได้มีการวางแผนและศึกษาไว้นานแล้ว

โดยเป็นผลมาจากภาวะโลกร้อนเริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้นจนทำให้น้ำแข็งขั้วโลกละลายสูงมาก เป็นเรื่องที่พูดคุยกันใน ’องค์การสหประชาชาติ’ (UN) มาหลายปีแล้ว โดยมีการประเมินถึงเรื่องที่น้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น ทำให้มีพื้นที่จำนวนมากที่จมน้ำ เช่นเดียวกับอ่าวไทยจะได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน

ทั้งนี้มีโมเดลเบื้องต้นประเมินว่า จากภาวะโลกร้อนสูงสุด จะทำให้น้ำแข็งละลายสูงสุด ส่งผลถึงน้ำทะเลในอ่าวไทยจะสูงขึ้นมากถึง 5 – 6 เมตร ทำให้น้ำท่วมเข้ามาในพื้นที่ลุ่มภาคกลางของไทยถึง 16,000 ตารางกิโลเมตร นั่นหมายความว่าอ่าวไทยจะอยู่ที่จังหวัดลพบุรี, สระบุรีทางตอนเหนือ, อุทัยธานี ส่วนกรุงเทพฯ นนทบุรี, ปทุมธานี, สิงห์บุรี, อ่างทอง,  พระนครศรีอยุธยา, ปราจีนบุรี, ชลบุรีบางส่วน, สมุทรสาคร, สมุทรสงคราม, และเพชรบุรีบางส่วน จะหายไป 

สำหรับทางเลือกในการป้องกันปัญหาน้ำท่วม จากน้ำทะเลขึ้นสูง 5 – 6 เมตร จนท่วมพื้นที่ลุ่มภาคกลาง 16,000 ตารางกิโลเมตร อดีตรองนายกฯ มองถึงแนวทางต่าง ๆ ดังนี้...

แนวทางแรกคือ ‘การสร้างพนังกั้นน้ำ’ ซึ่งแนวทางนี้ถือเป็นการป้องกันในระยะสั้น 2 – 5 ปี คือการเสริมพนังกั้นน้ำ หรือเขื่อนกั้นน้ำบริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยา, แม่น้ำท่าจีน, แม่น้ำแม่กลอง ต้องเร่งทำพร้อมกัน ด้วยการไปอุดรอยรั่วให้สามารถใช้งานได้เต็มศักยภาพ และต้องอยู่ในระดับเดียวกัน

แนวทางต่อมา คือ ‘การยกถนน’ เพราะพื้นที่ 16,000 ตารางกิโลเมตร จะถูกน้ำท่วมทั้งหมด เช่น ถนนเพชรเกษม, ถนนสุขุมวิท พร้อมทั้งทำประตูน้ำในคลองสำคัญที่มีทางออกสู่ทะเล และต้องสร้างประตูน้ำขนาดใหญ่บริเวณ 4 แม่น้ำสำคัญ คือ แม่น้ำเจ้าพระยา, แม่น้ำท่าจีน, แม่น้ำแม่กลอง, และแม่น้ำบางปะกง ซึ่งจะต้องใช้งบประมาณมหาศาล

ทั้งนี้ ยังคงมองว่าการยกถนนคงเป็นเรื่องไม่ง่ายนัก เพราะที่ผ่านมาถนนพระราม 2 สร้างมาเป็นสิบๆ ปีก็ยังไม่เสร็จ ถ้าเราจะยกถนนสองเส้นหลัก ตั้งแต่เพชรบุรียาวไปชลบุรี เพื่อหนีน้ำท่วมยิ่งโกลาหลมากๆ ไปอีก ส่วนพื้นที่ชายน้ำจากแนวถนนไปหาทะเลก็ต้องสูญเสียอยู่ดี

แนวทางสุดท้ายก็คือ ‘การทำเขื่อนในทะเล’ ซึ่งทางเทคนิคถือว่าทำได้ แต่คงใช้งบจำนวนมหาศาล ดังนั้นจึงมีแนวความคิดหนึ่งที่น่าสนใจนั่นคือ การสร้างเกาะขึ้นมาในพื้นที่ปากอ่าวในปัจจุบัน ด้วยการ ‘ถมทะเล’

ในส่วนของแนวคิดการถมทะเลนั้น นายปลอดประสพ เผยว่า จะเป็นการสร้างเกาะขึ้นมา 9 เกาะ โดยมีระยะครอบคลุมพื้นที่ตั้งแต่ทะเลช่วง ‘จังหวัดสมุทรสงคราม’ ไปถึง ‘จังหวัดชลบุรี’ เป็นระยะทางประมาณ 100-150 กิโลเมตร โดยตั้งชื่อไว้เบื้องต้นว่า ‘สร้อยไข่มุกอ่าวไทย’ เพราะเกาะแต่ละเกาะจะมีลักษณะเหมือนไข่มุกร้อยกันเป็นเส้น ซึ่งการเชื่อมต่อระหว่างเกาะแต่ละเกาะ และจะก่อสร้างประตูน้ำเพื่อคอยกั้นน้ำขึ้น-ลง ซึ่งแนวคิดนี้ในปัจจุบันถูกใช้ในหลายประเทศ เช่น ‘เนเธอร์แลนด์’ เป็นต้น

ทั้งนี้ ในแต่ละเกาะจะถูกเชื่อมต่อด้วยถนนและรถไฟฟ้า เพื่อให้เกิดการเดินทางเชื่อมต่อกันไปได้ตั้งแต่ ‘จังหวัดสมุทรสงคราม’ ถึง ‘จังหวัดชลบุรี’ หรือสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าด้วย โดยเกาะแรกอาจจะสร้างบริเวณ ‘บางขุนเทียน’ ก่อน เบื้องต้นจะมีพื้นที่ประมาณ 5x10 ตารางกิโลเมตร หรือ มีขนาดของเกา 50 ตารางกิโลเมตร ความยาวตามชายฝั่ง 10 กิโลเมตร 

เมื่อถมทะเลสร้างเกาะขึ้นมาได้แล้ว แต่ละเกาะนั้นจะต้องวางแผนการใช้พื้นที่ล่วงหน้าว่าจะให้ความสำคัญกับการพัฒนาด้านอะไร โดยจะมีฟังก์ชันต่างกัน ตัวอย่างเช่น บางเกาะอาจจะใช้เป็นท่าเรือขนส่งสินค้าเพื่อแทนท่าเรือเดิมที่มีอยู่ ทั้งกรุงเทพฯ สมุทรสาคร และสมุทรสงคราม หรืออาจจะให้โรงงานอุตสาหกรรมประมงไปตั้งบริเวณเกาะ หรือพัฒนาเป็นท่าเทียบเรือยอร์ช ก็ได้ หรืออาจจะใช้เกาะใดเกาะหนึ่งที่อยู่ใกล้กับชลบุรี สร้างสนามบินแห่งใหม่ ก็ได้เช่นกัน

‘นายปลอดประสพ’ กล่าวว่า ในขั้นตอนต่อไป หากแนวคิดนี้รัฐบาลหยิบยกไปใช้ ก็อาจเริ่มต้นที่การศึกษาอย่างจริงจัง เพื่อเตรียมความพร้อมเอาไว้ล่วงหน้า เพื่อพิจารณาแนวคิดที่เหมาะสมและถูกต้องตามหลักวิชาการ ใช้องค์ความรู้ต่างๆ ทั้งทางวิศวกรรมศาสตร์ วิศวกรรมทางทะเล วิศวกรรมสมุทร มาพัฒนา เพราะโครงการนี้ต้องใช้เวลานานหลายสิบปี เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อมอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องของความมั่นคงของชาติ

‘นิวยอร์กไทม์’ เผย!! 'ทรัมป์-แฮร์ริส' คะแนนนิยมกินกันไม่ลงก่อนดีเบตรอบใหม่ ภายใต้มุมมองอเมริกันชนที่ยังไม่ค่อยเข้าใจ 'จุดยืน-นโยบาย' ของ 'แฮร์ริส'

(9 ก.ย. 67) สำนักข่าวรอยเตอร์ ได้มีการเปิดเผยผลสำรวจของ ‘นิวยอร์กไทม์’ (New York Times/ Siena College) พบว่า ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ผู้สมัครประธานาธิบดีจากพรรคริพับริพัน มีคะแนนนิยมนำ รองประธานาธิบดี ‘กมลา แฮร์ริส’ จากพรรคเดโมแครต 1 แต้ม อยู่ที่ 48% ต่อ 47% ซึ่งเป็นส่วนต่างที่ไม่มีนัยสำคัญภายใต้ค่าความผิดพลาดของโพลซึ่งอยู่ที่บวกลบไม่เกิน 3% นั่นหมายความว่าทั้ง 2 ฝ่ายต่างก็มีโอกาสมากพอๆ กันที่จะชนะศึกเลือกตั้งในวันที่ 5 พ.ย. 67

แม้แคมเปญหาเสียงของ ทรัมป์ จะซวนเซไปบ้างหลังจากที่ประธานาธิบดี ‘โจ ไบเดน’ ประกาศถอนตัว และส่ง ‘กมลา แฮร์ริส’ ขึ้นมาเป็นผู้ท้าชิงพรรคเดโมแครตแทนเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา แต่ผลสำรวจล่าสุดของหลายสำนักบ่งชี้ตรงกันว่ากลุ่มประชากรที่เป็นฐานเสียงหลักของ ทรัมป์ ยังคงเหนียวแน่นเหมือนเดิม

โพลฉบับนี้ยังพบด้วยว่า ชาวอเมริกันผู้มีสิทธิเลือกตั้งบางส่วนยังไม่ค่อยเข้าใจจุดยืนและนโยบายต่างๆ ของแฮร์ริสเท่าไหร่นัก ขณะที่ความเข้าใจของพวกเขาต่อทรัมป์ นั้น ‘ชัดเจน’ อยู่แล้ว โดย 28% ยอมรับว่ายังต้องการข้อมูลเกี่ยวกับผู้สมัครของเดโมแครตมากกว่านี้ แต่มีเพียง 9% ที่รู้สึกแบบเดียวกันกับทรัมป์

จากตัวเลขที่ออกมาทำให้เห็นได้ว่า ศึกดีเบตนัดแรกระหว่าง ทรัมป์ กับ แฮร์ริส ในวันพรุ่งนี้ (10 ก.ย. 67) อาจจะเป็นอีกหนึ่งจุดพลิกผันที่สำคัญของศึกการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา

โดย ‘แฮร์ริส’ จะได้มีโอกาสแจกแจงนโยบายต่างๆ ของเธอให้ชาวอเมริกันเข้าใจมากยิ่งขึ้นระหว่างที่ประชันวิสัยทัศน์กับ โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นเวลา 90 นาที และเนื่องจากคะแนนนิยมของทั้งคู่สูสีกันอย่างยิ่ง ศึกดีเบตครั้งนี้จึงอาจสร้างแรงกระเพื่อมอย่างมีนัยสำคัญหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทำผลงานออกมาได้ดีกว่า

นับตั้งแต่ แฮร์ริส ก้าวเข้ามาถือตั๋วผู้แทนพรรคเดโมแครต เธอก็ตระเวนเดินสายพบปะประชาชนอย่างแข็งขัน แต่ส่วนใหญ่ยังคงเป็นการแสดงวิสัยทัศน์แบบ ‘อ่านบท’ ที่เตรียมเอาไว้แล้ว และยังให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวต่างๆ น้อยมากด้วย

ผลสำรวจครั้งนี้ออกมาคล้ายคลึงกับโพลของ ‘New York Times/ Siena College’ เมื่อช่วงปลายเดือนกรกฎาคม ที่พบว่า ทรัมป์ มีคะแนนนำแฮร์ริส อยู่ 1 แต้มเช่นกัน

สำหรับผลโพลใน 7 รัฐสมรภูมิสำคัญที่คาดว่าจะเป็นตัวตัดสินผลเลือกตั้งในวันที่ 5 พ.ย. 67 ก็พบว่าผู้สมัครทั้ง 2 รายยังคงมีคะแนนนิยมตีคู่สูสีกันอย่างมาก

‘พาราลิมปิกไทย - แจ๊ส JSPKK’ แต่งเพลง ‘ไปต่อ’ ขอบคุณความทุ่มเท ‘ทีมพาราไทย’ ในปารีสเกมส์ 2024

(9 ก.ย. 67) เพจเฟซบุ๊ก ‘Paralympic Thailand (Thai Para Athletes)’ โพสต์ข้อความและวิดีโอที่ ‘แจ๊ส JSPKK’ ได้ร่วมงาน ‘พาราลิมปิกไทย’ โดยการแต่งเพลง ‘ไปต่อ’ โดยระบุว่า…

ขอบคุณในความทุ่มเท เหงื่อทุกหยดของนักกีฬา โค้ช และผู้ที่เกี่ยวข้องทุกท่าน ที่ทำเพื่อมอบความสุขให้คนไทย เราคือทีมเดียวกัน เราคือทีมประเทศไทยเราคือ ‘ทีมพาราไทย’ ในการแข่งขันกีฬาพาราลิมปิกเกมส์ 2024 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส

โดย ทัพนักกีฬาพาราลิมปิกไทยทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม คว้าเหรียญได้มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ 6 เหรียญทอง 11 เหรียญเงิน และ 13 เหรียญทองแดง เหรียญรวม 30 เหรียญ

สรุปผลงานทัพไทย 6 เหรียญทอง, 11 เหรียญเงิน และ 13 เหรียญทองแดง อยู่อันดับ 21 ของตารางเหรียญ นับเป็นผลงานดีสุดในประวัติศาสตร์ ของการร่วมแข่งขันพาราลิมปิกเกมส์ ดีกว่าผลงานเดิม 6 ทอง 6 เงิน 6 ทองแดง เมื่อปี 2016 ที่บราซิล

สำหรับเกณฑ์เงินรางวัลนักกีฬาพาราลิมปิกเกมส์ จากกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ เหรียญทอง 7.2 ล้านบาท, เหรียญเงิน 4.8 ล้านบาท และเหรียญทองแดง 3 ล้านบาท

ฟังเพลง ‘ไปต่อ’ ได้ที่ : https://www.facebook.com/share/v/7zFj1ZURPR3t4AtW/ 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top