Wednesday, 28 May 2025
NewsFeed

‘ปิยสวัสดิ์’ เผยสถานะ ‘การบินไทย’ จ่อยื่นขอพ้นแผนฟื้นฟูกิจการ ในปี 68 ย้ำ!! ไม่กลับเป็น ‘รัฐวิสาหกิจ’ อีก มุ่งบริหารแบบคล่องตัว-ไร้การแทรกแซง

(13 ก.ย. 67) สำนักข่าว ‘กรุงเทพธุรกิจ’ ได้เผยแพร่บทความบทสัมภาษณ์ของ ‘นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ประธานคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ถึงทิศทางดำเนินงานหลังออกจากแผนฟื้นฟูกิจการ โดยระบุว่า เป็นเวลา 4 ปี ที่เข้าสู่การฟื้นฟูกิจการนับตั้งแต่วันที่ 14 ก.ย. 63 ก่อนที่ศาลล้มละลายกลางจะเห็นชอบแผนฟื้นฟูกิจการเมื่อวันที่ 20 ต.ค. 65

ปัจจุบันการดำเนินงานตามแผนฟื้นฟูแล้วเสร็จต่อเนื่องทั้งการปรับโครงสร้างองค์กร คุมรายจ่าย ปรับลดพนักงานจาก 30,000 คน เหลือ 15,000 คน และปัจจุบันปรับเพิ่มมาอยู่ที่ 17,000 คน ซึ่งเป็นอัตราที่เพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจภายใต้จำนวนเครื่องบินที่มี 79 ลำในปี 2567 และจะเพิ่มต่อเนื่องถึง 100 ลำ

ขณะเดียวกันการบินไทยทำตามเงื่อนไขเพื่อขอออกจากแผนฟื้นฟูกิจการ โดยกำหนดผลสำเร็จของแผนฟื้นฟูกิจการที่ต้องแล้วเสร็จรวม 4 เงื่อนไข ได้แก่ 

1.การเพิ่มทุนจดทะเบียน โดยต้องดำเนินการจดทะเบียนเพิ่มทุน และได้รับสินเชื่อใหม่ตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในแผน และมีจำนวนที่เพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจ

2.ดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการ ไม่ผิดนัดชำระหนี้ได้ติดต่อกัน 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งเห็นชอบด้วย 

3.มีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จากการดำเนินงานหลังหักเงินสดจ่ายหนี้สินตามสัญญาเช่าซื้อเครื่องบิน เฉลี่ยไม่น้อยกว่า 2 หมื่นล้านบาทต่อปี ใน 2 ปีก่อนจะรายงานผลสำเร็จของแผนฟื้นฟู

4.การแต่งตั้งคณะกรรมการใหม่ ในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้น

“ผลการดำเนินงานขณะนี้กลับมาเป็นบวก กำไรปีก่อนดีที่สุดเท่าที่เคยดำเนินธุรกิจมา และเงื่อนไข EBITDA ไม่น้อยกว่า 2 หมื่นล้านบาท ก็ทำได้แล้ว เหลือเพียงการทำให้ส่วนทุนเป็นบวก ซึ่งเตรียมออกหุ้นกู้ แปลงหนี้เป็นทุน ถ้าทำได้เรียบร้อยจะทำให้ได้เงิน 8 หมื่นล้านบาท และส่วนทุนกลับมาเป็นบวก”

>>เตรียมยื่นไฟลิ่งเข้าซื้อขายตลาดหุ้น

นายปิยสวัสดิ์ กล่าวว่า การดำเนินงานที่เป็นบวกต่อเนื่องและทำให้บรรลุเงื่อนไข EBITDA ไม่น้อยกว่า 2 หมื่นล้านบาท ขณะนี้การบินไทยอยู่ช่วงฟื้นฟูกิจการขั้นสุดท้ายที่ต้องทำให้ส่วนทุนเป็นบวก 

โดยเตรียมยื่นแบบแสดงรายงานข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ และร่างหนังสือชี้ชวน (Filing) ให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ภายใน 30 ก.ย.นี้

หลังจากนั้นภายในเดือนพ.ย.2567 จะเริ่มกระบวนการใช้สิทธิ และแจ้งเจตนาแปลงหนี้เป็นทุนของเจ้าหนี้แต่ละกลุ่ม และภายในเดือนธ.ค.2567 จะเข้าสู่กระบวนการเสนอขาย และจองซื้อหุ้นเพิ่มทุน สำหรับผู้ถือหุ้นก่อนบริษัท เข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ พนักงานบริษัท และนักลงทุนแบบเฉพาะเจาะจง (Private Placement : PP)

รวมทั้งหลังเริ่มกระบวนการปรับโครงสร้างทุน ซึ่งจะทำให้การบินไทยมีส่วนทุนเป็นบวกนั้น อาจต้องใช้เวลา 2 เดือน เพื่อตรวจสอบงบการเงิน และประกาศงบการเงินงวดปี 2567 ในช่วงเดือนก.พ.2568 หลังจากนั้นจะเริ่มยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายกลางเพื่อขอออกจากแผนฟื้นฟูกิจการ และหุ้นของบริษัท กลับเข้าซื้อขายใน ตลท.ภายในไตรมาส 2 ปี 2568

>>การบินไทยเดินหน้าแปลงหนี้เป็นทุน

สำหรับการปรับโครงสร้างทุนตามแผนฟื้นฟูกิจการแบ่งเป็น การแปลงหนี้เป็นทุน ด้วยราคา 2.5452 บาทต่อหุ้น โดยมาจากเงินต้นเจ้าหน้าที่ตามแผนแปลงหนี้เป็นทุน ซึ่งกลุ่มนี้ประกอบด้วย เจ้าหนี้กลุ่มกระทรวงการคลัง แปลงหนี้สัดส่วน 100% ของมูลหนี้เป็นทุน

เจ้าหนี้กลุ่ม 5 (สถาบันการเงินที่มีสิทธิตามสัญญาโอนสิทธิในการรับเงินจากการขายเครื่องบิน), เจ้าหนี้กลุ่ม 6 (สถาบันการเงินไม่มีประกัน) และเจ้าหนี้กลุ่มที่ 18-31 (เจ้าหนี้ผู้ถือหุ้นกู้) แปลงหนี้สัดส่วน 24.50% ของมูลหนี้เป็นทุน และส่วนเจ้าหนี้กลุ่ม 5-6 และเจ้าหนี้ผู้ถือหุ้นกู้ ยังแปลงหนี้เป็นทุนเพิ่มเติมคิดเป็นไม่เกิน 75.50%

ขณะเดียวกันกรณีเจ้าหนี้ใช้สิทธิตามข้อ 2 ไม่ครบ การบินไทยจะเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนด้วยราคาเสนอขายเป็นไปตามที่ผู้บริหารแผนกำหนด โดยไม่ต่ำกว่า 2.5452 บาทต่อหุ้น มีจำนวน 9,822 ล้านหุ้น บวกกับจำนวนหุ้นที่เหลือจากสิทธิตามข้อ 2 โดยเสนอขายเป็นตามลำดับ ประกอบด้วย ผู้ถือหุ้นเดิมก่อนการปรับโครงสร้างทุน หลังจากนั้นเสนอขายส่วนที่เหลือให้พนักงานการบินไทย และส่วนที่เหลือเสนอขายให้นักลงทุนแบบเฉพาะเจาะจง รวมจำนวนหุ้นจากการปรับโครงสร้างทุนไม่เกิน 31,500 ล้านหุ้น

>>ไม่ควรกลับไปเป็นรัฐวิสาหกิจ

ทั้งนี้ หลังปรับโครงสร้างทุนตามแผนฟื้นฟูกิจการจะทำให้สัดส่วนการถือหุ้นของกระทรวงการคลังลดจาก 48% เหลือ 30-40% แน่นอนว่าสถานะการบินไทยจะไม่กลับไปเป็นรัฐวิสาหกิจอีก ซึ่งจะทำให้บริหารธุรกิจคล่องตัว ทำงานเต็มที่ และไม่มีการแทรกแซงจากภายนอก

นอกจากนี้แม้กระทรวงการคลังจะซื้อหุ้นเพิ่มเติมหลังกลับเข้าซื้อขายใน ตลท.ได้ แต่ไม่ควรทำเช่นนั้นเพราะจะทำให้กลับไปเป็นแบบเดิม บริษัทต้องบริหารงานภายใต้การให้ความสำคัญข้อกฎหมาย และกฎระเบียบรัฐที่ใช้เวลาเกิน 50% ของการประชุมต้องพิจารณากฎระเบียบ ขณะที่ปัจจุบันเวลาส่วนใหญ่กว่า 95% พิจารณาประเด็นธุรกิจ ดังนั้นสถานะปัจจุบันจึงคล่องตัวมากกว่า

อีกทั้งเจ้าหนี้ส่วนใหญ่ต้องการให้การบินไทยอยู่สถานะบริษัทเอกชน เพราะต้องการให้บริหารงานแบบที่เป็นอยู่เพื่อสร้างรายได้ต่อเนื่อง และมีความสามารถ ในการจ่ายคืนหนี้ อีกทั้งเพื่อทำให้การบินไทยมีผู้ถือหุ้นหลากหลายและมีความเชี่ยวชาญทางธุรกิจมากขึ้น

“การเปิดขายหุ้นให้กลุ่ม PP เป็นแนวทางที่จะทำให้การบินไทยมีผู้ลงทุนหน้าใหม่ ซึ่งเป็นเรื่องดีเพราะจะมีผู้ถือหุ้นที่เชี่ยวชาญด้านการบินเข้ามา เพราะไม่อยากเห็นการบินไทยเป็นแบบเดิม คิดแบบราชการ การแต่งตั้งโยกย้ายเป็นไปด้วยการวิ่งเต้น ถ้าได้ผู้ถือหุ้นมีความรู้ด้านการบินนับเป็นเรื่องที่ดีกว่า”

ทั้งนี้ การบินไทยเริ่มเจรจาหาพันธมิตรเข้ามาซื้อหุ้นในกลุ่มที่จะเสนอขายให้นักลงทุนแบบเฉพาะเจาะจง ซึ่งเป็นทุนต่างชาติ และอยู่ในธุรกิจสายการบิน เพราะปัจจุบันในไทยไม่มีสายการบินใดที่บริหารกิจการ และทำรายได้ดีกว่าการบินไทย ดังนั้นต้องหาพันธมิตรจากต่างประเทศ คาดว่าได้ข้อสรุปเร็วๆ นี้ แต่จะซื้อหุ้นในสัดส่วนเท่าไรต้องรอดูจำนวนหุ้นที่เหลือจากการแปลงหนี้เป็นทุน

นายปิยสวัสดิ์ กล่าวว่า บทเรียนความผิดพลาดที่การบินไทยจะไม่กลับไปดำเนินการอีก ประเด็นสำคัญคือ เรื่องคน การเอาคนมาบริหารองค์กรต้องเป็นคนที่ทำงานได้ เพราะหากผู้บริหารไม่เก่ง ได้ตำแหน่งมาจากการวิ่งเต้น และการแทรกแซง ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตจะกลับไปเป็นการบินไทยแบบเดิม ดังนั้นต้องดูเรื่องนี้ให้ดี เพราะไม่อยากให้การบินไทยกลับไปซ้ำรอยเดิม

‘ลาว’ เตือน!! น้ำท่วม หลัง ‘แม่น้ำโขง’ เพิ่มสูง พื้นที่ลุ่มต่ำเตรียมขนย้ายของไปยังที่ปลอดภัย

(13 ก.ย. 67) สำนักข่าวซินหัว เปิดเผยว่า หน่วยงานสภาพอากาศของลาว ได้ประกาศเตือนน้ำท่วมเนื่องจากระดับน้ำของแม่น้ำโขง และแม่น้ำสาขาสายหลักยังคงเพิ่มขึ้นตามฝนที่ตกหนักหลายวันทั่วลาว พร้อมเตือนสาธารณชนในพื้นที่ลุ่มต่ำเตรียมขนย้ายสิ่งของไปยังที่ปลอดภัย

สำนักอุตุนิยมวิทยาและอุทกวิทยา สังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของลาว ระบุว่าระดับน้ำของแม่น้ำโขงที่แขวงหลวงพระบางในวันพฤหัสบดี (12 ก.ย.67) อยู่ที่ 19.02 เมตร ซึ่งสูงเกินระดับอันตรายที่กำหนดไว้ 18 เมตร

ขณะระดับน้ำของแม่น้ำโขงในแขวงอุดมไซอยู่ที่ 29.90 เมตร ซึ่งสูงเกินเกณฑ์เตือนภัยที่กำหนดไว้ 29 เมตร และเกือบแตะระดับอันตรายที่กำหนดไว้ 30 เมตร ส่วนระดับน้ำของแม่น้ำโขงในแขวงไชยบุรีอยู่ที่ 13.95 เมตร ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์เตือนภัย (15 เมตร) และระดับอันตราย (16 เมตร)

ด้านระดับน้ำของแม่น้ำโขงในเมืองปากซันของแขวงบอลิคำไซอยู่ที่ 11.15 เมตร ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์เตือนภัย (13.50 เมตร) และระดับอันตราย (14.50 เมตร) ส่วนระดับน้ำของแม่น้ำโขงในนครหลวงเวียงจันทน์อยู่ที่ 11.45 เมตร ซึ่งเกือบแตะเกณฑ์เตือนภัย (11.50 เมตร) และระดับอันตราย (12.50 เมตร)

ทั้งนี้ ภาคเหนือของลาวกำลังเผชิญน้ำท่วมครั้งรุนแรงที่สุดในรอบหลายปี หลังจากพายุโซนร้อนยางิทำให้เกิดฝนตกหนักต่อเนื่องจนแม่น้ำหลายสายมีระดับน้ำเพิ่มขึ้นและเอ่อล้นตลิ่ง โดยบรรดาหน่วยงานรัฐบาลลาวเร่งจัดสรรยานพาหนะและความช่วยเหลืออื่นๆ เข้าช่วยเหลือประชาชนขนย้ายสิ่งของและปศุสัตว์

จี้รัฐ! ทำประชามติกาสิโนฯ - ภท.ชี้ ร่าง กม.มีปัญหา สส.ประชาชน ย้ำ! คนคลองเตยไม่เอา

วงประชุมโฟกัสกรุ๊ป 'กาสิโนถูกกฎหมาย...ทางรอดประเทศไทยจริงหรือ?' จัดโดย มสส.และ สสสย. เผย! '4 วิทยากร' ไม่คัดค้านแบบไร้เหตุผล พร้อมแนะรัฐบาลต้องทำรอบคอบ เปิดเวทีทำประชามติเข้มข้น แนะรัฐบาลปรับเงื่อนไขผ่อนปรน ปิดช่องทุนใหญ่ต่างชาติฮุบรายเดียว ชี้! ควรลดไซส์ ขยายในพื้นที่ที่มีความพร้อม เชื่อดึงเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจไทย ด้าน สส.ภูมิใจไทย เห็นปัญหากฎหมายนี้ ขณะที่ สส.ประชาชน ยืนยันคนคลองเตยไม่เอาด้วยแน่

เมื่อเวลา 10.30 น. (13 ก.ย.67) ณ ห้องบุษบงกช เอ ชั้น 2 โรงแรมยอรัล ริเวอร์ บางพลัด กรุงเทพฯ, มูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ (มสส.) ร่วมกับ เครือข่ายสื่อมวลชนขับเคลื่อนสุขภาวะเพื่อสังคมไทยยั่งยืน (สสสย.) จัดประชุม โฟกัส กรุ๊ป 'กาสิโนถูกกฎหมาย...ทางรอดประเทศไทยจริงหรือ?' โดยมีวิทยากรเข้าร่วมเวสวนา ประกอบด้วย นายกรวีร์ ปริศนานันทกุล ส.ส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย นายภัณฑิล น่วมเจิม สส.เขตวัฒนา-คลองเตย พรรคประชาชน ดร.มล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี กรรมการบริหารและรองประธานด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ และ นายศักดา แซ่เอียว (เซีย ไทยรัฐ) ประธาน สสสย. โดยมี นายจิระ ห้องสำเริง สื่อมวลชนอาวุโส เป็นผู้ดำเนินรายการ

นายอภิวัชร์ เกตุทัต ประธาน มสส. กล่าวว่า ในการแถลงนโยบบายของรัฐบาลต่อรัฐสภาเมื่อวานนี้ (12) มี 2 นโยบายจาก 10 นโยบายเร่งด่วนที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้แถลงไว้ โดยเฉพาะนโยบายข้อที่ 4 ว่าด้วยเศรษฐกิจนอกระบบที่จะต้องนำธุรกิจบนดินขึ้นมาไว้บนดิน ทำให้เข้ามาอยู่ในระบบภาษี และนโยบายข้อที่ 7 ว่าด้วยการส่งเสริมด้านการท่องเที่ยว โดยการสร้างแหล่งท่องเที่ยว เช่น เอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ ขึ้นมา ซึ่งทั้ง 2 ข้อเกี่ยวพันกับบ่อนคาสิโน ซึ่งมีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย หลายคนอาจมีข้อสงสัยว่าสิ่งนี้จะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจและดึงดูนักท่องเที่ยวเข้าประเทศไทย เพื่อนำไปสู่การสร้างรายได้เข้าประเทศได้จริงหรือ? เนื่องจากอาจเกิดผลกระทบต่อเนื่องตามมาต่อประชาชน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภาระหนี้สิน, ความสัมพันธ์ในครอบครัว, ปัญหาการฆ่าตัวตาย รวมปัญหาคอร์รัปชั่นของเจ้าหน้าที่รัฐ และปัญหาการฟอกเงิน ดังนั้น การจะทำให้สิ่งนี้เป็นเรื่องถูกฎหมาย ผู้เกี่ยวข้องต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ รับฟังทุกเสียงจากสังคมให้มากกว่านี้

“มีคำถามตามมาว่า ถ้ามีหรือไม่มีบ่อนคาสิโน เศรษฐกิจไทยจะอยู่รอดหรือไม่รอดอย่างนั้นหรือ? ประเด็นคือทำอย่างไรจึงสร้างความสมดุลระหว่างปัญหาเศรษฐกิจและปัญหาทางสังคม รวมถึงรัฐบาลจะรับมือกับผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเรื่องนี้ได้อย่างไร? การจัดงานนี้ เกิดจากความร่วมมือระหว่าง มสส. กับ สสสย. ที่ต่างมีบทบาทในการส่งเสริมให้ข้อมูลและความรู้เกี่ยวกับสุขภาวะของสังคมไทย จึงคาดหวังจะเห็นทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะนักการเมืองที่จะมีบทบาทในการถ่วงดุล เพื่อลดปัญหาความไม่เหมาะสมต่อการดำเนินนโยบายของรัฐบาล” ประธาน มสส. กล่าว

ด้าน นายกรวีร์ ปริศนานันทกุล ส.ส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า การนำสิ่งที่อยู่ใต้ดินขึ้นมาบนดิน และทำให้ถูกกฎหมายเป็นเรื่องที่ดี ซึ่งนโยบายเอ็นเตอร์เทนเมนท์คอลเพล็กซ์ ก็มีเรื่องกาสิโนรวมอยู่ในนั้นด้วย ปัญหาคือใครจะเป็นผู้ให้สัมปทาน ผลประโยชน์ที่รัฐบาลจะได้มันคุ้มค่าหรือไม่? การจะมองเพียงรายได้เพียงอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ จะต้องมองถึงผลเสียด้วย โดยเฉพาะผลกระทบทางสังคมที่จะมีตามมาหากรัฐบาลควบคุมไม่ได้ ทั้งนี้ ส่วนตัวคิดว่ารัฐบาลควรเป็นเจ้าภาพทำในเรื่องนี้ 

“การมีคาสิโน คนไทยจะเป็นคนจ่ายค่าความเสียหายทางสังคม ขณะที่คนได้ประโยชน์คือคนทำธุรกิจฯ ส่วนตัวผมไม่อยากเห็นผลประโยชน์ไปตกอยู่กับกลุ่มนายทุน จึงอยากให้รัฐบาลเป็นคนทำในเรื่องนี้” นายกรวีร์ กล่าวและว่า เท่าที่ตนได้เห็นร่าง พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร (เอ็นเตอร์เทนเม้นท์คอมเพล็กซ์) ยังรู้สึกไม่เห็นด้วย เพราะเนื้อหาส่วนใหญ่พุ่งเป้าไปที่การมีคาสิโน ขณะที่การกำหนดเงื่อนไขทั้งในส่วนของกลุ่มทุนที่สนใจจะเข้าลงทุนและการกำหนดคุณสมบัติของคนไทยที่จะเข้าไปเล่นพนันยังมีความไม่เหมาะสม ทั้งนี้ ตนอยากให้รัฐบาลแก้ไขกฎหมายเก่าที่มีอยู่ โดยเฉพาะ พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ. 2478 ที่อยู่ในความดูแลของกระทรวงมหาดไทย เพื่อให้ครอบคลุมธุรกิจพนันรูปแบบใหม่ๆ ในปัจจุบันด้วย

ส่วน นายกัณฑิล น่วมเจิม สส.เขตวัฒนา-คลองเตย พรรคประชาชน กล่าวว่า ตนเห็นด้วยการนำธุรกิจใต้ดินขึ้นมาอยู่บนดิน เพื่อที่รัฐบาลจะมีรายได้เข้ามาเสริมกับการจัดเก็บรายได้ภาษีที่ปีนี้ยังจัดเก็บได้ต่ำกว่าเป้าราว 2-3% ซึ่งการมีมาตรการสร้างแรงจูงใจเพื่อให้ธุรกิจใต้ดินขึ้นมาอยู่บนดินนั้น รัฐบาลจะต้องทำประชามติรับฟังเสียงจากประชาชน เนื่องจากสิ่งนี้จะมีผลกระทบตามมา ทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคม ไม่เว้นแม้กระทั่ง ผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อม หลายคนเชื่อว่าสิ่งนี้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวได้ แต่การจะเห็นผลได้ชัดนั้น จะเกิดขึ้นต่อเมื่อมีนักท่องเที่ยวมาเมืองไทยเพื่อการนี้เป็นการเฉพาะ

สำหรับนโยบายเอ็นเตอร์เทนเม้นท์คอมเพล็กซ์นั้น ตนเห็นว่ารัฐบาลยังขาดความชัดเจนว่าจะเน้นอะไรมากกว่ากัน พรรคประชาชนไม่ได้คัดค้านนโยบายนี้ แต่เห็นว่ารัฐบาลควรจะลดสเปคการลงทุน รวมถึงกระจายการลงทุนไปยังพื้นที่รอบนอก ไม่ใช่มากระจุกตัวอยู่เฉพาะในเมืองหลวง ที่หากรวมกับนโยบายเช่าที่ดิน 99 ปีไปด้วยแล้ว ก็จะยิ่งสร้างปัญหาตามมา โดยเฉพาะราคาที่ดินที่จะแพงขึ้น เป็นการทำลายโอกาสการเป็นเจ้าของที่ดินของคนไทยได้ ทั้งนี้ ตนขอยืนยันว่า คนคลองเตยไม่มีใครเห็นด้วยกันเรื่องนี้ หากจะสร้างเอ็นเตอร์เทนเม้นท์คอมเพล็กซ์ในพื้นที่ท่าเรือคลองเตย เชื่อว่าจะมีปัญหาอย่างแน่นอน

ขณะที่ ดร.มล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี กรรมการยุทธศาสตร์และรองประธานด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า วงประชุมในวันนี้ ตนน่าจะมีประสบการณ์ตรงกับเรื่องบ่อนคาสิโนมากที่สุด เพราะในสมัยที่เป็นหัวหน้านักเรียนไทยในสหรัฐฯ โดยเฉพาะเมืองลาสเวกัส ซึ่งเป็นที่ตั้งบ่อนคาสิโนจำนวนมาก ตนมีหน้าที่คอยดูแลและติดตามนักเรียนไทยจากบ่อนคาสิโนให้กลับมาเข้าเรียน โดยมีนักเรียนไทยหลายคนที่เข้าไปเล่นพนันทั้งที่ยังขอเงินจากพ่อแม่ผู้ปกครอง หลายคนได้ขอเกินวงเงินที่ใช้จ่ายจริง เนื่องจากต้องนำไปเล่นพนันในบ่อนคาสิโน หลายคนเรียนไม่จบ บางคนต้องเลิกเรียนและย้ายเมืองหนีไป นโยบายเอ็นเตอร์เทนเม้นท์คอมเพล็กซ์จึงเป็นจึงเป็น “ดาบสองคม” ที่จะส่งผลเสียต่อสังคมไทย เนื่องจากผู้ลงทุนต้องหวังผลกำไรและส่งรายได้กลับประเทศตัวเอง ขณะที่ผู้เล่นซึ่งส่วนใหญ่ก็คือคนไทยจะเป็นคนจ่ายเงินให้กับธุรกิจนี้ จึงมีคำถามตามมาว่า ที่สุดรัฐบาลคาดหวังจะเติมเงินในกระเป๋าให้กับคนไทย หรือต้องการจะดูดเงินออกจากกระเป๋าคนไทยกันแน่

“มันไม่ต่างจากนโยบาย “อบายมุขเสรี” คำถามคือ คนไทยจะร่ำรวยได้จากนโยบายอย่างนี้จริงหรือ?” ดร.มล.กรกสิวัฒน์ ระบุและว่า หากรัฐบาลตั้งเชื่อ พ.ร.บ.ฉบับนี้ให้ตรงกับภารกิจ เชื่อว่าจะช่วยให้การตอบคำถามสังคมทำได้ง่ายขึ้น ทั้งนี้ จากที่ตนได้อ่านกฎหมายแม่ทั้ง 69 มาตรา เห็นว่าไม่มีอะไรน่าสนใจ แต่กับกฎหมายลูกดูแล้วน่าจะกังวลใจมากกว่า เนื่องจากยังมีช่องโหว่หลายเรื่อง และการศึกษาที่รัฐบาลทำไว้ก็ยังทำได้ไม่ครบ แม้รัฐบาลจะอ้างว่ามีการจัดตั้งองค์กรขึ้นมาดูแลและวางเงื่อนไขในการเข้าไปเล่นพนัน แต่มันจะได้คุ้มเสียหรือไม่? เพราะแม้เมืองลาสเวกัสจะเลือกพื้นที่ทะเลทรายเป็นที่ตั้งบ่อนคาสิโน ดูแล้วเหมือนจะได้ประโยชน์ แต่ก็ยังมีข้อเสีย นั่นคือ เกิดปัญหาการก่ออาชญากรรม มีการปล้น วิ่งราว ทะเลาะวิวาท ตามมา

ขณะที่ นายศักดา แซ่เอียว (เซีย ไทยรัฐ) ประธาน สสสย. กล่าวว่า เรื่องบ่อนคาสิโนคงไม่มีใครมองเห็นภาพอนาคตได้ดีเท่ากับนักการเมืองบางคนย่านเตาปูน ดังนั้น เมื่อรัฐบาลจำเป็นต้องสร้างโครงการขึ้นมาเพื่อหารายได้มาใช้จ่ายในการบริหารประเทศ โดยเฉพาะเอ็นเตอร์เทนเม้นท์คอมเพล็กซ์ ก็ควรจะทำให้มันจบในสภาผู้แทนราษฎร  ดึงเอาความร่วมมือของ สส.มาร่วมพิจารณาว่าจะเอาหรือไม่? ส่วนตัวมองว่าเมืองไทยจำเป็นจะต้องมีแลนด์มาร์กแห่งใหม่ นอกเหนือจากพระบรมมหาราชวังและวัดพระแก้วที่มีอยู่ โดยการต่อยอดในสิ่งที่มีอยู่ ซึ่งคงไม่ต่างจากนโยบายซอฟท์ พาวเวอร์ ที่รัฐบาลกำลังดำเนินการ โดยมีเป้าหมายที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ ดึงเม็ดเงินเข้ามาในประเทศ ทั้งนี้ ในส่วนของคาสิโนอาจต้องศึกษาในสิ่งที่รัฐบาลสิงคโปร์และญี่ปุ่นได้ดำเนินการมาก่อนหน้านี้ โดยหากรัฐบาลตัดสินใจเดินหน้าต่อ ส่วนตัวเชื่อว่าก็น่าจะทำได้ ไม่ต่างจากการสร้างสนามบินสุวรรณภูมิที่ต้องเวลานานถึง 40 ปี

ในช่วงที่ 2, วิทยากรได้สรุปมุมมองเอาไว้อย่างน่าสนใจ เริ่มจาก นายกรวีร์ ปริศนานันทกุล ส.ส.อ่างทอง ที่ระบุว่า เท่าที่ตนฟังเพื่อนวิทยากรไม่มีใครคัดค้านเรื่องเอ็นเตอร์เทนเม้นท์คอมเพล็กซ์ แต่หากจะมีควรกระจายไปยังพื้นที่ต่างๆ ที่มีความพร้อมและต้องการจริง ไม่ใช่แค่เกิดขึ้นเฉพาะในกรุงเทพฯ หรือ จ.ชลบุรี และควรลดไซส์การลงทุนให้เล็กลง ที่สำคัญ รัฐบาลควรเป็นเจ้ามือเอง โดยศึกษาบทเรียนที่สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลออกสลากกินแบ่งฯ ซึ่งคนไทยเชื่อมั่นในความเป็นเจ้ามือของหน่วยงานรัฐแห่งนี้ ขณะที่ นายกัณฑิล น่วมเจิม ระบุว่า การเดินหน้าจัดทำโครงการเอ็นเตอร์เทนเม้นท์คอมเพล็กซ์ จะต้องไม่มีการ 'ตีเช็คเปล่า' ให้กับฝ่ายบริหาร เพราะอาจกลายเป็นเปิดโอกาสให้มีการทุจริตในโครงการหรือมีการกระทำที่ไม่เหมาะสมได้ โดยหากเมืองไทยจะมีคาสิโน ต้องเป็นแบบที่สิงคโปร์มี ไม่ใช่แบบพม่าหรือกัมพูชา ส่วน ดร.มล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี กล่าวเสริมว่า หากจำเป็นจะต้องมีเอ็นเตอร์เทนเม้นท์คอมเพล็กซ์ รัฐบาลควรเปิดให้มีการประมูลของกลุ่มทุนเพื่อให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรมและสร้างรายได้เข้าประเทศเพิ่มขึ้น รวมถึงควรลดขนาดลงทุนให้เหมาะสม ที่สำคัญจะต้องไม่มีการใช้ 'ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่รัฐ' ส่วน นายศักดา แซ่เอียว ย้ำว่า ตนเห็นด้วยกับการสร้างรายได้จากเอ็นเตอร์เทนเม้นท์คอมเพล็กซ์ แต่รัฐบาลต้องคำนึงถึงคุณภาพชีวิตของประชาชน รวมถึงติดตามผลกระทบที่จะเกิดขึ้นตามมาด้วย 

ในส่วนของการแสดงความเห็นของสื่อมวลชนที่เข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ มีประเด็นที่น่าสนใจ โดยเฉพาะมุมมองของ นายวิเชษฐ์ พิชัยรัตน์ สื่ออาวุโสและผู้ดำเนินการข่าวเข้มประเด็นข้น เอฟเอ็ม 96.5 อสมท. กล่าวว่า ผู้ฟังรายการของตน มีทั้งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย หลายคนได้สะท้อนความเห็นในเรื่องนี้มากมาย ส่วนตัวมี 2 ประเด็นที่จะนำเสนอ คือ 1.การมีส่วนร่วมของสังคมไทยต่อนโยบายสาธารณะที่เกี่ยวข้องกับปัญหาทางด้านเศรษฐกิจและสังคม และ 2.ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นตามมา ทั้งนี้ จากที่ตนได้ศึกษาสิ่งที่เกิดขึ้นกับประเทศเพื่อนบ้านของไทย โดยเฉพาะที่กัมพูชา พบว่ามีอาชีพใหม่เกิดขึ้นจากคาสิโน นั่นคือ การปล่อยเงินกู้ให้กับนักพนัน โดยหากมีกำไรจะต้องนำมาแบ่งกัน แต่หากเสียพนัน ผู้กู้จะต้องรับภาระการชำระคืนในภายหลัง ซึ่งรัฐบาลควรศึกษาทั้ง 2 ประเด็นนี้ให้ดี

'เจ้าของร้านยำ' แชร์อุทาหรณ์ โดนเก็บภาษีย้อนหลังอ่วม 6 ปี 2.5 ล้านบาท 'ยอมรับสภาพ-ไม่โทษใคร' พร้อมเข้าถกสรรพากรเคลียร์หนี้ตามสเต็ป

(13 ก.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในโลกออนไลน์มีการแชร์คลิปอุทาหรณ์ประสบการณ์การเรียกภาษีย้อนหลัง เจ้าของร้านยำชื่อดัง 'ยำยำ บาย ฟร้องซ์' ซึ่งมีผู้ติดตาม ช่องติ๊กต็อก 'frong_1571' กว่า 2.7 ล้านคน ได้ออกมาแชร์ประสบการณ์ที่ตนเองโดนภาษีย้อนหลัง 6 ปี จำนวนเงิน 2.5 ล้านบาท

ฟร้องซ์ ได้อัดคลิปอธิบายเรื่องราวที่เกิดว่า ตอนนี้ยอมรับเลยไม่มีเงินที่จะจ่ายและเกิดภาวะเครียด ที่เว้นระยะหายไปจากการลงวิดีโอ ก็เพราะต้องไปจัดการเรื่องภาษี พูดตรง ๆ อาจถึงขั้นล้มละลายได้เลย เรื่องนี้ไม่ได้โทษใครนะ เพราะเราเป็นฝ่ายทำไม่ถูกต้องเอง ถ้าเกิดใครที่มีรายได้สูง ทุกคนจะต้องจ่ายภาษี ตอนนี้ที่โดนอยู่ก็หนักพอสมควร ได้เริ่มทยอยขายของออกไปบ้างเพื่อใช้หนี้ที่มี

แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะจัดการส่วนของหนี้ภาษี ทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องยอมรับสภาพหนี้ แล้วก็พยายามหาเงินมาจ่ายสรรพากรตามกำหนด ส่วนหนี้อื่น ๆ หนี้โรงงาน ก็ต้องเคลียร์ไปตามสเต็ป ยอมรับว่าเป็นอะไรที่แย่สุด ๆ

ฟร้องซ์ ยังเล่าอีกว่า ก่อนหน้านี้ เคยขายของออนไลน์ เป็นตัวแทนจำหน่ายแบรนด์หนึ่ง รับสินค้ามาในราคา 78 บาท ขายให้ตัวแทนอีกรายในราคา 79 บาท และสินค้าอีกตัวได้รับมา 105 บาท ขายต่อในราคา 110 บาท ซึ่งก็ไม่ได้มีกำไรเยอะ แต่เมื่อปี 65 ฟร้องซ์ได้รวบรวมเงินจากตัวแทนหลายคนส่งให้เจ้าของแบรนด์เป็นก้อน ซึ่งแน่นอนว่าอาจดูว่าบัญชีมีรายได้เยอะ ทางเจ้าหน้าที่สรรพากรมีข้อมูลพวกทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม ฟร้องซ์ บอกว่าตอนนี้ได้มีการพูดคุยกับสรรพากร ได้ข้อสรุปแล้วจากเดิมที่ต้องจ่ายเกือบ 2.5 ล้าน นำเอกสารเข้าอธิบายที่มาของเงิน จึงได้ข้อสรุปว่าจะต้องจ่ายเงินจริงไม่สูงเท่าตอนแรก แบ่งเป็นค่าปรับประมาณ 1 ล้าน และค่า Vat 7% + เงินเพิ่ม + ดอกเบี้ย 1.5% เป็นกรณีที่มีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ซึ่งทำอะไรไม่ได้นอกจากเดินหน้าสู้ต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากเรื่องดังกล่าว เมื่อโพสต์ถูกแชร์ออกไป สังคมออนไลน์แห่เข้าไปคอมเมนต์วิพากษ์วิจารณ์ล้นหลาม พร้อมพากันส่งกำลังใจให้มองเรื่องนี้เป็นบทเรียนของชีวิต

'รมว.เอกนัฏ' สั่งพักหนี้ SME ที่ได้รับผลกระทบทันที พร้อมสั่งการจัดส่งถุงยังชีพเพิ่มช่วยผู้ประสบภัย

(13 ก.ย. 67) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า จากสถานการณ์อุทกภัยรุนแรงในพื้นที่ในภาคเหนือ ส่งผลกระทบชีวิตผู้คนทั้งในบ้านเรือนและโรงงานอุตสาหกรรมเป็นวงกว้าง ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรม ได้มีการสรุปรายงานสถานการณ์อุทกภัยที่ผ่านมา รวมทั้ง 14 จังหวัดที่ได้รับผลกระทบ มีสถานประกอบการได้รับความเสียหาย จำนวน 61 ราย คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 42.1 ล้านบาท และมีผู้ประกอบการ SME รายย่อย ได้รับผลกระทบโดยตรงและโดยอ้อม จำนวนไม่ต่ำกว่า 505 ราย (ข้อมูล ณ วันที่ 11 กันยายน 2567)

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนและสถานประกอบการ ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย จึงได้กำชับให้ทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เตรียมให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน ขณะนี้ทางปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม (นายณัฐพล รังสิตพล) ได้มอบหมายให้สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด (สอจ.) ในพื้นที่ที่ประสบอุทกภัย เร่งสำรวจความเสียหายของสถานประกอบการที่ได้รับผลกระทบว่ามีกี่ราย เสียหายอย่างไรบ้าง และเร่งส่งมอบถุงยังชีพ 'อุตสาหกรรมรวมใจ MIND ไม่ทิ้งกัน' ซึ่งเป็นการร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ เอกชน สถานประกอบการ โรงงานอุตสาหกรรมทั่วประเทศ ผ่านกิจกรรม 'อุตสาหกรรมรวมใจ ช่วยพี่น้องชาวไทย' บรรจุเครื่องอุปโภคบริโภคและสิ่งของจำเป็นถุงยังชีพรวมใจส่งมอบรอยยิ้ม เพื่อเป็นกำลังใจให้กับผู้ประสบอุทกภัยในการก้าวข้ามช่วงเวลาที่ยากลำบากไปได้

นอกจากนั้นยังเตรียมแผนการเยียวยาเต็มรูปแบบ หลังพื้นที่ประสบภัยน้ำเริ่มลดลง ให้หน่วยงานในสังกัด อก. เร่งเข้าไปให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการและประชาชน โดย...

1) จัดเตรียมเจ้าหน้าที่ ทีมวิศวกร หรือช่างชุมชนของโครงการอาชีพช่าง เข้าปรับปรุง ซ่อมแซม ฟื้นฟู เครื่องจักร ระบบไฟฟ้า 

2) จัดส่งเจ้าหน้าที่เข้าประเมินสภาพปัญหาให้คำปรึกษาปัญหาธุรกิจ วางแผน ฟื้นฟูสถานประกอบการ ผ่านศูนย์บริการธุรกิจอุตสาหกรรมดีพร้อม (DIPROM BSC) 

3) จัดส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปให้คำปรึกษาฟื้นฟูกระบวนการผลิต ระบบคุณภาพ GMP/HACCP/GHP มาตรฐานความปลอดภัย ผ่านศูนย์ DIPROM Center ในพื้นที่ส่วนภูมิภาค เพื่อให้ผู้ประกอบการและประชาชนสามารถกลับมาดำเนินการได้อย่างปกติโดยเร็ว 

4) การพักชำระหนี้ 3 เดือน สำหรับลูกหนี้กองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีฯ

"หลังน้ำลดและสถานการณ์คลี่คลาย ผมและคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม จะเร่งลงพื้นที่เพื่อเข้าให้ความช่วยเหลือสถานประกอบการและพี่น้องประชาชนโดยรอบ ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรม ขอร่วมส่งกำลังใจให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในครั้งนี้ ให้ทุกท่านผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้และกลับมาดำเนินชีวิตในรูปแบบปกติได้โดยเร็ว และจะเดินเคียงข้างพี่น้องประชาชนให้ก้าวข้ามช่วงเวลาที่ยากลำบากไปได้" รมว.เอกนัฏ กล่าวทิ้งท้าย

‘นักเรียนกรุงเทพคริสเตียนฯ’ คว้ารางวัล ‘Dow Innovation Award’ จากผลงาน ‘ผลิตไบโอดีเซลจากขยะการเกษตร ช่วยลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์’

(13 ก.ย. 67) เว็บไซต์ศูนย์ข่าวพลังงาน รายงานความสามารถของเด็กไทย ในการผลิตไบโอดีเซลจากขยะทางการเกษตร ช่วยลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ต้านโลกร้อน และคว้ารางวัล Dow Innovation Award ได้สำเร็จ ระบุข้อความว่า…

“โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย คว้ารางวัล Dow Innovation Award จากผลงานเรื่อง ‘การลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์และการผลิตไบโอดีเซลจากการย่อยสลายและการเปลี่ยนขยะทางการเกษตรโดยหนอนแมลงวันลาย’ รับทุนการศึกษา 30,000 บาท จากกลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย (Dow) ซึ่งสนับสนุนเด็กไทยในระดับมัธยมศึกษาจากทั่วประเทศในการพัฒนาทักษะด้านวิทยาศาสตร์…

“โดยได้คัดเลือกโครงงานที่ส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนและการใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เพื่อขจัดปัญหาความท้าทายต่าง ๆ ของสังคม ภายใต้การประกวด ‘Prime Minister’s Science Award 2024’ ซึ่งจัดโดยกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยมีวิศวกรผู้เชี่ยวชาญจากกลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย เป็นผู้มอบรางวัลให้กับนายภูดล ศรีรัตนา และนายปพนพัชร์ วิรุฬห์ไววุฒิ นักเรียนเจ้าของโครงการฯ พร้อมกับนางสาววนิดา ภู่เอี่ยม ครูที่ปรึกษาโครงการฯ ณ องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ จังหวัดปทุมธานี”

'ครูเดวิด' ดึงสติคนไทย จงภูมิใจในประเทศชาติ หากรู้ว่าเขาไม่ชอบเราเท่าไร จะอุดหนุนไปเพื่อ?

เมื่อไม่นานมานี้ ช่องติ๊กต็อก ‘David William’ ของ ‘ครูเดวิด วิลเลียม’ ครูสอนภาษาอังกฤษชื่อดังแห่งโลกโซเชียล ได้โพสต์คลิปวิดีโอในหัวข้อ ‘ถ้าพวกเขาไม่ชอบเราจริง ๆ เราควรเลิกอุดหนุนเขานะ’ ผ่านมุมมองของคนอเมริกันที่เคยอยู่ในบริบทของคู่ขัดแย้งระดับโลกอย่าง ‘สหรัฐฯ-จีน’ มาแชร์ให้เห็นถึงภาพที่ใกล้เคียงกับปมขัดแย้งระหว่างชนสองชาติ ‘ไทย-เกาหลีใต้’ ในปัจจุบัน โดยมีเนื้อหาที่น่าสนใจ ดังนี้… 

เรื่องดรามาระหว่าง ‘คนไทย’ กับ ‘เกาหลีใต้’ ตอนนี้ มีกรณีหนึ่งที่อยากให้ดูเป็นตัวอย่าง โดยนี่เป็นเรื่องของความภูมิใจในประเทศตัวเอง และไม่ยอมประเทศหรือคนในประเทศที่เกลียดเขา ว่าพวกเขาปฏิบัติตัวต่อกันอย่างไร 

ตัวอย่างประเทศที่กล่าวถึง คือ ‘สหรัฐอเมริกา’ ถามว่าสหรัฐฯ มีข้อเสียไหม แน่นอนว่ามี แล้วก็ไม่ใช่ประเทศที่สมบูรณ์แบบในทุกเรื่องด้วย แต่สิ่งที่คนอเมริกันจะรู้สึกเหมือนกันเรื่องหนึ่งคือ ‘ความภูมิใจ’ โดยพวกเขาจะไม่ยอมให้ใครหรือประเทศไหนที่ไม่ชอบเขามาเกี่ยวข้องด้วย เช่น จีน ที่สังเกตได้ว่า ไม่ว่าจีนจะขายของให้สหรัฐฯ แค่ไหนก็ตามแต่ เช่น รถยนต์ไฟฟ้า, มือถือ สหรัฐฯ จะใส่ภาษีเข้าไปหนักมาก พูดง่าย ๆ ถ้าคิดจะนำสินค้าจีนมาขายในสหรัฐฯ จะต้องโดนภาษีหนักกว่ารายอื่น ๆ ที่ไม่ได้มาจากจีน

ถามว่าสิ่งนี้เป็นเพราะอะไร?

เพราะเขามองว่า ‘จีน’ ไม่เป็นมิตรกับคนอเมริกัน และทั้งสองประเทศนี้ ก็ไม่ได้ชอบกันเท่าไร เช่นเดียวกันกับ ‘ประเทศจีน’ ที่ก็ไม่ได้ชอบใช้สินค้าจากสหรัฐฯ ด้วยเช่นกัน และจะใช้แต่ของจากประเทศตัวเองด้วย

เรื่องนี้ไม่ได้จะบอกว่า ประเทศไหนดีหรือไม่ดี แต่อยากจะสะท้อนให้เห็นว่า ถ้าเราสังเกตประเทศเหล่านี้ (สหรัฐฯ-จีน) พอเขารับทราบว่าใครไม่ชอบตน เช่น จีนรับทราบว่า อเมริกันไม่ชอบพวกเขา และสหรัฐฯ ก็รับทราบว่าคนจีนไม่ชอบพวกเขา ต่างคนต่างก็จะไม่ยุ่งกัน เพราะเขามี ‘ศักดิ์ศรี’

ดังนั้น สิ่งที่ผมอยากจะเห็นจากประเทศไทย คือ อยากให้คนไทยมีความภูมิใจแบบนี้ ผมไม่ได้บอกว่าประเทศใดดีกว่าใคร ทุกคนเท่าเทียมกันหมด แต่อย่างน้อย ถ้า ‘ประเทศไทย’ รับทราบว่า ‘ประเทศเกาหลีใต้’ ไม่ได้ชอบเราเลย แล้วทำไมทุกวันนี้เรายังเลือกจะไปอุดหนุนเขาอีก...เพื่ออะไร?

ผมไม่เข้าใจว่า เรารับทราบ ว่าเขาดูถูกเรา ไม่ชอบเรา แต่ยังบ้าเขา ชอบเขา ยังอุดหนุนเขาไม่หยุด อย่างน้อย ๆ เราควรมีศักดิ์ศรี และภูมิใจในความเป็นไทยหรือไม่

ประเทศไทยก็เป็นประเทศหนึ่ง ที่มีทั้งข้อดีและข้อเสีย แต่อย่างน้อยสิ่งหนึ่งที่เราควรตระหนัก คือ เราไม่ควรจะทนกับประเทศหนึ่ง ที่ดูถูกพวกเราโดยไร้เหตุผล

แน่นอน คนเกาหลีใต้ ดี ๆ ที่ให้เกียรติคนไทยก็มีอยู่มาก แต่จากภาพรวมวันนี้ คนไทยเราน่ารักเกินไปกับทุกเรื่อง และได้เวลาแล้วที่วันนี้เราควรจะรู้ตัว เมื่อเขาดูถูกเรา และไม่จำเป็นต้องอุดหนุนเขาในทุกสิ่งบ้างก็ได้

'ฉลอง ภักดีวิจิตร' เสียชีวิตอย่างสงบด้วยโรคชรา สิริอายุ 93 ปี ปิดตำนาน 'เจ้าพ่อหนังแอ็กชัน-ระเบิดภูเขาเผากระท่อม'

(13 ก.ย. 67) เพจเฟซบุ๊ก 'ดาราภาพยนตร์' ได้แจ้งเรื่องเศร้าคนบันเทิง ปิดตำนาน ระเบิดภูเขาเผากระท่อม 'อาหลอง-ฉลอง ภักดีวิจิตร' ศิลปินแห่งชาติ เสียชีวิตอย่างสงบด้วยโรคชรา สิริอายุ 93 ปี

สำหรับ ฉลอง ภักดีวิจิตร หรือชื่อจริงว่า บุญฉลอง ภักดีวิจิตร เป็นผู้กำกับภาพยนตร์และผู้กำกับละครโทรทัศน์ชาวไทย มีฉายาที่วงการภาพยนตร์ขนานนามให้คือ เจ้าพ่อหนังแอ็คชั่น มีผลงานกำกับภาพยนตร์ไทยอย่าง เรื่อง ทอง และ ทอง 2 ทางด้านงานละคร ฉลองเป็นผู้บุกเบิก ละครแนวแอ็กชันของทางช่อง 7 สี คือ ระย้า นำแสดงโดยพีท ทองเจือ กับฉัตรมงคล บำเพ็ญ และยังมีผลงานกำกับละครอีกมากมาย อาทิ อังกอร์, ทอง 5, ล่าสุดขอบฟ้า, อังกอร์ 2, เหล็กไหล, ฝนเหนือ, ชุมแพ, ทอง 9, ผ่าโลกบันเทิง, เสาร์ 5 ฯลฯ

นอกจากนี้ยังได้รับการยกย่องให้เป็น ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ผู้กำกับภาพยนตร์) ประจำปี พ.ศ. 2556 และเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566 ฉลอง ภักดีวิจิตรได้ถูกบันทึกลงใน บันทึกสถิติโลกกินเนสส์ ว่าเป็นผู้กำกับการแสดงที่มีอายุมากที่สุดในโลก (Oldest TV Director) (อายุวันที่จดสถิติ 1 กันยายน 2565 คือ 90 ปี 297 วัน)

'แกนนำก้าวหน้า' แซะ!! ประเทศไหนพึ่งพา 'อาสาฯ-เงินบริจาค' ก็แปลว่าภาครัฐพึ่งพาไม่ได้ ไม่รู้จะเสียภาษีให้ไปทำไม

(13 ก.ย. 67) นายชำนาญ จันทร์เรือง แกนนำคณะก้าวหน้า ได้โพสต์รูปและข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

"ประเทศไหนที่พึ่งพาอาสาสมัครและเงินบริจาคจากประชาชนเป็นหลักในการแก้ไขปัญหาภัยพิบัติแสดงว่าบริการสาธารณะของภาครัฐประเทศนั้นพึ่งไม่ได้ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะเสียภาษีให้รัฐประเภทนี้ไปทำไม"

‘ไพบูลย์’ ฟ้อง!! 'หมาแก่-ช่อง 9' เรียก 50 ล้าน ระงับออนแอร์ 'เจาะลึกทั่วไทย' หลังปล่อยคลิปเสียงคล้ายคนบ้านป่า ทำคนเข้าใจผิด-เสื่อมเสียชื่อเสียง

(13 ก.ย. 67) นายไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวกรณีที่มีการนำเสนอคลิปหลุดเสียง 'ลุงบ้านป่า' ว่า ในสัปดาห์หน้าจะยื่นฟ้องดำเนินคดี นายดนัย เอกมหาสวัสดิ์ ผู้จัดรายการ 'เจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand', รักษาการผู้อำนวยการใหญ่ และสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 MCOT ต่อศาลอาญา ในข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา โดยประชาชนทั่วไปเข้าใจว่าเป็นเสียงของตน ทำให้ตนเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง และคลิปเสียงดังกล่าวมีที่มาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จากกรณีเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2567 นายดนัย เอกมหาสวัสดิ์ ได้นำคลิปเสียงเผยแพร่ผ่าน รายการ 'เจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand' ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 9

“จะยื่นฟ้องนายดนัย เอกมหาสวัสดิ์, รักษาการผู้อำนวยการใหญ่ และ สถานีโทรทัศน์ ช่อง 9 MCOT ต่อศาลแพ่งเรียกค่าเสียหายจำนวน 50 ล้านบาท และ ในวันจันทร์ที่ 16 กันยายนนี้ ผมจะยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เพื่อให้ตรวจสอบการกระทำของสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 MCOT ที่เผยแพร่คลิปเสียงที่มีที่มาไม่ชอบด้วยกฎหมายขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน เพื่อขอให้ กสทช. มีคำสั่งให้สถานีโทรทัศน์ช่อง 9 MCOT ระงับการออกอากาศรายการ 'เจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand' ตาม มาตรา 37 แห่งพระราชบัญญัติประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์” นายไพบูลย์ กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top