Saturday, 7 June 2025
NewsFeed

กองทัพเรือ นำเรือ ต.94 และเรือ ต.95 เป็นอุทยานการเรียนรู้ใต้ท้องทะเล เกาะจวง สัตหีบ

เมื่อวันที่ (3 ก.ย.67) เวลา 08.30 น. พลเรือเอก อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผู้บัญชาการทหารเรือ ประธานกรรมการอำนวยการโครงการอนุรักษ์แนวปะการังและสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลไทย ในพระดำริสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา เป็นประธานประกอบพิธีนำเรือ ต.94 และ เรือ ต.95 ไปจัดวางเป็นอุทยานการเรียนรู้ใต้ท้องทะเล บริเวณทิศตะวันออกของเกาะจวง อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี พร้อมด้วยคณะกรรมการอำนวยการโครงการอนุรักษ์แนวปะการังและสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลไทย ในพระดำริสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ผู้แทนหน่วยงานสนองพระดำริ และเจ้ากรมกิจการพลเรือนทหารเรือ ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการอำนวยการโครงการฯ กำลังพลกองทัพเรือ หน่วยงานสนองพระดำริ ประชาชน นักเรียนจากโรงเรียนในพื้นที่กว่า 300 คน ร่วมในพิธีดังกล่าว

สำหรับพิธีนำเรือ ต.94 และ เรือ ต.95 ไปจัดวางเป็นอุทยานการเรียนรู้ใต้ท้องทะเล ประกอบด้วย พิธีบำเพ็ญกุศลทักษิณานุปทาน และพิธีเปิดโครงการอุทยานการเรียนรู้ใต้ท้องทะเล การจัดแสดงนิทรรศการของหน่วยงานสนองพระดำริ นิทรรศการประวัติ เรือ ต.94 และ เรือ ต.95 ณ สโมสรสัญญาบัตร กองเรือยุทธการ และพิธีจัดวางเรือ ต.94 และเรือ ต.95 บริเวณเกาะจวง พิธีกล่าวอำลา พิธีวางพวงมาลา การเป่าแตรนอน การให้สัญญาณชักหวูดนำเรือลงใต้ทะเล การเปิดคลุมป้ายโครงการฯ บริเวณชายหาดเกาะจวง และการปล่อยน้ำเข้าเรือ เพื่อนำเรือลงสู่ใต้ทะเล ณ เรือหลวงกระบุรี

โครงการอุทยานการเรียนรู้ใต้ท้องทะเล ภายใต้โครงการอนุรักษ์แนวปะการังและสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลไทย ในพระดำริสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา มีวัตถุประสงค์ เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดีแด่ พระบรมวงศานุวงศ์ และปลูกจิตสำนึกในการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล โดยนำเรือ ต.94 และ เรือ ต.95 ไปจัดวางเป็นอุทยานการเรียนรู้ใต้ท้องทะเลให้เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ทะเลชายฝั่ง เป็นแหล่งอาหารที่อุดมสมบูรณ์ เป็นแหล่งที่อนุบาลหรือยึดเกาะของตัวอ่อนปะการัง รวมทั้งจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวใต้ทะเลในพื้นที่จังหวัดชลบุรี แห่งใหม่ เป็นการขยายกลุ่มนักท่องเที่ยวที่แออัด อันจะทำให้ปะการัง ได้มีเวลาพักฟื้นและเจริญเติบโตต่อไป

สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงมีเจตนารมณ์ ที่จะอนุรักษ์แนวปะการัง กัลปังหา และสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลไทย และทรงห่วงใยปัญหาความเสื่อมโทรม ของทรัพยากรธรรมชาติใต้ทะเล จึงโปรดให้มีการจัดตั้งมูลนิธิและโครงการ “อนุรักษ์แนวปะการังและสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลไทย” ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อให้แนวปะการัง กัลปังหา และสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลไทย ได้รับการอนุรักษ์รวมทั้งได้รับการฟื้นฟูระบบนิเวศทางทะเล และสัตว์ทะเลไม่ถูกทำลาย อีกทั้งยังเป็นการกระตุ้นและปลูกจิตสำนึก ให้ประชาชนได้เห็นถึงคุณค่าของทรัพยากรทางทะเล นำไปสู่ความสมดุลทางธรรมชาติ และการพัฒนาที่ยั่งยืนสืบไป

กองทัพเรือ ได้ตระหนักถึงความสำคัญและประโยชน์ของการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล จึงได้จัดทำโครงการนำเรือ ต.94 และ เรือ ต.95 ไปจัดวางเป็นอุทยานการเรียนรู้ใต้ท้องทะเล ณ บริเวณทิศตะวันออกของเกาะจวง ภายใต้โครงการอนุรักษ์แนวปะการังและสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลไทย ในพระดำริสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา เพื่อสนองพระดำริ ที่ทรงมีเจตนารมณ์ที่จะอนุรักษ์แนวปะการัง กัลปังหา และสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลไทย โดยทรงห่วงใยปัญหาเรื่องความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติใต้ทะเล การทำร้ายสัตว์ทะเลด้วยน้ำมือมนุษย์โดยตั้งใจหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เป็นแหล่งฝึกศึกษาให้กับนักเรียนฝึกดำน้ำ เป็นการสร้างแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลแห่งใหม่ในพื้นที่จังหวัดชลบุรี เป็นการลดผลกระทบจากการท่องเที่ยวดำน้ำในแนวปะการังตามธรรมชาติ และเปิดโอกาสในการพักฟื้นตัวของแหล่งท่องเที่ยวแนวปะการังธรรมชาติให้สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างยั่งยืน ตลอดจนเป็นการช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวให้เป็นแหล่งรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ต่อไป

เรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่ง ต.94 และ ต.95 เป็นเรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่งชุดเรือ ต.91ซึ่งประกอบด้วยเรือ ต.91, เรือ ต.92, เรือ ต.93, เรือ ต.94, เรือ ต.95, เรือ ต.96, เรือ ต.97, เรือ ต.98 และเรือ ต.99 รวมทั้งสิ้น 9 ลำ สร้างโดยกรมอู่ทหารเรือ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2510 - 2530 นับเป็นเรือตรวจการณ์สมัยใหม่ชุดแรก ที่กองทัพเรือไทยสร้างเองในประเทศ ตามพระราชดำริ และพระบรมราชวินิจฉัยของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้แก่กองทัพเรือไทยเป็นล้นพ้น พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงมีพระราชดำริว่า กองทัพเรือเราควรต่อเรือประเภทนี้ไว้ใช้เองบ้าง ทั้งนี้ด้วยเรือยนต์รักษาฝั่งมีบทบาทสำคัญ เช่น ในการปราบปราม และป้องกันการลักลอบลำเลียงอาวุธ และกำลังคนของฝ่ายก่อการร้ายเข้ามาใน่านน้ำอาณาเขตของประเทศเรา ในระหว่างการต่อเรือ ต.91 กองทัพเรือ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระองค์ โดยทรงให้สถาบันวิจัยและทดสอบ แบบเรือของต่างประเทศช่วยทดสอบแบบเรือลำนี้ทางเทคนิคต่าง ๆ ให้  และได้พระราชทานคำแนะนำจนถึงทรงร่วมทดลองเรือในทะเลด้วยพระองค์เอง กองทัพเรือยังคงสานต่อพระราชปณิธานอย่างต่อเนื่องสืบมา ในการปรับปรุงแบบเรือและสร้างเพิ่มเติม เช่น เรือ ต.92, ต.93, ต.94, ต.95, ต.96, ต.97, ต.98,ต.99, ต.991, ต.994

ซึ่งทำให้ กองทัพเรือสามารถสร้างเรือรบเองได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริมสร้างรั้วทางทะเลให้เข้มแข็ง อีกทั้งยังทำให้องค์บุคคลของกองทัพเรือ ได้มีการพัฒนาความรู้ ความสามารถ และก้าวไปสู่การต่อเรือขนาดใหญ่ต่อไป

สำหรับ เรือ ต.94 ขึ้นระวางประจำการเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2526 และปลดประจำการเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2562 และเรือ ต.95 ขึ้นระวางประจำการเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2525 และปลดประจำการเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2562 โดยเรือทั้ง 2 ลำ สังกัดหมวดเรือที่ 2 กองเรือยามฝั่ง กองเรือยุทธการ

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี ชลบุรี 

'อนุทิน' เข้ม รุดให้กำลังใจตำรวจและฝ่ายปกครอง พื้นที่ อ.บุ่งคล้า จ.บึงกาฬ หลังสกัดจับยาบ้าล๊อตใหญ่กว่า 7 ล้านเม็ด และขยายผลจับกุมผู้ค้าได้ทันควัน

ตามนโยบายรัฐบาลในการปราบปรามยาเสพติด โดยมุ่งกวาดล้างจับกุมเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติดทั้งรายใหญ่และรายย่อยให้หมดสิ้นไป ตำรวจภาค 4 ได้ร่วมบูรณาการกับภาคีเครือข่ายในภาคอีสานเหนือ ได้แก่ ฝ่ายปกครอง ทหาร องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น และหน่วยร่วมอื่นๆในพื้นที่ ในการปราบปราม กวาดล้างจับกุมยาเสพติด ตามนโยบายดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง

(4 ก.ย. 67) ที่ตำรวจภูธรภาค 4 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รักษาการรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เดินทางมาเป็นประธานการแถลงข่าว พร้อมด้วย พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ภ 4, พล.ต.ต.ธนชาติ รอดคลองตัน รอง ผบช.ภ.4, พล.ต.ต.ณัฐนนท์ ประชุม  รอง ผบช.ภ.4 , พล.ต.ต.นพเก้า โสมนัส ผบก.สส.ภ.4 , พล.ต.ต.วิญญู อำนวยทรัพย์ ผบก.ภ.จว.บึงกาฬ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองในพื้นที่ ร่วมกันแถลงข่าวจับกุมยาเสพติดรายใหญ่ ผู้ต้องหา 1 คน ยาบ้า 7,000,000 เม็ด พร้อมขยายผล เตรียมจับกุมผู้ร่วมขบวนการอีกหลายราย
จากการบูรณาการร่วมกันระหว่างตำรวจ สภ.บุ่งคล้า ภ.จว.บึงกาฬ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ทราบว่าจะมีการลักลอบขนยาเสพติดล็อตใหญ่เข้ามาในเขตพื้นที่ จึงร่วมกันเฝ้าระวังป้องกัน ต่อมาวันที่ 1 ก.ย.67 เวลาประมาณ 05.10 น. ขณะที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง กำลังร่วมกันตรวจตราพื้นที่รับผิดชอบ บริเวณสามแยกทางเข้าบ้านหนองคังคา หมู่ 4 ต.หนองเดิ่น อ.บุ่งคล้า จ.บึงกาฬ พบรถกระบะ หมายเลขทะเบียน 1 ขฮ 73xx กรุงเทพมหานคร บรรทุกสิ่งของเต็มท้ายรถ จอดอยู่ริมถนนโดยไม่ดับเครื่องยนต์ จึงเข้าไปตรวจสอบ ระหว่างนั้นคนขับรถได้เปิดประตูรถวิ่งหลบหนีเข้าป่าข้างทาง ตรวจสอบท้ายกระบะพบกระสอบสีดำ 16 กระสอบ ภายในบรรจุยาบ้ารวม 7,000,000 เม็ด พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ภ.4 จึงได้สั่งการให้ ตำรวจ บก.สส.ภ.4 เร่งสืบสวนจับกุมผู้ต้องหาที่หลบหนีให้ได้โดยเร็ว จากการสืบสวนทราบว่า ผู้ขับขี่รถคันดังกล่าวคือ นายธีรเดช อายุ 32 ปี ภูมิลำเนาอยู่ที่ หมู่ 3 ต.ดงมูล อ.หนองกุงศรี จ.กาฬสินธุ์ จากนั้นตำรวจ บก.สส.ภ.4 ได้ติดตามไปจับกุมตัวนายธีรเดช ได้ที่บริเวณหน้า บขส.เก่า ในพื้นที่ อ.เมือง จ.อุดรธานี เมื่อเวลา 17.10 น.ของวันเดียวกัน(1 ก.ย.67) ขณะกำลังหลบหนี จากการสอบถามนายธีรเดช รับสารภาพว่า เป็นคนขับรถกระบะที่บรรทุกยาบ้าดังกล่าวจริง โดยมีการติดต่อซื้อขายกับเครือข่าย ผ่านช่องทางแมสเซนเจอร์ ชื่อ 'พารวย พารวย' ก่อนจะไปลำเลียงยาบ้าทั้งหมดมาจากประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อมาส่งขายในประเทศไทย เบื้องต้นแจ้งข้อกล่าวหา นายธีรเดช ในความผิดฐาน "ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) โดยการมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย อันก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน และทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไป" นำส่ง พงส.สภ.บุ้งคล้า ดำเนินคดี

จากการขยายผลเบื้องต้น ทราบว่า ผู้ต้องหาให้ได้ขนยาเสพติดมาหลายครั้ง โดยมีผู้ร่วมขบวนการทั้งในประเทศไทยและจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งตำรวจภาค 4 จะได้สืบสวนจับกุมผู้ร่วมขบวนการมาดำเนินคดี และยึดอายัดทรัพย์ของเครือข่ายทั้งหมดตามกฎหมายต่อไป

ทัพเรือภาคที่ 1 ฝึกปฏิบัติการร่วมกับท่าเรือประจวบ

เมื่อวานนี้ (4 ก.ย.67) พลเรือโทสุระศักดิ์ สิงขรวัฒน์ ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 มอบหมายให้ นาวาเอกอโศก ศรีสวัสดิ์ รองเสนาธิการ ทัพเรือภาคที่ 1 เป็นประธานเปิดการฝึกปฏิบัติการร่วม ทัพเรือภาคที่ 1 กับบริษัท ท่าเรือประจวบ จำกัด ในการฝึกซ้อมแผนรักษาความปลอดภัยท่าเรือและเรือ ตาม ISPS Code ภายใต้รหัสการฝึก Naval Security Prachuap Port  Exercise 2024 : 'NAPPEX’24'

โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน รวมทั้งทำการทดสอบแผนเผชิญเหตุ มาตรการรักษาความปลอดภัย และการปฏิบัติของส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้มีความพร้อมรับสถานการณ์เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่ปกติ ในพื้นที่เขตท่าเรือ และนำผลลัพธ์ที่ได้มาปรับปรุงมาตรการรักษาความปลอดภัยของบริษัท/ท่าเรือ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

ซึ่งมีกำหนดการฝึกฯ ระหว่างวันที่ 4 - 5 กันยายน 2567 ประกอบด้วย การบรรยายเชิงวิชาการ การฝึกซ้อมแผน รูปแบบการฝึกภาคสนามภาคทะเล ของหน่วยงานต่าง ๆ ในพื้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ประกอบด้วย บริษัท ท่าเรือประจวบ จำกัด กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 14 โรงพยาบาลบางสะพาน โดยทัพเรือภาคที่ 1 จัดกำลังพลฝ่ายอำนวยการ ทัพเรือภาคที่ 1 ร.ล.กระบุรี และชุดปฏิบัติการพิเศษ หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ จากกองเรือยุทธการ เข้าร่วมการฝึก ในครั้งนี้

'พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ' มอบประกาศเกียรติคุณ 'ทำดี มีรางวัล' ให้กับตำรวจจราจร ช่วยเหลือคนพิการนั่งวีลแชร์ข้ามถนน

เมื่อวานนี้ (4 ก.ย. 67) เวลา 11.00 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มอบใบประกาศเกียรติคุณตามโครงการ 'ทำดี มีรางวัล' ให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ 2 นาย คือ ร.ต.ต.บัญชา คำบุบผารอง สว.(จร.) สภ.เสม็ด และ ส.ต.อ.บารมี​ ศิลา​เชษฐา​นันท์ ผบ.หมู่ (ป.)​ สภ.เสม็ด จ.ชลบุรี

โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2567 เวลาประมาณ 13.00 น. ในขณะที่ ร.ต.ต.บัญชา คำบุบผารอง สว.(จร.) สภ.เสม็ด และ ส.ต.อ.บารมี ศิลาเชษฐานันท์ ผบ.หมู่ (ป.) สภ.เสม็ด ปฏิบัติหน้าที่อยู่ ได้พบเห็นหญิงผู้พิการซึ่งนั่งเก้าอี้รถเข็นสำหรับคนพิการ หรือ วีลแชร์ บริเวณใต้สะพานต่างระดับวัดบางเป้ง ต.เสม็ด อ.เมืองชลบุรี จ.ชลบุรี โดยหญิงคนดังกล่าวมีความพยายามจะข้ามถนน แต่ไม่สามารถข้ามได้ เนื่องจากมีรถจำนวนมากสัญจรไปมาด้วยความเร็วสูง ตลอดจนมีความเหนื่อยล้าจากสภาพอากาศที่ร้อนจัด และมือที่ใช้หมุนล้อมีอาการอักเสบปวดพอง เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง 2 นาย จึงได้เข้าทำการช่วยเหลือ ส่งหญิงคนดังกล่าวถึงที่หมายที่ต้องการได้อย่างปลอดภัย โดยประชาชนผู้พบเห็นเหตุการณ์ได้บันทึกวีดีโอ และเหตุการณ์ดังกล่าวได้ถูกส่งต่อเผยแพร่ในสังคมออนไลน์ ได้รับกระแสความชื่นชมในวงกว้าง

ทั้งนี้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ กล่าวว่า ขอขอบคุณและชื่นชม เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง 2 นาย ที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยหัวใจความเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างแท้จริง เป็นที่ประจักษ์แก่สังคม สมควรได้รับการยกย่องสรรเสริญ ตามโครงการ 'ทำดี มีรางวัล' เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจ เป็นแบบอย่างที่ดีแก่สังคมสืบไป พร้อมขอให้ผู้บังคับบัญชาทุกระดับส่งเสริมข้าราชการตำรวจปฏิบัติหน้าที่เพื่อพี่น้องประชาชนลักษณะเช่นนี้อย่างต่อเนื่องต่อไป

'เอกนัฏ-รมว.อุตสาหกรรม' น้อมรับเสียงวิจารณ์หลังร่วมงาน 'ครม.อุ๊งอิ๊ง 1' ชี้!! ภัยคุกคามและความท้าทายของชาติเปลี่ยน ทุกคนต้องร่วมมือกัน

เมื่อวานนี้ (4 ก.ย. 67) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมป้ายแดง ในรัฐบาลนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า เคยเป็นแกนนำ กปปส.ไล่รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แต่กลับมาร่วมรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ว่า เมื่ออยู่ในการเมือง ก็ยินดีรับฟังทุกความเห็น และพิสูจน์ตัวเองด้วยการทำงาน วันนี้เรื่องของบ้านเมืองต้องมาก่อน เชื่อว่า คนที่มีจุดยืนและอุดมการณ์เดียวกัน ก็อาจมีวิธีที่ต่างกัน ตนในฐานะเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ จะต้องเลือกวิธีที่ดีที่สุด เพื่อเป็นทางออกของประเทศที่ดีที่สุด บางทีอาจเป็นทางออกทางเดียว ซึ่งยืนยันว่าอยู่ในจุดยืนนี้มาโดยตลอด คือ อุดมการณ์ในการปกป้องและรักษาสถาบัน ที่เป็นเสาหลักของประเทศ

เมื่อถามว่าจะเสียแนวร่วมหรือกลุ่มสนับสนุนไปหรือไม่? นายเอกนัฏ กล่าวว่า ตนไม่ทราบ แต่ขอให้ผลงานกับระยะเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ "ทุกความเห็น ไม่ว่าจะเป็นคำด่าหรือคำติชม ยินดีรับฟัง อาชีพนักการเมืองเป็นอาชีพที่ผมรัก และยึดมั่นในอุดมการณ์ที่จะทำงานเพื่อประเทศชาติมาโดยตลอด ก็จะตั้งใจทำงานให้คุ้มค่ากับโอกาสที่ได้รับ"

เมื่อถามว่ามีหลายคนใช้คำแรงว่า เราหักอุดมการณ์ตัวเอง? นายเอกนัฏ กล่าวว่า "เข้าใจ เพราะตนมายืนอยู่ในตรงนี้ อาชีพนี้ การตัดสินใจและจะทำอะไรต่างๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ยืนยันว่า ได้เลือกทางที่ดีที่สุด ณ จังหวะเวลานี้ ภัยคุกคามและความท้าทายของประเทศมันเปลี่ยนไป ตอนนี้เป็นจังหวะสำคัญที่เราต้องร่วมมือกัน"

เมื่อถามว่าสามารถทำงานได้สนิทใจหรือไม่ กับลูกของนายทักษิณ ชินวัตร? นายเอกนัฏ กล่าวว่า "ก็ต้องทำล่ะครับ วันนี้ขอให้คิดถึงบ้านเมืองเป็นหลัก มันก็สามารถทำงานด้วยกันได้ เราไม่ได้ลืม เราไม่ได้ลบ แต่เราเลือก"

เมื่อถามว่าได้พูดคุยเรื่องนี้กับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตแกนนำ กปปส. หรือไม่? นายเอกนัฏ กล่าวว่า "ตนยังคงพูดคุยกับทุกคนปกติ ตนเข้าใจแล้วที่ผ่านมาไม่อยากพูดมาก แต่ไม่ได้แปลว่าไม่รับฟัง เข้าใจว่าคนที่ตำหนิมามีความปรารถนาดี ก็ต้องรับฟังและปรับปรุงตัว แต่ย้ำว่าตลอดชีวิตการทำงานการเมืองที่ผ่านมามีจุดยืน ในครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง"

เมื่อถามถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่าไปเป็นพยานให้ นายทักษิณ ชินวัตร คดี 112 ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร? นายเอกนัฏ กล่าวว่า "ความจริงมีหมายเรียกจากเจ้าหน้าที่ตำรวจมา ไม่ได้ไปโดยพลการ ซึ่งหากไม่ไป ก็จะต้องถูกหมายจับ จึงต้องไปทำหน้าที่ตามกฎหมาย อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ หากยังมีข้อสงสัย ตนก็จะหาโอกาสที่แจ้งอย่างเป็นทางการอีกครั้ง"

เมื่อถามถึงเรื่องของคุณสมบัติ ที่มีการท้วงติงกันก่อนหน้านี้? นายเอกนัฏ กล่าวว่า "การตรวจสอบคุณสมบัติไม่ใช่หน้าที่ของตน ซึ่งเมื่อดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ก็ถือว่าเป็นไปตามมาตรฐานการตรวจสอบแล้ว เนื่องจากคดีของตนมีคำพิพากษาของศาลออกมาแล้ว ดังนั้น ที่จะมีการไปร้องให้ตรวจสอบ ขอไม่พูดถึง เดินหน้าทำงานดีกว่า"

เด็ก 14 กราดยิงโรงเรียนมัธยม ‘รัฐจอร์เจีย’ ทำครู-นักเรียนดับ 4 ศพ เผยประวัติ เคยถูกสอบปากคำเมื่อปีก่อน ฐานโพสต์ขู่กราดยิง

(5 ก.ย. 67) สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานว่า ตำรวจสหรัฐฯ ควบคุมตัวเด็กชายวัย 14 ปี ซึ่งใช้อาวุธปืนยิงใส่ครูและนักเรียนเสียชีวิตรวม 4 ศพ และมีผู้บาดเจ็บอีก 9 คน ที่โรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งในรัฐจอร์เจีย เมื่อวันพุธ (4 ก.ย.) กลายเป็นเหตุกราดยิงสะเทือนขวัญครั้งล่าสุดที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาตั้งแต่เริ่มเปิดภาคการศึกษาใหม่

เด็กชายต้องสงสัยถูกตำรวจควบคุมตัวภายในเวลาไม่นาน หลังเกิดเหตุกราดยิงขึ้นที่โรงเรียน Apalachee High School ในเมืองวินเดอร์ รัฐจอร์เจีย โดยตามรายงานระบุว่า เด็กคนนี้เคยถูกเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายเรียกสอบปากคำเมื่อปีที่แล้วฐานโพสต์ข้อความข่มขู่กราดยิงโรงเรียนลงในสื่อออนไลน์

คริส โฮซีย์ ผู้อำนวยการสำนักงานสอบสวนประจำรัฐจอร์เจีย ระบุในงานแถลงข่าวว่า โคลต์ เกรย์ (Colt Gray) วัย 14 ปี จะถูกตั้งข้อหาและดำเนินคดีเสมือนเป็นผู้ใหญ่

จัด สมิธ ผู้ปกครองเทศมณฑลแบร์โรว์ส ระบุว่า เด็กชายคนนี้ใช้ “อาวุธปืนไรเฟิลกึ่งอัตโนมัติ” ในการก่อเหตุ และเมื่อเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่ก็ยอมจำนนหมอบราบลงกับพื้นทันที

พนักงานสอบสวนเชื่อว่าผู้ก่อเหตุกระทำการเพียงคนเดียว แต่ยังปฏิเสธที่จะเผยว่าอะไรคือมูลเหตุจูงใจ

สำหรับผู้เสียชีวิตทั้ง 4 รายแบ่งออกเป็นนักเรียน 2 คน และครูอีก 2 คน ได้แก่ เมสัน เชอร์เมอร์ฮอร์น วัย 14 ปี, คริสเตียน แอนกูโล วัย 14 ปี, ริชาร์ด แอสเพนเวลล์ วัย 39 ปี และ คริสตินา อีริมี วัย 53 ปี ส่วนผู้บาดเจ็บที่เหลือถูกนำส่งโรงพยาบาล และคาดว่าจะมีอาการดีขึ้นตามลำดับ

สำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐฯ (FBI) ได้แถลงในเวลาต่อมาว่า ทางหน่วยงานเคยตรวจสอบคำขู่ออนไลน์ว่าจะกราดยิงโรงเรียนในปี 2023 และเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายท้องถิ่นได้เรียกตัวเด็กชายวัย 13 ปีมาสอบปากคำพร้อมกับบิดาของเขา ซึ่งแม้ว่าคำแถลงของ FBI จะไม่ระบุชื่อเด็ก แต่เจ้าหน้าที่รัฐจอร์เจียยืนยันว่าเกี่ยวข้องกับผู้ก่อเหตุกราดยิงในครั้งนี้

“ผู้เป็นบิดาอ้างว่ามีปืนล่าสัตว์อยู่ในบ้าน แต่ไม่ได้ปล่อยให้ลูกชายเข้าถึงโดยปราศจากคำแนะนำ ส่วนตัวเด็กเองก็ปฏิเสธว่าไม่เคยโพสต์ข้อความข่มขู่ ทางเทศมณฑลแจ็คสันจึงได้แจ้งไปยังโรงเรียนในพื้นที่ให้เฝ้าติดตามพฤติกรรมของเด็กคนนี้” FBI ระบุ พร้อมย้ำว่าในขณะนั้นยังไม่มีเหตุอันควรให้ต้องดำเนินการจับกุม

เหตุกราดยิงครั้งนี้ยิ่งโหมกระพือข้อถกเถียงระดับชาติเกี่ยวกับมาตรการควบคุมอาวุธปืน และหลายฝ่ายได้ออกมาแสดงความโศกเศร้าที่ความสูญเสียลักษณะนี้เกิดขึ้นบ่อยเหลือเกินในสหรัฐอเมริกา

ประชาชนในเมืองวินเดอร์ซึ่งอยู่ห่างจากแอตแลนตาไปทางตะวันออกเฉียงเหนือราว 80 กิโลเมตรได้ไปรวมตัวกันที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่งในค่ำวันพุธ (4 ก.ย.) เพื่อร่วมกิจกรรมจุดเทียนไว้อาลัยแก่ผู้เสียชีวิต

'กพช.' ไฟเขียว!! ต่อเวลาชดเชยราคาน้ำมันผสมเชื้อเพลิงชีวภาพอีก 2 ปี อุ้ม!! 'กลุ่มเกษตรกร-รง.เอทานอล-ผลิตน้ำมันปาล์ม' ให้มีเวลาปรับตัว

(5 ก.ย. 67) ผู้สื่อข่าวศูนย์ข่าวพลังงาน (Energy News Center – ENC) รายงานว่าที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่มีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ซึ่งประชุมเมื่อวันที่ 4 ก.ย.2567 มีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาชดเชยราคาน้ำมันที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพออกไปอีก 2 ปี จากเดิมที่จะหมดอายุลงในวันที่ 24 กันยายน 2567 นี้ โดยจะเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาในวันที่ 17 กันยายน นี้เป็นลำดับต่อไป 

ทั้งนี้ พ.ร.บ. กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2562 ได้กำหนดให้กองทุนน้ำมันฯ ต้องยกเลิกการชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพ ทั้งกลุ่มน้ำมันแก๊สโซฮอล์ต่างๆ และน้ำมันดีเซล B7 และดีเซล B20 มาตั้งแต่ปี 2565 แต่กฎหมายเปิดโอกาสให้ขอยืดเวลาการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวได้ 2 ครั้ง ครั้งละไม่เกิน 2 ปี ซึ่งที่ผ่านมากระทรวงพลังงานได้ขอขยายเวลาการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวไปแล้วหนึ่งครั้ง โดยจะสิ้นสุดในวันที่ 24 ก.ย. 2567 นี้ ดังนั้นจะเหลือโอกาสในการขอขยายเวลาได้อีก 1 ครั้ง ซึ่งเป็นครั้งสุดท้าย โดยจะไปสิ้นสุดในวันที่ 24 ก.ย. 2569 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การขยายเวลาการบังคับใช้กฎหมายออกไปอีก 2 ปี เพื่อให้เวลาอย่างจริงจังในการประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ ช่วยเหลือกลุ่มเกษตรกรและกลุ่มโรงงานเอทานอล รวมถึงน้ำมันปาล์ม ให้มีระยะเวลาในการปรับตัวไปจำหน่ายผลผลิตในตลาดส่วนอื่นๆ แทนการนำมาผสมในน้ำมัน เช่น จำหน่ายในตลาดเครื่องสำอาง เวชภัณฑ์สุขภาพต่างๆ เป็นต้น

'อ.สุวินัย' ชี้!! ก่อนเป็นนักยุทธศาสตร์ต้องเป็นนักรบแห่งธรรมก่อน 'อยู่-ตาย' และหายใจเข้าเป็นความรับผิดชอบต่อส่วนรวม

(5 ก.ย. 67) รองศาสตราจารย์ ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊กในหัวข้อ 'ทางเลือก' คืออำนาจเดียวที่เรามี ระบุว่า…

จงภูมิใจเถิดที่เกิดมาเป็นคนของบ้านเมืองนี้ บ้านเมืองของเราอยู่ที่นี่ ไม่ใช่เป็นของตระกูลใด ไม่ได้เป็นของใครแต่ผู้เดียว 

ต่อให้บ้านเมืองของเราล่มสลายลงด้วยน้ำมือของใครหรือตระกูลใดก็ตาม มันเป็นหน้าที่ เป็นภารกิจและเป็นศักดิ์ศรีแห่งความเป็น ‘คนในชาติ’ ของแต่ละคนที่ต้องลุกขึ้นมากอบกู้บ้านเมืองและช่วยกันสร้างชาติของเราขึ้นมาใหม่อีกครั้ง

ท่ามกลางยุคสมัยที่กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อทางประวัติศาสตร์ของบ้านเมืองเรา 

คนเราแต่ละคนล้วนมี 'ทางเลือก' ว่าจะเป็นคนโฉด คนชั่ว คนอ่อนแอ คนขี้ขลาด คนเห็นแก่ตัว ซึ่งล้วนมีส่วนในการทำร้ายทำลายบ้านเมืองไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ไม่มากก็น้อย

หรือจะเลือกเป็นผู้กล้า ผู้มีปัญญา ผู้หลุดพ้น ผู้รู้แจ้ง ผู้เสียสละ ผู้เข้มแข็งเพื่อประโยชน์สุขของบ้านเมืองก็ได้ทั้งสิ้น 

ขณะนี้ มันเป็นที่ชัดเจนแล้วว่าคนทั้งโลกล้วนอยู่ท่ามกลางยุคสมัยแห่งมิคสัญญี ...สงครามใหญ่กำลังนับถอยหลังรอวันระเบิด ดุจปราสาททรายที่จะล้มครืนลงมาเมื่อใดก็ไม่รู้ 

มีแต่ 'ทางเลือก' ที่ผู้นั้นเลือกเองเท่านั้นที่บ่งบอกถึง 'ตัวตน' ของผู้นั้นอย่างชัดแจ้ง

สำหรับเขา ทางเลือกของเขานั้นชัดเจนเสมอมา ไม่ว่าจะต้องเลือกกี่ครั้ง เขาก็ไม่เคยลังเลเลยที่จะเลือกแบบนั้น ...ซึ่งเป็น 'จริยผู้กล้า' ดังต่อไปนี้

"จอมยุทธ์ชุดรัดกุม ควบอาชาต้านไพรี 
เหยียบย่ำทั่วปฐพี ทุกสิบก้าวฝ่ามารผจญ 

หนทางไกลไม่เคยล้า ล้วนมุ่งหน้าปราบทุรชน 
เสร็จเรื่องทุกแห่งหน ล้วนจากลาอย่างไร้นาม 

สามจอกให้สัจจะ ยินดีสละแม้ชีวัน 
ถ้อยคำคือคำมั่น ดุจบรรพตคู่ธรณี 

บอกไว้เป็นสักขี ว่าตัวข้าหยัดยืนทะนง 

ยามกู้สู้ยิบตา ใช้สองบ่าค้ำคีรี 
ฝากชื่อในปฐพี แม้ตายไปโลกระบือ .... "

"บทกวีจริยผู้กล้า" รจนาโดยเซียนกวีหลี่ไป๋ (李白,ค.ศ.701-762)

● จงเป็นนักรบแห่งธรรม ●

ทะเลแผดเสียงหัวเราะคำราม กระแทกเซาะชายฝั่ง
ข้าเองยังถูกม้วนซัดไปกับเกลียวคลื่นของยุคสมัย

ฟ้ายิ้มเย้ยให้กับโลกอันวุ่นวาย
มีแต่ฟ้าเท่านั้นที่รู้ว่าใครผิดใครถูก

มีแต่พสุธาเท่านั้นที่รู้ว่าใครดีใครเลว
ขุนเขาคำรามรับเสียงหัวเราะจากฟากฟ้า

คลื่นลูกเก่าเริ่มโรยรา คลื่นลูกใหม่เข้ามาทดแทน
แต่โลกยังคงหมุนเวียนสืบไปไม่รู้จบสิ้น

พวกข้ายิ้มเย้ยกับสายลม และพายุที่โหมกระหน่ำ
ใส่เปลวเทียนแห่งธรรม ที่พวกข้าร่วมกันจุดขึ้นมา

พวกข้าของปกป้องเปลวเทียนนี้สุดชีวิต
จนกว่ามันจะกลายเป็นเปลวเพลิงใหญ่
ที่ขับไล่ความมืดมิดให้หมดไปจากสังคมนี้

ก่อนเป็นนักยุทธศาสตร์ต้องเป็นนักรบแห่งธรรมก่อน

หลักการนักรบของนักรบแห่งธรรม คือการมีชีวิตอยู่และตายไปโดยปราศจากความอาลัยและความสำนึกเสียใจ

แรกสุดของการฝึกจิตเพื่อเป็นนักรบแห่งธรรม คือการที่ผู้นั้นต้อง ‘ดูจิต’ ของตนให้เป็นอย่างทะลุปรุโปร่งว่าจิตของตนมีกระบวนการทำงานเยี่ยงไร

จากนั้นก็ทำการฝึกจิตของตนให้เชื่องด้วยวิธีการอันแยบยล จนกระทั่งจิตของตนมีความอ่อนเหมาะสมแก่การใช้งาน และทำให้ผู้นั้นเป็นนายแห่งจิตใจของตนเองได้

ต่อสู้กับการคดโกงปล้นชาติโดยไม่ยำเกรง แปรเปลี่ยนการต่อสู้เพื่อบ้านเมืองให้เป็นหนทางไปสู่การเจริญเติบโตของจิตใจตนเอง

นักรบแห่งธรรมจะเฝ้าดูอารมณ์ต่าง ๆ ที่ผุดขึ้นมาอย่างแจ่มชัดและรู้ทัน โดยไม่ปล่อยให้อุปทานมาครอบงำจิตใจ

นักรบแห่งธรรมจึงรู้ดีว่าตนเองควรมองอารมณ์ของตนเยี่ยงไร และควรจัดการกับอารมณ์แต่ละอารมณ์ของตนอย่างไรถึงจะเหมาะสมกับสถานการณ์นั้น

นักรบแห่งธรรมจะบอกกับตนเองอยู่เสมอว่า ตนเองจะไม่หลบเลี่ยงไปจากความทุกข์ ความปวดร้าว แต่จะใช้มันอย่างดีที่สุดเพื่อที่ตัวเองจะได้มีจิตใจที่กรุณายิ่งขึ้น และสามารถช่วยเหลือประชาชนได้มากกว่าเดิม

นักรบแห่งธรรมล้วนตระหนักดีว่า ปีติอันใดที่มีอยู่ในโลกล้วนเกิดจากความปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุข และความทุกข์ใดที่มีอยู่ในโลกล้วนเกิดจากความปรารถนาให้ตัวเองมีความสุข

ดังนั้นนักรบแห่งธรรมจึงได้ตั้งปณิธานอันยิ่งใหญ่ให้แก่ตัวเองว่า

"จงมอบความสำเร็จและชัยชนะให้แก่ปวงชน
และยินดีน้อมรับความเจ็บปวดทั้งปวงไว้กับตนเอง"

ด้วยปณิธานเช่นนี้นักรบแห่งธรรมย่อมเดินอยู่บนวิถีแห่งความไร้พ่าย ด้วยความไร้ตัวตนและไร้อัตตาอย่างถึงที่สุด

หลักการที่ค้ำจุน "วิถีไร้พ่าย" ของนักรบแห่งธรรม คือหลักแห่งอนัตตา หรือหลักการแห่งการไร้ตัวตนอย่างถึงที่สุดในทุก ๆ การกระทำเพื่อส่วนรวมของนักรบแห่งธรรม

เพราะในสงครามเพื่อปกป้องบ้านเมือง ปกป้องสถาบันหลัก ศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดของนักรบแห่งธรรมนั้น มิใช่ศัตรูภายนอก แต่คือศัตรูภายใน หรือความยึดมั่นถือมั่นในอัตตาของตนเอง

ทุก ๆ เวลา และทุก ๆ สถานที่ที่มีโอกาสอำนวย นักรบแห่งธรรมจะนั่งกรรมฐานเงียบ ๆ ร่างตั้งตรงสงบนิ่ง สงบจิตใจรำงับ ปล่อยให้ความคิดและอารมณ์ผุดขึ้นมาเองโดยไม่เข้าไปแทรกแซงใด ๆ ทั้งสิ้น

ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนถูกปลดเปลื้อง ปล่อยออกไปให้เป็นอิสระภายใน ดุจปมเงื่อนที่คลายตัวเองออกมาในความว่างอันไพศาลดุจท้องฟ้า

ไม่ว่าจะกระทำสิ่งใด นักรบแห่งธรรมจักรไม่ยอมกีดกันความเจ็บปวดรวดร้าวออกไปจากใจ แต่นักรบแห่งธรรมจะน้อมรับ ยอมรับความทุกข์ใจเหล่านั้นด้วยหัวใจที่เปิดกว้าง

เพราะความปวดร้าวคือพรจำแลง ที่เป็นโอกาสอันมีค่าให้นักรบแห่งธรรมสามารถค้นพบสิ่งที่ดำรงอยู่เบื้องหลังความทุกข์ทั้งปวง

นักรบแห่งธรรมจะหายใจเอาสิ่งเลวร้ายและพลาดผิดเข้าไป จากนั้นหายใจออกมาเป็นน้ำมิตรไมตรี

นักรบแห่งธรรมจะหายใจเข้าเป็นความรับผิดชอบต่อส่วนรวม และหายใจออกเป็นการให้อภัย

นักรบแห่งธรรม คือผู้ที่ตระหนักดีว่าผู้ใดก็ตามที่ยังไม่ได้ค้นพบขุมทรัพย์แห่งอริยสมบัติในตน ผู้นั้นล้วนแต่เป็นผู้ยากไร้ทั้งสิ้น

ไม่ว่าผู้นั้นจะร่ำรวยมีทรัพย์สินเงินทองนอกกายมากแค่ไหนก็ตาม
อริยสมบัติที่ว่านี้คือ 'จิตเดิมแท้' นั่นเอง

จิตเดิมแท้เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง คนเราสามารถเข้าถึงจิตเดิมแท้นี้ได้เสมอ เพราะมันดำรงอยู่ในตัวเราทุกคน และเป็นธรรมชาติที่แท้จริงของคนเราทุกคน

นักรบแห่งธรรมเข้าถึงจิตเดิมแท้นี้ได้โดยมีสติที่ตั้งมั่นอยู่ใน ‘จิตปัจจุบัน’ อย่างสม่ำเสมอ

ความเข้มข้นของความทุกข์ของคนเรานั้นจึงขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงที่ผู้นั้นต่อต้านการเข้าถึงจิตปัจจุบัน

การฝึกจิตให้ว่าง จึงเป็นหนทางนำนักรบแห่งธรรมเข้าสู่จิตเดิมแท้
หลักการเข้าถึง ‘จิตว่าง’ ของนักรบแห่งธรรมนั้นมีอยู่ว่า 

"จงอย่าจริงจังกับทุกสิ่งที่ใจคิด 
เพราะตัวเรามิใช่ใจของเรา 
ใจของเราก็เป็นอนัตตาเช่นกัน"

นักรบแห่งธรรมต้องสามารถมองทุกสิ่งที่ใจคิดอย่างเอ็นดู และอย่างมีอารมณ์ขันได้

หากทำได้เช่นนี้ นักรบแห่งธรรมก็จะไม่ตกเป็นทาสของความคิด และสามารถเป็นนายของความคิดได้
ด้วยจิตคารวะ

~ สุวินัย ภรณวลัย

‘สายสุนีย์’ สุดยอด!! คว้าทองที่ 2 ให้ตัวเองจากกีฬาฟันดาบ สมทบเหรียญทองที่ 5 ให้แก่ทัพพาราลิมปิกไทย

(5 ก.ย. 67) สายสุนีย์ จ๊ะนะ คว้าเหรียญทองเหรียญที่ 5 และเป็นเหรียญทองที่ 2 ของตัวเอง จากดาบฟอยล์ คลาสบี หญิงในการแข่งขันกีฬาพาราลิมปิกเกมส์

การแข่งขันกีฬาพาราลิมปิกเกมส์ 2024 ที่ประเทศฝรั่งเศส ฟันดาบ พาราลิมปิก 2024 ดาบฟอยล์ คลาสบี หญิง รอบชิงชนะเลิศ ‘แวว’ สายสุนีย์ จ๊ะนะ นักกัฬาฟันดาบมากประสบการณ์ มือ 2 ของรายการจากไทย ที่ชนะ ‘ซากุไร อานะรี’ จากญี่ปุ่นมาได้ ในรอบรองชนะเลิศ พบ ‘เซียว หรง’ มือ 5 ของรายการจากจีน คู่ปรับเก่า ที่เพิ่งพบกันในรอบชิงชนะเลิศเซเบอร์ โดยเป็น สายสุนีย์ ที่ชนะไปได้ 

ผลปรากฏว่า สายสุนีย์อาศัยความแม่นยำ ทำคะแนนนำ 7-2 แต่สาวจีนก็ไล่ทำแต้มพลิกมานำ 9-8 แต่หลังจากนั้นนักกีฬาไทย ใช้ความนิ่งก่อนจะมาแซงและได้แต้มสุดท้ายจากจังหวะดึงรอก่อนออกดาบเร็วกว่า สายสุนีย์เป็นฝ่ายเก็บชัยชนะไปแบบสนุก 15-11 พร้อมกับคว้าเหรียญทองไปได้ เป็นเหรียญที่ 2 ให้ตัวเอง และเป็นเหรียญทองที่ 5 ให้กับทัพนักกีฬาพาราลิมปิกไทย 

'โซเชียลจีน' แชร์โมเมนต์ใจฟู คุณพ่อวัยชราเดินทางไกลพันกิโลมาง้อลูกสาว ด้านลูกสาว เผย!! คิดถึงมากแต่รู้สึกผิดจนไปกล้าติดต่อ หลังทะเลาะกัน

(5 ก.ย. 67) เมื่อไม่นานมานี้ ได้มีไวรัลที่โด่งดังไปทั่วโซเชียลของจีน หลังมีคลิปวิดีโอเผยภาพคุณพ่อวัย 60 ปีที่ยอมเดินทางไกลกว่า 1,000 กม. เพื่อง้อลูกสาวที่ไม่ได้เจอหน้ากันกว่า 6 เดือน โดยคุณพ่ออยากที่จะคืนดีกับลูกสาว เพราะหลังจากทะเลาะกันเรื่องนัดบอดเมื่อ 6 เดือนก่อน ลูกสาวของเขาก็เก็บกระเป๋าออกจากบ้านไป และไม่ยอมติดต่อกลับมาอีกเลย

คลิปวิดีโอเผยภาพผู้เป็นพ่อสวมชุดมาสคอตหมี พร้อมกับถือช่อดอกไม้ เดินเข้ามาในบริษัทที่ตั้งอยู่ในกว่างโจว มณฑลกว่างตง (กวางตุ้ง) ซึ่งเป็นสถานที่ที่ลูกสาวของเขาทำงานอยู่

ด้านลูกสาวที่นั่งทำงานอยู่นั้นก็ดูงุนงงเล็กน้อย เมื่อจู่ๆ ก็ได้รับช่อดอกไม้ จากนั้นผู้เป็นพ่อในชุดมาสคอตหมีก็กางแขนออก เพื่อขอกอดเธอ

แม้เธอจะลังเลอยู่บ้าง แต่ก็กอดตอบ ซึ่งวินาทีที่พ่อของเธอถอดหัวมาสคอตออกมา พร้อมส่งรอยยิ้มกว้างด้วยความดีใจที่ได้เจอเธอ ก็ทำเอาเธอตกตะลึงและตะโกนออกมาทันทีว่า "พ่อ!" จากนั้นเธอก็รีบเข้าไปกอดพ่อแน่นๆ แล้วถามพ่อว่า “พ่อมาทำอะไรที่นี่?” ก่อนที่ต่างฝ่ายจะพากันร้องไห้

“ลูกสาว ลูกไม่ได้ติดต่อพวกเรามานานเลย พ่อคิดถึงลูกมาก” พ่อกล่าว พร้อมเสริมว่า “มันเป็นความผิดของพ่อกับแม่ พวกเราตกลงกันแล้วว่า จะไม่บังคับให้ลูกเข้าร่วมนัดบอดอีก ลูกวางใจได้ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”

ภายหลังผู้เป็นลูกสาวเผยทั้งน้ำตาว่า เธอไม่ได้ติดต่อกับพ่อแม่เลยนับตั้งแต่วันที่ทะเลาะกัน ไม่ใช่ว่าไม่คิดถึง แต่เธอกลัวที่จะโทร.หา เพราะรู้สึกผิดและรู้สึกว่าตัวเองนั้นเป็นลูกที่แย่ ที่ไม่สามารถทำในสิ่งที่พ่อแม่คาดหวังเอาไว้ได้

นอกจากนี้ ยิ่งได้เห็นว่าพ่อชราลงไปมากแค่ไหน มันก็ทำให้เธออดที่จะร้องไห้ไม่ได้ 

“ผมของพ่อกลายเป็นสีขาวไปแล้ว ฉันรู้สึกผิดมาก” ลูกสาวกล่าว

หลังเรื่องราวดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป ชาวเน็ตต่างแสดงความคิดเห็น เช่น “ฉันล่ะอิจฉาผู้หญิงคนนี้ที่มีพ่อแม่ที่รักเธอมากๆ” และ “ดูแล้วน้ำตาไหล ความรักของพ่อที่มีต่อเธอนั้นยิ่งใหญ่ดั่งภูผา”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top