Friday, 6 June 2025
NewsFeed

เปิด 30 รายชื่อ ผู้เข้าชิงรางวัล 'บัลลงดอร์ 2024' ไร้ชื่อ 'โรนัลโด - เมสซี่' เป็นครั้งแรกในรอบ 21 ปี

(5 ก.ย. 67) ‘ฟรองซ์ ฟุตบอล’ นิตยสารลูกหนังชื่อดังของประเทศฝรั่งเศส ประกาศ 30 รายชื่อผู้ท้าชิงรางวัลประจำปี ‘บัลลงดอร์ 2024’ หรือ ครั้งที่ 68 ออกมาเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบ 21 ปี นับตั้งแต่ปี 2023 ที่ไม่มีชื่อคู่สตาร์ระดับโลกอย่าง ‘คริสเตียโน โรนัลโด’ แข้งจาก ‘อัล นาสเซอร์’ เจ้าของบัลลงดอร์ 5 สมัย และ ‘ลิโอเนล เมสซี่’ จาก ‘อินเตอร์ ไมอามี่’ เจ้าของรางวัล 8 สมัย

โดยสำหรับครั้งล่าสุดที่ไม่มี ‘คริสเตียโน โรนัลโด’ ติดโผรายชื่อ 30 นักเตะนั้น เกิดขึ้นเมื่อปี 2003 ก่อนปีถัดมา 2004 ‘โรนัลโด’ ติดชื่อครั้งแรก สมัยค้าแข้งกับ ‘แมนฯ ยูไนเต็ด’ และได้อันดับ 12 ร่วม ขณะที่ ‘ลิโอเนล เมสซี่’ ที่เวลานั้นอยู่กับ ‘บาร์เซโลน่า’ ติดโผตั้งแต่ปี 2006 

ทั้งนี้ ‘บัลลงดอร์ 2024’ เป็นแข้งจาก ศึก ‘พรีเมียร์ลีก’ ที่มีชื่อลุ้นรางวัลมากที่สุดถึง 9 ราย ประกอบด้วย โรดรี, รูเบน ดิอาส, ฟิล โฟเดน, เออร์ลิง ฮาลันด์, มาร์ติน โอเดการ์ด, โคล พาลเมอร์, เดแคลน ไรซ์, บูคาโย ซากา และ วิลเลียมส์ ซาลิบา

สำหรับรายชื่อ 30 นักเตะ ลุ้นรางวัล ‘บัลลงดอร์ 2024’ มีดังนี้

1. จู๊ด เบลลิงแฮม (เรอัล มาดริด)
2. มาร์ติน โอเดการ์ด (อาร์เซน่อล)
3. ฮาคาน คาลฮาโนกลู (อินเตอร์ มิลาน)
4. โคล พาล์มเมอร์ (เชลซี)
5. ดานี โอลโม่ (บาร์เซโลน่า)

6. ดานี คาร์บาฆาล (เรอัล มาดริด)
7. รูเบน ดิอาส (แมนซิตี้)
8. เดแคลน ไรซ์ (อาร์เซน่อล)
9. อาร์เต็ม ดอบบิก (โรม่า)
10. โรดรี้ (แมนซิตี้)

11. ฟิล โฟเด้น (แมนซิตี้)
12. อันโตนิโอ รูดิเกอร์ (เรอัล มาดริด)
13. เลฮานโดร กริมัลโด้ (เลเวอร์คูเซ่น)
14. บูกาโย่ ซาก้า (อาร์เซน่อล)
15. เออร์ลิง ฮาแลนด์ (แมนซิตี้)

16. วิลเลียม ซาลิบา (อาร์เซน่อล)
17. มัตส์ ฮุมเมลส์ (โรม่า)
18. เฟเดริโก้ วัลเวร์เด้ (เรอัล มาดริด)
19. แฮร์รี่ เคน (บาร์เยิร์น มิวนิค)
20. วินิซิอุส จูเนียร์ (เรอัล มาดริด)

21. โทนี โครส (เรอัล มาดริด แขวนสตั๊ด)
22. วิตินญ่า (เปแอสเช)
23. อเดโมลา ลุคแมน (อตาลันต้า)
24. นิโก้ วิลเลียมส์ (แอตเลติก บิลเบา)
25. เอมิเลียโน่ มาร์ติเนซ (แอสตัน วิลล่า)

26. ฟลอเรียน เวียร์ตซ์ (เลเวอร์คูเซ่น)
27. เลาตาโร่ มาร์ติเนซ (อินเตอร์ มิลาน)
28. กรานิต ชาก้า (อาร์เซน่อล)
29. คีเลียน เอ็บบัปเป้ (เรอัล มาดริด)
30. ลามีน ยามาล (บาร์เซโลน่า)

อย่างไรก็ตาม พิธีประกาศรางวัลบัลลงดอร์ 2024 จะมีขึ้นในวันที่ 28 ต.ค. 67 นี้ ที่ ’เตียเตอ ดู ซาเตอเลต์’ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส

'นายกฯ อิ๊งค์' วอนทุกฝ่ายขอให้ดูที่ความตั้งใจ หลังถูกวิจารณ์เป็น 'ครม.สืบสันดาน' ลั่น!! เป็นนายกฯ แล้ว ไม่พร้อมข่มเหงใคร ยินดีรับฟังและให้เกียรติทุกฝ่าย

(5 ก.ย. 67) ที่อาคารชินวัตร 3 ‘น.ส.แพทองธาร ชินวัตร’ นายกรัฐมนตรีเดินทางเข้ามาปฏิบัติภารกิจโดยให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า การที่ตนเข้ามาทำงาน ได้รับตำแหน่งอันทรงเกียรติ จากการโหวตของสภา ก็ต้องขอบคุณทุกท่าน และเมื่อเป็นนายกฯ แล้วไม่พร้อมที่จะข่มเหงใคร แต่พร้อมที่จะรับฟังและพร้อมที่จะให้ความเคารพและให้เกียรติซึ่งกันและกัน เพราะฉะนั้นคิดว่าหลักคิดตรงนี้จะทำให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น อย่างไรก็ตามข้อวิจารณ์และข้อร้องเรียนต่าง ๆ ไม่คิดว่าจะทำให้เกิดการบั่นทอนการทำงานของตัวเอง ซึ่งทุกคนก็มีสิทธิที่จะวิพากษ์วิจารณ์ และถ้าเป็นการวิจารณ์ด้วยเหตุผลไม่ใช่อารมณ์ คิดว่าน่าจะดีแต่สามารถเกิดขึ้นได้

เมื่อถามถึงข้อวิจารณ์ว่าเป็นคณะรัฐมนตรีสืบสันดาน หรือ ครม.ครอบครัว ‘น.ส.แพทองธาร’ กล่าวยอมรับว่า…

“เป็นคำที่แรงจริงๆ ด้วยใช้คำแรงจัง ความจริงมีหลายรูปแบบมีหลายคนที่ไม่ได้มาจากครอบครัว หรือเกี่ยวข้องกันและก็มีหลายคู่ที่เป็นครอบครัวต่อมา ส่วนตัวอยากให้มองถึงความตั้งใจ ที่ตั้งใจถ่ายทอดกันมาในคนใกล้ชิดและคนรู้จัก หลายอย่างในชีวิตที่ต้องทำต้องอาศัยแรงผลักดัน และความภูมิใจของคนรอบข้าง ครอบครัว เพราะฉะนั้นคำว่าเป็นครอบครัวมันไม่ใช่ข้อเสียมันเป็นแรงผลักดันให้กันมากกว่า”

ส่วนข้อวิจารณ์และการร้องเรียนหนีไม่พ้นคำว่าครอบงำ โดยเฉพาะจากการพูดของ ’นายทักษิณ ชินวัตร’ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีกล่าวว่า…

“สงสารนายกฯ บ้างอย่าฟ้องอะไรเยอะเลย ดิฉันเป็นนายกฯ ที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ตั้งใจทำงานเต็มที่ ขอย้ำอีกครั้งว่าบางครั้งเรื่องเล็ก ๆ อย่าให้ความสำคัญมากนัก คนฟ้องก็อย่าฟ้องเยอะเลยมันไม่ได้มีอะไรผิดแบบนั้นอยู่แล้ว”

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ในส่วนของการแบ่งงานให้กับรองนายกรัฐมนตรีนั้น ขอเวลาพิจารณาถึงงานต่าง ๆ ก่อน รวมถึงจะมอบหมายการกำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ให้กับ ‘นายภูมิธรรม เวชยชัย’ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ด้วยหรือไม่ ขอพิจารณาดูอีกครั้ง

นายกรัฐมนตรีเปิดเผยด้วยว่า วันเดียวกันนี้จะพิจารณาในส่วนของนโยบายรัฐบาลที่จะนำสู่การแถลงต่อรัฐสภาโดยเฉพาะของพรรคเพื่อไทย วันเดียวกันนี้ก็จะมีการพูดคุยกันตกผลึกในทุกๆ ประเด็น เช่นเดียวกับในส่วนของพรรคร่วมรัฐบาลได้มีการส่งเข้ามาแล้วบางพรรค รวมทั้งนโยบายของพรรคภูมิใจไทยในเรื่องของกัญชาขอให้รอสักนิดซึ่งที่ผ่านมาได้มีการพูดคุยกันมาโดยตลอดรอให้ได้ข้อสรุปแล้วจะมาชี้แจงอีกครั้ง

'โซเชียล' แห่แชร์!! เด็ก ป.1 ถูกครูทำโทษตีขา 25 ครั้งจนบวม เดือด!! ตีเหมือนระบายอารมณ์ ถาม? ไม่มีวิธีทำโทษอื่นแล้วหรือ?

ไม่นานมานี้ ผู้ใช้เฟซบุ๊ก 'Tananya Jantaraphitak' ได้โพสต์ข้อความพร้อมภาพเด็กซึ่งเป็นหลานของตนโดนลงโทษด้วยการตีที่ขา 25 ครั้ง สาเหตุที่ตีเพราะไม่มีอุปกรณ์การเรียน ว่า...

เด็กชั้น ป.1

เมื่อเช้า อาบน้ำให้หลาน เห็นแบบนี้ สงสารจับใจ 
ถามว่า ครูตีใช่มั้ย น้องตอบแบบเสียงสั่นเครือ...
"หนูไม่มีอุปกรณ์การเรียน เลย โดนตี 25 ครั้ง"

คำถามคือ ตีสั่งสอนเด็ก 
#ต้องตีจนบวม ขนาดนี้เลยหรือ ??
ไม่เหมือนตีสั่งสอน แต่เหมือนระบายอารมณ์มากกว่า‼️

และการทำโทษเด็ก ด้วยวิธีอื่น ไม่มีแล้วหรือ?  

แค่สงสัย..
แม่ ๆ ผู้ปกครองท่านอื่นว่ายังงัย ขอความเห็นด้วยค่ะ

นอกจากนี้ยังได้โพสต์ต่ออีกว่า "ขอบคุณทุกความเห็นโพสต์เรื่องเด็กโดนทำโทษ เราไม่มีเจตนาทำร้ายใคร แค่อยากปกป้องสิทธิให้หลาน และไม่อยากให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับใครเราได้คุยกับทาง รร.แล้ว หวังว่าเด็กจะไปเรียนได้ปกติ ขอจบเรื่องนี้ ใว้เพียงเท่านี้ค่ะ"

'เอฟเคไอไอ.ไทยแลนด์' ผนึก 'เกาหลี' จัดบิสสิเนส ฟอรั่มกระชับความร่วมมือทางเศรษฐกิจ

'อลงกรณ์' ชี้การเจรจาความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจไทย-เกาหลีช่วยยกระดับศักยภาพใหม่2ประเทศขยายการลงทุนเพิ่มมูลค่าการค้า5 แสนล้าน

(5 ก.ย. 67) นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ. ไทยแลนด์ (FKII Thailand: Field for Knowledge Integration and Innovation) เปิดเผยวันนี้ว่าสถาบันเอฟเคไอไอ. ไทยแลนด์(FKII Thailand) สถาบันทิวา(TVA)และสมาคมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเกาหลี-เอเซีย(Korea-Asia Economic Cooperation Association :KOAECA)จับมือจัดงานสัมมนา(seminar)และจับคู่ธุรกิจ(business matching) “เอฟเคไอไอ. โกลบอล บิสสิเนส ฟอรั่ม : ความร่วมมือ ไทย-เกาหลี” (FKII GLOBAL BUSINESS FORUM: THAI - KOREA COLLABORATION) ในวันศุกร์ที่ 6 กันยายน 2567 เวลา 9.00-13.30 น. ณ สวนเสียงไผ่ ทาวน์อินทาวน์ โดยมีเป้าหมายในการส่งเสริมความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจการค้าการลงทุนการท่องเที่ยวรวมทั้งด้านเกษตรอัจฉริยะและธุรกิจไบโอเทคโนโลยีด้านสุขภาพ เกาหลีใต้เป็นหนึ่งในประเทศที่มีความสัมพันธ์อันดีกับไทยมาถึง66 ปีซึ่งถือเป็นโอกาสที่ดีที่จะส่งเสริมความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น ปัจจุบันเกาหลีใต้มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงเป็นอันดับ 10 ของโลก และเป็นประเทศที่มีมูลค่าการส่งออกอยู่ที่อันดับ 6 ของโลก มีความเชี่ยวชาญในด้านเทคโนโลยีชั้นสูง รวมทั้งยังเป็นประเทศที่มีศักยภาพสูงอย่างยิ่งในการใช้ “เศรษฐกิจสร้างสรรค์”เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ ในด้านความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่าง2ประเทศนั้น เกาหลีใต้เป็นประเทศคู่ค้าที่สำคัญในปี 2566 เกาหลี เป็นคู่ค้าอันดับ 12 ของไทย มีมูลค่าการค้าระหว่างกัน14,736.86 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือกว่า 5 แสนล้านบาทโดยไทยส่งออกไปสาธารณรัฐเกาหลี 6,070.44 ล้านดอลลาร์สหรัฐและนำเข้าจากสาธารณรัฐเกาหลี 8,666.42 ล้านดอลลาร์ สำหรับด้านการท่องเที่ยว ในช่วงก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19 มีนักท่องเที่ยวชาวเกาหลีใต้หลั่งไหลเข้ามาเที่ยวในประเทศไทยประมาณ 2 ล้านคนต่อปี

ทั้งประเทศไทยและเกาหลีใต้ได้ร่วมกันจัดแคมเปญเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างกัน โดยให้ปี 2566 และปี 2567 เป็น “ปีแห่งการเยี่ยมเยียนระหว่างสองประเทศ” ส่วนทางด้านการลงทุนมีบริษัทเกาหลีมากกว่า 400 ราย ที่เข้ามาลงทุนในไทยและประสบความสำเร็จอย่างดี โดยบริษัทรายใหญ่หรือกลุ่มแชโบล เช่น ซัมซุง แอลจี พอสโก ฮันวา และฮันซอล ถือเป็นคลื่นการลงทุนลูกแรกจากเกาหลีที่เข้ามาไทยเมื่อกว่า 30 ปีที่แล้ว และได้ขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่องในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา มีโครงการลงทุนจากเกาหลีเข้ามาอย่างต่อเนื่องปีละเฉลี่ย 30 โครงการ เงินลงทุนราว 5 พันล้านบาทต่อปี โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ที่ทั้งสองประเทศมีความสนใจร่วมกัน และเกาหลีมีความเชี่ยวชาญ เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เซมิคอนดัคเตอร์ ระบบอัตโนมัติ เทคโนโลยีชีวภาพ ดิจิทัล โดยเฉพาะการพัฒนาเกมและระบบอัจฉริยะใน Smart City รวมทั้งอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ อย่างไรก็ตามเมื่อเปรียบเทียบในประเทศอาเซียน เกาหลีใต้ยังลงทุนในไทยน้อย โดยอยู่ในอันดับที่ 8 ซึ่งมากกว่าเพียงแค่ลาวและกัมพูชาเท่านั้นจึงเป็นโอกาสที่จะขยายการลงทุนได้อีกมาก

“ผมเห็นด้วยกับการเจรจาจัดทำความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ (Economic Partnership Agreement: EPA) ไทย-เกาหลี ซึ่งเริ่มการเจรจาและตั้งเป้าเจรจาเสร็จสิ้นภายในสิ้นปี 2568 หรือต้นปี 2569 เป็นหนึ่งในนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการเร่งรัดการจัดทำความตกลงการค้าเสรีของไทยให้มากขึ้น เอฟทีเอฉบับนี้ จะเป็นการต่อยอดจากเอฟทีเอที่ไทยและเกาหลีเป็นภาคีร่วมกัน ทั้งความตกลงการค้าเสรีอาเซียน–เกาหลี (AKFTA) และความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย อีกทั้งยังช่วยดึงดูดการลงทุนจากสาธารณรัฐเกาหลีเข้ามาในไทยเพิ่มขึ้น” นายอลงกรณ์กล่าวว่า สัปดาห์ที่แล้ว ตนและ ดร.อาณัฐชัย รัตตกุล รองประธานFKII ด้านต่างประเทศได้สนทนากับฯพณฯมุน ซึง–ฮย็อน (Moon Seoung–hyun) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) ประจำประเทศไทยซึ่งสถานเอกอัครราชทูตยินดีเข้าร่วมในกิจกรรมครั้งนี้

ก่อนหน้านี้ในการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนไทย ฯพณฯมุน ซึง–ฮย็อน (Moon Seoung–hyun) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) ประจำประเทศไทยได้ชี้ให้เห็นโอกาสใน 4 ด้านที่จะเพิ่มความร่วมมือระหว่างกัน

ด้านที่ 1 คือ ความร่วมมือกันในด้าน EV (Electric Vehicle) ทั้งรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเกาหลีใต้มีผู้ผลิตที่สำคัญ อย่าง “Hyundai” และ “Kia” รวมทั้งแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งมีซัมซุง และแอลจีเป็นผู้นำ นอกจากนี้ ยังมองว่าอุตสาหกรรมรถยนต์ EV จะมีส่วนช่วยสำคัญในนโยบายการดูแลสิ่งแวดล้อม และการไปถึงเป้าหมาย Zero Corbon ในปี 2593

ด้านที่ 2  “ความร่วมมือด้านดิจิทัล” โดยการเพิ่มความร่วมมือในธุรกิจอี-คอมเมิร์ช (E-commerce) ดิจิทัลแบงกิ้ง (Digital Banking) และธุรกิจจัดส่งอาหารไปยังที่พัก (Food Delivery) ซึ่งเป็นธุรกิจที่เป็นที่นิยมในเกาหลีใต้ และธนาคารในเกาหลีใต้ได้ยกระดับเป็น Digital Banking เกือบทั้งหมดแล้ว ทำให้สามารถเพิ่มความร่วมมือระหว่างกันได้ เพราะเป็นอุตสาหกรรมที่เกาหลีใต้สนใจมาลงทุน

ด้านที่ 3 คือ ความร่วมมือในการส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์Soft Power เพื่อประชาสัมพันธ์ และเพิ่มมูลค่าของทั้งคนไทย และประเทศ ยกตัวอย่าง เกาหลีใต้ มีอุตสาหกรรม K-POP หรือการสอดแทรกส่งเสริมวัฒนธรรม ความเป็นอยู่ สถานที่ท่องเที่ยว หรือตัวสินค้าในซีรีส์เกาหลี ซึ่งจะเห็นว่าสามารถทำเงินได้มหาศาลโดยมองว่า ทั้งสองประเทศมี “จุดแข็ง” ร่วมกันที่จะช่วยส่งเสริม Soft Power ได้ อย่าง Lisa BLACKPINK ซึ่งนอกจากจะทำเงินได้มากมายแล้ว ยังเปรียบเสมือนเป็น “ผู้เชื่อมโยงสานสัมพันธ์ระหว่างไทยและเกาหลีใต้”

และด้านที่ 4  “ความร่วมมือกันในอุตสาหกรรมอนาคต” ซึ่งอาจเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีสูง อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ ยานอวกาศ ฯลฯ.

สำหรับสถาบันเอฟเคไอไอ. ไทยแลนด์(FKII Thailand: Field for Knowledge Integration and Innovation)เป็นองค์กรวิสาหกิจเพื่อสังคม(Social Enterprise)ทำหน้าที่สนับสนุนความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศไทยกับนานาประเทศรวมทั้งเป็นตัวกลางเชื่อมประสานระหว่างหน่วยงานวิจัยกับภาคเอกชนภาครัฐทั้งในและต่างประเทศทางด้านนวัตกรรมและองค์ความรู้เพื่อเพิ่มศักยภาพใหม่ของประเทศและการพัฒนาอย่างยั่งยืนตอบโจทย์ความท้าทายใหม่ของโลกปัจจุบันและอนาคต

รมว.พิพัฒน์ ชูยกระดับทักษะฝีมือท่องเที่ยวมูลค่าสูง หนุนไทยเป็นฮับอุตสาหกรรมไมซ์

(5 ก.ย. 67) นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ประธานในพิธีเปิดโครงการยกระดับบุคลากรในอุตสาหกรรมไมซ์สู่การรองรับการท่องเที่ยวทางการแพทย์และสุขภาพ (Medical and Wellness Tourism) ระดับนานาชาติ พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ "โอกาสและความท้าทายในการยกระดับศักยภาพและสมรรถนะแรงงานไทยเพื่อรองรับการท่องเที่ยวที่มีมูลค่าสูง" โดยมี 

นายไพโรจน์ โชติกเสถียร ปลัดกระทรวงแรงงาน นางสาวบุณยวีร์ ไขว้พันธุ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงานร่วมเป็นเกียรติ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นิวัติ แก้วประดับ อธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กล่าวต้อนรับ นายสมนึก พรมเขียว ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา กล่าววัตถุประสงค์การจัดงาน หัวหน้าส่วนราชการหน่วยงานสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดสงขลา ร่วมให้การต้อนรับ ณ เวทีกิจกรรมหลัก ห้องคอนเวนชั่นฮอลล์ ศูนย์ประชุมนานาชาติฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา

นายพิพัฒน์ กล่าวว่า ผมรู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาเป็นประธานในพิธีเปิดงานนี้ ด้วยปัจจัยหลายประการ ทั้งทำเลที่ตั้งที่เป็นศูนย์กลางของภูมิภาค ความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวก การบริการและอัธยาศัยของคนไทย การบริการทางการแพทย์ที่ได้มาตรฐานสากล ความหลากหลายของแหล่งท่องเที่ยวและวัฒนธรรม เป็นต้น ส่งผลให้ประเทศไทยมีโอกาสที่จะเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรม MICE และการท่องเที่ยวทางการแพทย์และสุขภาพในภูมิภาคเอเชีย จะกลายอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่มีผลต่อการจ้างงานแรงงานที่มีทักษะฝีมือ จึงเป็นภารกิจของกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน ในการผลิตกำลังคนที่มีความรู้ความสามารถป้อนสู่อุตสาหกรรมดังกล่าว

นายพิพัฒน์ กล่าวต่อว่า กระทรวงแรงงานได้มอบหมายให้กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กำหนดแนวทาง ในการพัฒนาแรงงานในครอบคลุมทุกๆ ด้าน อาทิ ส่งเสริมการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษาในการพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรม เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาดแรงงาน โดยล่าสุดกรมฯ ได้สร้างความร่วมมือกับสมาคมการแสดงสินค้า (ไทย) สมาคมธุรกิจสร้างสรรค์การจัดงาน สมาคมส่งเสริมการประชุมนานาชาติ (ไทย) สมาคมโรงแรมไทย และสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ ในการพัฒนามาตรฐานบุคลากรในอุตสาหกรรม MICE ดำเนินการร่วมกันกับหน่วยงานต่างๆ กำหนดมาตรฐานฝีมือแรงงาน ส่งเสริมการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานและหนังสือรับรอง เพื่อให้ผู้ผ่านการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงาน ได้รับค่าจ้างตามทักษะฝีมือ นอกจากนี้ ยังได้พัฒนาแพลตฟอร์มที่เรียกว่า One Platform for Skill Development เพื่อสนับสนุนการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังส่งเสริมให้นายจ้างและสถานประกอบกิจการ มีการพัฒนาทักษะฝีมือให้แก่พนักงานของตนเอง โดยรับสิทธิประโยชน์ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ. 2545

“แนวทางเหล่านี้จะเป็นการยกระดับศักยภาพแรงงานสูงขึ้นรองรับการท่องเที่ยวมูลค่าสูง เป็นการวางรากฐานสู่การเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรม MICE และการท่องเที่ยวทางการแพทย์และสุขภาพระดับภูมิภาค ซึ่งจังหวัดสงขลา เป็นจังหวัดหนึ่งที่ควรจะมีการส่งเสริมในการพัฒนากำลังคนสาขานี้ เนื่องจากเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของภาคใต้ มีความพร้อมในด้านโครงสร้างพื้นฐาน ดังนั้นการมีกำลังแรงงานในสาขาที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรม MICE จะช่วยต่อยอดในการเป็นศูนย์กลางในระดับภาค ระดับประเทศ หรือภูมิภาคได้เป็นอย่างดี” รมว.พิพัฒน์ กล่าว

'ขุนคลัง' ชี้!! การเมืองนิ่งมีส่วนทำตลาดหุ้นไทยขึ้นแรงกว่า 30 จุด แง้ม!! ปมขึ้นค่าแรง 400 บาท เตรียมหาทางช่วยผู้ประกอบการแล้ว

(5 ก.ย. 67) ที่ทำเนียบรัฐบาล ‘นายพิชัย ชุณหวชิร’ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ตอบคำถามสื่อมวลชนกรณีสถานการณ์การลงทุนที่ตลาดหุ้นไทยในวันนี้ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาเกือบ 30 จุด ว่าถือเป็นเรื่องที่ดี และน่ายินดี

เมื่อถามว่าการตอบรับของตลาดหุ้นมาจากสถานการณ์ทางการเมืองที่มีความชัดเจนใช่หรือไม่? นายพิชัย ระบุว่า "ก็คงมีส่วนด้วย แต่ก็มีหลายประเด็นที่เป็นปัจจัยเกี่ยวข้องกัน"

เมื่อถามว่ามาตรการเรื่องภาษีที่กระทรวงแรงงานอยากให้กระทรวงการคลังเสนอเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่จะได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาททั่วประเทศในวันที่ 1 ต.ค.นี้? นายพิชัย กล่าวว่า "ตอนนี้ได้รับแจ้งความคืบหน้าเข้ามาแล้ว อยู่ระหว่างการรอพิจารณามาตรการทางภาษีที่จะเสนอเข้ามาอีกครั้ง"

‘ปธ.กมธ.อุตฯ’ เสนอ 2 ร่าง กม. ปฏิรูปการกำจัดของเสียภาคอุตสาหกรรม เพิ่มโทษผู้ประกอบการละเมิดกฎ - ตั้งกองทุนกำจัดสารพิษ กากของเสีย

(5 ก.ย. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ และโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม ได้อภิปรายร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2568 ในส่วนของกระทรวงอุตสาหกรรม ว่า…

ทุกวันนี้ปัญหาในส่วนของกระทรวงอุตสาหกรรมที่เป็นปัญหาใหญ่ คือปัญหาในการจัดการสารพิษ กากของเสีย และมลภาวะของโรงงานและผู้ประกอบการ ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิต และสุขภาพของพี่น้องประชาชนในพื้นที่นั้น ๆ อย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นในพื้นที่จังหวัดราชบุรี จังหวัดระยอง และจังหวัดพระนครศรีอยุธยา

จากปัญหาดังกล่าวตนในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร ได้ดำเนินการให้คณะทำงานของคณะกรรมาธิการยกร่างพระราชบัญญัติโรงงาน 2 ฉบับ ดังนี้

ฉบับแรกจะเป็นการเพิ่มโทษทางอาญาแก่ผู้กระทำความผิดในการปล่อยกากของเสีย มลภาวะสู่สิ่งแวดล้อม เนื่องจากปัจจุบันพระราชบัญญัติโรงงานมีเพียงโทษปรับ 200,000 บาทต่อกรณีเท่านั้น ส่งผลให้ผู้กระทำความผิดไม่มีความเกรงกลัวต่อกฎหมาย ดังนั้นในร่างพระราชบัญญัติโรงงานจะมีการเพิ่มโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปีเข้าไปด้วยเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว 

และร่างพระราชบัญญัติอีกฉบับหนึ่งที่ยกร่างเรียบร้อย อยู่ระหว่างการได้รับการรับรองจากนายกรัฐมนตรีเนื่องจากเป็นกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเงิน กฎหมายฉบับนี้จะเป็นการจัดตั้งกองทุนโรงงาน หรือกองทุนจัดการของเสียอุตสาหกรรม 

กองทุนจัดการของเสียอุตสาหกรรมนี้จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดการกากของเสียอุตสาหกรรมในอนาคต โดยที่มาของเงินทุนของกองทุนดังกล่าวจะมาจากการเรียกเก็บจากผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเงินส่วนนี้จะมีการคืนให้แก่ผู้ประกอบการเมื่อเลิกกิจการ 

ที่ผ่านมาประเทศไทยได้ใช้เงิน 2 ส่วนในการจัดการกับของเสียอุตสาหกรรมที่ส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม และสุขภาพของพี่น้องประชาชน คือ ส่วนแรกจากงบประมาณของรัฐบาล ซึ่งเป็นการของบกลาง ส่วนที่สองจากกองทุนสิ่งแวดล้อมซึ่งต้องใช้ระยะเวลานานกว่าจะดำเนินการขออนุมัติได้  

ดังนั้นกฎหมายในการจัดตั้งกองทุนจัดการของเสียอุตสาหกรรมจึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก เนื่องจากจะช่วยลดภาระงบประมาณของรัฐในการจัดการของเสียอุตสาหกรรมจากผู้ประกอบการที่ขาดความรับผิดชอบต่อสังคมได้ และงบประมาณส่วนนี้จะได้ใช้สำหรับการลงทุนอื่น ๆ เพื่อสร้างรากฐานของการพัฒนาประเทศต่อไป

และสุดท้ายตนเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่านายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมคนใหม่ ซึ่งเป็นผู้ที่มีวิสัยทัศน์ จะสามารถจัดการปัญหาที่กล่าวถึงข้างต้นได้อย่างแน่นอน

'เชฟชุมพล' วอน!! 'พรรคประชาชน' โปรดพูดความจริงในสภาฯ อย่าบิดเบือนข้อมูลงบประมาณ Soft Power อาหารไทย

(5 ก.ย. 67) ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 วงเงิน 3.75 ล้านล้านบาท ปรับลด 7,824,398,500 บาท วาระที่ 2 เป็นวันที่ 3 มีช่วงหนึ่งที่ นายณัฐพล โตวิจักษณ์ชัยกุล สส.เชียงใหม่ พรรคประชาชน (ปชน.) ได้อภิปรายตั้งข้อสังเกตขอตัดงบประมาณโครงการซอฟต์พาวเวอร์ของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม จำนวน 6 โครงการ วงเงิน 762,386,000 บาท ที่แบ่งออกเป็นโครงการด้านอาหาร 4 โครงการ และแฟชัน 2 โครงการ สามารถรีดไขมัน เพื่อประหยัดงบประมาณได้

อย่างไรก็ตาม ประเด็นในการตั้งข้อสงสัยที่ดูจะไม่ถูกต้องสักเท่าไร คือ โครงการ 1 หมู่บ้าน 1 เชฟ วงเงิน 468 ล้านบาท ที่ สส.คนดังกล่าว อ้างว่า มีค่าจัดเลี้ยงอาหาร อาหารว่างและเครื่องดื่ม 289 ล้านบาท หรือ 60% ของโครงการนั้น...

ด้าน เชฟชุมพล แจ้งไพร ประธานอนุกรรมการในโครงการดังกล่าว ในฐานะเชฟดีกรีมิชลินสตาร์ 2 ดาว และเป็นหนึ่งในทีมทำอาหารเลี้ยงผู้นำเอเปค 2022 ก็ได้ออกมาตอบโต้ผ่านจากประเทศแคนาดาทันที ว่า...

เมื่อสักครู่ได้ดูการถ่ายทอดการประชุมงบประมาณ ผมมีความไม่สบายใจหนึ่งนะครับ เพราะว่ามี สส.ท่านหนึ่งจากพรรคฝ่ายค้าน ที่อภิปรายโครงการ 'หนึ่งหมู่บ้าน หนึ่งเชฟ' ซอฟต์พาวเวอร์อาหารไทยงบ 468 บาท โดยนำข้อมูลที่มีความผิดพลาดมาอภิปราย ซึ่งอาจจะกลายเป็นความเข้าใจผิดที่สร้างความเสียหายต่อคนทำงานได้

ในฐานะที่ผมเป็นประธานอนุกรรมการ แล้วก็มีอนุกรรมการฯ ที่ทํางานด้วยกันร่วม 30 ท่าน จึงอยากขอชี้แจงผ่านจากประเทศแคนาดา เพราะว่าบางอย่างที่มันไม่ถูกนำเสนอเป็นเรื่องไม่จริง ไม่ควร และจะทําให้ผู้ที่ต้องการทํางานจริง ๆ เสียกําลังใจ

ทั้งนี้ ผมอยากจะให้มาดูข้อเท็จจริงนะครับว่า ค่าใช้จ่ายจริงในส่วนของปี 68 ที่เราขอจากคณะอนุกรรมการฯ และทางกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรมนั้น ที่ขอไปกว่า 500 ล้านบาทนั้น ได้ถูกปรับลดจากสํานักงบประมาณไปกว่า 120 ล้านบาทแล้ว จนเหลือ 468 ล้านบาท ซึ่งตัวเลขนี้เป็นเรื่องจริง

แต่ผมอยากให้ดูตรงรายละเอียดค่าใช้จ่าย 289 ล้านบาท ที่ สส.คนดังกล่าวอ้างว่า เป็นค่าอาหารจัดเลี้ยง ค่าอาหารว่างและเครื่องดื่ม ... ตรงนี้ไม่ใช่เลยนะครับ!!

ท่านไปนำค่าใช้จ่ายนี้มาจากที่ไหน?

เพราะความเป็นจริง ตัวเลข 289 ล้านบาทนี้ เป็นงบที่ใช้ไปกับบุคลากร 17,000 คน ตกคนละ 15,000 บาท ซึ่งรายการนี้จะต้องจ่ายไปที่มหาวิทยาลัย / วิทยาลัยต่าง ๆ แล้วก็อาชีวะทั่วประเทศ ที่ทํางานร่วมกับคณะกรรมการซอฟต์พาวเวอร์ ซึ่งจะมีหน้าที่ไปทำการอบรมพี่น้องประชาชนทั้งหมดทั่วประเทศครับ

ย้ำว่าเป็นการให้งบแก่สถาบันต่าง ๆ ไม่ว่าอาชีวะหรือมหาวิทยาลัย สังกัดอว. ที่เราจับมือเป็นพันธมิตรร่วมกันทั้งประเทศ ร่ววม 160 แห่ง โดยใครที่รับผิดชอบในการจะเทรนด์ให้กับพี่น้องประชาชน ... งบประมาณตรงนี้ ก็จะต้องจ่ายเป็นค่าหัวไปให้กับสถาบันต่าง ๆ ฉะนั้น ไม่ใช่ค่าอาหารจัดเลี้ยงและค่าอาหารว่างเครื่องดื่ม ตามที่ สส.ฝ่ายค้านคนดังกล่าวนำเสนอ!!

การนําเสนอแบบนี้มันสร้างความสับสนและการเสียหาย ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่น่าจะควรระวัง เพราะความตั้งใจของโครงการนี้ เกิดขึ้นเพื่อต้องการให้พี่น้องนั้นได้มีโอกาสเพิ่มรายได้ สร้างโอกาสให้กับชีวิทุก ๆ คน และเอาจริง ๆ งบรวมก้อนนี้ก็เหลือ 420 กว่าล้านไม่ใช่ 468 ล้านแล้วด้วย เพราะสํานักงานสํานักงบประมาณปรับลดลงไปอีก จึงอยากรบกวนและขอร้องให้เอาเรื่องจริงมาพูดครับ

แฟนคลับเศร้า!! สิ้น 'ป๋าโก๋ คาราบาว' มือกลองประจำวง เสียชีวิต ในวัย 50 ปี

เมื่อวานนี้ (5 ก.ย. 67) เพจเฟซบุ๊ก Carabao Official โพสต์ข้อความ แจ้งข่าวการเสียชีวิตของ ‘โก๋ คาราบาว’ มือกลองประจำวง โดยระบุว่า "ขอแสดงความเสียใจต่อการจากไปของคุณ ชวลิต ฉลองพงษ์ หรือ โก๋ คาราบาว ขอให้พี่โก๋เดินทางสู่ภพภูมิที่ดีครับ ด้วยรักและอาลัย" 

ขณะที่มีคนมาคอมเมนต์แสดงความไว้อาลัยจำนวนมาก

สำหรับ ‘โก๋ คาราบาว’ ชื่อจริง ‘ชวลิต ฉลอมพงษ์’ อายุ 50 ปี เป็นชาว จ.อุบลราชธานี โดย ‘โก๋ คาราบาว’ ได้เข้าร่วมวงคาราบาว ในอัลบั้มชุดที่ 11 วิชาแพะ เมื่อปี 2534 จนถึงปัจจุบัน

ทั้งนี้ ‘วงคาราบาว’ เป็นวงดนตรีเพลงเพื่อชีวิตที่มีชื่อเสียงมากที่สุดวงหนึ่งของของประเทศไทย มีผลงานตั้งแต่ปี พ.ศ.2524 จนถึงปัจจุบัน โดยมี ‘แอ๊ด ยืนยง โอภากุล’ ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (นักร้อง-นักประพันธ์เพลงไทยสากล) พ.ศ.2556 เป็นหัวหน้าวง

'ไอซ์ รักชนก' ถล่มศาลรธน. ของบ 1 ล้าน สำรวจความเห็นประชาชน แต่ปิดคอมเมนต์ในเพจเฟซบุ๊กศาล ประชาชนเข้าไปวิจารณ์ไม่ได้

เมื่อวานนี้ (5 ก.ย. 67) ‘นางสาวรักชนก ศรีนอก’ สส.กทม.พรรคประชาชน อภิปรายมาตรา 31 ศาล ถึง โครงการสำรวจความเชื่อมั่นของประชาชนต่อการอำนวยความยุติธรรมของศาลรัฐธรรมนูญ ปี 68 จำนวน 1 ล้านบาท ซึ่งปรากฏว่าเมื่อมีการสอบถามในชั้นกรรมาธิการงบประมาณฯ ได้รับคำตอบว่าอาจจะทำเป็นรูปแบบการสอบถามออนไลน์ แต่เมื่อดูในแฟนเพจเฟซบุ๊กของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญกลับไม่สามารถแสดงความคิดเห็นได้

“ท่านปิดคอมเมนต์เฟซบุ๊ก แต่ท่านมาของบประมาณ 1 ล้านบาท เพื่อไปสำรวจความคิดเห็นผ่านช่องทางออนไลน์ นี่เป็นการเขียนคำของบประมาณที่ย้อนแย้งของท่านหรือไม่ ขอ 1 ล้านบาท อยากจะฟังความคิดเห็น แต่ปิดเมนต์ฉ่ำ ไม่สามารถมีประชาชนคนไหน ที่เข้าไปคอมเมนต์ของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญได้”

นางสาวรักชนกมองว่า ช่องทางออนไลน์เป็นช่องทางที่สามารถรับฟังความเห็นได้อย่างไม่จำกัด มีประชาชนเข้ามา เพื่อให้สามารถสำรวจความเห็นได้ทั้งวันทั้งคืน โดยไม่เสียเงินสักบาท ไม่แน่ใจว่าท่านปอดแหกหรือไม่ ที่ไม่กล้าเปิดคอมเมนต์ในเฟซบุ๊ก และสุดท้ายจะเป็นการกรองเอาความเห็นที่มีประโยชน์ หรือตรงไปตรงมาหรือไม่

โดยยกตัวอย่างการใช้ช่องทางโซเชียลมีเดียของตัวเองในการสอบถามเรื่องนี้ เสมือนเป็นการนำร่องโครงการให้ ซึ่งมีความเห็นมากมายหลากหลาย อาทิ ”ฝากบอกว่าประชาชนกินข้าวไม่ได้กินหญ้า …รับใช้เผด็จการ“, “ศาลตัดสินโดยใช้หลักการอย่างนี้อย่างเลย ถ่วงความเจริญของประชาชน”, ” ไม่มีความเชื่อมั่นในความยุติธรรมของศาลรัฐธรรมนูญ เนื่องจากขอบเขตอำนาจของตัวเอง เกินกว่าที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ โดยไม่มีใครสามารถเอาผิดได้“, ”เป็นองค์กรที่มีอำนาจมากเกินไป จนอาจใช้เป็นเครื่องมือทางการได้“

นางสาวรักชนก ชี้ว่า ความคิดเห็นทั้งหมดนี้ไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณซักบาทเดียว เพียงแค่เปิดคอมเมนต์เฟซบุ๊ก ให้ประชาชนเข้ามาชื่นชมการทำงานของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ แม้ว่าคอมเมนต์ที่ตนเองได้ยกตัวอย่างไปนั้น คนในสำนักงานฯ อาจจะบอกว่า เป็นประชาชนที่ไม่ได้รู้กฎหมาย พร้อมยกตัวอย่างคลิปวิดีโอ ‘บทบาทของศาลรัฐธรรมนูญไทย ผ่านสายตา 6 อาจารย์นิติศาสตร์‘

นางสาวรักชนก ทิ้งท้ายว่า การนำร่องโครงการในครั้งนี้ ทำให้เห็นว่า ไม่จำเป็นต้องของบประมาณในส่วนนี้ จึงขอตัดงบประมาณทิ้งทั้งหมด ด้วยความเคารพ คนในสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ตนเข้าใจในหัวอกดีว่า การทำงานในหน่วยงานนี้ อาจจะได้รับคอมเมนต์ และคำชม ที่อาจทำให้ไม่สบายใจ แต่เป็นด้วยผลของการกระทำของคนในองค์กรท่าน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top