Thursday, 5 June 2025
NewsFeed

'รมว.ปุ้ย' อำลากระทรวงอุตสาหกรรม ข้าราชการแห่ส่งแน่น ยกเป็นผู้นำที่ดีมีวิสัยทัศน์ในการพัฒนาอุตสาหกรรม

(6 ก.ย. 67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะ เดินทางเข้ากระทรวงฯ ในโอกาสอำลาตำแหน่ง โดยได้กล่าวขอบคุณข้าราชการในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม ที่ทำงานร่วมกันตลอดระยะเวลา 1 ปีเต็ม โดยมีนายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยคณะผู้บริหารระดับสูง ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงฯ ให้การต้อนรับกันอย่างเนืองแน่นด้วยรอยยิ้มและเสียงปรบมือ 

นางสาวพิมพ์ภัทรา กล่าวว่า ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ ตนมีความภาคภูมิใจที่ได้เข้ามาทำงานในกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับทุกท่าน ขอบคุณจากหัวใจ ที่ได้สร้างภาพจำที่ดีให้กับกระทรวงฯ ทั้งนี้ ความสำเร็จต่าง ๆ จะไม่สามารถจะเกิดขึ้นได้เลยหากไม่ได้รับแรงสนับสนุนจากชาวกระทรวงอุตสาหกรรม ที่มีความรู้ความสามารถ และได้ส่งพลังงานดี ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา ทำให้วันนี้ทุกคนมีรอยยิ้มที่กว้างกว่าวันแรกที่เข้ามาทำงาน อย่างไรก็ตาม เชื่อมั่นว่าทุกท่านจะร่วมแรงร่วมใจทำงานเพื่อกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งเปรียบเสมือนบ้านและครอบครัวของพวกเราต่อไป 

ด้านนายณัฐพล กล่าวว่า 1 ปี ที่ผ่านมา รัฐมนตรีพิมพ์ภัทรา เป็นผู้นำที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความวิริยะอุตสาหะ มีวิสัยทัศน์ในการพัฒนาอุตสาหกรรม สามารถทำงานร่วมกับข้าราชการในทุกระดับเป็นอย่างดี ขอบคุณท่านที่ดูแลเศรษฐกิจฐานราก ช่วยเหลือชุมชน ผู้ประกอบการ และได้ผลักดันนโยบาย รื้อ ลด ปลดสร้าง ได้อย่างเป็นรูปธรรม ตนในฐานะตัวแทนของผู้บริหารระดับสูง ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม ขอกราบขอบพระคุณ และพร้อมที่จะสานต่อนโยบายต่อไป 

จากนั้น นางสาวพิมพ์ภัทรา ได้เข้าสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวงอุตสาหกรรม ได้แก่ พระภูมิ และองค์พระนารายณ์ ก่อนเดินทางออกจากกระทรวงอุตสาหกรรมไปในช่วงเช้า

'นักข่าวเกาหลี' จ่อดำเนินคดี 'คนไทย' หลังโดนทัวร์ลงจากคอนเทนต์แซะไทย โต้!! ไม่ได้เกลียดคนไทย แต่คลิปดรามา #แบนเกาหลี อ้างจากข้อมูลจริง

(6 ก.ย.67) Top News รายงานว่า 'นักข่าวสาวเกาหลี' เคลื่อนไหวโต้ไม่ได้เกลียดคนไทย แต่คอนเทนต์ที่ทำเป็นความจริงอ้างอิงมาจากข้อมูลจริง ปมทำคลิปล้อเลียนดราม่า #แบนเกาหลี หลังนักท่องเที่ยวไทยแชร์ประสบการณ์ติด ตม.เกาหลี ด้วยเหตุผลที่ตอบเจ้าหน้าที่ไม่ได้ว่า โรงแรมที่พักมีต้นไม้กี่ต้น ห้องพักสีอะไร ทำคนไทยขนทัวร์ไปลงฉ่ำ ล่าสุดเจ้าตัวจ่อดำเนินการทางกฎหมายแล้ว

กลายเป็นประเด็นศึกข้ามชาติอีกแล้วระหว่าง 'ประเทศไทย' กับ 'ประเทศเกาหลี' ที่มีกระแสร้อนแรงติดเทรน X ไปเมื่อวาน จนกระทั่งเมื่อวานนี้ก็ยังติดรั้งอันดับ1อยู่ โดยเรื่องราวเกิดจากกรณีที่ นักท่องเที่ยวชาวไทย ติดตม.เกาหลี ถูกส่งตัวกลับเป็น 10 คน เพราะเจอถามว่า "โรงแรมมีต้นไม้กี่ต้น ห้องพักสีอะไร ทำไมถึงตอบไม่ได้"

ไม่ใช่ครั้งแรก ที่มีข่าวว่านักท่องเที่ยวชาวไทย ถูกตีกลับไม่สามารถเข้าไปท่องเที่ยวประเทศเกาหลีใต้ได้ แม้บางรายจะมีเอกสารครบ แต่ตม.ก็ไม่อนุญาตให้เข้าประเทศ เนื่องด้วยหวั่นว่าจะเป็นแรงงานผิดกฎหมาย จนนำมาซึ่งกระแสแบนเที่ยวเกาหลี จนทำให้ตัวเลขของนักท่องเที่ยวไทย ที่เดินทางเข้าเกาหลีลดต่ำลงติดต่อกันหลายเดือน

โดยมีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ได้โพสต์ลงในกรุ๊ป เที่ยวเกาหลีด้วยตัวเอง ระบุว่า "ล่าสุดโดน ส่งกลับ 10 กว่าคน เราไม่ได้ไปเกาหลีมาก็ 5-6 ปีที่แล้วค่ะ กะว่าจะไปหาเพื่อน เมื่อวาน เราติด ตม. เรียบร้อยคะ ตอบได้ทุกคำถาม ยกเว้น ถามว่า ต้นไม้ที่ โรงแรมที่พัก มีกี่ต้น สีห้องพัก สีอะไร เรา ตอบไม่ได้ โดนส่งกลับ โดยแจ้งว่า ตอบคำถามไม่ชัดเจน มันอยู่ที่ดวงด้วยจริง ๆ ค่ะ"

นอกจากนี้ ยังได้โพสต์ด้วยว่า ตม.ให้เซ็นยินยอม พร้อมให้เช็กโทรศัพท์มือถืออีกด้วย ทำให้นักเดินทางหวาดกลัวไม่น้อย จนเกิดเป็นกระแส แฮชแท็ก #แบนเกาหลี

ดรามาระอุข้ามวันข้ามคืน เหตุเพราะมีนักข่าวสาวสวยชาวเกาหลีใต้ ออกมาทำคอนเทนต์ที่เรียกได้ว่าทั้งเหยียด และทั้งแซะ ด้อยค่าคนไทยถึงกระแส #แบนเกาหลี อีกทั้งตัวเธอเองก็เป็นสื่อ แต่กลับไม่มีความเป็นกลางเลยสักนิด

‘กองทัพเรือ’ ลำเลียงเรือหลวง ต.99 จัดวางหน้าประตูกองเรือยุทธการ เพื่อระลึกถึงพระราชกรณียกิจ ‘ในหลวง ร.9’ อันมากล้นต่อกองทัพเรือ

(6 ก.ย. 67) พล.ร.ต.วีรุดม ม่วงจีน โฆษกกองทัพเรือเปิดเผยว่า กองทัพเรือ ได้ทำการลำเลียงเรือ ต.99 ที่ได้ปลดระวางประจำการแล้ว มายังหน้าประตูใหญ่ กองบัญชาการกองเรือยุทธการ ถนนสุขุมวิท อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี หลังจากได้ทำการปรับภูมิทัศน์ พร้อมทั้งจัดทำโครงสร้างรองรับเรือ ต.99 บริเวณด้านหน้าประตูทางเข้ากองเรือยุทธการ รองรับไว้แล้ว

สำหรับเรือ ต.99 เป็นเรือที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในการพระราชทานพระราชดำริ และพระบรมราชวินิจฉัยเกี่ยวกับการต่อเรือ ภายใต้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง หลักการพึ่งพาตนเอง โดยเมื่อครั้งเสด็จฯ ไปทอดพระเนตรการต่อเรือยนต์รักษาฝั่ง ณ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ในปี พ.ศ. 2503 จึงทำให้กองทัพเรือ โดยกรมอู่ทหารเรือ รับสนองพระราชดำริ โดยการต่อเรือในชุดเรือ ต.91 ( เรือ ต.91 - เรือ ต.99 ) 

ในระหว่างการดำเนินการนั้น โดยพระองค์ ทรงพระราชทานคำแนะนำ ตลอดจนแก้ปัญหาต่าง ๆ อันเกิดจากกระบวนการต่อเรือ รวมถึงทรงเป็นธุระ ติดต่อกับสถาบันวิจัย และทดลองแบบเรือแห่งชาติของประเทศอังกฤษ ให้ทำการทดสอบแบบของเรือ ต.91 แม้แต่การทดสอบเรือในทะเล พระองค์ก็ทรงเสด็จไปร่วมทดสอบด้วยพระองค์เอง ทั้งยังทรงตรวจแก้ข้อผิดพลาดต่าง ๆ จนทำให้การต่อเรือสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี

ในส่วนของเรือ ต.99 นั้นเป็นเรือที่ประจำการอยู่ในสังกัดกองเรือยามฝั่ง กองเรือยุทธการ ปฏิบัติภารกิจในการลาดตระเวนรักษาอธิปไตยของชาติและรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล เป็นระยะเวลายาวนานถึง 34 ปี และได้ปลดระวางเมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2565 เพื่อเป็นการน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ทรงมีคุณูปการต่อกองทัพเรือเป็นอเนกอนันต์ กองทัพเรือ จึงได้พิจารณานำ เรือ ต.99 ซึ่งถือเป็น 1 ใน 9 เรือรบหลวงที่ต่อขึ้นใช้เองในช่วงปี 2511 - 2530 มาตั้งทดแทนประตูทางเข้ากองเรือยุทธการเดิม เพื่อเป็นสถานที่อนุรักษ์ และเชิดชูชุดเรือหลวงของพ่อที่ทรงมีดำริให้กองทัพเรือต่อเรือใช้เอง สนองโครงการเศรษฐกิจพอเพียงต่อไป

สมุทรปราการ- 'อำนวย บุญริ้ว' นายกเทศมนตรีเมืองแพรกษาใหม่ ลงพื้นที่เยี่ยมผู้ป่วยพร้อมกับมอบผ้าอ้อมแก่ผู้ป่วยติดเตียงในชุมชน

ตามโครงการสนับสนุนผ้าอ้อมผู้ใหญ่และแผ่นรองซับการขับถ่าย สำหรับบุคคลที่มีภาวะพึ่งพิงและบุคคลที่มีภาวะปัญหาการกลั้นปัสสาวะหรืออุจจาระไม่ได้ 

(6 ก.ย.67) เมื่อเวลา 09.00 น. นายอำนวย บุญริ้ว นายกเทศมนตรีเมืองแพรกษาใหม่ นำคณะผู้บริหาร คณะสมาชิกสภาเทศบาล หัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่กองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม เทศบาลเมืองแพรกษาใหม่ และอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) หมู่ที่ 3 ตำบลแพรกษาใหม่ ลงพื้นที่ภายในหมู่บ้านพฤกษา 15 หมู่ 3 ตำบลแพรกษาใหม่ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ 

เพื่อตรวจเยี่ยมผู้สูงอายุและผู้ป่วยติดเตียงในชุมชน ทั้งนี้ยังได้มอบผ้าอ้อมแก่ผู้สูงอายุและผู้ป่วยติดเตียงตามโครงการสนับสนุนผ้าอ้อมผู้ใหญ่และแผ่นรองซับการขับถ่าย สำหรับบุคคลที่มีภาวะพึ่งพิงและบุคคลที่มีภาวะปัญหาการกลั้นปัสสาวะหรืออุจจาระไม่ได้ จำนวน 31 หลังคาเรือน 

โดยนาย อำนวย บุญริ้ว นายกเทศมนตรีเมืองแพรกษาใหม่ กล่าวว่า วันนี้ได้นำคณะผู้บริหาร คณะสมาชิกสภาเทศบาล และกองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อมตลอดจนกลุ่มอาสาสมัคร อสม. คณะกรรมการนิติบุคคลหมู่บ้านพฤกษา 15 ร่วมลงพื้นที่เยี่ยมผู้ป่วยติดเตียงและกลุ่มผู้สูงอายุในชุมชนหมู่บ้านพฤกษา 15 พร้อมกับมอบผ้าอ้อมและแผ่นรองซับตามโครงการสนับสนุนผ้าอ้อมผู้ใหญ่และแผ่นรองซับการขับถ่าย สำหรับบุคคลที่มีภาวะพึ่งพิงและบุคคลที่มีภาวะปัญหาการกลั้นปัสสาวะหรือ อุจจาระไม่ได้ 

ในครั้งนี้ ทางเทศบาลเมืองแพกรษาใหม่ โดยกองทุนหลักประกันสุขภาพเทศบาลเมืองแพรกษาใหม่ ได้ดำเนินโครงการฯ มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2566 โดยมอบผ้าอ้อมผู้ใหญ่และแผ่นรองซับการขับถ่าย ให้กับบุคคลที่มีภาวะพึ่งพิงและบุคคลที่มีภาวะปัญหาการกลั้นปัสสาวะหรืออุจจาระไม่ได้ ซึ่งโครงการดังกล่าวนี้เราจะลงพื้นที่มอบในทุกๆ 3 เดือน ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ลงพื้นที่ในชุมชนต่างๆ โดยเริ่มจากหมู่ที่ 1 ถึงหมู่ที่ 7 ตำบลแพรกษาใหม่ รวมทั้งสิ้น 140 หลังคาเรือน เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้กับผู้ป่วยติดเตียงและกลุ่มผู้สูงอายุในชุมชนต่างๆ พร้อมกับจะเดินหน้าโครงการดังกล่าวเพื่อพัฒนาและดูแลด้านความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนในชุมชนแพรกษาใหม่ต่อไป

'เชียงราย' ฉก.ทัพเจ้าตาก ยิงปะทะเดือด กลุ่มขบวนการลำเลียงยาเสพติด กลางป่าชายแดนแม่สายตรวจยึดยาบ้า 1 ล้านเม็ด

ในห้วงกลางดึกของวันที่ (5 ก.ย.67) เวลา 23.10 นาฬิกา กองกำลังผาเมือง โดย หน่วยเฉพาะกิจทัพเจ้าตาก จัดกำลังจาก กองร้อยทหารม้าที่ 2 หน่วยเฉพาะกิจทัพเจ้าตาก จำนวน 1 ชุดปฏิบัติการ ทำการ ลาดตระเวนเพื่อป้องกันและสกัดกั้นการกระทำผิดตาม พระราชบัญญัติยาเสพติด บริเวณ บ้านผาแตก หมู่ที่ 10 ตำบลเวียงพางคำ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ขณะปฏิบัติหน้าที่ได้ตรวจพบกลุ่มบุคคลต้องสงสัย ประมาณ 2-3 คน นั่งอยู่บริเวณแนวชายป่า มีลักษณะและพฤติกรรมต้องสงสัย เจ้าหน้าที่จึงได้แสดงตัวเพื่อขอทำการตรวจค้น แต่กลุ่มบุคคลดังกล่าวได้ขัดขืนการปฏิบัติงานของ เจ้าหน้าที่และได้ใช้อาวุธปืนไม่ทราบชนิดยิงใส่ฝ่ายเราจึงเกิดการปะทะกันประมาณ 5 นาที ฝ่ายเราปลอดภัย เนื่องจากเป็นห้วงเวลากลางคืน ไม่สามารถเข้าตรวจสอบพื้นที่ได้ จึงได้จัดกำลังเพิ่มเติมจำนวน 2 ชุดปฏิบัติการ เข้าควบคุมพื้นที่เกิดเหตุไว้

จนกระทั่งในห้วงเช้าของวันที่ 6 กันยายน 2567 พันเอก ณฑี ทิมเสน ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจทัพเจ้าตาก ได้สั่งการให้จัดกำลังเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุดังกล่าว ผลการปฏิบัติ ตรวจพบเป้กระสอบดัดแปลง จำนวน 5 เป้ ภายในบรรจุยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) เป้ละ 200,000 เม็ด รวมทั้งสิ้น 1,000,000 เม็ด และ ปลอกกระสุนปืนลูกซองของกลุ่มขบวนการ จำนวน 1 ปลอก

ต่อมาเมื่อเวลา 11.30 นาฬิกา พลตรี ประพัฒน์ พบสุวรรณ ผู้บัญชาการกองกำลังผาเมืองผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดกองกำลังผาเมืองได้มอบหมายให้ พันเอก มีชัย นิลศาสตร์ รองผู้บัญชาการกองกำลังผาเมือง และฝ่ายปกครองอำเภอแม่สายโดย นาย ณรงค์พล คิดอ่าน นายอำเภอแม่สายได้ลงพื้นที่เพื่อแถลงข่าวการตรวจยึดยาเสพติดดังกล่าว หลังจากนั้นจึงได้นำของกลางส่งให้ สถานีตำรวจภูธรแม่สายเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

'ไต้หวัน' เซ็ง!! ศักยภาพขีปนาวุธต่อต้านรถถัง TOW จากสหรัฐฯ ยิงถูกเป้าหมาย ‘ไม่ถึงครึ่ง’ ไม่รู้จากตัวอาวุธหรือผู้ที่ใช้งาน

เมื่อปลายเดือนสิงหาคม Taiwan News เปิดเผยว่า ทางกระทรวงกลาโหมไต้หวัน ได้ประกาศจะทบทวนการใช้ขีปนาวุธนำวิถีต่อต้านรถถัง TOW 2A หลังพบว่าขีปนาวุธที่ยิงออกไประหว่างการฝึกซ้อม 'พลาดเป้า' เสียเป็นส่วนใหญ่

จากรายงาน ระบุว่า มีขีปนาวุธ TOW เพียง 7 ลูกจากทั้งหมด 17 ลูกที่ยิงถูกเป้าหมายระหว่างการซ้อมรบ 2 วัน และยังไม่แน่ชัดว่าความผิดพลาดนี้เกิดจากระบบอาวุธเอง หรือผู้ที่ใช้งาน

ด้านสื่อ CNA อ้างเจ้าหน้าที่กองทัพไต้หวันซึ่งออกมาชี้แจงว่า วัตถุประสงค์ในการฝึกครั้งนี้ก็เพื่อให้ทหารไต้หวันคุ้นเคยกับอาวุธมากกว่าที่จะเน้นเรื่องความแม่นยำหรือการทำผลงานได้อย่างเหมาะสม แต่อย่างไรก็ตาม จะมีการประชุมหารือเกี่ยวกับระบบขีปนาวุธชนิดนี้ภายในสัปดาห์หน้า

การซ้อมรบดังกล่าว ซึ่งจัดขึ้นที่ชายหาดของเทศมณฑลผิงตง (Pingtung) ทางตอนใต้ใกล้ช่องแคบไต้หวัน เน้นไปที่การใช้ขีปนาวุธ TOW เพื่อล็อกเป้าทำลายยานพาหนะโจมตีสะเทินน้ำสะเทินบกที่จีนอาจนำมาใช้หากสงครามปะทุขึ้น และต้องการให้ทหารไต้หวันได้เห็นภาพว่าหากมีการรุกรานเกิดขึ้นจริง สถานการณ์น่าจะเป็นเช่นไร

สำหรับขีปนาวุธ TOW นั้นมีข้อดีตรงที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ง่ายและมีการใช้งานที่ยืดหยุ่น โดยไต้หวันอาจนำแท่นยิงไปติดตั้งบนยานพาหนะทหาร เช่น รถฮัมวี และขับไปที่ชายหาดเพื่อใช้ยิงทำลายกองกำลังจีนที่ยกพลขึ้นบกได้

ไต้หวันเผชิญภัยคุกคามหลายด้านจากจีน ตั้งแต่การรุกรานไปจนถึงการปิดล้อม (blockade) ขณะที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ชี้ว่า ไต้หวันจำเป็นจะต้องใช้อาวุธแบบอสมมาตรที่ต้นทุนต่ำ เช่น ทุ่นระเบิดทะเล เพื่อป้องปรามกองทัพจีนซึ่งทั้งมีขนาดใหญ่และมีอาวุธยุทโธปกรณ์มากกว่าหลายเท่า แต่กระนั้นอาวุธแบบดั้งเดิม (Conventional) ก็ยังสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

รัฐบาลไต้หวันยังมีโครงการพัฒนาเรือดำน้ำภายในประเทศ และตั้งงบประมาณเอาไว้หลายพันล้านดอลลาร์สำหรับการจัดสร้างเรือดำน้ำให้ได้อีก 7 ลำ ภายใน 14 ปีข้างหน้า

'ซีเค' แนะรัฐ ต้องกำชับให้ธุรกิจต่างชาติตั้งโรงงานในไทย เอื้อ!! จ้างคนไทย ใช้วัตถุดิบไทย ให้เงินไหลอยู่ในประเทศ

เมื่อไม่นานมานี้ จากช่องติ๊กต็อก ‘Ckfastwork’ ของ ‘ซีเค เจิง’ นักธุรกิจหนุ่มลูกครึ่งไทย-จีน (มาเก๊า) ผู้เติบโตที่ประเทศอเมริกา และเป็นหนึ่งในผู้บริหารของ ‘Fastwork Technologies’ ได้โพสต์คลิปขณะเข้าพูดคุยกับ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ ในเรื่องสินค้าจากต่างประเทศทะลักเข้าไทย ซ้ำยังขายในราคาถูก

โดยภายในคลิปที่ปรากฏ เป็นช่วงที่ซีเค เจิ้ง กำลังกล่าวว่า “เงินทุกบาท ทุกสตางค์ มันไหลออกนอกประเทศหมดเลยนะครับ เพราะว่าสิ่งที่เขาขาย คือสินค้าจีน 100% ก็แปลว่าเงินออกนอกประเทศหมดเลย ถ้าเขาอยากจะขายราคานี้ ต้องบังคับให้เขาต้องเปิดโรงงานที่ไทย อย่างน้อยหากเขาเปิดโรงงานที่ไทย สร้างโรงงานที่ไทย จ้างงานคนไทย มันก็อาจจะเป็นอีกทางหนึ่ง และอย่างน้อยเงินก็ยังอยู่ในนี้ (ประเทศไทย) ครับ”

ต่อมา นายภูมิธรรมได้เอ่ยถามกลับมาว่า “แล้วต้องใช้ของ ๆ เราไหม? เช่น วัตถุดิบต่าง ๆ ภายในประเทศ”

ซีเค กล่าวตอบว่า “ก็ควรครับ ดีครับ แต่ผมแค่อยากให้โรงงานอยู่ในประเทศไทย เพราะว่าอย่างน้อยเงินเข้าที่ประเทศไทย เข้าธนาคารไทย เข้าที่คนไทย พนักงานได้เงินแล้วใช้จ่ายกับคนไทย ซึ่งจะทำให้เงินหมุนเวียนในประเทศไทยครับ”

'หมอพรรคส้ม' ห้าว!! ลุกตัดงบกลาโหม ปมขยายโรงงานยาทหาร ด้าน 'จิรายุ' สวน!! เพราะบางยาให้เอกชนผลิตไม่ได้ ต้องควบคุมไง

เมื่อวานนี้ (5 ก.ย. 67) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกกระทรวงกลาโหมฝ่ายการเมือง กล่าวถึงกรณีที่ น.ส.กัลยพัชร รจิตโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อภิปรายตัดงบกระทรวงกลาโหม ในส่วนของการสร้างโรงงานเภสัชกรรมทหารแห่งใหม่ 938 ล้านบาท โดยยกข้อมูลที่สับสน ไม่เป็นความจริง นำพาสังคม ไปสู่ความเข้าใจผิดในหลายประเด็น เช่น การตั้งคำถามเกี่ยวกับยาซูโดเอฟีดรีน (pseudoephedrine) หรือยาที่เรียกกันว่า ยาเสียตัว โดยกล่าวว่า ‘หลัง ๆ ยาชนิดนี้ไม่มีขายเท่าไรเพราะเป็นสารตั้งต้นยาบ้า ยาไอซ์‘ พร้อมนำมาอภิปรายผูกติดกับข้อมูลที่ว่า ‘ไทยส่งออกยาไอซ์สูงสุดอันดับ 1’ นับเป็นการกล่าวร้ายประเทศไทยบ้านเกิดของคนไทยอย่างน่าตกใจ จงใจนำข้อมูลที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกัน มาอภิปรายเชื่อมโยงกันให้ประชาชนเข้าใจผิด จนทำให้คนไทยทั้งประเทศไทยเสียหาย

จึงขอเรียกร้องให้ สส.คนดังกล่าว อภิปรายด้วย ‘ความทรงภูมิใหม่’ เพื่อชี้แจงความจริงต่อสังคมว่า ผู้ที่สามารถจำหน่ายซูโดอีฟีดรีนสูตรเดี่ยวนั้น ความจริงคือผลิตได้เฉพาะผู้รับอนุญาตให้มีไว้ในครอบครองหรือใช้ประโยชน์ฯ กระทรวง ทบวง กรม สภากาชาดไทย องค์การเภสัชกรรม หรือ ‘สถาบันอื่นของทางราชการตามที่รัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษา’ เท่านั้น ดังนั้น โรงงานเภสัชกรรมทหาร เป็นหน่วยงานในกระทรวงกลาโหม จำเป็นต้องผลิตทางการแพทย์ตามกฎหมาย และยานี้ห้ามขายในร้านขายยาทั่วไปตามกฎหมายอยู่แล้ว

นายจิรายุ กล่าวอีกว่า การอภิปรายในสภา โดยไม่มีฐานข้อมูลรองรับที่ว่า ‘แทบทั้งโลกเลิกผลิตซูโดอีฟีดรีนแล้ว ไปใช้ยาตัวอื่น’ ไม่เป็นความจริง ณ วันนี้ยังมีการผลิตยาดังกล่าวเพื่อใช้ในการรักษาพยาบาล เป็นยาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาสูง ซึ่งเรื่องนี้ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ ‘หน่วยงานใดเป็นผู้ผลิต’ แต่ที่ผ่านมาคือ ‘การควบคุมการใช้ยา‘ โดยปัจจุบัน ยาชนิดนี้ถูกจัดให้อยู่กลุ่มวัตถุออกฤทธิ์ประเภท 2 (วจ.2) การใช้ต้องขออนุญาตทุกครั้งและจำกัดการใช้ ในทางการแพทย์ ยาทั้ง 2 ตัว เป็นยาที่อยู่ในกลุ่มที่ใช้รักษาภาวะอาการเดียวกัน ทั้งหมดจึงเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วย

ส่วนวาทกรรมที่ว่า ‘การผลิตยาไม่ใช่ภารกิจของกองทัพ’ และ ‘กองทัพทำงานที่ไม่ใช่ธุระ’ พร้อมไล่เรียงเนื้อหาเพื่อเข้าสู่ปลายทางการตัดงบสร้างโรงงานเภสัชกรรมทหารแห่งใหม่ที่จังหวัดราชบุรีนั้น ข้อเท็จจริงคือ โรงงานเภสัชกรรมทหาร เกิดขึ้น พ.ศ. 2484 - 2488 ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ในช่วงที่การผลิตยาเพื่อช่วยเหลือประชาชน และ ทหารในภาวะสงคราม จนปัจจุบันยังอยู่ในสังกัดปลัดกระทรวงกลาโหม ผลิตยาเพื่อใช้ในกองทัพ และที่ผ่านมาโรงงานเภสัชกรรมทหาร ช่วย GPO องค์การเภสัชกรรม ภายใต้กำกับของกระทรวงสาธารณสุข ผลิตยาใช้ในยามวิกฤต เช่น ช่วงสถานการณ์น้ำท่วมปี 2554 ที่องค์การเภสัชกรรม ผลิตยาไม่ทัน เช่นกัน

ส่วนการอภิปรายเชิงประชดประชันว่า ‘ทหารเป็นหวัดคัดจมูกกันเยอะขนาดนั้นเลยเหรอคะ’ ทั้งที่โรงงานเภสัชกรรมทหาร ผลิตยาป้อนเข้าโรงพยาบาลอื่นๆ เพื่อให้ประชาชนทั่วไปใช้ยานี้ได้ เนื่องจากเป็นยาที่ควบคุมการผลิต และจำเป็นที่จะต้องควบคุมการผลิต และส่งให้กับโรงพยาบาลเพื่อรักษาคนไข้ การยกเอาฤทธิ์ของยาที่ถูกจำกัดการใช้ และนำเหตุผลว่ายานั้นเป็นสารตั้งต้นของยาเสพติดขึ้นมาอภิปราย เพื่อ ‘สร้างความกลัว’ ให้กับสังคม ทำให้เข้าใจผิดคิดว่า ยานี้ให้โทษมากกว่าให้คุณ เป็นสิ่งที่ผู้ที่เป็นแพทย์ ไม่สมควรทำ และพรรคการเมืองเองก็ไม่สมควรที่จะเผยแพร่ข้อมูลด้านเดียวให้ประชาชนเข้าใจผิด

ขณะที่ผู้ใช้เฟซบุ๊ก 'Passakorn Ton Kongsakorn' ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า... "ห้ามทหารผลิตยา แต่สนับสนุนสุราเสรี ไม่เลวจริงทำไม่ได้นะครับ"

‘โอปป้าเกาหลี’ สะท้อนมุมมองดรามา 'ชาลี-กามิน' สงสาร 'ชาลี' สงสารความมีน้ำใจของคนไทย

เมื่อวานนี้ (5 ก.ย. 67) บัญชีติ๊กต๊อก (TikTok) ที่ใช้ชื่อว่า ‘ruengnok18053’ หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘พี่เรือง-น้องนก’ ซึ่งเป็นบัญชีของสาวไทยที่ได้แต่งงานกับหนุ่มเกาหลีอาศัยอยู่ในไทย โดยได้ลงคลิปคอนเทนต์รีแอคชันของ ‘พี่เรือง’ ผู้เป็นสามีชาวเกาหลีที่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับกรณีดาราหนุ่ม ‘แน็ก ชาลี ปอทเจส’ ที่ประกาศแยกย้ายกับ ‘กามิน’ แฟนสาวชาวเกาหลี 

สำหรับเนื้อหาของคลิปเริ่มต้นที่ ‘พี่เรือง’ ดูคลิปเต้นของกามิน ก่อนจะปิดไปด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย จากนั้น ‘น้องนก’ ซึ่งเป็นภรรยาก็ได้ถามว่า “ถ้าอยากจะคอมเมนต์กามิน อยากจะคอมเมนต์ว่าอะไร?”

โดยสามีชาวเกาหลี ได้มีความเห็นว่า ตนรู้สึกโกรธมาก และคิดว่าทำไมกามินถึงทำแบบนี้? ทำไมไม่มีความรู้สึกผิดต่อคนไทยที่เคยรักและชื่นชมเธอเลย กลับลงคลิปเต้นเหมือนต้องการเยาะเย้ยคนไทย ซึ่งตนมองว่า ดูเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมเป็นอย่างมากที่เธอเลือกทำร้ายความรู้สึกของคนไทยแบบนี้

"ผมรู้สึกโกรธมากนะ ดูเหมือนกามินอาจจะเข้าใจผิด เหมือนเธอจะคิดว่าตัวเองจะอยู่เกาหลีตลอดไป" 

พี่เรือง บอกอีกว่า "กามินโชคดีมาก ไม่ใช่แค่เรื่องเงินนะ เนื่องจากคนไทยหลายคนชอบกามิน ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย ทำไมกามินถึงไม่รู้ตัวเองว่า เธอมาถึงจุดนี้ (จุดที่มีชื่อเสียง) ได้ยังไง? ทำไมคนไทยชอบกามิน? ทำไมคนไทยถึงคอยให้กำลังใจกามิน? คนไทยให้ทุกอย่าง ทั้งความรู้สึก แม้กระทั่งเงินทองแบบที่ไม่ได้หวังผลตอบแทน แถมยังให้กำลังใจนับตั้งแต่ตอนที่เธอไลฟ์คนเดียว ซึ่งไม่มีคนดูเลย”

นอกจากนี้ พี่เรือง ยังให้มุมมองอีกว่า กามินอาจต้องการแค่ชื่อเสียงและฐานแฟนคลับตัวเองเพิ่มเท่านั้น แต่เมื่อได้ทุกอย่างแล้ว กลับลืมตัวและยอมทิ้งสิ่งที่คนไทยให้ไปจนหมด กามินควรจะต้องขอโทษคนไทย และชี้แจงความจำเป็นที่ตัวเองจะต้องอยู่เกาหลีอย่างจริงใจ ซึ่งตนเชื่อว่าคนไทยย่อมต้องเข้าใจและยังคงสนับสนุนเธอต่อไปแน่ 

“ทำไมเธอไม่ขอโทษคนไทย ก็แค่พูดว่า ‘ขอโทษนะคะ โปรดเข้าใจฉันได้ไหม? ฉันเป็นคนเกาหลี ฉันอยากอยู่เกาหลี จะต้องอยู่เกาหลี ขอโทษนะคะ’ พูดแค่นี้ก็ได้ คนไทยก็เข้าใจใช่ไหม? คนไทยก็โอเค”

ทั้งนี้ เมื่อทุกครั้งที่พวกเขา (พี่เรือง-น้องนก) นั่งดูคลิปกามินด้วยกัน ก็นึกตั้งข้อสังเกตว่า หากกามินต้องการจะอยู่และใช้ชีวิตในประเทศไทยจริงๆ เธอก็น่าจะต้องพยายามทำตัวเองให้สนุกสนานและมีความสุขเวลาใช้ชีวิตอยู่ในไทย แต่ดูเหมือนเธอจะตั้งหน้าตั้งตาหาเงินตลอดเวลา

ท้ายสุด พี่เรือง ได้ทิ้งท้ายด้วยว่า เขาสงสารแน็กชาลี และเป็นกำลังใจให้ดาราหนุ่มก้าวผ่านเรื่องนี้ไปได้ ก่อนจะจบคลิปว่า "แน็กชาลี สู้ๆ นะครับ"

อย่างไรก็ตาม ล่าสุดวันนี้ (6 ก.ย. 67) ทางกามินได้มีการออกมาไลฟ์ชี้แจงประเด็นดังกล่าวว่า ที่เธอกลับเกาหลีกะทันหัน เพราะเป็นการตัดสินใจของชาลี และได้ตัดสินใจเลิกกันตั้งแต่วันที่ 18 ส.ค.67 แล้ว ที่เลือกมาทำงานในไทยเป็นเพราะความรักล้วนๆ พร้อมกับมั่นใจว่าไม่เคยดูถูกคนไทยว่าหลอกง่าย ไม่ได้หอบเงินหนี หากทำจริงเธอยอมเดินเข้าคุก อีกทั้งไม่ได้เป็นคนทำบ้านของชาลีไฟไหม้ และที่ให้แน็กจ่ายค่าปรับเพราะผิดสัญญางานจ้างก็ไม่เป็นความจริง ยืนยันว่าทุกอย่างระหว่างเธอกับแน็กชาลีจบลงด้วยดี

สุดท้ายไม่ว่าเรื่องนี้จะจบลงอย่างไร ก็ขอให้คนไทยติดตามกันด้วยวิจารณญาณ จะดีที่สุด...

🔍ส่อง 10 เมืองที่เหมาะสมกับ ‘นักเรียน-นักศึกษา’ มากที่สุดในโลก

‘QS Best Student Cities 2025’ เปิดเผยผลสำรวจ เมืองที่เหมาะสมกับ ‘นักเรียน-นักศึกษา’ มากที่สุดในโลก โดยวัดจาก ราคาที่เข้าถึงได้, ความสามารถทางวิชาการ, โอกาสในการถูกจ้างงาน, ความพึงพอใจของผู้เรียน และความหลากหลายของเมือง

ซึ่ง ‘ลอนดอน’ ประเทศอังกฤษ ติดอันดับที่ 1 ตามมาด้วย ‘โตเกียว’ ประเทศญี่ปุ่น ส่วน ‘กรุงเทพฯ’ ประเทศไทย อยู่ในลำดับที่ 59 ของโลก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top