Friday, 6 June 2025
NewsFeed

‘เคทีซี’ จัดกิจกรรม ‘KTC on Tour : ชิล ชม ชิม @ พัทยา’ แจกสิทธิพิเศษ-ส่วนลด ‘ร้านอาหาร-แหล่งท่องเที่ยว’ เพียบ!!

(5 ก.ย. 67) ‘เคทีซี’ หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ร่วมกับพันธมิตรการตลาดในหมวดกิน (Dining) และหมวดแหล่งท่องเที่ยว (Attraction) จัดกิจกรรม ‘KTC on Tour : ชิล ชม ชิล @ พัทยา’ ชวนอินฟลูเอนเซอร์ สายกิน ดื่ม เที่ยว สัมผัสประสบการณ์ความคุ้มค่า ‘มื้อนี้มีโปรกับบัตรเครดิตเคทีซี’ และ ‘คะแนนน้อยแลกได้’ ที่จังหวัดชลบุรี ตอกย้ำผู้นำด้านการตลาดบัตรเครดิตที่ครอบคลุมทุกหมวดไลฟ์สไตล์ 

ภายในงานเหล่าอินฟลูเอนเซอร์ได้ร่วมล่าโปรบัตรเครดิตเคทีซี โดยเริ่มต้นเช็กอินที่ร้าน TEA FACTORY AND MORE คาเฟ่ชาในสวนสวย ตกแต่งบรรยากาศด้วยกลิ่นอายแบบโรงงานชาที่ศรีลังกาผสมผสานกับยุโรป ลิ้มรสชาติชาตามแบบฉบับพิเศษของร้านที่ได้รับรางวัลการันตีความอร่อยเคียงคู่เมืองพัทยามากว่า 10 ปี 

ต่อด้วยอาหารเที่ยงที่ร้านอาหารในเครือของ ‘The Sky’ ได้แก่ The Lunar Beach House Pattaya / The Forest by The Sky / The Oxygen Pattaya / The Sky Gallery Pattaya แลนด์มาร์กแห่งใหม่เอาใจสายคาเฟ่ เพลิดเพลินกับอาหารหลากหลายสไตล์เคล้าบรรยากาศริมทะเล 

และสนุกสนานไปกับโชว์โลมาระดับเวิลด์คลาสที่ดีที่สุดในเอเชียที่ Pattaya Dolphinarium 

ปิดท้ายด้วยอาหารค่ำที่ร้าน Under The Sun บนชายหาดทอดยาวที่มองเห็นแสงอาทิตย์อัสดง ในโรงแรมสุดหรู Ana Anan Resort and Villas Pattaya

สำหรับสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีที่อาศัยในพื้นที่ชลบุรีหรือจังหวัดใกล้เคียง และผู้เดินทางไปท่องเที่ยวพัทยา สามารถรับสิทธิพิเศษมากมายจากการใช้บริการที่ร้านต่าง ๆ ดังนี้

ร้าน TEA FACTORY AND MORE รับส่วนลด 10% เฉพาะค่าอาหาร (วันจันทร์ - วันศุกร์) รับส่วนลด 5% เฉพาะค่าอาหาร (วันเสาร์ วันอาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์) พิเศษ แลกคะแนนรับเครดิตเงินคืน 10% เมื่อใช้คะแนน KTC FOREVER เท่ายอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2567 - 31 ธันวาคม 2567

ร้านอาหารในเครือ The Sky ได้แก่ The Lunar Beach House Pattaya / The Forest by The Sky / The Oxygen Pattaya / The Sky Gallery Pattaya แลกคะแนนรับเครดิตเงินคืน 200 บาท เมื่อทานครบ 1,000 บาทต่อเซลส์สลิป และใช้ 1,599 คะแนน KTC FOREVER ระหว่างวันที่ 15 กรกฎาคม 2567 - 31 ตุลาคม 2567 

Pattaya Dolphinarium ใช้คะแนน KTC FOREVER 999 คะแนน แลกรับ e-Coupon ส่วนลด 150 บาท สำหรับบัตรเข้าชมโลมา ผ่านแอป KTC Mobile ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2567 - 31 ธันวาคม 2567 

ร้านอาหาร Under The Sun รับส่วนลด 15% สำหรับอาหารและเครื่องดื่ม (ยกเว้นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์) ระหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567 - 31 ธันวาคม 2567

ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.ktc.co.th หรือสอบถามที่ KTC PHONE 02 123 5000 สมัครบัตรเครดิตเคทีซีทุกประเภท คลิก https://ktc.today/apply-card หรือศูนย์บริการสมาชิก ‘เคทีซี ทัช’ ทุกสาขาทั่วประเทศ ทั้งนี้ ผู้ถือบัตรเครดิตควรใช้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนเต็มจำนวนตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี 

‘ดีเคช’ นักแม่นปืนทีมชาติตุรกีจดลิขสิทธิ์ท่ายิงสุดไวรัลแล้ว หลังถูกนำท่าไปใช้หากิน แถมหวังชิงจดลิขสิทธิ์ตัดหน้าเจ้าตัว

(5 ก.ย. 67) ยังคงโด่งดังจนเป็นไวรัลต่อเนื่องมาจากการเข้าแข่งขันมหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง โอลิมปิกเกมส์ 2024 ที่ประเทศฝรั่งเศส กับ ‘ยูซุฟ ดีเคช' (Yusuf Dikec) นักกีฬาแม่นปืนทีมชาติตุรกีที่เข้าแข่งขันโดยใช้เพียงปืนคู่ใจและแว่นตา

แถมจอมแม่นปืนวัย 51 ปี ยังไม่ได้สวมอุปกรณ์ปิดตาไฮเทค ซึ่งสำคัญมากสำหรับกีฬายิงปืน หากแต่เขาใส่เเว่นสายตาปกติ เสื้อยืด กางเกงยีนส์ แล้วสามารถคว้าเหรียญเงินมาครองได้ จนโด่งดังอย่างมากในโลกโซเชียล

แต่ทว่า สิ่งหนึ่งที่ทำให้ ดีเคช ถูกพูดถึงอย่างมาก คือ 'ท่ายิงสุดชิล' ของเขา ที่เอามือล้วงกระเป๋า หน้านิ่ง จนถูกยกเป็นเครื่องหมายการค้าไปแล้ว

อย่างไรก็ตามกลับมีหลายคนฉวยโอกาส นำท่าดังกล่าวไปใช้ค้าขายเชิงพาณิชย์หรือโปรโมทสินค้าตัวเองโดยไม่ได้รับอนุญาต

เท่านั้นไม่พอ ยังมีคนบางกลุ่มหัวหมอเตรียมชิงจดลิขสิทธิ์ท่าดังกล่าวตัดหน้าโดยที่ดีเคชไม่รู้ นั่นจึงทำให้พวกเขาอยู่นิ่งไม่ได้ 

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ‘ออร์ดินก์ บิลกิลี’ โค้ชของดีเคชกล่าวว่า "หลังจากได้รับแจ้งเกี่ยวกับความพยายามจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าจำนวนมากที่ดำเนินการโดยที่ดีเคชไม่ทราบ เราได้ยื่นคำร้องเมื่อประมาณหนึ่งสัปดาห์ที่แล้ว เพื่อเเจ้งว่าคำขอของคนอื่นๆ จะถูกปฏิเสธ"

การตัดสินใจจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าท่าทางดังกล่าว ไม่เพียงแต่เป็นการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาของดีเคชเท่านั้น แต่ยังเป็นการปกป้องการใช้รูปลักษณ์ของเขาในเชิงพาณิชย์อีกด้วย หลังจากลักษณะไวรัลท่าทางของเขา ถูกนำไปสร้างของที่ระลึกต่างๆ มากมาย รวมทั้งเสื้อยืด แก้วกาแฟ และเคสโทรศัพท์มือถือ ซึ่งล้วนมีภาพของเขาอยู่ทั้งสิ้น

'กรณ์' แนะ!! แนวทางบรรเทาหนี้ครัวเรือนไทย หลังพุ่งแตะอันดับ 9 ของโลก ชี้!! ส่วนใหญ่ยืมมาเพื่อใช้จ่าย ไม่ใช่ลงทุนในสินทรัพย์ที่เพิ่มมูลค่า

เมื่อวานนี้ (4 ก.ย. 67) นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ 'วิกฤตเศรษฐกิจไทยในวันที่ต้องรอด' ในงานประชุมใหญ่สมาคมอสังหาริมทรัพย์ฉะเชิงเทรา ที่จัดขึ้น ณ โรงแรมวันธาราเวลเนส รีสอร์ท แอนด์ โฮเทล ต.คลองนา อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา โดยมีสมาชิกสมาคมอสังหาริมทรัพย์จากทั่วประเทศเข้าร่วม

โดยนายกรณ์ได้กล่าวถึงหนี้รัฐบาลว่ายังถือเป็นเรื่องที่น่าจะแบกรับได้ เมื่อเทียบกับภาระการชดใช้ดอกเบี้ยและเงินต้นของรัฐบาล ที่เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายทั้งหมดจะอยู่ที่ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ของ GDP

แต่สิ่งที่กำลังเป็นปัญหาของรัฐบาลคือการที่หนี้ภาคครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ ซึ่งหลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในปี 2554-2556 พบว่า หนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นจาก 50 เปอร์เซ็นต์ของ GDP เป็น 80 เปอร์เซ็นต์ของ GDP ในระยะเพียง 5 ปี ถือว่าเร็วที่สุดเมื่อเทียบกับเกือบทุกประเทศในโลก

ขณะที่ในวันนี้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนของไทยอยู่ที่ประมาณ 86.9 เปอร์เซ็นต์ของ GDP ซึ่งติดอยู่ในกลุ่มหนี้ครัวเรือนที่สูงที่สุดในโลก หรือติดอยู่ในลำดับที่ 9 ใน 10 ของโลก และที่น่าแปลกใจคือ ประเทศที่มีหนี้ครัวเรือนสูงที่สุด คือ สวิตเซอร์แลนด์ ที่เคยถูกมองว่าเป็นประเทศที่ร่ำรวยและไม่คิดว่าประชากรของประเทศนี้จะกู้หนี้ยืมสินมากเป็นอันดับ 1 ของโลก คือ 128.3 เปอร์เซ็นต์ของ GDP

“แต่เหตุใดคนสวิสจึงไม่เดือดร้อนในเรื่องของปัญหาหนี้ครัวเรือน นั่นก็เพราะ 99 เปอร์เซ็นต์ของหนี้สินคนสวิสคือ หนี้ซื้อบ้านซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นอยู่ตลอดเวลา แต่ประเทศไทย หนี้ภาคครัวเรือนเป็นหนี้ที่ยืมมาเพื่อใช้จ่าย อีกทั้งรายได้ของประเทศไทยยังน้อย จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้กำลังซื้อของคนไทยหายไป”

นายกรณ์ ยังเผยอีกว่า ที่ผ่านมาตนได้เคยฝากความเห็นไปยังรัฐบาล ‘เศรษฐา’ เกี่ยวกับเรื่องที่มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย แก้ปัญหาเรื่องหนี้ว่าปัญหาหนี้ต้องแก้ด้วยเงิน และกระทรวงที่มีเงินคือ กระทรวงการคลัง ที่มีธนาคารของรัฐอยู่ในมือจึงเหมาะจะเป็นเจ้าภาพ ทั้งธนาคารออมสิน และ ธ.ก.ส.

แต่ไม่ได้หมายความว่าเรื่องหนี้จะแก้ได้โดยง่าย เพราะเป็นปัญหาที่สะสมมานาน และที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหาหนี้ไม่ใช่การพักหนี้หรือยกหนี้ให้ แต่เป็นการเพิ่มรายได้ให้แก่ลูกหนี้ ด้วยการทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น ถ้าเศรษฐกิจดีขึ้นเราจะสามารถแบกรับภาระหนี้เหล่านี้ได้

“หาก GDP โตสัดส่วนหนี้ต่อ GDP จะค่อยๆ ลดลงไปเอง วิธีการแก้ปัญหาที่ยั่งยืนที่สุด คือทำให้ GDP โต ฉะนั้นประเด็นคือเราจะทำให้เศรษฐกิจของเราโตขึ้นได้อย่างไร ซึ่งจะต้องรอดูและให้เวลาต่อรัฐบาลชุดใหม่ว่าจะขับเคลื่อนอย่างไร เช่น การมีนโยบายส่งเสริมพัฒนาส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ EEC ต่อหรือไม่ หรือจะหันไปสนใจในเรื่องแลนด์บริดจ์ที่เป็นนโยบายของรัฐบาลนี้โดยตรง”

ทั้งนี้ เหตุผลหลักที่ทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตเมื่อ 40 ปีก่อนคือการที่ญี่ปุ่นย้ายฐานการผลิตมาที่ไทย เนื่องจากญี่ปุ่นมีปัญหาด้านการค้ากับอเมริกา ขณะที่เงินเยนแข็งค่าเกินไปจึงต้องการส่งออกสินค้ากับประเทศที่มีอัตราแลกเปลี่ยนเทียบกับสหรัฐฯ ที่ไม่ได้มีการปรับในระดับเดียวกับญี่ปุ่น

ซึ่งเงินบาทของไทยในขณะนั้นยังผูกอยู่กับเงินดอลลาร์สหรัฐ จึงตรงกับความต้องการของนักลงทุนญี่ปุ่น อีกทั้งยังมีการก่อสร้างทางอุตสาหกรรม จึงมีแรงงานที่เป็นปัจจัยในทางบวกกับประเทศไทยอย่างมาก

แต่ในวันนี้การลงทุนจากต่างประเทศของไทยลดลงเหลือแค่เพียงประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้น EEC จึงมีความสำคัญในการดึงการลงทุนให้ไหลกลับคืนเข้ามา

‘Stellantis’ ตั้ง ‘PNA’ เป็นตัวแทนจำหน่าย ‘Leapmotor’ ในไทย พร้อมวางแผนเปิดโชว์รูม-เพิ่มช่องทางการขายให้ครอบคลุมทั่วประเทศ

(5 ก.ย. 67) ‘Stellantis’ บริษัทผู้ผลิตยานยนต์และผู้ให้บริการด้านการคมนาคมชั้นนำระดับโลก ประกาศแต่งตั้ง ‘บริษัท พระนครยนตรการ จำกัด  (PNA)’ เป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ ‘Leapmotor’ อย่างเป็นทางการในประเทศไทย ด้วยความร่วมมือกับ PNA นี้ นับเป็นก้าวแรกสำหรับการเปิดตัวแบรนด์ Leapmotor ให้ลูกค้าในประเทศไทยได้สัมผัส

PNA และเครือข่ายตัวแทนจำหน่ายที่ได้รับการแต่งตั้ง จะเปิดโชว์รูมและศูนย์บริการแห่งใหม่ ทั้งในกรุงเทพฯ และจังหวัดต่าง ๆ ครอบคลุมทั่วประเทศ เพื่อเพิ่มช่องทางการนำเสนอและการเข้าถึงผลิตภัณฑ์ของ Leapmotor ให้กับลูกค้าในไทย

Stellantis และ Leapmotor ได้จัดตั้งบริษัทร่วมทุน Leapmotor International B.V. เมื่อเดือนพฤษภาคม 2567 ในสัดส่วน 51:49 เพื่อขยายตลาดในต่างประเทศ โดย Leapmotor International ได้รับสิทธิ์ในการจำหน่ายและส่งออก รวมถึงการผลิต Leapmotor นอกประเทศจีนแต่เพียงผู้เดียว บริษัทมีความมุ่งมั่นที่จะสร้างนิยามใหม่ของยานยนต์ไฟฟ้า ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัย โดยได้รับการสนับสนุนจากทีมงานที่มีความสามารถภายในองค์กรเอง

นายแดเนียล กอนซาเลซ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการอาเซียนและผู้จัดจำหน่ายทั่วไปของ Leapmotor International B.V.  กล่าวว่า “เรามีความยินดีที่ได้ร่วมมือกับพระนครยนตรการ พันธมิตรของเราเพื่อขยายแบรนด์ Leapmotor มายังประเทศไทย ด้วยเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ที่ทันสมัยของ Leapmotor เราเชื่อว่าลูกค้าของเราในประเทศไทยจะชื่นชอบรถยนต์ของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มองหาประสบการณ์การขับขี่ที่ยอดเยี่ยมและชาญฉลาด”

คุณธวัชชัย จึงสงวนพรสุข กรรมการผู้จัดการ บริษัท พระนครยนตรการ จำกัด กล่าวว่า “PNA มีความภาคภูมิใจที่ได้เป็นตัวแทนจำหน่ายแบรนด์ที่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย ประกอบกับ Leapmotor มุ่งมั่นที่จะมอบรถยนต์อัจฉริยะ พร้อมพื้นที่กว้างขวางและสะดวกสบายให้กับลูกค้า เรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้ช่วยให้ลูกค้าของเราในประเทศไทยได้เป็นเจ้าของรถยนต์ที่ยอดเยี่ยมเหล่านี้ รวมทั้งยกระดับไลฟ์สไตล์ให้กับลูกค้าของเรา”

สำหรับ Stellantis N.V. (NYSE / MTA / Euronext Paris: STLA) เป็นบริษัทผู้ผลิตยานยนต์และผู้ให้บริการด้านการคมนาคมชั้นนำระดับโลก แบรนด์ของบริษัทถือเป็นตำนานและเป็นที่รู้จัก ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความหลงใหลของผู้ก่อตั้งบริษัทที่มีวิสัยทัศน์และกลุ่มลูกค้าในปัจจุบัน ด้วยผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นนวัตกรรม ซึ่งรวมถึง Abarth, Alfa Romeo, Chrysler, Citroën, Dodge, DS Automobiles, Fiat, Jeep®, Lancia, Maserati, Opel, Peugeot, Ram, Vauxhall, Free2move และ Leasys

ด้วยพลังแห่งความหลากหลาย บริษัทเป็นผู้นำในเรื่องการคมนาคมของโลก บริษัทมุ่งมั่นที่จะเป็นบริษัทเทคโนโลยีด้านการคมนาคมอย่างยั่งยืนและยิ่งใหญ่ที่สุด รวมทั้งสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผู้มีส่วนร่วมทุกฝ่ายและชุมชนที่บริษัทได้เข้าไปทำธุรกิจ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.stellantis.com

ส่วน Leapmotor จัดตั้งขึ้นในปี 2558 และเป็นบริษัทยานยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี โดยมี มร.จู เจียงหมิง เป็นผู้ก่อตั้งบริษัทและยังเป็นวิศวกรไฟฟ้าที่มีประสบการณ์ด้านเทคนิคมาเป็นเวลากว่า 30 ปี

Leapmotor มีสำนักงานใหญ่ที่เมืองหางโจว มณฑลเจ้อเจียง ประเทศจีน บริษัทมีธุรกิจในด้านต่าง ๆ ตั้งแต่การออกแบบยานยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะ การวิจัยและพัฒนา การผลิต การขับขี่อัจฉริยะ การควบคุมมอเตอร์ไฟฟ้า การพัฒนาระบบแบตเตอรี่ และโซลูชันเครือข่ายยานยนต์ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของคลาวด์คอมพิวติ้ง

ในฐานะที่เป็นบริษัทด้านเทคโนโลยี ชิ้นส่วนหลักของ Leapmotor จึงถูกพัฒนาและผลิตขึ้นเองภายในบริษัท ซึ่งรวมถึงระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าและระบบอัจฉริยะ โดยสัดส่วนของชิ้นส่วนที่พัฒนาและผลิตขึ้นเองคิดเป็นสัดส่วน 60% ของต้นทุนยานพาหนะทั้งหมด บริษัทยังได้เปิดตัวเทคโนโลยีไฟฟ้าอัจฉริยะชั้นนำอย่างต่อเนื่อง เช่น ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า Eight-in-One เทคโนโลยี Cell-to-Chassis ที่ผลิตในระดับอุตสาหกรรมเป็นรายแรก รวมทั้งการออกแบบระบบไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (E/E) แบบรวมศูนย์ที่เรียกว่า 4 โดเมนในหนึ่งเดียว (Four-Domain-in-One) ซึ่งเป็นครั้งแรกของวงการ

Stellantis ได้ลงทุนใน Leapmotor เมื่อปี 2566 และช่วงต้นเดือนพฤษภาคม 2567 Stellantis และ Leapmotor ได้จัดตั้งบริษัทร่วมทุนขึ้นมาในชื่อ Leapmotor International B.V. เพื่อขยายตลาดในต่างประเทศ

ส่วน บริษัท พระนครยนตรการ จำกัด (PNA) เป็นผู้บุกเบิกอุตสาหกรรมยานยนต์ในไทย และทำธุรกิจมาตั้งแต่ปี 2502บริษัทมีความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมยานยนต์มาเป็นเวลากว่า 60 ปี 

กลุ่ม PNA ได้ให้บริการด้านยานยนต์แบบครบวงจร ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่การนำเข้าและจัดจำหน่ายรถยนต์ การรับจ้างประกอบรถยนต์ การปรับแต่งรถ การบริหารจัดการฟลีทรถยนต์ การให้เช่ารถยนต์สำหรับองค์กร การให้สินเชื่อสำหรับผู้ซื้อรถ การบริหารจัดการศูนย์ PDI (Pre-Delivery Inspection) และการจัดการคลังอะไหล่

'นักเขียนดัง' โต้ตรรกะ 'สุจิตต์ วงษ์เทศ' หลังออกบทความเรื่อง 'เชื้อชาติไทย' ชี้!! จะรังเกียจความเป็นไทยที่ไม่เหมือนใครในโลก ไปทำไม เมื่อทุกชาติยังชื่นชม

(5 ก.ย. 67) จากกรณี สุจิตต์ วงษ์เทศ คอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์มติชน ได้ออกบทความ ยกเลิก ‘เชื้อชาติไทย’ เพราะ ‘เชื้อชาติ’ ไม่มีจริงในโลก และ 'เชื้อชาติ' ในประวัติศาสตร์ไทย บงการความคิดคนให้รักและชัง หากยกเลิกได้จะพาไทยสู่สากลนั้น ด้าน นายปฏิพล อภิญญาณกุล นักเขียนชื่อดัง ก็ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'Padipon Apinyankul' ถึงกรณีนี้ ระบุว่า...

เป็นความพยายามที่จะสร้าง ตรรกะเหนือเหตุผล / สร้างเหตุผลซ้อนในตรรกะ

ผู้ไม่ติดกระดุมสองเม็ดแรก พยายามนำเสนอเรื่องราวให้ 'ยกเลิกเชื้อชาติไทย'  ... โดยอ้างว่าจะทำให้ไทยสู่สากล ... ฟังดูแปลก ๆ ไหม?

ผู้ไม่ติดกระดุมสองเม็ดแรก บอกว่า...

ความเป็นไทยมาหลังความเป็นคน ดังนั้นจึงไม่มีลายกระหนก และให้เลิกเพ้อพก 'ความเป็นไทยไม่เหมือนใครในโลก'

ผมเห็นว่า ผู้ไม่ติดกระดุมสองเม็ดแรก พูดเพื่อเท่ห์ให้ดูเด่นและดูเก่ง 

ก่อนอื่นต้องถามว่า ความเป็นไทยมาทีหลังความเป็นคน ... แล้วความเป็นคนคือใคร?

ลักษณะของความเป็นคน มีเพียง กิน ขี้ ปี้ นอน เท่านั้นหรือ? ที่เหมือน ๆ กันทั้งโลก

ความเป็นไทยต่างหากที่แยกความเป็นคนแต่ละเผ่าแต่ละถิ่น ให้แตกต่างออกมาไม่เหมือนกัน / เพื่อให้มนุษย์ร่วมโลกมองเห็นความชัดเจนจากวัฒนธรรมและประเพณี

ไทยโบราณจะมีประเพณีว่า...

*เมื่อมาถึงชานบ้านชานเรือน ควรต้อนรับขึ้นเรือน ชวนกินข้าวกินน้ำ - นี้แหละคือความเป็นไทย, ยุโรปมีไหมชวนกินข้าว ตะวันออกกลางมีไหมชวนกินปลา?

ก่อนที่จะพัฒนาการมาเป็นรอยยิ้ม น้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ อันเป็นลักษณะของคนไทย

ผู้ไม่ติดกระดุมสองเม็ดแรก บอกให้ยกเลิกลายกระหนก และให้เลิกภูมิใจว่า 'ความเป็นไทยไม่เหมือนใครในโลก' - หรือที่แท้อเมริกา แอฟริกา เยอรมัน ก็มีลายกระหนก ?

ลายเขียนที่มีหยัก มีหาง คล้ายกระหนก อาจมีอยู่ทั่วไปในสุวรรณภูมิ  

แต่ด้วย 'การพัฒนาการทางศิลปะ' จึงทำให้ลายกระหนกเป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมา จนกลายจุดเด่นของศิลปะไทยเท่านั้น

ก็เหมือนเส้นก๋วยเตี๋ยวที่อยู่ในตลาด บางคนเอาไปทำก๋วยเตี๋ยวราดหน้า บางคนเอาไปทำผัดไทย บางคนเอาไปทำก๋วยเตี๋ยวหลอด

และถ้าเกิดมีใครเอาไปทำ ก๋วยเตี๋ยวทอด ขึ้นมา ก็จะกลายเป็นแบบฉบับของเขาเอง ... ซึ่งสิ่งเหล่านี้เรียกว่าพัฒนาการ

ท่านผู้ไม่ติดกระดุมสองเม็ดแรก คงไม่เข้าใจเรื่องการพัฒนาการ ... ซึ่งมันต้องใช้เวลานับร้อย ๆ ปี จึงจะเกิดเอกลักษณ์เฉพาะชาติขึ้นมา - ไม่ใช่ว่าเมื่อมันไม่ได้เริ่มต้นเกิดจากเรา แล้วเราไม่สามารถต่อยอดได้

งั้นมนุษย์ทุกวันนี้ ก็ควรล้างเมืองทำลายตึก คืนป่าให้กับลิง เสือ ช้าง และฟื้นชีวิตไดโนเสาร์ ... เหตุเพราะเราพัฒนาการมาจากลิง 

ดังนั้นความเป็นไทย จึงไม่เหมือนใครในโลกจริง ๆ 

ลองให้เขมรมาทำผัดไทยซิ รับรองออกมาแปลก ๆ / ลองให้อินเดียมาเขียนลายพระนารายณ์ พระวิษณุ พระอินทร์ ซิ ... จะอ่อนช้อยเหมือนไทยไหม?

จะรังเกียจความเป็นไทยไม่เหมือนใครในโลก ไปทำไม - ในเมื่อทุกชาติเขาชอบและชื่นชมสิ่งที่เราสร้างสรรค์อย่างต่อเนื่อง

ถ้าพยายามจะให้เชื้อชาติไทยไม่มีในโลก แล้วจะเรียกประเทศไทยว่าอะไร - ให้เรียกว่า ประเทศ 100 เชื้อ 1,000 แม่ อย่างนั้นหรือ?

ด้วยเกิดจากที่ชนชาติต่าง ๆ เข้ามาอาศัยอยู่ในสยามแต่เก่าก่อน ตั้งแต่สมัยสุโขทัย อยุธยา จนถึงรัตนโกสินทร์ ทั้งโปรตุเกส ฮอลันดา แขก จีน พม่า มอญ เขมร ฯลฯ

แล้วผสมผสานแต่งงานกินอยู่กับคนไทยพื้นเมืองเดิม จนกลายเป็นประเทศที่ได้ชื่อว่าคนไทย ในทุกวันนี้

ถ้าดังนั้น เชื้อชาติสหรัฐฯ ฝรั่งเศส เยอรมัน และอื่น ๆ ก็ไม่ควรมี ควรเรียกว่า 'ประเทศผู้สมสู่ผิวขาว' ดีไหม?

ทุกประเทศควรยกเลิกชื่อประเทศของตนไปให้หมด เพราะไม่มีประเทศใดที่จะมีเชื้อสายบริสุทธิ์ของเผ่าพันธุ์ตนเพียงเชื้อเดียว

การมีประเทศ มีเผ่าพันธุ์ที่แน่นอนในระดับหนึ่ง จึงเกิดการเรียกชื่อ ... มันคือกระบวนการพัฒนาทางวัฒนธรรม การเมือง และเศรษฐกิจ ที่ถูกรวมผสานกันเป็นหนึ่ง - จะงอแงอะไรนักหนา

การพยายามนำเสนอตรรกะใหม่ ๆ ทั้ง ๆ ที่ไม่ควรเป็นตรรกะ เพื่อให้รู้สึกว่าตนเองมีพัฒนาการทางวิชาการ ... ล้วนแต่เป็นความพยายามของคนขาด้วน ที่อยากเตะฟุตบอล

มีคำกล่าวที่ว่า ถ้าติดกระดุมเม็ดแรกผิด ก็จะผิดตลอดทั้งหมด 

แต่บางคนเคยติดกระดุมเม็ดแรกถูก พลันฮอร์โมนความคิดเกิดเปลี่ยนแปลงบางอย่าง เลยไม่ติดมันทั้งกระดุมสองเม็ดแรก

เส้นทางที่มนุษย์ชาติเดินกันมาถูกทาง พลันถูกคนที่ลมปราณแตกซ่านเหมือนอ้าวเอี๊ยงฮง พยายามจะขุดให้ตกเหว ซะงั้น

หรือว่า เขาคือสายลับของเขมร ที่พยายามทำให้ชาติไทยไม่เคยมีอยู่จริงให้ได้

'แบงก์ชาติ' จ่อยกร่างกฎหมายให้แบงก์พาณิชย์รับผิดชอบ 100% หากลูกค้าถูกมิจฉาชีพหลอกโอนเงินจากช่องโหว่ในระบบ

(5 ก.ย. 67) ไม่นานมานี้ น.ส.ดารณี แซ่จู ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับระบบชำระเงิน และคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ขณะนี้ แบงก์ชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อยู่ระหว่างยกร่างกฎหมายกำหนดสถาบันการเงิน พัฒนาและออกแบบระบบ ที่สามารถปิดช่องโหว่ ป้องกันแอปพลิเคชันแปลกปลอมบนโมบายแบงก์กิ้ง รวมทั้งกำหนดแนวทางปฏิบัติของสถาบันการเงินที่ชัดเจนมากขึ้น หากเกิดความเสียหายจากกรณีแอปฯ ดูดเงิน

หากแบงก์ไม่สามารถทำได้หรือมีช่องโหว่ในระบบแล้วเกิดความเสียหาย แบงก์ต้องเป็นผู้รับผิดชอบความเสียหาย คืนเงินแก่เจ้าของบัญชี 100% จากปัจจุบัน เป็นการเฉลี่ยเงินคืน ตามสัดส่วน จากเงินกองทุนเยียวยาผู้เสียหาย ที่ยึดคืนจากผู้กระทำความผิด

พร้อมยกกรณีศึกษา ของสิงคโปร์ หากมีเงินโอนออกจากบัญชี โดยไม่มีข้อความ SMS แจ้งเตือนไปยังมือถือเจ้าของบัญชี ธนาคาร ต้องรับผิดชอบ ใช้เงินคืนตามจำนวน หากแต่แจ้งเตือนไปแล้ว แบงก์ก็ไม่ต้องรับผิดชอบ เป็นต้น

ผู้บริหารแบงก์ชาติกล่าวอีกว่า มิจฉาชีพ ปรับตัวหลบเลี่ยงมาตรการป้องกันต่างๆ อยู่ตลอดเวลา จึงเห็นว่าทุกฝ่ายต้องให้ความร่วมมือ แก้ปัญหาอย่างจริงจัง เช่น การป้องกันไม่ให้มิจฉาชีพ ส่งข้อความ SMS ถึงประชาชนได้เหมือนทุกวันนี้

'จีน' เล็งจัดการชาวเน็ตปล่อย 'ข่าวลือ' บนโลกออนไลน์ แพลตฟอร์มไหนไม่รับลูก ปล่อยละเมิดเด่นชัด ได้เจอดี

ไม่นานมานี้ สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า กระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีนเปิดเผยว่าทางกระทรวงฯ ได้เรียกร้องให้กลุ่มแพลตฟอร์มอินเทอร์เน็ตรายใหญ่ของจีนร่วมกันสร้างพื้นที่บนโลกออนไลน์ที่สะอาด โดยมีเป้าหมายจัดการกับผู้ที่ชอบปล่อยข่าวลือที่ไม่เป็นความจริง

แพลตฟอร์มอินเทอร์เน็ตได้ออกมาประกาศห้ามการเผยแพร่ข้อมูลเท็จทางออนไลน์ ใช้ตัวตนปลอม หรือแอบอ้างเป็นบุคคลอื่น ๆ พร้อมให้คำมั่นว่าจะกำหนดบทลงโทษต่อบัญชีผู้ใช้ที่ละเมิดกฎดังกล่าวอย่างเข้มงวดมากขึ้น อีกทั้งจะกำหนดบทลงโทษผู้ที่โจมตีหรือดูถูกเหยียดหยามนักกีฬาและโค้ชผู้ฝึกซ้อมด้วยเจตนามุ่งร้ายอย่างเข้มงวดเช่นกัน

กระทรวงฯ ระบุว่าจะเดินหน้าปรับปรุงการกำกับดูแลความปลอดภัยบนโลกอินเทอร์เน็ต และจะลงโทษแพลตฟอร์มที่พบว่ามีปัญหาการละเมิดกฎอย่างเห็นได้ชัด

'กสทช.' วิเคราะห์ 'โอกาส-ความได้เปรียบ' ของประเทศไทย หากได้เป็น 'ฐานปล่อยจรวด-ศูนย์กลางท่าอวกาศยาน'

(5 ก.ย. 67) พล.อ.ท.ดร.ธนพันธุ์ หร่ายเจริญ กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กล่าวถึงกรณีการสร้างสนามยิงจรวดเพื่อส่งดาวเทียมในประเทศไทยว่า “กสทช.ต้องเป็นผู้ดูแลอนุญาตหรือไม่ ?” นั้น ได้ชี้แจงว่า ตามอำนาจหน้าที่ กสทช. ไม่ได้เป็นผู้ดูแลโดยตรง แต่ กสทช.เป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง และส่วนตัวสนับสนุนให้เกิดขึ้น

“เพราะ กสทช.มีหน้าที่และอำนาจในการอนุญาตสิทธิในการเข้าใช้ ‘วงโคจรดาวเทียม’ ซึ่งหากเปรียบเทียบระหว่างเครื่องบินที่บินอยู่บนท้องฟ้า กับดาวเทียมที่โคจรรอบโลกอยู่บนอวกาศนั้น ‘เครื่องบิน’ ก็ต้องมีสนามบิน หรือ ‘ท่าอากาศยาน’ (Airport) ที่ใช้ในการขึ้นและลงของเครื่องบิน

ดังนั้น ‘ดาวเทียม’ ก็ต้องมี ‘สนามหรือฐานยิงจรวด’ (Rocket Launch Site) เพื่อส่งดาวเทียม และพัฒนาต่อยอดเป็น ‘ท่าอวกาศยาน’ (Spaceport) ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกพร้อมใช้ในการส่งและรับจรวดเพื่อส่งดาวเทียมเข้าสู่วงโคจรบนอวกาศนั้นเอง

โดยที่ ‘วงโคจรดาวเทียม’ (Satellite Orbit) ก็เปรียบเสมือนเส้นทางการบิน (Flight Route) ที่ดาวเทียมนั้นใช้ในการโคจรรอบโลก ดังนั้น กสทช.มีหน้าที่ในการอนุญาตสิทธิในการเข้าใช้ ‘วงโคจรดาวเทียม’ แต่มิได้มีหน้าที่ในการอนุญาตสิทธิในการสร้างท่าอวกาศยาน”

อย่างไรก็ตาม ต่อคำถามที่ว่า ประเทศไทยมีดาวเทียมไม่กี่ดวง แล้วจะสามารถเป็นท่าอวกาศยานได้หรือไม่นั้น ขอให้เปรียบดูกรณีประเทศไทยก็มีเครื่องบินเป็นของตนเองไม่น่าเกินหลักพัน และไม่ได้ผลิตเครื่องบินเองด้วยซ้ำ แต่ทำไมประเทศไทยมีสนามบินสุวรรณภูมิ ที่เรียกได้ว่าเป็นศูนย์กลางการบินของโลกได้ ทั้งนี้เช่นเดียวกัน และเมื่อเข้าใจถึงเงื่อนไขทางเทคนิคที่ใช้ในการพิจารณาจัดตั้งท่าอวกาศยานที่มีเงื่อนไขที่สำคัญ เช่น

1.ตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ของประเทศไทย โดยเฉพาะพื้นที่ภาคใต้มีความเหมาะสมมาก เพราะตามหลักแล้วท่าอวกาศยานควรตั้งอยู่ใกล้กับเส้นศูนย์สูตร (Equator) มากที่สุด เพื่อใช้ประโยชน์จากความเร็วการหมุนของโลก ที่จะช่วยให้จรวดสามารถบรรทุกสิ่งของที่หนักกว่า เช่น ดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจรได้ โดยใช้เชื้อเพลิงที่น้อยลง เนื่องจากได้รับการหนุนจากการหมุนของโลกเป็นอย่างมาก

2.ตำแหน่งควรอยู่ในพื้นที่ห่างไกลจากประชาชนเพื่อลดความเสี่ยงจากความล้มเหลวเวลายิงจรวด จึงมักนิยมอยู่บนสถานที่ริมฝั่งทะเลเพื่อยิงจรวดไปเหนือน่านน้ำทะเลเปิด ซึ่งพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มีความเหมาะสม

3.สภาพอากาศควรมีท้องฟ้าแจ่มใส ลมสงบ อุณหภูมิคงที่ ไม่เป็นพื้นที่แผ่นดินไหว ภูเขาไฟ หรือเกิดพายุ ฟ้าผ่าบ่อยครั้ง

4.ควรมีโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ รองรับ เช่น ไฟฟ้า การสื่อสารโทรคมนาคม และอุตสาหกรรมอื่นที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะด้านการบินและอากาศยาน ซึ่งประเทศไทยก็มีความพร้อมรองรับจากโครงการ EEC ที่มี S-Curve ด้านอุตสาหกรรมการบิน และสามารถต่อยอดได้ดียิ่งขึ้น

ดังนั้น ประเทศไทยได้เปรียบเป็นอย่างมาก โดยในอดีตการส่งจรวดเป็นสิ่งที่ถูกสงวนไว้สำหรับรัฐบาลและทหารเท่านั้น ทำให้มีท่าอวกาศยานอยู่ไม่กี่แห่ง เช่น ที่แหลมคะแนเวอรัล รัฐฟลอริดา ที่ NASA ใช้ ส่วนยุโรปก็ต้องไปที่เฟรนช์เกียนา ทวีปแอฟริกา ยกเว้นรัสเซียใช้ฐานยิงที่คาซัคสถาน ซึ่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ไม่ค่อยเหมาะสมเช่นเดียวกับของประเทศจีน

แต่ปัจจุบันเอกชนและหน่วยงานอวกาศจากนานาประเทศเข้ามามีบทบาทในอุตสาหกรรมอวกาศมากขึ้น รวมทั้งความต้องการในการสร้างและส่งดาวเทียมได้เปลี่ยนไปมาก

จากเดิมที่ต้องสร้างดาวเทียมขนาดใหญ่ขึ้นสู่วงโคจรดาวเทียมค้างฟ้า หรือ Geostationary Earth Orbit (GEO) ที่มีระยะที่สูงจากพื้นโลกมาก แต่ใช้จำนวนดาวเทียมที่น้อย มาเป็นการสร้างดาวเทียมขนาดเล็ก ขึ้นสู่วงโคจรดาวเทียมต่ำ หรือ Low Earth Orbit (LEO) เช่น Starlink ของอเมริกามีแผนจะปล่อยดาวเทียมมากถึง 42,000 ดวง เช่นเดียวกับ Oneweb ของประเทศในยุโรป รวมทั้งประเทศจีน ที่มีแผนที่จะยิงดาวเทียมนับหมื่นดวงเช่นกัน และดาวเทียมประเภทนี้จะมีอายุสั้นประมาณ 5 ปีเท่านั้น ทำให้ต้องมีการยิงดาวเทียมดวงใหม่ขึ้นไปทดแทนอย่างต่อเนื่อง

“กิจการอวกาศเป็นอุตสาหกรรมขาขึ้นที่มีพัฒนาการต่อเนื่อง ที่มิใช่เฉพาะเรื่องดาวเทียมเท่านั้น ในอนาคตอันใกล้จะมีกิจกรรมอื่น เช่น การส่งคนขึ้นไปท่องเที่ยวบนอวกาศ หรือการสร้างและส่ง Data Center บนอวกาศ ที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้ จึงถือว่าเป็นหนึ่งใน Sunrise Industry ที่เทคโนโลยีปัจจุบันรองรับในเชิงพาณิชย์ได้

ดังนั้นประเทศไทยควรเห็นโอกาสและร่วมมือกับประเทศที่มีความต้องการในเรื่องนี้ เช่น ประเทศจีนที่พื้นที่ตั้งอาจไม่เอื้ออำนวย โดยให้มีการร่วมลงทุนในไทยที่มาพร้อมเทคโนโลยี เช่นเดียวกับในอดีตที่เคยดึงญี่ปุ่นมาลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ ทำให้ประสบความสำเร็จมาแล้ว และจะทำให้ประเทศไทยได้รับการพัฒนาบุคลากรทางด้านนี้ด้วย

และเมื่อเศรษฐกิจดี ปัญหาสังคมความขัดแย้งในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ก็น่าจะเบาบางลงด้วย ดังนั้นหากผู้บริหารมีวิสัยทัศน์และมีความรู้คู่คุณธรรมได้มาบริหารองค์กรแล้ว คงจะเจริญก้าวหน้าไปได้อย่างต่อเนื่อง เหมือนดั่งที่บรรพบุรุษของเราได้สร้างไว้ครับ”

'สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ' จัดการฝึกซ้อมการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล เพื่อรับมือเหตุภัยพิบัติ ประจำปี 2567 เตรียมความพร้อมเจ้าหน้าที่ให้สามารถปฏิบัติหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นที่ยอมรับตามมาตรฐานสากล

(5 ก.ย.67) เวลา 10.00 น. พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการสำนักงานพิสูจหลักฐานตำรวจ เป็นประธานเปิดโครงการฝึกซ้อมการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลเพื่อรับมือเหตุภัยพิบัติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ณ ลานสรัลนุช สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สพฐ.ตร.) พร้อมด้วย พล.ต.ท.ดิเรก ธนานนท์นิวาส ที่ปรึกษา(สบ 8) สพฐ.ตร. , พล.ต.ต.วิสูตร นาคจู รอง ผบช.สพฐ.ตร. , พล.ต.ต.ทนงค์ ทองประดับเพชร ที่ปรึกษา(สบ 7) สพฐ.ตร.,  พล.ต.ต.ไกรวิน วัฒนสิน ผบก.อก.สพฐ.ตร., พล.ต.ต.วาที อัศวุตมางกุร ผบก.พฐก., พล.ต.ต.หญิง วิรญา พรหมายน ผบก.ทว. และ พล.ต.ต.กัลป์ ทังสุพานิช ผบก.สฝจ. ร่วมพิธีเปิดโครงการ 

ผบช.สพฐ.ตร. เปิดเผยว่า ปัจจุบันภัยพิบัติเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติ หรือภัยพิบัติที่มนุษย์สร้างขึ้น เมื่อเกิดขึ้นแล้วย่อมก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน อันส่งผลกระทบต่อการดำเนินวิถีชีวิตของผู้คน และภาวะทางเศรษฐกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว การฝึกซ้อมการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลเพื่อรับมือเหตุภัยพิบัติ เป็นสิ่งที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งในการเสริมสร้างประสบการณ์ ทบทวนขั้นตอนการปฏิบัติให้กับเจ้าหน้าที่ รวมถึงเป็นการบูรณาการระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หากมีภัยพิบัติเกิดขึ้นก็จะสามารถปฏิบัติหน้าที่ และประสานการปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นที่ยอมรับตามมาตรฐานสากล และเป็นไปตามแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2567 และระเบียบคำสั่งอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

โครงการฝึกซ้อมการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลเพื่อรับมือเหตุภัยพิบัติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 จัดขึ้นตามแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2567 ซึ่งได้แบ่งชุดปฏิบัติงานออกเป็นทีม A-D ซึ่ง สพฐ.ตร. เป็นชุดปฏิบัติการตรวจพิสูจน์ (ทีม D) รับผิดชอบในการตรวจสถานที่เกิดเหตุ เพื่อใช้เป็นข้อมูลในสำนวนการสอบสวน การทำสำนวนชันสูตรพลิกศพ ตรวจพิสูจน์เอกลักษณ์เพื่อยืนยันตัวบุคคล และส่งกลับคืนศพให้กับญาติผู้เสียชีวิต โดยการการฝึกซ้อมตามโครงการดังกล่าว เพื่อเสริมสร้างประสบการณ์ ความคุ้นเคยกับขั้นตอน และวิธีการปฏิบัติในการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล เป็นการเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้น ตลอดจนทบทวนบทเรียน ปัญหาอุปสรรค และพัฒนาแนวทางปฏิบัติ รวมทั้งการประสานงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อการบูรณาการทรัพยากรและเครื่องมือที่มีอยู่ให้สามารถสนับสนุนซึ่งกันและกันได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ สามารถปฏิบัติงานและบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามขั้นตอนได้อย่างมีประสิทธิภาพตามมาตรฐานสากล

ประธานวุฒิสภาให้การรับรองเอกอัครราชทูตเครือรัฐออสเตรเลียประจำประเทศไทย ในโอกาสหารือข้อราชการ

เมื่อวานนี้ (4 ก.ย.67) เวลา 10.30 นาฬิกา ณ ห้องรับรองพิเศษ 204 ชั้น 2 อาคารรัฐสภา (ฝั่งวุฒิสภา) นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ให้การรับรองนางสาวแอนเจลา เจน แม็กดอนัลด์ (H.E. Ms. Angela Jane Macdonald) เอกอัครราชทูตเครือรัฐออสเตรเลียประจำประเทศไทย ในโอกาสแสดงความยินดีที่เข้ารับตำแหน่งประธานวุฒิสภา และหารือข้อราชการเพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับออสเตรเลีย โดยมี นายวีระพันธ์ สุวรรณนามัย และนายปริญญา วงษ์เชิดขวัญ สมาชิกวุฒิสภา พร้อมด้วยนางสาวแก้วเกศร์ ถาวรพันธ์ ที่ปรึกษาด้านระบบงานนิติบัญญัติ ร่วมให้การรับรอง

ประธานวุฒิสภา กล่าวชื่นชมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับออสเตรเลียที่มีความใกล้ชิดและแน่นแฟ้นมาอย่างยาวนานนับตั้งแต่การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน ในปี พ.ศ. 2495 และได้ยกระดับความสัมพันธ์โดยมีแผนปฏิบัติการร่วมกันเพื่อขับเคลื่อนความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างไทยกับออสเตรเลีย ปี พ.ศ. 2565 - 2568 รวมถึงมีความร่วมมือกันในระดับทวิภาคีหลายมิติ สำหรับความสัมพันธ์ระดับทวิภาคีระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติมีกลุ่มมิตรภาพสมาชิกรัฐสภาเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศ 

นอกจากนี้ ความร่วมมือในระดับพหุภาคี ทั้งสองประเทศทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดในการแก้ไขปัญหาท้าท้ายร่วมกันในการกรอบการประชุมสหภาพรัฐสภา (IPU) สมัชชารัฐสภาอาเซียน (AIPA) การประชุมประจำปีรัฐสภาภาคพื้นเอเชียและแปซิฟิก (APPF) สำหรับความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ ออสเตรเลียเป็นคู่ค้าสำคัญของไทยและอาเซียน โดยปีนี้นับเป็นปีเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีแห่งความสัมพันธ์อาเซียน-ออสเตรเลีย เชื่อมั่นว่าไทยและออสเตรเลียจะขยายความร่วมมือที่มีอยู่เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ สมาชิกวุฒิสภาได้แลกเปลี่ยนในประเด็นความร่วมมือและแนวปฏิบัติที่ดีระหว่างไทยกับออสเตรเลียในการพัฒนาวิชาชีพการพยาบาลดูแลผู้สูงอายุเพื่อให้สอดรับกับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของไทย รวมถึงการพิจารณาอำนวยความสะดวกในการตรวจลงตรา (Visa) ให้แก่นักเรียนและนักท่องเที่ยวไทยที่จะเดินทางไปออสเตรเลียเพื่อส่งเสริมการไปมาหาสู่ระหว่างกันให้มากยิ่งขึ้น ด้านเอกอัครราชทูตฯ กล่าวขอบคุณประธานวุฒิสภาและสมาชิกวุฒิสภาที่ให้การต้อนรับ รวมถึงชื่นชมความหลากหลายของสมาชิกวุฒิสภาที่ครอบคลุมทุกภาคส่วนของสังคมที่สามารถสะท้อนความเป็นอยู่ของประชาชน

เอกอัครราชทูตฯ กล่าวว่า ออสเตรเลียให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างบทบาทในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงผ่านความร่วมมือด้านความมั่นคง พลังงาน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และการบริหารจัดการน้ำ ที่ผ่านมามีโครงการศึกษาดูงานและการแลกเปลี่ยนผู้เชี่ยวชาญทั้งในด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การเปลี่ยนผ่านทางพลังงาน การจัดเก็บแบตเตอรี่ และการเกษตรอย่างยั่งยืน โดยในเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้จะมีบริษัทออสเตรเลียกว่า 25 บริษัท มาร่วมงานสัมมนาด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนและเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียวในไทย เอกอัครราชทูตฯ กล่าวชื่นชมความร่วมมือด้านการพยาบาลและการดูแลผู้สูงอายุที่ปัจจุบันมีหลักสูตรต่อเนื่องโดยเรียนที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงเป็นระยะเวลา 3 ปี และไปศึกษาต่อที่ออสเตรเลียจนสำเร็จการศึกษา สำหรับประเด็นการอำนวยความสะดวกด้านการตรวจลงตรา เอกอัครราชทูตฯ จะนำข้อคิดเห็นของสมาชิกวุฒิสภาหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป  

นอกจากนี้ ผู้ช่วยทูตทหารกล่าวชื่นความร่วมมือทางการทหารระหว่างไทยกับออสเตรเลียที่มีอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันออสเตรเลียมีโครงการให้นักศึกษาไทยเดินทางไปฝึกอบรมด้านการทหารทั้งสามเหล่าทัพ ซึ่งเป็นช่องทางหนึ่งในการส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างทั้งสองประเทศ ทั้งนี้ เอกอัครราชทูตฯ กล่าวชื่นชมความสัมพันธ์ระดับรัฐสภาของทั้งสองประเทศและหวังเป็นอย่างยิ่งว่าในอนาคตทั้งสองประเทศจะมีการแลกเปลี่ยนด้านนิติบัญญัติในมิติต่าง ๆ มากขึ้น และยินดีที่จะให้การสนับสนุนในการส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างไทยกับออสเตรเลียให้มั่นคงและแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นต่อไป 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top