Saturday, 7 June 2025
NewsFeed

วธ.เปิดการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ 'สอนศิลป์ ถิ่นกวี' มุ่งสืบสานมรดกภูมิปัญญาศิลปวัฒนธรรมไทย ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา

เมื่อวานนี้ (3 ก.ย.67) นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม มอบหมายให้ นายประสพ เรียงเงิน อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการในหัวข้อ 'สอนศิลป์ ถิ่นกวี ขับกล่อมดนตรีพื้นบ้าน ร่วมสานงานศิลปวัฒนธรรม' ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการส่งเสริมอุตสาหกรรมวัฒนธรรมสร้างสรรค์ จัดขึ้นที่หอประชุมมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา การฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการครั้งนี้ เป็นความร่วมมือระหว่างกรมส่งเสริมวัฒนธรรมและมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสืบสานและเผยแพร่มรดกภูมิปัญญาของศิลปวัฒนธรรมไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านศิลปะและดนตรีพื้นบ้าน ให้แก่คนรุ่นใหม่ ครู อาจารย์ นักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไป

ในการกล่าวเปิดงาน นายประสพ เรียงเงิน ได้กล่าวชื่นชมการร่วมมือกันระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ที่นำไปสู่การขับเคลื่อนศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของอุตสาหกรรมวัฒนธรรมสร้างสรรค์ในอนาคต 

นอกจากนี้ยังได้กล่าวถึงความสำคัญของการอนุรักษ์และส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมไทยให้คงอยู่คู่สังคมไทยตลอดไป และการจัดฝึกอบรมครั้งนี้ได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จในการจัดงานและการสนับสนุนของทุกภาคส่วนที่ร่วมมือกันเพื่ออนุรักษ์และสืบสานศิลปวัฒนธรรมไทยอย่างยั่งยืน

จากนั้น นางสาวลิปิการ์ กำลังชัย รองอธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กล่าวขอบคุณอธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรมที่เป็นประธานในพิธีเปิดการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการในหัวข้อ 'สอนศิลป์ ถิ่นกวี ขับกล่อมดนตรีพื้นบ้าน ร่วมสานงานศิลปวัฒนธรรม' โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ร่วมกับ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา และศิลปินแห่งชาติ 3 สาขา จำนวน 17 ท่าน 

ผนึกกำลังในการดำเนินโครงการนี้เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้จากศิลปินแห่งชาติและศิลปินอื่น ๆ ให้แก่ผู้เข้าร่วมผ่านการเรียนรู้ใน 14 ฐานศิลปะ ซึ่งครอบคลุมหลากหลายแขนง ทั้งด้านจิตรกรรม ประติมากรรม วรรณศิลป์ และการแสดง อาทิ เทคนิคจิตรกรรมและสื่อผสม เทคนิคสร้างสรรค์ภาพพิมพ์ เทคนิคประติมากรรม  การสร้างสรรค์งานวรรณศิลป์ (กวีนิพนธ์) การสร้างงานศิลปะการแสดงพื้นบ้าน (เพลงโคราช) การสร้างงานศิลปะการแสดงพื้นบ้าน 

(ดนตรีพื้นบ้านและการสร้างงานศิลปะการแสดงนาฏศิลป์ไทยร่วมสมัย  เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีนิทรรศการแสดงผลงานของศิลปินแห่งชาติอีก 39 ชิ้น โดยหวังว่าผู้เข้าร่วมจะได้รับแรงบันดาลใจและร่วมกันสืบทอดศิลปวัฒนธรรมไทยต่อไป กิจกรรมในครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากวิทยากรที่มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์ได้แก่ ศิลปินแห่งชาติ ศิลปินพื้นบ้าน ศิลปินร่วมสมัย และครูศิลปะ อาทิ ดร. กมล ทัศนาญชลี ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรมและสื่อผสม) นายวรนันทน์ ชัชวาล

ทิพากร ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (ภาพถ่าย) นางชมัยภร บางคมบาง ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ นายกำปั่น นิธิวรไพบูลย์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (เพลงโคราช) นายทรงศักดิ์ ประทุมสินธุ์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีพื้นบ้านอีสาน) นางรุ่งฤดี เพ็งเจริญ ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีไทยสำกล - ขับร้อง) นายเดช นานกลาง ผู้ทรงคุณวุฒิด้านปั้นดินเผาร่วมสมัยคนด่านเกวียนที่มาร่วมถ่ายทอดความรู้และ

ประสบการณ์ให้แก่ผู้เข้าร่วมการฝึกอบรมอย่างเข้มข้น ทำให้เกิดการต่อยอดภูมิปัญญา และสร้างแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะที่ยั่งยืนแก่ประเทศชาติ

สุโขทัย-รองนายกรัฐมนตรี ตรวจติดตามสถานการณ์อุทกภัยจังหวัดสุโขทัย สั่งการทุกหน่วยงานสำรวจพื้นที่น้ำท่วม เร่งเยียวยาประชาชน

วันนี้ (31 ส.ค. 67) เวลา 11.00 น. ณ ห้องประชุมศรีนคร ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดสุโขทัย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี  เป็นประธานประชุมตรวจติดตามสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่จังหวัดสุโขทัยโดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ดร.พรรณสิริ กุลนาถศิริ ส.ส.สุโขทัย เขต 1 ร่วมประชุมโดยรับฟังรายงานสรุปสถานการณ์อุทกภัยจากนายสุชาติ ทีคะสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย และสถานการณ์น้ำในภาพรวมของจังหวัดสุโขทัย โอกาสนี้ หัวหน้าส่วนราชการ หน่วยงานบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม

โดยรองนายกรัฐมนตรี เน้นย้ำถึงการให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัย ให้ทุกหน่วยบูรณาการทำงานร่วมกันอย่างเต็มที่ โดยนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้นำเสนอขอความอนุเคราะห์งบประมาณให้กรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย เพื่อดำเนินการก่อสร้างกำแพงป้องกันตลิ่ง ดังนี้

1.หมู่ 6 ตำบลคลองกระจง อำเภอสวรรคโลก ระยะทาง 300 เมตร
2.หมู่ 7ตำบลท่าทอง อำเภอสวรรคโลก ระยะทาง 800 เมตร
3.หมู่ 5 ตำบลคลองตาล อำเภอศรีสำโรง ระยะทาง 150 เมตร
4.หมู่ 6 ตำบลวังใหญ่ และหมู่ 8 ตำบลวังทอง อำเภอศรีสำโรง ระยะทาง 990 เมตร
5.หมู่ 1 , หมู่ 6 และหมู่ 7 ตำบลปากแคว อำเภอเมืองสุโขทัย ระยะทาง 2,400 เมตร
6.ตำบลยางซ้าย อำเภอเมืองสุโขทัย ระยะทาง 5,000 เมตร
7.ขอปรับปรุงพื้นที่รับน้ำนอง บริเวณตำบลยางซ้าย และตำบลปากพระ อำเภอเมืองสุโขทัย ในรูปแบบบางระกำโมเดล

ซึ่งรองนายกรัฐมนตรี ให้คำมั่นจะเร่งผลักดันให้มีการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ เพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยลุ่มแม่น้ำยมในระยะยาวต่อไป จากนั้นได้เยี่ยมโรงครัวศูนย์ประสานช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย และพบปะให้กำลังใจพร้อมมอบถุงยังชีพให้แก่ผู้ประสบอุทกภัย อำเภอเมืองสุโขทัย ณ อาคารอเนกประสงค์ ศาลากลางจังหวัดสุโขทัย พร้อมกล่าวพบปะให้กำลังใจประชาชนว่ารัฐบาลห่วงใยพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ได้สั่งการให้ทุกภาคส่วน เร่งฟื้นฟู และช่วยเหลือให้กลับคืนสู่สภาพปกติโดยเร็ว ยืนยันรัฐบาลพร้อมเร่งแก้ปัญหาในระยะยาว หลักสำคัญคือพลังความร่วมมือทั้งหมดของประชาชนคนไทยที่จะร่วมมือกันฟันฝ่าอุปสรรคครั้งนี้ไปได้ ต่อจากนั้น รองนายกรัฐมนตรีและคณะ ลงพื้นที่ตรวจติดตามสถานการณ์น้ำ ณ ประตูระบายน้ำบ้านหาดสะพานจันทร์ และประตูระบายน้ำคลองหกบาท ต.ป่ากุมเกาะ อ.สวรรคโลก จ.สุโขทัย ก่อนที่จะเดินทางไปยังจังหวัดนครสวรรค์ และจังหวัดชัยนาท เพื่อหารือแนวทางการบริหารจัดการน้ำร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องต่อไป

'เชียงราย' นายอำเภอประสานจิตอาสาทั่วไทยธารน้ำใจ คนไทยไม่ทิ้งกัน แบ่งปันสู่อำเภอเทิง

(1 ก.ย. 67) สืบเนื่องจากจากเหตุการณ์เกิดน้ำป่าไหลหลาก และฝนตกหนักต่อเนื่องบริเวณ พื้นที่อำเภอเทิง เวียงแก่น ขุนตาล พญาเม็งราย ที่ผ่านมา ทำให้เกิดน้ำท่วมหนักในหลายพื้นที่ เช่นเดียวกับอำเภอเทิงที่เกิดเหตุน้ำท่วมหนักและเกิดความเสียหายหลายครัวเรือนต่อมาทางด้านของ นายวรายุทธ ค่อมบุญ นายอำเภอเทิง ไม่ได้นิ่งนอนใจ ประสานทุกหน่วยงาน จิตอาสาทั่วประเทศ เข้าช่วยเหลือพี่น้องประชาชนบ้านเวียงใต้ หมู่ที่15 ตำบลเวียง อำเภอเทิงจากเป็นที่มาของ “ธารน้ำใจ คนไทยไม่ทิ้งกัน” แบ่งปันสู่ อำเภอเทิง หลั่งไหลความรัก ให้พี่น้องชาวอำเภอเทิงที่เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมขังในหลายพื้นที่และก้าวเริ่มสู่ระยะฟื้นฟูกันต่อไปบางครอบครัวแทบสิ้นเนื้อประดาตัวและต้องขอขอบพระคุณ น้ำใจจากผู้มีจิตอาสาทุกคนที่ร่วมเป็นสะพานบุญ ส่งมอบความสุขให้พี่น้องที่ประสบภัยทุกคน จิตอาสาจากทั่วทุกสารทิศที่ร่วมกันกับภารกิจในครั้งนี้ โดยการประสานงานจาก “นักประสานงาน10ทิศ  นักจิตอาสาคนเดิมจากภารกิจ ถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอนของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคนาย ประสงค์  น้อยหมอ ผู้จัดการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคอำเภอแม่จันได้ประสานภารกิจจากพี่น้องทุกทิศทั่วไทยเข้าเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือขอบสิ่งของในครั้งนี้เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2567 โดยมีผู้ร่วมภารกิจ อาทิเช่น คุณรัตน์ สันตอรรนพ ผู้บริหารอาวุโส ช.การช่าง ผู้ใหญ่ตั้น นภดล นิยมตรง (ปั้มเจส จากถ้ำหลวง)เสื้อผ้าใหม่ๆ จาก Camp71 แบรนด์ 71 Export บจก.JP เมดอินโนเวชั่น กลุ่มพรเจริญ กรุ๊ป ครอบครัว วรจักร และ เพื่อนๆจิตอาสาซักผ้าจากปฎิบัติการถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอนและน้องจากหน่วยงาน pea แม่จัน พร้อมพี่น้องจาก อยุธยา ทุกคนที่ร่วมธารน้ำใจ คนไทยไม่ทิ้งกัน แบ่งปันสู่อำเภอเทิงในครั้งนี้ต่อไป

สันติ วงศ์สุนันท์/หัวหน้าศูนย์ข่าวอำเภอแม่สาย/รายงาน

สมุทรปราการ-รำลึก 24 ปี!! คุณพ่อสมเกียรติ มูลนิธิร่วมกตัญญู มอบเงินช่วยเหลือสังคม กว่า 60 ล้านบาท

(1 ก.ย. 67) ที่ อาคารมูลนิธิร่วมกตัญญู สำนักงานบางพลี ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ดร.รัตนา สมสกุลรุ่งเรื่อง ประธานมูลนิธิร่วมกตัญญู ประธานในพิธีทำบุญอุทิศส่วนกุศลแด่”คุณพ่อสมเกียรติ สมสกุลรุ่งเรื่อง” ผู้ก่อตั้งและอดีตประธานมูลนิธิร่วมกตัญญู โดยมีคณะผู้บริหาร คณะเจ้าหน้าที่ และศิลปินดารานักแสดง อาทิเช่น นางสาวสกาวรัตน์ สมสกุลรุ่งเรือง เลขาธิการมูลนิธิฯ ดร.บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ผู้จัดการฝ่ายกิจกรรมพิเศษ นายเอกพันธ์ บรรลือฤทธิ์ หัวหน้าอาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญู นายอธิวัฒน์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา รองหัวหน้าอาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญู ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และคณะเจ้าหน้าที่อาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญูร่วมในพิธีครั้งนี

นอกจากนี้ยังได้รับความเมตตาจาก พระพรหมวชิราธิบดี (พีร์ สุชาโต) รองสมเด็จพระราชาคณะ อธิบดีสงฆ์วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร  ที่ปรึกษาเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร นายกสภามหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เป็นประธานในพิธีมอบทุนการศึกษา แด่ พระภิกษุ-สามเณร, บุตร-ธิดา ข้าราชการตำรวจ มอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาลต่างๆ ทั่วประเทศ นอกจากนี้ ยังมอบเงินเพื่อสนับสนุนกิจกรรมของโรงเรียนและทุนอาหารกลางวัน, มอบอุปกรณ์การเรียน-การกีฬาแก่โรงเรียนต่างๆ ทั่วประเทศ รวมถึงถวายปัจจัยกองทุนโรงทานสำหรับผู้แสวงบุญชาวพุทธ ณ วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์เมืองกุสินาคาร์ รัฐอุตตรประเทศ สาธารณรัฐอินเดีย ปีละ 1,200,000 บาท

นอกจากนี้ มูลนิธิร่วมกตัญญู ประกอบพิธีเททองหล่อรูปเหมือน สมเด็จพระวันรัต (เฮง เขมจารี) หน้าตักกว้าง 35 นิ้ว และ พระพุทธรูป ปางรำพึง ความสูงรวมฐาน 2.65 เมตร เพื่ออัญเชิญไปประดิษฐาน ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร กรุงเทพฯ โดยได้รับความเมตตาจาก ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์  อธิบดีสงฆ์วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคณะใหญ่หนเหนือ  เป็นประธานฝ่ายสงฆ์

ด้าน ดร.รัตนา สมสกุลรุ่งเรื่อง ประธานมูลนิธิร่วมกตัญญู กล่าวว่า สำหรับในปีนี้มูลนิธิร่วมกตัญญูทำพิธีเปิดอาคารเรียนมูลนิธิร่วมกตัญญู แห่งที่ 35 เป็นอาคารศูนย์การเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านห้วยลู่ พร้อมห้องน้ำและครุภัณฑ์ ตำบลสะเนียน อำเภอเมืองน่าน จังหวัดน่าน โดยมอบชุดนักเรียน กระเป๋านักเรียน ถุงยังชีพ อุปกรณ์การเรียน หนังสือสำหรับห้องสมุด ซึ่งเป็นโรงเรียนตามพระราชดำริ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตชาว มลาบรีในพื้นที่บ้านห้วยลู่ จ.น่าน รวมมูลค่า 320,000 บาท

เตรียมส่งมอบอาคารเรียนมูลนิธิร่วมกตัญญู แห่งที่ 37 เป็นอาคารเรียนแบบ สปช.105/29 ขนาด 4 ห้องเรียน 1 ห้องพักครู 1 เวที 1 เสาธงและห้องน้ำพร้อมปรับปรุงภูมิทัศน์ ให้แก่ โรงเรียนวัดสระไม้แดง อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท รวมมูลค่า 4,270,000 บาท เตรียมส่งมอบอาคารเรียนมูลนิธิร่วมกตัญญู แห่งที่ 38 เป็นอาคารเรียนแบบ สปช.105/29 ขนาด 4 ห้องเรียน 1 ห้องพักครู 1 เวที 1 เสาธงและห้องน้ำพร้อมปรับปรุงภูมิทัศน์ ให้แก่ โรงเรียนวัดศรีล้อม อ.หางดง จ.เชียงใหม่ รวมมูลค่า 4,130,000 บาท

มอบทุนการศึกษาพระปริยัติธรรมแด่พระภิกษุ-สามเณร ทั้งในเขตกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด จำนวน 91 ทุน, มอบทุนการศึกษาให้กับนักเรียน-นักศึกษาที่มีผลการเรียนดีแต่ฐานะยากจน ทุนการศึกษาบุตร-ธิดาของข้าราชการอำเภอบางพลี-องค์การบริหารส่วนตำบลบางพลีใหญ่, บุตร-ธิดาของข้าราชการตำรวจ, บุตร-ธิดาของสื่อมวลชน, บุตร-ธิดาของเจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญู, บุตร-ธิดาของอาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญูทุกเขต/จังหวัด  ตั้งแต่ระดับประถมศึกษาจนถึงระดับปริญญาตรี

มอบเงินสนับสนุนกิจกรรมโรงเรียน-ทุนอาหารกลางวันและอุปกรณ์การเรียน-การกีฬา ให้กับโรงเรียนในพื้นที่กรุงเทพฯ และต่างจังหวัด จำนวน 68 โรงเรียน โดยมอบให้เป็นรายเดือนตลอดระยะเวลา 1 ปี คิดเป็นเงิน 15,348,000 บาท ด้านพระพุทธศาสนา ถวายปัจจัยสมทบทุนก่อสร้าง เมรุเผาศพ ณ วัดบางพลีใหญ่กลาง ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ รวมมูลค่ากว่า 3,000,000 บาท ถวายปัจจัยสมทบทุนบูรณะ เมรุเผาศพ ณ วัดท่ามะปราง ต.ในเมือง อ.เมือง จ.พิษณุโลก รวมมูลค่า 4,500,000 บาท ถวายปัจจัยบูรณะ ศาลาการเปรียญ ให้แก่ วัดป่าสัก ต.กกโอ อ.เมือง จ.ลพบุรี รวมมูลค่า 870,000 บาท

พร้อมทั้งในวันนี้มีพิธีเททองหล่อรูปเหมือน สมเด็จพระวันรัต (เฮง เขมจารี) หน้าตักกว้าง 35 นิ้ว และ พระพุทธรูป ปางรำพึง ความสูงรวมฐาน 2.65 เมตร เพื่ออัญเชิญไปประดิษฐาน ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร กรุงเทพฯ ถวายปัจจัยซื้อที่ดิน จำนวน 1 ไร่ ให้แก่ วัดไทยนวราชรัตนาราม 960 รัฐอุตตรประเทศ สาธารณรัฐอินเดีย เนื่องจากพื้นที่เดิมโดนเวนคืนเพื่อตัดถนนผ่าน รวมมูลค่า 4,000,000 บาท มูลนิธิฯ รับเป็นเจ้าภาพค่าอาหารสำหรับจัดเลี้ยงให้แก่ผู้แสวงบุญชาวพุทธ ณ วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ เมืองกุสินาคาร์ รัฐอุตตรประเทศ สาธารณรัฐอินเดีย ปีละ 1,200,000 บาท ด้านสาธารณะประโยชน์มอบถุงยังชีพ เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัย วาตภัย อัคคีภัย และประชาชนยากไร้ ทั้งในกรุงเทพ ปริมณฑล และพื้นที่ห่างไกล ทุรกันดาร เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เชิญรูปหล่อเหมือนท่านผู้ก่อตั้งมูลนิธิฯ ไปประดิษฐาน ณ วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ เมืองกุสินาคาร์ รัฐอุตตรประเทศ สาธารณรัฐอินเดีย โอกาสนั้นได้มอบถุงยังชีพและเงินช่วยเหลือให้แก่ประชาชนชาวอินเดียที่ยากไร้ จำนวน 2,015 ครอบครัว รวมมูลค่า 6,357,500 บาท

ด้านสาธารณสุขในงานวันนี้มูลนิธิร่วมกตัญญู มอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้แก่ 33 หน่วยงาน เพื่อสนับสนุนการแพทย์ของโรงพยาบาลที่ห่างไกล ตามที่ทุกท่านได้ร่วมพิธีรับมอบไปก่อนหน้านี้ รวมมูลค่า 13,488,800 บาท (สิบสามล้านสี่แสนแปดหมื่นแปดพันแปดร้อยบาทถ้วน) และมอบอุปกรณ์ช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินให้แก่อาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญูและมูลนิธิเครือข่าย รวมมูลค่า 867,000 บาท และรายละเอียดอื่นๆ รวมยอดเงินกิจกรรมในวันนี้ 60,718,950 บาท

นอกจากนี้มูลนิธิร่วมกตัญญูยังให้ความร่วมมือกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ในการจัดกิจกรรมต่างๆ ตลอดจนจัดตั้งโรงครัวเพื่อบริการประชาชนตามที่หน่วยงานร้องขอ เนื่องในวันเด็กแห่งชาติ, วันสำคัญทางศาสนา, งานวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทั้งยังมีกิจกรรมอื่น ๆ อีกมากมายตามที่ได้ปรากฏทางสื่ออยู่เป็นระยะ

คิว-ข่าวสมุทรปราการ รายงาน

ผบ.ตร. และนายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ ลงพื้นที่ จ.นครพนม ตรวจเยี่ยมสถานีตำรวจน้ำนครพนม และสถานีตำรวจภูธรธาตุพนม ให้กำลังใจ มอบสิ่งของบำรุงขวัญแก่ข้าราชการตำรวจและครอบครัว กำชับเตรียมความพร้อมช่วยเหลือประชาชน รับมืออุทกภัย

(1 ก.ย. 67) เวลา 10.30 น. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และคุณนิภาพรรณ สุขวิมล นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ พร้อมด้วย พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 และคณะ ได้เดินทางลงพื้นที่จังหวัดนครพนม เพื่อตรวจเยี่ยมสถานีตำรวจน้ำนครพนม (สถานีตำรวจน้ำ 1 กองกำกับการ 10 กองบังคับการตำรวจน้ำ) โดยมี พล.ต.ต.ธวัชชัย ถุงเป้า ผบก.ภ.จว.นครพนม, พ.ต.อ.อดิศักดิ์ มีศิลป์ ผกก.10 บก.รน., พ.ต.อ.ภาคภูมิ เดชะเรืองศิลป์ ผกก.สภ.เมืองนครพนม และ พ.ต.ต.นวพล ขวัญทอง สว.ส.รน.1 กก.10 บก.รน. พร้อมด้วยข้าราชการตำรวจ สถานีตำรวจน้ำนครพนม ให้การต้อนรับ

ผบ.ตร. และนายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ พร้อมคณะ ได้รับฟังบรรยายสรุปเกี่ยวกับสถานการณ์โดยทั่วไปในพื้นที่ ปัญหาข้อขัดข้อง และการดูแลสวัสดิการของข้าราชการตำรวจ จากนั้นได้มอบสิ่งของและเงินบำรุงขวัญให้กับข้าราชการตำรวจ สถานีตำรวจน้ำนครพนม เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่

ต่อมาเวลา 12.00 น. ผบ.ตร.และนายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ พร้อมคณะ ได้เดินทางไปยัง สภ.ธาตุพนม จ.นครพนม เพื่อตรวจเยี่ยมบำรุงขวัญข้าราชการตำรวจและครอบครัว โดยมี พ.ต.อ.ภวิล คำเกษ ผกก.สภ.ธาตุพนม และข้าราชการตำรวจ สภ.ธาตุพนม ให้การต้อนรับ ซึ่ง ผบ.ตร. และนายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ ได้มอบสิ่งของและเงินบำรุงขวัญให้กับข้าราชการตำรวจ สภ.ธาตุพนม อีกทั้งยังได้มอบเงินและสิ่งของช่วยเหลือให้กับข้าราชการตำรวจสังกัด ภ.จว.นครพนม ที่ต้องดูแลบุตรหลานซึ่งเป็นผู้พิการ เพื่อเป็นการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายให้กับข้าราชการตำรวจและครอบครัว

ทั้งนี้ ผบ.ตร. ได้กำชับแนวทางการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการตำรวจดังต่อไปนี้ เน้นย้ำปกป้อง เทิดทูน และพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข , ให้ติดตามประเมินสถานการณ์ด้านอุทกภัยอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งจัดเตรียมกำลังพล การตรวจสอบอุปกรณ์เครื่องมือที่ต้องใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ให้มีความพร้อมอยู่เสมอ เพื่อให้สามารถออกช่วยเหลือพี่น้องประชาชนได้ทันท่วงที , เน้นย้ำการปฏิบัติหน้าที่โดยแสวงหาความร่วมมือจากภาครัฐและประชาชน เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่นในการป้องกันอาชญากรรม การปฏิบัติงานด้านการข่าว และความมั่นคงให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และให้ผู้บังคับบัญชาดูแลเอาใจใส่ผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างจริงจังในทุกระดับ เน้นผู้บังคับบัญชาต้องเป็นแบบอย่างที่ดี และให้ข้าราชการตำรวจทุกนายร่วมกันสร้างความสามัคคี ผ่านแนวคิด Police’s Home พร้อมพัฒนากำลังพลให้มีความพร้อมในการปฏิบัติงานอย่างมืออาชีพ เพื่อเสริมสร้างให้ข้าราชการตำรวจปฏิบัติราชการได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีคุณธรรม และยึดมั่นในหลักจริยธรรม

นอกจากนี้ ผบ.ตร. ยังได้กล่าวชมเชย และขอบคุณข้าราชการดำรวจในสังกัด ภ.จว.นครพนม ทุกนาย ที่ได้ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม สร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้กับพี่น้องประชาชน

สมุทรปราการ-จังหวัดสมุทรปราการ ร่วมกับ อุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรปราการ แถลงข่าว 'สุดยอดผลิตภัณฑ์ อุตสาหกรรมสมุทรปราการ'

(3 ก.ย. 67) เวลา 16.00 น. นายสุจินต์ วาจากิจ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ ให้เกียรติเป็นประธาน แถลงข่าว 'สุดยอดผลิตภัณฑ์ อุตสาหกรรมสมุทรปราการ' ภายในห้องประชุม MOOVE Event Centre ต.แพรกษา อ.เมืองฯ จ.สมุทรปราการ

โดยมี นายอำนวย สุวรรณรักษ์ อุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรปราการ พร้อมด้วย นางณิชาภา ไชยเรือน นักวิชาการอุตสาหกรรมชำนาญการ ร่วมแถลงข่าวในครั้งนี้

จากโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์โดยใช้นวัตกรรมและปรับปรุงประสิทธิภาพผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) และวิสาหกิจชุมชนเพื่อการปรับตัวสู่วิถีชีวิตใหม่ สู่การพัฒนาและต่อยอดผลิตภัณฑ์วิถีชุมชน ระหว่างวันที่ 12-16 กันยายน 2567 ณ บริเวณ Grand Hall ชั้น 1 ศูนย์การค้าอิมพีเรียลเวิลด์ สำโรง จังหวัดสมุทรปราการ

ภายในงานพบกับ สินค้าดี สินค้าเด่น ผลิตภัณฑ์วิถีชุมชน สินค้า OTOP รวม 43 บูธ และกิจกรรมพิเศษอีกมากมาย สนุกทุกวันกับมินิคอนเสิร์ตจากศิลปิน-นักร้อง เอิ้นขวัญ วรัญญา ,โบว์ เจน นุ่น Super วาเลนไทน์ ,ไรอัล กาจบัณฑิต ,ดอกแค ท็อปไลน์ และออร์ดี้ ภูบดินทร์

โดยบรรยากาศภายในงานแถลงข่าว”สุดยอดผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมสมุทรปราการ” ครั้งนี้ มีหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรปราการ คณะผู้ประกอบการ ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และแขกผู้มีเกียรติเข้าร่วมในงานแถลงข่าวครั้งนี้

คิว-ข่าวสมุทรปราการ รายงาน

'สายสุนีย์' คว้าทอง!! ฟันดาบพาราลิมปิก 2024 นับเป็นเหรียญทองที่ 4 ของทัพพาราลิมปิกไทย

(4 ก.ย.67) ผลการแข่งขัน ฟันดาบ พาราลิมปิก 2024 ประเภทดาบเซเบอร์ คลาสบี หญิง รอบชิงชนะเลิศ 'สายสุนีย์ จ๊ะนะ' มือ 4 และเป็นตัวความหวังของไทย โชว์ฟอร์มได้สมราคา เจอกับ XIAO RONG มือ 3 จากจีน ซึ่งรูปเกมจากที่ตามอยู่ 3-4 แต้ม ก่อนจะมาปิดจ็อบเอาชนะไปได้ 15-14 คว้าเหรียญทองมาครองได้สำเร็จ

เหรียญนี้นับเป็นเหรียญทองที่ 4 ของทัพพาราลิมปิกไทย ขอแสดงความยินดีด้วย

ชำแหละ!! ข้อเรียกร้องต่างด้าวในระดับเปลี่ยน Bangkok ให้เป็น New Yangon City ถาม? 'คนไทย-ชาติไทย' ได้ประโยชน์อะไร? แล้วต่างด้าวหรือไทยกลุ่มไหนเรียกร้อง?

เมื่อวานเครือข่ายปฏิรูปการโยกย้ายถิ่นฐาน ยื่นจดหมายเปิดผนึกแก่ 'นายกรัฐมนตรี' โดยมีเนื้อหาใจความว่า...

ด้วยเครือข่าย ซึ่งประกอบไปด้วยภาคประชาสังคม ภาควิชาการ สื่อมวลชน ชุมชนผู้อพยพโยกย้ายถิ่นฐาน ตลอดจนผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ในด้านการบริหารจัดการการโยกย้ายถิ่นฐาน ผู้อพยพโยกย้ายถิ่นฐานและผู้ลี้ภัยในประเทศไทย ได้ร่วมกันจัดทำข้อเสนอแนะนโยบายแก่ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี เพื่อโปรดพิจารณาเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายที่จะแถลงต่อรัฐสภาในโอกาสที่คณะรัฐมนตรีจะเข้าบริหารราชการแผ่นดิน บนพื้นฐานของมนุษยธรรมและสิทธิมนุษยชน ความมั่นคงของมนุษย์และความมั่นคงของชาติ ความต้องการด้านเศรษฐกิจและแนวโน้มด้านประชากรในอนาคตของไทย ตลอดจนการมุ่งสร้างสันติภาพในภูมิภาคอาเซียน ทั้งหมดสามระยะ ดังนี้...

>> 1. ระยะเร่งด่วน ให้รัฐบาลพิจารณากำหนดนโยบายด้านการบริหารจัดการกลุ่มผู้อพยพโยกย้ายถิ่นฐานและผู้ลี้ภัยทุกกลุ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ลี้ภัยจากสถานการณ์ความไม่สงบภายในประเทศเมียนมา ซึ่งเข้ามาในประเทศไทยแล้ว โดยมีการดำเนินการ ดังนี้...

1.1 ให้คณะรัฐมนตรีเร่งพิจารณาใช้อำนาจตามมาตรา 17 ของพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 กำหนดสถานะผู้อพยพลี้ภัยที่อยู่ในไทย ผู้อพยพลี้ภัยจากเมียนมา ผู้อพยพโยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติ และเร่งกำหนดสถานะให้แก่เด็กกลุ่มต่าง ๆ เพื่อให้เอื้อต่อการเข้าถึงสิทธิด้านการศึกษา สาธารณสุข และการทำงานได้ ตลอดจนพิจารณาปรับเกณฑ์และกลไกเพื่อการมีสัญชาติไทยของเด็กที่เกิดในไทย อันจะเป็นประโยชน์ต่อการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากการลดลงของประชากรไทยในสังคมผู้สูงอายุและความต้องการแรงงานของไทย

1.2 ขอให้รัฐบาลได้จัดตั้งกลไกเพื่อคุ้มครอง ส่งเสริม และติดตามการเข้าถึงสิทธิของเด็ก ผู้ลี้ภัยและเด็กผู้แสวงหาที่พักพิง ตามที่ประเทศไทยได้ยื่นตราสารถอนข้อสงวนของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (CRC) ข้อ 22 แล้ว เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2567

1.3 ให้ยุติการกักขังโดยไม่มีกำหนดเวลาต่อผู้อพยพโยกย้ายถิ่นฐานและผู้ลี้ภัยทุกกลุ่ม รวมทั้งกำหนดมาตรการทางเลือกแทนการกักขังให้แก่ผู้อพยพโยกย้ายถิ่นฐานและผู้ลี้ภัยทุกกลุ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ลี้ภัยชาวอุยกูรย์มากกว่า 40 คนซึ่งถูกกักตัวอยู่ในสถานกักตัวคนต่างด้าวมาเป็นเวลานาน 10 ปี และชาวโรฮีนจาจากประเทศเมียนมา

1.4 ขอให้รัฐบาลมีแนวปฏิบัติของการประเมินความเสี่ยงภัยในการส่งกลับคนต่างชาติอย่างมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน รวมทั้งยุติการส่งตัวผู้อพยพโยกย้ายถิ่นฐานและผู้ลี้ภัยกลับไปสู่อันตราย ตามมาตรา 13 แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565

1.5 เร่งรัดการเปิดจดทะเบียนแรงงานข้ามชาติ รวมทั้งการต่ออายุใบอนุญาตทำงานของแรงงานข้ามชาติที่ใบอนุญาตทำงานจะสิ้นสุดการอนุญาตในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 ตามมติคณะกรรมการนโยบายการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว โดยเน้นการดำเนินการในประเทศไทย เพื่อป้องกันผลกระทบและอันตรายจากมาตรการการเกณฑ์ทหารของรัฐบาลเมียนมา รวมทั้งผลกระทบจากการสู้รบในพื้นที่ชายแดน ซึ่งจะมีแรงงานข้ามชาติจากเมียนมาที่จะต้องดำเนินการมากถึงสองล้านคน อันจะเป็นผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจและผู้ประกอบการชาวไทย

1.6 เร่งรัดหน่วยงานซึ่งมีอำนาจหน้าที่ดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างและการมีส่วนร่วมภายในศูนย์สั่งการชายแดนในระดับชาติ จังหวัด และอำเภอ การพิจารณาอนุญาตเปิดจุดผ่อนปรนเพื่อให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรม การสนับสนุนเศรษฐกิจในพื้นที่ชายแดน รวมทั้งการสร้างความมั่นคงทางสุขภาพบริเวณชายแดน

1.7 เร่งรัดหน่วยงานซึ่งมีอำนาจหน้าที่ได้ดำเนินการตามแนวนโยบายและกฎหมาย โดยบูรณาการการบริหารจัดการผู้อพยพหนีภัยเข้ามาในประเทศไทยกลุ่มต่าง ๆ ดำเนินการคัดกรองและจัดทำทะเบียนประวัติผู้ลี้ภัย ทบทวนและปรับปรุงแนวทางปฏิบัติกรณีมีผู้อพยพหนีภัยเข้ามาในประเทศ ตลอดจนให้คำมั่นสัญญาในการไม่จับกุม กักขัง และดำเนินการปกป้องคุ้มครองเด็กผู้อพยพโยกย้ายถิ่นฐานและเด็กผู้ลี้ภัยที่อายุต่ำกว่า 18 ปี และครอบครัว

>> 2. ระยะกลาง ให้รัฐบาลพิจารณากำหนดนโยบายด้านการบริหารจัดการพื้นที่ชายแดนเพื่อรองรับกับแนวโน้มของสถานการณ์ในอนาคต โดยมีการดำเนินการ ดังนี้...

2.1 พิจารณาจัดตั้งกลไกความร่วมมือระหว่างสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม และกองทัพไทย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการชายแดนและผู้ที่หนีภัยความไม่สงบจากประเทศเมียนมาเข้ามาในประเทศไทย รวมถึงลดผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทย

2.2 กำหนดให้ภาคประชาสังคมและองค์กรระหว่างประเทศเข้าไปมีส่วนร่วมในกลไกความร่วมมือระหว่างชุมชนชายแดน (Township Border Committee: TBC) บนพื้นฐานการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคมในพื้นที่ชายแดน เพื่อสร้างเสถียรภาพ สันติภาพ และการแก้ไขปัญหาข้ามชาติต่าง ๆ

2.3 ปรับปรุงแนวทางปฏิบัติในการบริหารจัดการ (SOP) กรณีบุคคลชาวเมียนมาเดินทางเข้าไทยตามแนวชายแดน อันเนื่องมาจากการได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในเมียนมา โดยยึดหลักการไม่ผลักดันส่งกลับไปสู่ภัยอันตรายต่อชีวิต (non-refoulement) อนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมาน และการกระทำอื่น ๆ ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี (CAT) พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 รวมทั้งข้อตกลงระหว่างประเทศว่าด้วยผู้ลี้ภัย (GCR) ข้อตกลงระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐานที่ปลอดภัย เป็นระเบียบ และปกติ (GCM) ตลอดจนคำมั่นสัญญาที่ประเทศไทยได้ให้ไว้

2.4 พิจารณาศึกษาการจัดทำร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ลี้ภัยหรือบุคคลที่ไม่สามารถเดินทางกลับประเทศต้นทางอันเนื่องจากภัยประหัตประหาร แทนระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการคัดกรองคนต่างด้าวที่เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรและไม่สามารถเดินทางกลับประเทศอันเป็นภูมิลำเนาได้ พ.ศ. 2562

2.5 พิจารณาจัดทำมาตรการเพื่อยุติการสร้างความเกลียดชังและทัศนคติในด้านลบของสังคมไทยต่อชุมชนผู้อพยพโยกย้ายถิ่นฐานและผู้ลี้ภัยในประเทศไทย และให้มีมาตรการส่งเสริมทัศนคติที่ดีของสังคมไทยและส่งเสริมความเข้าใจเรื่องสิทธิมนุษยชนของชุมชน ผู้อพยพโยกย้ายถิ่นฐานและผู้ลี้ภัยในประเทศไทย

>> 3️. ระยะยาว ให้รัฐบาลพิจารณากำหนดนโยบายด้านการบริหารจัดการการโยกย้ายถิ่นฐาน โดยมีการดำเนินการ ดังนี้...

3.1 พิจารณาปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2534 (และที่แก้ไขเพิ่มเติม) เพื่อให้ผู้โยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติสามารถเข้าถึงสถานะบุคคลและทะเบียนราษฎร และสถานะการอยู่อาศัย ตลอดจนการคุ้มครองได้

3.2 พิจารณาปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 โดยกำหนดสิทธิและมาตรการคุ้มครองกลุ่มเปราะบาง รวมทั้งปรับปรุงและแก้ไขกฎหมายลำดับรองให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติดังกล่าว โดยยึดหลักการไม่ผลักดันส่งกลับไปสู่ภัยอันตรายต่อชีวิต (non-refoulement) การยุติการกักขังเพื่อรอการส่งกลับอย่างไม่มีกำหนด สิทธิในการอยู่ร่วมกันในครอบครัว (family reunification) และการปกป้องคุ้มครองกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้หญิง เด็ก ผู้ป่วย ผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ และแรงงานข้ามชาติที่ถูกละเมิดสิทธิตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานและกฎหมายอื่น

3.3 พิจารณาศึกษาการจัดทำร่างแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติสัญชาติ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551

3.4 พิจารณาปรับปรุงแก้ไขพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2561 (และที่แก้ไขเพิ่มเติม) และระเบียบเกี่ยวข้องกับการจดทะเบียนแรงงานข้ามชาติและผู้ติดตาม เพื่อปรับปรุงกระบวนการขออนุญาตทำงาน การรับรองสิทธิการทำงานของบุคคล และการคุ้มครองแรงงานของกลุ่มผู้อพยพย้ายถิ่น โดยเฉพาะ อย่างยิ่งสำหรับผู้อพยพลี้ภัยจากเมียนมา

3.5 พิจารณาปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 ให้เอื้อต่อการทำประกอบอาชีพที่สุจริตสำหรับคนที่ไม่มีสัญชาติไทย

3.6 พิจารณาจัดตั้ง 'หน่วยงานระดับกรมกิจการคนเข้าเมือง' เพื่อให้การบริหารจัดการประชากรผู้โยกย้ายถิ่นฐานและการจัดการคนเข้าเมืองเป็นระบบและมีเอกภาพ รวมถึงการให้ความคุ้มครองการทำทะเบียนราษฎร และการผสมผสานระหว่างกันในสังคมไทย

3.7 รัฐบาลควรมีบทบาทนำในการสร้างสันติภาพแก่ภูมิภาคผ่านกลไกของกลุ่มประเทศอาเซียน การมีบทบาทในการเจรจาหยุดยิงเพื่อเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย และพิจารณาทบทวนการสนับสนุนรัฐบาลทหารเมียนมาทั้งในด้านธุรกิจและด้านอื่น ๆ

ประเด็นที่เรียกร้องมาทั้งหมดนี้ ขอให้รัฐบาลคำนึงถึงสิ่งที่ เอย่า จะกล่าวต่อไปนี้นะคะ...

1. การรับคนต่างชาติเหล่านี้เข้ามา ประเทศไทยได้ประโยชน์อะไรบ้าง คนเหล่านี้ได้เสียภาษีเงินได้ให้แก่เราหรือไม่ รวมถึงคนไทยได้ประโยชน์อะไรจากคนเหล่านี้ที่เข้ามา

2. พิจารณาปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 ให้เอื้อต่อการทำประกอบอาชีพที่สุจริตสำหรับคนที่ไม่มีสัญชาติไทย จะเป็นการเปิดช่องทางในการแย่งงานคนไทยหรือไม่ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ หลายอาชีพก็มีต่างด้าวเข้ามาแย่งอาชีพคนไทยอยู่แล้ว หากท่านนายกลงพื้นที่ไปที่มหาชัยจะพบว่าคนไทยส่วนใหญ่เริ่มย้ายถิ่นฐานออกจากมหาชัยไปหมดแล้วเพราะเขาถูกแย่งงาน แย่งอาชีพ ทำให้ประกอบอาชีพในมหาชัยไม่ได้อีกต่อไปเนื่องจากคนต่างด้าวเข้ามาและทำงานที่คนไทยทำด้วยค่าแรงที่ถูกกว่า

3. การสู้รบเป็นปัญหาในประเทศเมียนมามามากกว่า 70 ปีซึ่งไทยก็รับภาระตรงนี้มาตลอด แม้จะมีการตรวจตราอย่างเข้มแข็งแต่ก็ไม่สามารถควบคุมได้ ปัจจุบันลูกหลานคนเหล่านั้นออกมาตั้งมูลนิธิ สมาคมช่วยเหลือคนของตัวเองโดยใช้ไทยเป็นฐานปฏิบัติการ ถามว่าคนไทย และชาติไทยได้ประโยชน์อะไรจากจุดนี้

4. ปัจจุบันทางการไทยพยายามที่จะให้สัญชาติแก่กลุ่มชาติพันธุ์แต่ปรากฏข่าวของกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยตามชายแดนได้ใช้ช่องว่างทางกฎหมายเพื่อให้ตนเองได้ 2 สัญชาติเพื่อหาประโยชน์จากการเป็นประชาชนชาวไทยด้วยเช่นกัน และส่วนใหญ่คนเหล่านี้นำพาปัญหาเข้ามาสู่ประเทศไทยไม่ว่าจะเป็นการค้าอาวุธสงคราม แก๊งมิจฉาชีพ Call Center รวมถึงการค้ายาเสพติดและการค้าบริการทางเพศ  

5. หากดูประวัติศาสตร์จาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ถามว่าจะเป็นเช่นใดหาก 3-4 อำเภอชายแดนไทยถูกกลุ่มชาติพันธุ์ยึดโดยไม่สื่อสารภาษาไทยอีกต่อไป สุดท้ายคนไทยในบริเวณดังกล่าวจะถูกกดดันจากสภาพแวดล้อมให้ออกจากพื้นที่เอง ถามว่าสุดท้ายจะถูกนำไปสู่ปัญหาการขอแบ่งแยกดินแดนหรือไม่ในอนาคต

6. หนึ่งในกฎบัตรอาเซียนคือการไม่ก้าวก่ายกิจการภายในของกันและกัน ถามว่าหากไทยยอมรับการเรียกร้องดังกล่าวนี้ ไทยยังปฏิบัติเป็นไปตามกฎบัตรอาเซียนอยู่หรือไม่

7. การที่พวกคุณพยายามผลักดันคนเหล่านี้ให้ถูกต้องเพื่อจะเป็นการฟอกขาวเพื่อให้คนเหล่านี้หรือลูกหลานได้มีสัญชาติไทยในอนาคตเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มการเมืองบางกลุ่มที่สนับสนุนคุณอยู่เบื้องหลังใช่หรือไม่

บางที เอย่า ก็แปลกใจเหมือนกันว่า คนเหล่านี้เป็นคนไทยหรือเปล่าที่พยายามเข้ามาเรียกร้องให้ไทยเสียประโยชน์ โดยอ้างแค่คำว่ามนุษยธรรม   

เอย่า ว่าประเทศไทยเรานั้น เป็นประเทศที่เปิดกว้างมาก กว้างขนาดให้คนต่างด้าวมีโอกาสเข้าถึงการศึกษาไทยขั้นต่ำตามระบบได้ ให้โอกาสให้บัตรของพวกเขาเหล่านี้ขอสัญชาติได้ด้วยเมื่ออายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ แล้วถามกลับว่าเราได้ประโยชน์อะไรจากคนกลุ่มนี้บ้าง เราได้รับภาษีแผ่นดินเพิ่มขึ้นไหม เราได้รับความปลอดภัยเพิ่มขึ้นไหม เราได้รับความสะดวกสบายเพิ่มขึ้นไหม  

คำถามเหล่านี้หากรัฐบาลไทยจะรับข้อเรียกร้อง ก็ต้องยอมรับผลที่ตามมาให้ได้  

อยุธยาไม่มีวันพ่าย หากไม่ถูกคนไทยทรยศบ้านเมือง ฉันใดก็ฉันนั้น ประเทศไทยจากวันนี้จะเป็นอย่างไร ก็ขึ้นกับผู้นำและคนไทย ณ วันนี้เช่นกัน

หวังว่าลูกหลานเราในวันข้างหน้า คงไม่ได้เรียก Bangkok ว่า New Yangon City นะ

เชียงใหม่-คณะพยาบาลศาสตร์ มช. ร่วมกับ 8 มหาวิทยาลัยต่างประเทศ จัดการประชุมวิชาการนานาชาติ Global Health Recalibration 2024

(4 ก.ย.67) คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมกับ 8 มหาวิทยาลัยต่างประเทศ จัดประชุมวิชาการนานาชาติ ‘การเปลี่ยนแปลงด้านสุขภาพโลก’: การสร้างความเข้มแข็งด้านผลลัพธ์ทางสุขภาพ การศึกษา การปฏิบัติทางคลินิก และวิจัย (Global Health Recalibration: Strengthening Outcomes, Education, Clinical Practice, and Research) โดยมี นายวรวิทย์ ชัยสวัสดิ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ให้เกียรติเป็นประธานพิธีเปิดการประชุม พร้อมด้วย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ทพ.พิริยะ เชิดสถิรกุล  รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ธานี แก้วธรรมานุกูล คณบดีคณะพยาบาลศาสตร์  มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตลอดจนนักวิชาการ นักวิจัยด้านสุขภาพ นักศึกษาจากประเทศไทยและต่างประเทศ  เข้าร่วมประชุม ณ ศูนย์ประชุมนานาชาติ โรงแรมดิเอ็มเพรส จังหวัดเชียงใหม่

คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมกับสถาบันการศึกษาชั้นนำ จำนวน 8 แห่ง ได้แก่ 1) University of Adelaide 2) Columbia University 3) Duke University 4) University of Illinois at Chicago 5) Johns Hopkins University 6) Kagawa University 7) University of Michigan และ 8) Taipei Medical University ได้จัดงานประชุมวิชาการนานาชาติ เรื่อง การเปลี่ยนแปลงด้านสุขภาพโลก: การสร้างความเข้มแข็งด้านผลลัพธ์ทางสุขภาพ การศึกษา การปฏิบัติทางคลินิก และวิจัย (Global Health Recalibration: Strengthening Outcomes, Education, Clinical Practice, and Research) กำหนดจัดในระหว่างวันที่ 4 – 6 กันยายน 2567 ณ ศูนย์ประชุมนานาชาติ โรงแรมดิเอ็มเพรส จังหวัดเชียงใหม่ 

ผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย นักวิชาการ นักวิจัยด้านสุขภาพ รวมทั้งนักศึกษาจากประเทศไทยและต่างประเทศ รวมทั้งสิ้น 433 คน จากทั่วโลก ได้แก่ ออสเตรเลีย สาธารณรัฐประชาชนจีน จีนไทเป เขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน อินเดีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น มัลดีฟส์ นิวซีแลนด์ ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ศรีลังกา สหรัฐอเมริกา เวียดนาม และไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่ออภิปรายเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงด้านสุขภาพโลก ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาผลลัพธ์ทางสุขภาพที่เข้มแข็ง การศึกษา การปฏิบัติทางคลินิก และวิจัย รวมถึงโอกาสและความท้าทาย ของการสร้างผลลัพธ์ที่เข้มแข็งทางด้านสุขภาพ ผ่านความร่วมมือระหว่างสหวิชาชีพ นอกจากนั้น ยังเป็นเวทีสำหรับสหวิชาชีพ ที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพในการสร้างเครือข่าย อันจะนำไปสู่การพัฒนาทีมสุขภาพและการพัฒนาสุขภาพโลกในระดับภูมิภาคและระดับโลก 

การประชุมวิชาการนานาชาติ เรื่อง การเปลี่ยนแปลงด้านสุขภาพโลก: การสร้างความเข้มแข็งด้านผลลัพธ์ทางสุขภาพ การศึกษา การปฏิบัติทางคลินิก และวิจัยในครั้งนี้ นับเป็นการจัดประชุมวิชาการนานาชาติครั้งที่ 7 ที่คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้เป็นเจ้าภาพจัดประชุม ซึ่งจะเป็นการสานต่อ และพัฒนาองค์ความรู้ ด้านการส่งเสริมสุขภาพของโลกต่อเนื่องมาจากการจัดประชุมวิชาการนานาชาติที่คณะพยาบาลศาสตร์ได้จัดไปแล้ว จำนวน 6 ครั้ง เมื่อปี พ.ศ. 2544, พ.ศ. 2547, พ.ศ. 2551, พ.ศ. 2555, พ.ศ. 2559, และ พ.ศ. 2563 (จัดทุก 4 ปี) ซึ่งประสบผลสำเร็จอย่างมาก ซึ่งจะเห็นได้จากการที่มีผู้เข้าร่วมการประชุมมาจากทั่วโลก ทั้งนี้ยังได้ดำเนินกิจกรรมพบปะสนทนาระหว่างผู้แทนจากเครือข่ายของศูนย์ความร่วมมือทางการพยาบาลและการผดุงครรภ์ขององค์การอนามัยโลก The Global Network of WHO Collaborating Centers จากนานาประเทศ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น กระชับความสัมพันธ์ และส่งเสริมการทำงานร่วมกันระหว่างศูนย์ความร่วมมือและสมาชิกพันธมิตร

สำหรับการจัดประชุมวิชาการนานาชาติ Global Health Recalibration 2024 จะเป็นการเผยแพร่ให้ความรู้ และแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากวิทยากร/ผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียงในระดับโลก จำนวน 15 คน นอกจากนี้ ในการประชุม ได้มีการนำเสนอผลงานวิจัย จำนวน 236 เรื่อง แบ่งเป็นการนำเสนอแบบปากเปล่า (Oral Presentation) 120 เรื่อง และนำเสนอด้วยโปสเตอร์ 116 เรื่อง และได้มีการจัดนิทรรศการวิชาการจากสถาบันการศึกษาทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมประชุมสามารถเลือกชมกิจกรรม และความก้าวหน้าของสถาบันการศึกษาต่าง ๆ อีกด้วย 

'นิวซีแลนด์' ขึ้นค่าธรรมเนียม 3 เท่า สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ หนุนบริการสาธารณะ-ประสบการณ์ท่องเที่ยวดีๆ จากนิวซีแลนด์

(4 ก.ย.67) รัฐบาลนิวซีแลนด์ออกแถลงการณ์ว่า จะมีการขึ้นค่าธรรมเนียมสำหรับนักเดินทางต่างชาติ การอนุรักษ์และการท่องเที่ยว จากเดิม ราคา 742 บาท เพิ่มเป็น 2,232 บาท หรือเพิ่มขึ้นคิดเป็นเกือบ 3 เท่า เริ่มมีผลตั้งแต่ 1 ต.ค. นี้เป็นต้นไป เพื่อให้มั่นใจว่านักท่องเที่ยวได้มีส่วนสนับสนุนบริการสาธารณะ และประสบการณ์ดี ๆ ที่ได้รับ จากการท่องเที่ยวในประเทศ

ที่ผ่านมา นิวซีแลนด์เองก็เผชิญกับปัญหานักท่องเที่ยวล้น จนกระทบกับสภาพแวดล้อม ธรรมชาติ และโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ไม่ต่างจากที่อีกหลายประเทศเผชิญอยู่

สำหรับค่าธรรมเนียมเข้าประเทศ 742 บาท ถูกบังคับใช้มาตั้งแต่ ก.ค.ปี 2019 แต่จำนวนดังกล่าวยังไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น จากการรับมือกับจำนวนนักท่องเที่ยวที่มากเกินไป

รัฐบาลระบุว่า ค่าธรรมเนียมยังอยู่ในระดับที่แข่งขันได้ และมั่นใจว่านิวซีแลนด์จะยังเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยว

อย่างไรก็ตาม สมาคมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของนิวซีแลนด์ เชื่อว่าค่าธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้นจะทำให้นักท่องเที่ยวยิ่งไม่อยากเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศ ท่ามกลางการฟื้นตัวที่ช้ากว่าประเทศอื่น ๆ หลังมีการใช้มาตรการปิดพรมแดนอย่างเข้มงวด ช่วงโควิด-19 ระบาด

อย่างไรก็ตาม จำนวนนักท่องเที่ยวในปัจจุบัน ยังอยู่ที่ 80% เมื่อเทียบกับจำนวนนักท่องเที่ยวช่วงก่อนใช้มาตรการปิดพรมแดน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top