Wednesday, 18 June 2025
NewsFeed

‘OR’ ผนึกกำลัง ‘บาชุนดารา กรุ๊ป’ ขยายธุรกิจ ‘Café Amazon’ ในบังกลาเทศ ตั้งเป้าเปิดสาขาแรกไตรมาส 4 ปีนี้ พร้อมวางแผนต้องมีอย่างน้อย 100 สาขา

(31 ก.ค.67) นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR และนายอาห์เมด อัคบาร์ โซบาน (Ahmed Akbar Sobhan) ประธานกรรมการ บาชุนดารา กรุ๊ป (Chairman of Bashundhara Group) ร่วมลงนามสัญญาการมอบสิทธิ์มาสเตอร์แฟรนไชส์ (Master Franchise) คาเฟ่ อเมซอน ในประเทศบังกลาเทศอย่างเป็นทางการ โดยมี นายพสุศิษฏ์ วงศ์สุรวัฒน์ อัครราชทูต ณ กรุงไคโร ปฏิบัติหน้าที่ราชการ ณ กรมเอเชียใต้ ตะวันออกกลาง และแอฟริกา กระทรวงการต่างประเทศ และ นายโมฮัมหมัด มาซูมูร์ ราฮามาน (Mr. Md. Masumur Rahaman) อัครราชทูตที่ปรึกษา (Counsellor and Head of Chancery) สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ ประจำประเทศไทย ร่วมเป็นเกียรติในพิธี ณ ห้องกรุงเทพ 1 โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ แอท เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร โดยวางแผนจะเปิดคาเฟ่ อเมซอน สาขาแรกภายในไตรมาส 4 ของปี 2567 และมีเป้าหมายเปิดร้านอย่างน้อย 100 สาขาต่อไป

โดยนายดิษทัต เปิดเผยว่า ความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการขยายธุรกิจคาเฟ่ อเมซอน สู่ตลาดบังกลาเทศ ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง ด้วยการเติบโตทางเศรษฐกิจที่รวดเร็ว ตลาดผู้บริโภคที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และวัฒนธรรมการบริโภคกาแฟที่กำลังเติบโตอย่างมาก นอกจากนี้ ผู้บริโภคชาวบังกลาเทศยังมีความชื่นชอบในสินค้าและแบรนด์จากประเทศไทย เนื่องจากไว้วางใจในคุณภาพและมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ รวมถึงมีความเชื่อมั่นในแบรนด์ที่มาจากประเทศไทย และยังเป็นการเสริมสร้างศักยภาพกลุ่มธุรกิจไลฟ์สไตล์ของ OR แข็งแกร่งยิ่งขึ้น สอดคล้องกับหนึ่งในพันธกิจของ OR ที่มุ่งสร้างทางเลือกเพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้บริโภคทุกไลฟ์สไตล์อย่างครบวงจร

ทั้งนี้ การขยายธุรกิจครั้งนี้ OR หวังว่าด้วยความชำนาญในธุรกิจกาแฟของ OR ที่ช่วยส่งเสริมศักยภาพในการเติบโตของคาเฟ่ อเมซอน ผนวกกับความเชี่ยวชาญในการบริหารธุรกิจหลากหลาย ซึ่งครอบคลุมธุรกิจด้านอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มของบาชุนดารา กรุ๊ป จะทำให้ คาเฟ่ อเมซอน ได้รับการต้อนรับจากผู้บริโภคในบังกลาเทศเป็นอย่างดี และสามารถร่วมกันสร้างโอกาสในการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป โดย OR จะเดินหน้าสร้างความแข็งแกร่ง และจะยังคงพัฒนาธุรกิจคาเฟ่ อเมซอน อย่างต่อเนื่อง เพื่อนำเสนอเครื่องดื่มและบริการที่ดีที่สุดแก่ผู้บริโภคชาวบังกลาเทศต่อไป ซึ่งสอดคล้องกับความมุ่งมั่นของ OR ในการขยายฐานการดำเนินธุรกิจเพื่อสร้างการเติบโตร่วมกันกับสังคม ชุมชน และเศรษฐกิจในพื้นที่ ตลอดจนสร้างความสำเร็จและการยอมรับในตลาดโลก นอกจากนี้ ความร่วมมือดังกล่าวยังเป็นไปตามวิสัยทัศน์ของ OR คือ ‘Empowering All toward Inclusive Growth’ หรือ เติมเต็มโอกาสเพื่อทุกการเติบโตร่วมกัน 

'มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง' รุดเพิ่มโครงการบรรเทาทุกข์สภาวะอากาศร้อน ภายในสถานศึกษา ในถิ่นทุรกันดาร จัดงบกว่า 5 แสนบาท มอบชุดพัดลมเพดาน แขวนผนัง และตั้งพื้น นำร่อง 5 จังหวัด 25 โรงเรียน

ระหว่างวันที่ 24-31 กรกฎาคม พ.ศ. 2567 มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง โดย นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการ ห่วงใยนักเรียน ครู และบุคลากรในสถานศึกษาถิ่นทุรกันดารที่ขาดแคลนพัดลม จึงมอบหมายคณะกรรมการมูลนิธิฯ นำโดย นายสุรพงศ์ เสรฐภักดี กรรมการและรองเหรัญญิก และ นายชูเดช เตชะไพบูลย์ ผู้ช่วยกรรมการฯ ดำเนินการโครงการ พัดลมคลายร้อน สร้างสุข เพื่อน้องถิ่นทุรกันดาร (นำร่อง) จัดทีมฝ่ายสังคมสงเคราะห์ นำโดย นางศิริพร กระจ่างหล้า ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ นางสาวดวงชุตา ติยะพจนพรกุล ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ และ นางสาวศุภรัตน์ สมบัติเจริญไทย หัวหน้าแผนกส่งเสริมการศึกษาและอาชีพ ลงพื้นที่มอบชุดพัดลมเพดาน แขวนผนัง และตั้งพื้น ให้แก่สถานศึกษาในถิ่นทุรกันดารจังหวัดสระบุรี ลพบุรี กาญจนบุรี สุพรรณบุรี และราชบุรี รวม 5 จังหวัด  25 โรงเรียน พร้อมมอบค่าพาหนะให้แก่โรงเรียนๆ ละ 2,000 บาท และค่าติดตั้งพัดลมแก่โรงเรียนๆ ละ 3,000 บาท รวมงบประมาณการดำเนินการทั้งสิ้น 596,000 บาท (ห้าแสนเก้าหมื่นหกพันบาทถ้วน) เพื่อลดสภาวะอากาศร้อนภายในโรงเรียน ให้นักเรียน ครู และบุคลากรในโรงเรียน ได้คลายร้อน โดยมี เยาวชน และผู้แทนจากสถาบันการศึกษา เป็นผู้รับมอบ พร้อมด้วย มูลนิธิฯ / สมาคมจีนประจำจังหวัดต่างๆ เป็นผู้ประสานงานและร่วมในพิธี

ตลอดระยะเวลากว่า 114 ปี มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลาย ๆ ทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ดังปณิธาน มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung

‘นักกีฬารัสเซีย-เบลารุส’ ต้องร่วมโอลิมปิก 2024 ภายใต้ชื่อ ‘AIN’ เหตุสงครามยูเครนทำให้ถูกแบน จนต้องแข่งขันอย่างไร้ประเทศ

มหกรรมกีฬาโอลิมปิก ถือเป็นงานแข่งขันกีฬาระดับโลก ที่แต่ละประเทศในโลกจะส่งตัวแทนนักกีฬาต่างส่งนักกีฬาตัวแทนมาแข่งขันในงานนี้ พร้อมตราสัญลักษณ์ ธงชาติ หากนักกีฬาชาติได้รับชัยชนะ จะถือเป็นเกียรติประวัติ ผลงานความภาคภูมิใจของชาตินั้น ๆ

แต่ทว่า ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสในปี 2024 นี้ กลับมีนักกีฬาที่ลงสนามในนาม ‘AIN’ ที่ย่อมาจาก Athlètes Individuels Neutres ในภาษาฝรั่งเศส หมายถึง นักกีฬาเป็นกลางรายบุคคล และใช้ธงขาวที่แสดงสัญลักษณ์ AIN แทนธงชาติตามสัญชาติของนักกีฬา 

โดย AIN เป็นชื่อที่คณะกรรมการโอลิมปิกสากล (IOC) อนุมัติให้กับนักกีฬาจากรัสเซีย และ เบลารุส ใช้เพื่อเข้าร่วมการแข่งขันในปารีส โอลิมปิก 2024 นี้ แต่จะไม่อนุญาตให้นักกีฬาภายใต้ชื่อ AIN แสดงสัญลักษณ์ใด ๆ ก็ตามที่สื่อถึงชาติของตนระหว่างการแข่งขันกีฬา รวมถึงการใช้เพลงชาติเมื่อนักกีฬาจาก AIN ชนะเลิศ ได้เหรียญทองอีกด้วย เงื่อนไขนี้เป็นผลพวงจากที่รัสเซีย และ เบลารุส ถูกคว่ำบาตรจากเหตุการณ์รุกรานยูเครนในปี 2022 เป็นต้นมา

ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก เนื่องด้วยรัสเซียเคยถูกแบนในการเข้าร่วมการแข่งขันโอลิมปิกที่กรุงโตเกียว ในปี 2020 มาก่อนจากคดีอื้อฉาวเรื่องการใช้สารกระตุ้นต้องห้าม แต่ทีมนักกีฬารัสเซียคนอื่น ๆ ยังสามารถเข้าร่วมการแข่งขันภายใต้ชื่อ ‘คณะกรรมการโอลิมปิกรัสเซีย’ หรือ ROC ได้ 

แต่สำหรับโอลิมปิกคราวนี้ มีประเด็นการเมืองที่ต่างออกไป และเป็นครั้งแรกที่เบลารุส ถูกแบน จึงทำให้นักกีฬาของเบลารุส และ รัสเซีย ต้องลงแข่งขันภายใต้ชื่อใหม่ ‘AIN’ ใช้เพียงตราสัญลักษณ์บนพื้นขาว และใช้เพลงบรรเลงที่กำหนดโดยคณะกรรมการโอลิมปิก เมื่อขึ้นรับเหรียญรางวัลเท่านั้น

และไม่ใช่นักกีฬารัสเซีย และ เบลารุส ทุกคนสามารถเข้าร่วมการแข่งขันในนาม AIN ได้ แต่ต้องได้รับการอนุมัติจากสหพันธ์กีฬานานาชาติแต่ละแห่งก่อน แม้ว่านักกีฬาจะมีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์ก็ตาม 

อีกทั้งนักกีฬา AIN ไม่ถือเป็นทีม หรือเป็นตัวแทนของชาติใด จึงไม่สามารถเข้าร่วมในขบวนแห่นักกีฬาในพิธีเปิดที่แม่น้ำแซนได้ รวมถึงตัวแทนรัฐจากทั้งรัสเซีย และ เบลารุส จะไม่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมในพิธีใด ๆ ในงานโอลิมปิกครั้งนี้ และเหรียญรางวัลที่ได้จากการแข่งขันของนักกีฬา AIN ก็จะไม่ถูกรวมอยู่ในตารางเหรียญรางวัลด้วยเช่นกัน

จึงถือว่า รัสเซีย และ เบลารุส ได้ถูกแบนจากการเข้าร่วมกีฬาโอลิมปิก 2024 แล้ว แต่ฝ่ายเจ้าหน้าที่ยูเครนบางคนแย้งว่า ทาง IOC ไม่ควรอนุญาตให้นักกีฬารัสเซีย และ เบลารุสคนใดเลยเข้าร่วมการแข่งขันเลย แม้ว่าจะอยู่ในนาม AIN ก็ตาม 

แต่คณะกรรมการ IOC ได้กล่าวในแถลงการณ์แสดงความเป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกับยูเครนเมื่อเดือนมกราคม 2023 ว่า ‘ไม่ควรมีนักกีฬาชาติใดถูกกีดกันเพียงเพราะหนังสือเดินทางของพวกเขา’

แต่หาก IOC ใช้ประเด็นเรื่องการรุกรานยูเครน ในการแบนรัสเซีย และ เบลารุส จึงเกิดคำถามว่า IOC ควรใช้มาตรฐานเดียวกันกับประเด็นความขัดแย้งในสงครามกาซาด้วยหรือไม่? 

โดยมีการยื่นคำร้องจากผู้ร่วมลงนามหลายแสนคนให้แบนอิสราเอลจากการเข้าร่วมมหกรรมกีฬาโอลิมปิก เช่นเดียวกับ รัสเซีย และ เบลารุส จากเหตุใช้กำลังทหาร และ การโจมตีทางอากาศของกองทัพอิสราเอลเข้าถล่มเขตพลเรือนในฉนวนกาซ่า อันเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 4 หมื่นคน ในจำนวนนั้นมีนักกีฬาชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตไม่น้อยกว่า 400 คน 

แต่สุดท้าย อิสราเอลสามารถเข้าร่วมงาน ปารีส โอลิมปิก 2024 โดยได้ส่งนักกีฬา 88 คน เข้าร่วมแข่งขันในกีฬา 16 ประเภท

สมเป็นมหกรรมกีฬาของโลกที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง และการเมืองที่แท้จริง

เรื่อง : ยีนส์ อรุณรัตน์

‘ธอส.’ ออกมาตรการช่วยเหลือ ‘ลูกหนี้’ รักษาบ้านของตนเอง ปรับดอกเบี้ยเหลือ 3.55% ต่อปี-ขยายเวลาผ่อนชำระนาน 2 ปี

(31 ก.ค. 67) นายกมลภพ วีระพละ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ธอส.ได้จัดทำมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ผู้ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ ให้ความช่วยเหลือลูกค้านานสูงสุด 2 ปี จำนวน 2 มาตรการ ประกอบด้วย

>> 1. มาตรการช่วยเหลือ ‘DC1’ สำหรับกลุ่มลูกค้าสถานะ SM, ลูกค้าสถานะ NPL และลูกหนี้สถานะมีโจทก์นอก ที่กู้เงินกับธนาคารมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปี 

สามารถผ่อนชำระเงินงวดที่คำนวณจากอัตราดอกเบี้ยที่ 3.55% ต่อปี และ +100 บาท เป็นระยะเวลา 2 ปี กรณีลูกค้าชำระเกินกว่าที่ธนาคารกำหนด ให้นำไปตัดดอกเบี้ยค้างชำระ (หากมี)

>> 2. มาตรการช่วยเหลือ ‘DC2’ สำหรับกลุ่มลูกค้าสถานะ NPL และลูกหนี้สถานะมีโจทก์นอก ที่กู้เงินกับธนาคารมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปี จะได้รับอัตราดอกเบี้ย 4 เดือนแรก 0% ต่อปี 

โดยผ่อนชำระเงินงวดเพียง 1,000 บาทต่อเดือน, เดือนที่ 5-8 ผ่อนชำระเงินงวดที่คำนวณจากอัตราดอกเบี้ยที่ 1.90% เพียง 50% และ +100 บาท และเดือนที่ 9-12 ผ่อนชำระเงินงวดคำนวณจากอัตราดอกเบี้ยที่ 3.90% เพียง 50% และ +100 บาท 

กรณีลูกค้าชำระเกินที่ธนาคารกำหนดให้นำไปตัดดอกเบี้ยค้างชำระ (หากมี) ทั้งนี้ ดอกเบี้ย 50% ของงวดที่ 5-12 ธนาคารจะพักชำระไว้ เมื่อลูกค้าผ่อนชำระครบตามเงื่อนไขจะได้รับส่วนลดดอกเบี้ย 50% ช่วงที่อยู่ในมาตรการ

“การจัดทำมาตรการช่วยเหลือต่าง ๆ ของ ธอส. ในภาวะที่ลูกค้าได้รับผลกระทบด้านเศรษฐกิจ นอกจากจะเป็นการช่วยเหลือลูกค้าให้ได้มีบ้านเป็นของตนเองแล้ว ยังช่วยลูกค้ารักษาบ้านของตนเองได้ต่อไป ซึ่งการดำเนินการทั้งหมดนี้ ในภาพรวมจะส่งผลดีต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ และภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศให้ขยายตัวดีขึ้นตามไปด้วย” 

สำหรับลูกค้าที่ประสงค์เข้าร่วมมาตรการข้างต้น สามารถลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2567 ผ่านทาง Application : GHB ALL BFRIEND โดยลูกค้าจะต้อง Upload หลักฐานยืนยันการได้รับผลกระทบทางรายได้เพื่อให้ธนาคารพิจารณาด้วย 

‘กมธ.อุตฯ’ เผย ‘กากแคดเมียม’ ขนถึงจ.ตาก ครบ 100% คาด!! ดำเนินการฝังกลบเสร็จเรียบร้อย ภายใน 30 พ.ย.67

(31 ก.ค. 67) รายงานข่าวระบุว่า กมธ.การอุตสาหกรรม เผยความคืบหน้ากรณีกากแคดเมียมล่าสุด รับรายงานขนย้ายจาก 3 จังหวัด ถึงโรงพักคอยจังหวัดตาก จำนวน 12,912 ตัน ครบ 100% แล้ว ระบุ ขั้นตอนต่อไปรอตรวจสอบความสมบูรณ์ของบ่อในวันที่ 5 สิงหาคมนี้ คาดดำเนินการฝังกลบได้เสร็จเรียบร้อยภายใน 30 พฤศจิกายน 2567

นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วย นางสาวกมนทรรศน์ กิตติสุนทรสกุล สส.ระยอง นายรัฐ คลังแสง สส.มหาสารคาม และนายชิษณุพงศ์ ตั้งเมธากุล สส.นครปฐม ร่วมแถลงความคืบหน้าการขนย้ายกากตะกอนแคดเมียมในพื้นที่ต่าง ๆ กลับสู่จังหวัดตาก ว่า… 

ในวันนี้ คณะกรรมาธิการได้เชิญผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูลต่อคณะกรรมาธิการ ได้แก่ กระทรวงอุตสาหกรรม สนง.ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ และกรมโรงงานอุตสาหกรรม โดยกระทรวงอุตสาหกรรมได้ดําเนินการขนย้ายกลับไปสู่จังหวัดตากตั้งแต่วันที่ 29 เมษายน 2567 จนครบ 100% เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2567 ซึ่งขณะนี้กากตะกอนแคดเมียมอยู่ที่โรงพักคอยทั้งหมด 12,912 ตัน เป็นตัวเลขที่ชั่งน้ำหนักที่ปลายทางที่จังหวัดตาก 

อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบก่อนหน้านี้ พบว่า ได้มีการแจ้งขนย้ายจริงคือขออนุญาต 15,000 ตัน แต่มีการแจ้งเข้าไปในระบบอิเล็กทรอนิกส์ 13,800 ตัน แต่จากการตรวจโดยการคํานวณปริมาตรคร่าว ๆ จะอยู่ที่ 12,948 ตัน และเมื่อขนกลับไปแล้วชั่งน้ำหนักจริงก็จะเหลือ 12,912 ตัน

ส่วนขั้นตอนฝังกลบนั้น หลังจากนี้จะต้องทำการตรวจสอบบ่อฝังกลบที่ 4 และ 5 ก่อนว่ามีความพร้อมหรือไม่ ซึ่งจากข้อมูลพบว่าบ่อที่ 4 ตอนที่ขนออกมานั้น มีกากแคดเมียมเหลืออยู่ครึ่งบ่อ ดังนั้น ขั้นตอนต่อไปต้องดําเนินการตรวจสอบการรั่วซึมหรือไม่ โดยทางกรมทรัพยากรเหมืองแร่ฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะเข้าไปดำเนินการในวันที่ 5 สิงหาคมนี้ 

เนื่องจากที่ผ่านมาค่าการตรวจสอบความรั่วซึมของกรมควบคุมมลพิษกับทางวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ค่ายังไม่ตรงกัน จึงต้องเข้าไปตรวจสอบโดยละเอียดอีกครั้ง และหากว่าตรวจสอบแล้วไม่พบการรั่วซึม ก็จะขนย้ายจากโรงพักคอยไปเก็บที่บ่อ 4 ให้เต็ม ส่วนบ่อที่ 5 ขณะนี้ได้ทำการซ่อมแซมไปแล้ว และในวันที่ 5 สิงหาคมที่จะถึงนี้ จะทําการตรวจสอบอีกครั้ง หากไม่มีการรั่วซึมก็จะดําเนินการขนย้ายจากโรงพักคอยนะครับ 12,912 ตัน ไปเก็บในบ่อที่ 5 ต่อไป

นายอัครเดช กล่าวย้ำว่า หลังจากนี้ คณะทํางานที่ท่านนายกรัฐมนตรี ได้แต่งตั้ง ซึ่งมีท่านปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธาน จะดําเนินการขนย้ายจากโรงพักคอยไปเก็บไว้ที่บ่อฝังกลบให้เสร็จภายใน 30 พฤศจิกายน 2567 ซึ่งก็จะทำให้ภารกิจเสร็จสิ้นสมบูรณ์ แต่ตอนนี้ขั้นตอนต่าง ๆ ยังไม่เสร็จ เพราะว่าต้องรอตรวจสอบบ่อกักเก็บกากแคดเมียมว่ามีความแข็งแรงไม่รั่วซึมก่อน จากนั้นจึงจะสามารถทำการขนย้ายจากโรงพักคอยไปที่บ่อฝังกลบต่อไป

“ตอนนี้ขอเรียนให้พี่น้องประชาชนทั้งที่สมุทรสาคร กรุงเทพมหานคร และชลบุรี ได้อุ่นใจว่ากากแคดเมียม ซึ่งเป็นสารอันตรายได้ถูกเคลื่อนย้ายออกจากพื้นที่แล้ว และที่สําคัญได้มีการส่งมอบพื้นที่คืนเรียบร้อยแล้ว โดยพื้นที่กรุงเทพมหานคร ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคือกรมควบคุมมลพิษได้เข้าไปตรวจสอบ พบว่า ไม่มีสารตกค้างแล้ว 100% ส่วนที่ชลบุรีก็ได้มีการเข้าไปดูดฝุ่นและก็ไม่พบสารตกค้างเช่นกัน รวมถึงอีก 2 บริษัท ที่เป็นข่าวก่อนหน้านี้ ก็ได้ตรวจสอบสารตกค้าง และตอนนี้สามารถส่งพื้นที่ได้เรียบร้อย ดังนั้น ขอให้พี่น้องประชาชนใน 3 จังหวัด ทั้ง 5 พื้นที่ อุ่นใจได้ ส่วนที่โรงพักคอยจังหวัดตากจะลงบ่อฝังกลบเมื่อไหร่ จะแล้วเสร็จทันกําหนดวันที่ 30 พฤศจิกายน หรือไม่ ทางคณะกรรมาธิการฯ ได้หารือร่วมกับทางกระทรวงอุตสาหกรรม และจะติดตามการทํางานของเจ้าหน้าที่ภาครัฐต่อไป ส่วนเรื่องของการดําเนินคดีนั้น ก็ยังมีการติดตามอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในสัปดาห์หน้าก็จะเชิญหน่วยงานมาชี้แจง และจะรายงานความคืบหน้าให้ได้ทราบต่อไป” นายอัครเดช กล่าว

เบื้องลึก!! 'บิ๊กน้อย' พลเรือเอก อาภากร อยู่คงแก้ว คีย์แมนสำคัญ พา '13 หมูป่า' กลับสู่อ้อมอกชาวไทย

ผ่านพ้นมา 6 ปี (2561) กับเหตุการณ์ที่หลายคนยังคงจำกันได้ดี กับภารกิจช่วยเหลือ 13 หมูป่า ที่คนไทยทั้งประเทศนั้นต่างเอาใจช่วยกับเหตุการณ์นี้ ที่ถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน จังหวัดเชียงราย 

แน่นอนว่า ภารกิจในครั้งนี้ลุล่วงได้จากความร่วมมือร่วมใจจากหลายฝ่าย แต่มีอยู่อีกหนึ่งคนที่หลาย ๆคนยกย่องให้เป็นอีกหนึ่งฮีโร่สําคัญ ซึ่งเป็นบุคลากรแห่งกองทัพเรือที่เข้าไปช่วยเหลือเหตุการณ์ในวันนั้น 

พลเรือเอก อาภากร อยู่คงแก้ว หรือ 'บิ๊กน้อย' ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพเรือ อดีตผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 3  

เกี่ยวกับเรื่องนี้ พลเรือเอก อาภากร เล่าว่า จากวันนั้นถึงวันนี้ ตนยังจําเหตุการณ์นั้นได้จําได้ดี เพราะว่าเป็นเหตุการณ์ที่สําคัญ และไม่ได้สําคัญกับแค่ประเทศไทย แต่ว่าสําคัญทั้งโลกจริง ๆ กับปฏิบัติการดังกล่าว

"ย้อนไปเมื่อวันที่ 8 ก.ค. ของเมื่อ 6 ปีที่แล้ว เป็นช่วงเวลาแห่งการลุ้นระทึก เพราะว่าเป็นช่วงที่มีการช่วยเหลือคนแรกออกมา ซึ่งใจจดใจจ่อว่าเขาจะรอดชีวิตหรือไม่ และเมื่อนักดำน้ำชาวอังกฤษได้นำตัวเด็กคนแรกแบบปลอดภัยไปยังเนินนมสาว โถงสาม ก็ทำให้เกิดเป็นช่วงเวลาที่ทุกคนมีความสุข" พลเรือเอก อาภากร กล่าวพร้อมทั้งเล่ารายละเอียดในช่วงเวลานั้น ว่า...

สำหรับปฏิบัติการช่วย 13 หมูป่านั้น เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 23 มิถุนา ของ 6 ปีที่แล้ว หลังเกิดเหตุเด็กติดอยู่ในถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน ซึ่งเขาก็เข้าไปก็ตามประสาเด็ก ๆ เพียงแต่ว่าช่วงเวลานั้น อาจจะฤดูกาลมันไม่ค่อยถูกต้องเท่าไหร่ ประกอบกับว่าฝนตกเร็วในช่วงนั้น

เมื่อทราบเรื่อง ทางจังหวัด ก็มีพยายามเข้าไปช่วยกู้ ภัยของทางจังหวัดเข้าไปช่วยทันที เพียงแต่จุดเกิดเหตุเป็นจุดเสี่ยงก็คือว่า ในช่องระหว่างที่ใกล้จุด 3 แยก ถ้านึกภาพได้จะมี 3 แยก หากเข้าไปในถ้ำ โดยจากปากถ้ำไปประมาณสองกิโลมันจะมีเป็นทางแยกนะครับ ซึ่งบริเวณนั้นจะต้องมุดลง คือตอนเด็กเดินเข้าไป เด็กก็จะมุดแล้วก็เดินไปต่อ ซึ่งช่องนั้นเป็นช่วงที่น้ำเต็ม แล้วก็มีทรายมาปิดอยู่

ดังนั้นในการที่จะเข้าไปช่วยเหลือนั้นจะมีความเสี่ยงสูงมาก ซึ่งทางผู้ว่าฯ หมูป่า (ณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร) ก็บอกว่า หากสถานการณ์เป็นแบบนี้ ก็ต้องให้หน่วยที่มามีความเชี่ยวชาญในการดําน้ำไปปฏิบัติ และ ผว.ท่านก็เลยได้ปรึกษากับทาง ผอ. หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลําน้ำโขงที่เชียงราย และทางเขตเชียงราย ก็แจ้งไปที่ ผบ.หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขงที่เขตนครพนม และก็มีการขอชุดจากกองทัพเรือ ซึ่งก็คือ 'หน่วยซีล' (หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ) มาจะช่วยปฏิบัติ โดยขณะนั้น ผมเป็น ผบ.หน่วยซีล อยู่

ตอนนั้น ผมได้รับคําสั่งจากผู้บัญชาการกองเรือยุทธการในขณะนั้นคือ พลเรือเอกรังสฤษดิ์ สัตยานุกูล ซึ่งท่านก็ได้โทรศัพท์มาหาผมให้รีบจัดทีมไปช่วยเหลือ

วันที่ 23 ทราบข่าว วันอาทิตย์วันที่ 24 ก็จัดทีมกันไปด่วนเลย โดยทางกองทัพเรือก็ได้เตรียมเครื่องบินให้ โดยออกจากอู่ตะเภาเที่ยงครึ่งของคืนวันที่ 24 ไปถึงจุดหมายประมาณตีสองกว่า ๆ ภายใต้กำลังพล 17 นาย (หน่วยซีลมีการประจำการทุกเหตุการณ์ด่วนตลอด 24 ชม.)

หน้างานในวันแรก มีนาวาเอก อนันท์ สุราวรรณ์ เป็นผู้นำกำลังไปถึง และก็เริ่มเข้าไปในถ้ำเพื่อไปช่วยเด็กทันที เพราะมันต้องทํางานแข่งกับเวลา แต่ว่าก็เจอความยากลําบากเยอะ เพราะผมได้รับรายงานว่าพอไปถึงสามแยกแล้ว การที่จะมุดช่องที่ผมกล่าวไปก่อนหน้านั้นมันยากลําบากพอสมควร และเมื่อผ่านไปได้แล้ว ก็ยังต้องดําน้ำต่อ โดยไม่มีรายละเอียดว่าจะต้องดําน้ำไปไกลเท่าไร มืดแปดด้านมาก ๆ 

นอกจากนี้ ยังต้องคิดเผื่อไว้ด้วยว่า ตัวเด็ก ๆ ไปถึงตรงไหนแล้วบ้าง และถ้าหากเราดําน้ำเข้าไปมันจะสุดที่จุดไหนและเมื่อไร กอปรกับอุปกรณ์ดําน้ำของเราเนี่ยก็คือเราใช้ขวดอากาศขวดเดียว ซึ่งมีข้อจำกัดในการใช้งานได้แค่ประมาณครึ่งชั่วโมงเท่านั้น และยิ่งต้องทำงานในภาวะที่ใช้กําลังเยอะด้วย เวลาของอากาศก็จะยิ่งลดน้อยลงไปอีก และอย่าลืมว่า แต่ละคนที่ดําน้ำลงไป ก็ต้องเผื่อเวลากลับมาด้วย

"พอสถานการณ์มีความยากเช่นนั้น ผมเองจึงต้องไปดูด้วยตาตัวเอง เพราะว่าอยู่สัตหีบจะมองภาพไม่ออกได้แค่รับรายงาน ก็เลยต้องไปด้วยตัวเองเมื่อวันที่ 26 ช่วงบ่าย" พลเรือเอก อาภากร กล่าว

ตรงนี้สำคัญมาก โดยพลเรือเอก อาภากร เผยว่า การที่เราจะตัดสินใจสั่งการอะไรไป ถ้าเราไม่เห็นสภาพความเป็นจริง เราอาจจะสั่งผิดได้ เพราะฉะนั้นผมต้องไปเห็นก่อน จึงจะมาประมวลว่า เราควรจะต้องแก้ปัญหาอย่างไร ซึ่งผมเองก็ได้เข้าไปจากปากถ้ำ ใช้เวลาประมาณสัก 45 นาที จะได้ระยะประมาณหนึ่งกิโล ก็จะเห็นได้ว่าสภาพของถ้ำบางช่วงเดินได้สะดวก บางช่วงต้องไต่ไปตามโขดหิน บางช่วงเป็นรูแคบ ๆ แล้วก็ต้องไต่ลงไปข้างล่าง

ขณะที่ บางช่วงของถ้ำตรงด้านผนังด้านบนจะเป็นเหมือนโคลน ก็ประเมินได้ว่า ก่อนหน้านี้ช่วงดังกล่าวเคยมีน้ำเต็มถ้ำ แต่บางช่วงถ้าไม่มีโคลน เราก็จะประเมินได้ว่าตรงจุดนี้น้ำไม่เต็ม อย่างกรณีโถงสามซึ่งเป็นโถงที่ใหญ่ ผนังด้านบนไม่มีโคลน และก็เป็นห้องที่ใหญ่พอสมควร และนั่นก็ทําให้ผลสามารถตัดสินใจได้ว่า จะใช้โถงสามเป็นฐานปฏิบัติการส่วนหน้า ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ถือเป็นการเก็บข้อมูลและวิเคราะห์เพื่อนำไปสู่การตัดสินใจ เป็นต้น

พลเรือเอก อาภากร เล่าต่อว่า ผมเข้าไปตอนหนึ่งทุ่ม ออกมาอีกทีตอน 10 โมงเช้า ซึ่งในช่วงเวลานั้นก็ต้องทำหลายเรื่องไปพร้อม ๆ กัน แต่ที่สัมผัสได้อย่างชัดเจน คือ ความยากลำบากในการทำงาน และที่ต้องออกมาก่อน ก็เพราะน้ำขึ้นเยอะ จนทั้งหมดต้องถอยออกมา 

ต้องบอกแบบนี้ ว่า ตอนที่เราเข้าไปถึงโถงสามนั้น ก็เป็นระยะทางร่วม 2 กิโลเมตร แต่พอน้ำขึ้น เราก็ต้องถอยออกมาจนถึงปากน้ำ ซึ่งก็คือ เหมือนกลับมาจุดเริ่มต้น คำถาม คือ แล้วทางหน่วยของเราจะทําอย่างไรถึงจะเข้าไปช่วยเด็ก ๆ ได้ แล้วตอนที่เราถอยออกมานั้น ยังต้องประเมินอีกว่าน้อง ๆ ไม่กินข้าวทุกวันจะเป็นอย่างไรบ้าง? สภาพร่างกายเป็นอย่างไรแล้ว? น้อง ๆ จะอยู่ตรงไหน? แล้วที่สำคัญยังมีชีวิตอยู่หรือจมน้ำที่ท่วมเข้ามาหรือเปล่า? มันมีหลากหลายเรื่องให้ต้องคิดพิจารณา

แน่นอนว่า ไม่เพียงการประเมินผู้ประสบภัยเท่านั้น แต่เมื่อเห็นสถานการณ์จริงแล้ว ก็จำเป็นต้องประเมินความเสี่ยงของเจ้าหน้าที่อีกด้วย 

แต่ถึงกระนั้น พลเรือเอกอาภากร ก็มองว่า เมื่อตนเป็นหน่วยที่ได้รับคําสั่งแล้ว ก็จะต้องปฏิบัติภารกิจไปให้สุดทาง จะไม่ล่าถอยหรือว่าล้มเลิกภารกิจ ต้องไปหาน้อง ๆ ให้เจอ ไม่ว่าจะมีชีวิตอยู่หรือเสียชีวิตก็ตาม

2 กรกฎาคม เป็นระยะเวลาที่ล่วงเลยไปกว่า 10 วันของ 13 หมูป่า แต่ถือเป็นเรื่องที่เซอร์ไพรส์อย่างมาก เพราะเป็นช่วงเวลาที่เจ้าหน้าที่ได้เข้าถึงตัวเด็ก ซึ่งตอนนั้น พลเรือเอก อาภากร ก็กังวลว่า การที่เด็กไม่ได้ทานอาหารหลายวัน จะอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่อิดโรย แต่โชคดี คือ ยังได้เห็นว่า เด็ก ๆ ยังตื่นตัว ถ้าใครเห็นภาพวันนั้น จะพบว่า เด็กวิ่งออกมาได้จากจุดที่พักในถ้ำ แล้วเมื่อนักดำน้ำสอบถามพวกเขา เขาก็สามารถโต้ตอบได้ดี เพียงแต่จะมีลักษณะของการอิดโรย ซึ่งก็ดีกว่าที่เราคาดไว้มาก ๆ

เมื่อได้เจอ 13 หมูป่า แล้ว ทีนี้ก็ถือเป็นช่วงเวลาสุดระทึก เพราะจะเป็นขั้นตอนของการนำตัวเด็ก ๆ ออกมา ซึ่งต้องบอกว่า ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเขาไม่ได้แข็งแรงเหมือนเรา และเขาก็ไม่ใช่นักดำน้ำ เบื้องต้นหลังนักดำน้ำอังกฤษเจอตัว เราก็เตรียมการและส่งทีมไปพร้อมอาหารทันที แล้วก็ฟังสถานการณ์จากทีมดำน้ำที่เข้าไปว่า ข้างในเป็นอย่างไร เพื่อนำมาประเมินเป็นแนวทางในการช่วยเหลือ

"เราพยายามคิดหลาย ๆ วิธี ทั้งในเรื่องที่จะให้เด็ก ๆ ดําน้ำออกมาเนี่ย ก็ถือว่าเป็นวิธีที่เสี่ยงที่สุด เพราะว่าถ้าเด็กเกิดแพนิคหรือตื่นตระหนก ก็จะเป็นอันตรายอย่างมาก และก็จะเป็นอันตรายต่อผู้เข้าไปช่วยเหลือด้วยเช่นกัน" พลเรือเอก อาภากร เสริม

ทว่า สถานการณ์ที่ดูเหมือนจะราบรื่น กลับเกิดคลื่นความเสี่ยงใหม่ โดย พลเรือเอก อาภากร เล่าว่า จังหวะที่จะเข้าสู่การพาเด็กออกมานั้น ก็เกิดกรณีอากาศภายในถ้ำลดลง เหตุจากเมื่อมีน้ำมาปิดรอบ ๆ จุดที่เรียกว่า โถง 9 นั้น ผนวกกับการหายใจที่ทำให้คาร์บอนไดฯ เพิ่มขึ้นนั้น ส่งผลให้ปริมาณออกซิเจนภายโถง 9 ลดลง เหลือแค่ประมาณ 15% ซึ่งน้อยมาก และจาก 15 ก็ค่อย ๆ ลดลงเหลือ 12 ซึ่งกลายเป็นเรื่องน่าห่วงอย่างมาก

"แน่นอนว่า สถานการณ์แบบนี้ เจ้าหน้าที่ทุกคนที่ไปอยู่ตรงนั้น จะเลือกดำน้ำออกมาเลยก็ได้ แต่นั่นคือ การทิ้งเด็ก ซึ่งเราทำไม่ได้ ก็เครียดกันพอสมควร แต่พยายามหาวิธีต่าง ๆ ที่จะพยุงสถานการณ์ เช่น เอาออกซิเจนไปเติมในโถงที่น้อง ๆ อยู่ ซึ่งก็ไม่ง่ายแต่ก็ต้องทำ...

"ขณะเดียวกัน ช่วงนั้นก็เกิดเหตุสลด เมื่อเราต้องสูญเสีย 'จ่าแซม' ไปในขณะปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งตอนนั้น ผมก็ต้องปลุกขวัญกําลังใจพี่น้องเรา และต้องออกไปแถลงข่าวยืนยันกับประชาชนทั่วไป รวมทั้งทั่วโลกด้วยว่า การเสียชีวิตของจ่าแซมเนี่ยจะไม่มีวันสูญเปล่า"

สำหรับวิธีการนำตัวเด็กออกมานั้น พลเรือเอก อาภากร เล่าว่า ต้องใช้วิธีการให้เด็กไม่แพนิค ก็คือ จะต้องให้เด็กหลับ และสวมอุปกรณ์ที่เรียกว่า Full Face Mask ซึ่งเป็นหน้ากากแบบใส่เต็มหน้า แล้วก็ปล่อยอากาศให้เด็กหายใจ

วันที่ 8 ก.ค.ของเมื่อ 6 ปีที่แล้ว 13 หมูป่าคนแรก ก็ออกมาอย่างปลอดภัย จนถึงวันที่ 10 ก.ค.ทุกคนรอดชีวิตกันทั้งหมด ภารกิจจบสมบูรณ์ เหลือไว้ซึ่งความอาลัยในผู้กล้าอย่าง 'จ่าแซม' 

สำหรับภารกิจในการช่วยชีวิต 13 หมูป่า ถือเป็นอีกหนึ่งภารกิจระดับโลก ที่แม้ว่าในเบื้องต้นหลายคนจะมองว่า 'เป็นไปไม่ได้' แต่สุดท้ายด้วยความร่วมมือของทุกภาคส่วน และการตัดสินใจของผู้นำภารกิจที่รอบคอบ ทำให้เหตุการณ์ในครั้งนี้จบลงด้วยคำว่า 'เป็นไปได้' ไปในที่สุด...

ศึกช่วงชิง 10 ที่นั่งเฟ้นหาตัวแทนภาคสุดท้าย เข้ารอบชิงชนะเลิศฯ คว้าถ้วยพระราชทานฯ บนเวทีการแข่งขัน Cabling Contest ปีที่ 12 ตอกย้ำความเชี่ยวชาญ สู่ความสำเร็จเป็นเยาวชนสุดยอดทักษะด้านสายสัญญาณของประเทศ

วันนี้ (31 ก.ค. 67) ผลการแข่งขัน Cabling Contest ปีที่ 12 รอบคัดเลือกภาคสุดท้ายกับ 10เยาวชนคนเก่ง เข้าไปชิงชัยเป็นที่ 1 ของประเทศ บนเวทีสุดยิ่งใหญ่แห่งปี ค้นหาผู้ที่มีทักษะด้านสายสัญญาณ ชิงถ้วยพระราชทานฯ จากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และถ้วยรางวัลเกียรติยศ และเงินรางวัลมูลค่ารวมกว่า 400,000 บาท โดย บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ฯ ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน ผลักดัน ตอกย้ำ และต่อยอดผู้ที่มีทักษะเฉพาะด้าน ก้าวสู่ความสำเร็จในอนาคตอย่างไร้ขีดจำกัด จากความตั้งมั่นที่ “จะนำเทคโนโลยีมาพัฒนาประเทศไทย” จึงเปิดโอกาสให้เยาวชนผู้ที่มีความสามารถจากทั่วทุกสถาบันทั่วประเทศ พร้อมกับความตั้งใจที่นำความเชี่ยวชาญอันโดดเด่นจากสินค้า และอุปกรณ์ LINK AMERICAN & GERMAN RACK ต่อยอดสู่การแข่งขัน เพื่อสร้างเสริม พัฒนาศักยภาพ และยกระดับคุณภาพทางการศึกษา นำความรู้ไปพัฒนาระบบที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีทางด้านสายสัญญาณแห่งยุค (Digital Infrastructure) และนำไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเอง และสังคม สร้างอาชีพที่เติบโตในอนาคต ก้าวไปสู่ความสำเร็จได้ทัดเทียมเท่านานาชาติอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

🔴สนับสนุนโดย LINK AMERICAN & GERMAN RACK EVERYWHERE

รองผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นผู้แทนผู้บัญชาการทหารเรือ ร่วมงานเลี้ยงรับรองครบรอบ 97 ปี วันกองทัพปลดปล่อยสาธารณรัฐประชาชนจีน

เมื่อวานนี้ (30 ก.ค.67) พล.ร.อ.สุวิน แจ้งยอดสุข รองผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นผู้แทนผู้บัญชาการทหารเรือ พร้อมด้วยคณะผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกองทัพเรือ ร่วมงานเลี้ยงรับรองเนื่องในวันกองทัพปลดปล่อยสาธารณรัฐประชาชนจีน ตามคำเชิญของสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย โดยมี พล.ร.ต.Wang Zheng ผู้ช่วยทูตทหารสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำกรุงเทพมหานคร เป็นเจ้าภาพ ณ ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมแชงกรี-ลา กรุงเทพมหานคร

ไทยและจีน สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน เมื่อ 1 ก.ค.2518 ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศมีความใกล้ชิด มีการแลกเปลี่ยนการเยือนในทุกระดับอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีที่ได้เสด็จฯ เยือนจีนมากกว่า 40 ครั้งในทุกมณฑล

ทั้งนี้ความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพเรือไทย และกองทัพเรือจีนเป็นไปอย่างใกล้ชิด ที่สำคัญดังนี้
- การแลกเปลี่ยนการเยือนของเรือรบ ระหว่างกองทัพเรือ 2 ประเทศ อย่างสม่ำเสมอ
- การศึกษา 
กระทรวงกลาโหมจีนสนับสนุนที่นั่งในการศึกษาให้กองทัพเรือไทย เช่น หลักสูตรวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร , วิทยาลัยการทัพเรือ , โรงเรียนเสนาธิการทหารเรือ และที่นั่งในการศึกษาที่โรงเรียนนายเรือต้าเหลียนแก่นักเรียนนายเรือ ทั้งนี้กองทัพเรือไทยสนับสนุนที่นั่งการศึกษาหลักสูตรโรงเรียนเสนาธิการทหารเรือให้กับกำลังพลของกองทัพเรือจีน

- การประชุม มีการจัดการประชุม Navy To Navy Talks ระหว่างกองทัพเรือไทยและกองทัพเรือจีน ครั้งที่ 1 ระหว่าง 18 - 22 ก.ย.66 ณ เมืองพัทยา จ.ชลบุรี
- การฝึกผสม Blue Strike เป็นการฝึกในลักษณะทวิภาคี ระหว่างกองทัพเรือไทยและกองทัพเรือจีน
- การฝึกผสม ASEAN – CHINA Maritime Exercise 2019 (ACMEX 2019) ระหว่างกองทัพเรืออาเซียนกับกองทัพเรือจีน
- การจัดหายุทโธปกรณ์ กองทัพเรือมีการจัดหายุทโธปกรณ์และการปรับปรุงขีดความสามารถของเรือฟริเกตจากจีน รวมถึงการจัดหาอาวุธ และระบบอาวุธ เป็นต้น

จากความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกันมาอย่างยาวนานส่งผลให้กองทัพเรือไทยและกองทัพเรือจีนมีความร่วมมือที่ดีในหลายมิติด้านความมั่นคงทางทะเล เป็นไปตามนโยบายยุทธศาสตร์ของกองทัพเรือในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อมิตรประเทศ การมีบทบาทนำด้านความร่วมมือที่ส่งเสริมความมั่นคงในภูมิภาคให้สูงขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม

IWRM ลงนามขายน้ำให้นิคม TFD รองรับกลุ่มอุตสาหกรรม PCB มูลค่ากว่า 1,500 ล้านบาท

PCB พร้อม...น้ำพร้อม!!  บริษัท เจซีเค อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (JCK) ผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรม TFD ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายน้ำเพื่ออุตสาหกรรม กับ บริษัท อินดัสเตรียล วอเตอร์ รีซอร์ส แมนเนจเม้นท์ จำกัด (IWRM) ผู้ให้บริการน้ำแก่นิคมอุตสาหกรรม TFD 2 และส่วนขยาย เพื่อเสริมสร้างเสถียรภาพทางด้านน้ำ และสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ใช้น้ำของนิคมฯ ในระยะยาว

นายธนวัฒน์ สันตินรนนท์ กรรมการ IWRM เปิดเผยว่า การลงนามในสัญญาซื้อขายน้ำเพื่ออุตสาหกรรมครั้งนี้ เพื่อรองรับความต้องการใช้น้ำของกลุ่มอุตสาหกรรม PCB ในพื้นที่นิคมTFD 2 และส่วนขยาย ปริมาณสูงสุด 20,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน หรือประมาณ 7.3 ล้าน ลูกบาศก์เมตรต่อปี  โดยมีระยเวลาของสัญญา 25 ปี มูลค่ากว่า 1,500 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถเริ่มส่งน้ำให้แก่นิคมฯ ภายในไตรมาสแรกของปี 2568

นิคมอุตสาหกรรม TFD 2 มีเนื้อที่กว่า 1,000 ไร่ ปัจจุบันพื้นที่ได้รับการจัดสรรหมดเป็นที่เรียบร้อย และมีแผนจะขยายพื้นที่เพิ่มเติมอีกไม่น้อยกว่า 800 ไร่ โดยลูกค้าส่วนใหญ่ของนิคมฯ เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมในอนาคต (New S-curve) ซึ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ได้รับการส่งเสริมจากสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี)  

แฉต่อ!! ‘ศูนย์กีฬาอ่อนนุช’ ซื้อเครื่องออกกำลังกาย 21 รายการ งบ 15 ลบ. แถมซื้อเสร็จก็ไม่มีที่ไว้ ต้องจับมายัดใส่ในตู้คอนเทนเนอร์เล็กๆ

(1 ส.ค. 67) จากเพจ 'ชมรมSTRONGต้านทุจริตประเทศไทย' ได้เปิดเผยว่า...

ศูนย์กีฬาอ่อนนุช จัดซื้อเครื่องออกกำลังกาย 21 รายการ งบ 15,696,600 บาท...

ซื้อเสร็จก็ไม่มีที่ไว้ มายัดไว้ในตู้คอนเทนเนอร์เล็ก ๆ แบบนี้แหละครับท่านผู้ชม…

รายละเอียดแต่ละเครื่องก็อย่างที่เราเคยนำเสนอไปแล้ว ลู่วิ่ง 7.5 แสน ฯลฯ 

ติดตามกันต่อไป..

#สร้างสังคมไม่ทนต่อการทุจริต 
#ศูนย์ปฏิบัติการSTRONGประเทศไทย
#กองการกีฬา #สำนักวัฒนธรรม #กีฬา และ #การท่องเที่ยว #กรุงเทพมหานคร


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top