Thursday, 19 June 2025
NewsFeed

พัดลมพกพา 'JISULIFE' ดูให้ดีก่อนซื้อ ! ขนาดของปลอมยังได้ความนิยมขายได้ 800 ล้านบาท จะได้ของดีไม่ผิดหวัง!

ในสภาวะที่อากาศของไทยที่ร้อนมาก สูงสุดกว่า 45 องศาเซลเซียส และกรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่าบางพื้นที่อาจอุณหภูมิสูงสุดอาจเกิน 50 องศาเซลเซียส ผู้บริโภคจึงพากันมองหาผลิตภัณฑ์เพื่อคลายร้อน และเมื่อไม่นานมานี้ พัดลมพกพา JISULIFE มียอดขายพุ่งสูงบนแพลตฟอร์มออนไลน์ อาทิ Shopee และ Lazada ในประเทศไทย กลายเป็นหนึ่งในสินค้าที่ขายดีที่สุดในช่วงฤดูร้อนนี้ อย่างไรก็ตาม นี่ก็เป็นโอกาสให้มิจฉาชีพแฝงตัวเข้ามาเช่นกัน ตามสถิติทั่วโลกมีของปลอมขายได้ถึง 800 ล้านบาท

ระวังสินค้าปลอม:
เนื่องจากพัดลมพกพา JISULIFE มีความต้องการในตลาดสูง ทำให้มีสินค้าปลอมออกมามากมาย สินค้าปลอมเหล่านี้มักมีราคาถูก ภาพโฆษณาไม่ตรงกับสินค้าที่ขายจริง และใช้โลโก้แบรนด์โดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งเป็นการหลอกลวงผู้บริโภคอย่างร้ายแรง ผู้บริโภคควรระมัดระวังในการซื้อสินค้าจากร้านค้าที่เชื่อถือได้เพื่อความมั่นใจที่จะได้รับของแท้ที่มีคุณภาพ สินค้าปลอมที่ไม่มีคุณภาพอาจมีความเสี่ยงในการระเบิดของแบตเตอรี่หรือใบพัดหลุดออกมา ซึ่งอาจนำไปสู่ความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินอย่างร้ายแรง

ความอันตรายและตัวอย่างของสินค้าปลอม:
ปัจจุบันมีพัดลม JISULIFE ปลอมมากกว่า 1.1 ล้านเครื่อง ถูกขายออกไปแล้ว ทำให้ผู้บริโภคและแบรนด์สูญเสียมากกว่า 830 ล้านบาท ความอันตรายของสินค้าปลอมไม่ได้จำกัดแค่ความเสียหายทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังเป็นภัยต่อสุขภาพและความปลอดภัยของผู้บริโภคอีกด้วย

ล่าสุดมีผู้เสียหายร้องเรียนเข้ามา ว่าได้สั่งซื้อพัดลม JISULIFE HANDHELD FAN PRO 1S ผ่าน Shopee หลังจากได้รับสินค้าจึงพบว่าพัดลมไม่ตรงกับรูปภาพที่แสดงในร้านค้า เมื่อเทียบกับของแท้พบว่าพัดลมปลอมมีประสิทธิภาพลมและเวลาใช้งานต่ำกว่าของแท้มาก ที่น่ากังวลยิ่งกว่านั้นคือพัดลมปลอมใช้วัสดุคุณภาพต่ำและเสียหายภายในไม่ถึงสองสัปดาห์

อีกทั้งแบตเตอรี่และมอเตอร์ของพัดลมปลอมมีคุณภาพไม่เท่ากัน ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อความปลอดภัยอย่างมาก เคยมีเหตุการณ์ผู้บริโภคที่ใช้พัดลมปลอมประสบปัญหาแบตเตอรี่ร้อนเกินไปจนพัดลมไฟไหม้ โชคดีที่พบเห็นทันเวลาก่อนจะเกิดเหตุร้าย นอกจากนี้ใบพัดของพัดลมปลอมอาจหลุดออกมาในขณะใช้งาน ทำให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้และคนรอบข้าง ความเสี่ยงเหล่านี้ทำให้สินค้าปลอมไม่เพียงแต่ทำให้ผู้บริโภคสูญเสียเงิน แต่ยังอาจเป็นภัยต่อชีวิตและความปลอดภัยของพวกเขาด้วย

เพื่อแก้ไขปัญหานี้ เราได้ติดต่อกับทีมงานของ JISULIFE เพื่อสอบถามเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลังพัดลมรุ่น Handheld Fan Pro 1S ซึ่งเป็นสินค้าขายดี คำตอบที่ได้น่าทึ่งมาก ไม่คิดว่าพัดลมขนาดเล็กนี้จะมีเทคโนโลยีมากมายที่ซ่อนอยู่ในตัว เช่น เทคโนโลยี Air-Turbo ที่สามารถดูดอากาศเข้ามาได้จำนวนมากและเร่งความเร็วในช่องอากาศเพื่อพัดลมให้แรงลมมากขึ้น โดยเทคโนโลยีมอเตอร์ประหยัดพลังงานความเร็วสูงที่ไม่เพียงแต่ให้ความเร็วรอบสูงถึง 9 เมตรต่อวินาที แต่ยังช่วยลดการใช้พลังงานเมื่อทำงานที่ความเร็วสูง ทำให้ใช้งานได้นานถึง 18.5 ชั่วโมง/ต่อครั้ง การชาร์จเร็วผ่านพอร์ต Type-C และหน้าจอแสดงผล LED ที่แสดงความเร็วลมและปริมาณแบตเตอรี่ ทำให้ผู้ใช้สามารถรับรู้สถานะได้ตลอดเวลา และชาร์จไฟได้เต็มในเวลาเพียง 2 ชั่วโมง สินค้าทุกชิ้นของ JISULIFE ผ่านการออกแบบและการทดสอบการผลิตอย่างเข้มงวด มีมาตรฐาน เพื่อให้มั่นใจในผลประโยชน์ของผู้บริโภค นอกจากนี้ JISULIFE ยังมีบริการหลังการขายที่ครบวงจรเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาให้กับผู้ใช้

ดังนั้น อยากจะขอเตือนผู้บริโภคให้ระมัดระวังเป็นพิเศษเมื่อเลือกซื้อพัดลมพกพา JISULIFE เนื่องจากสินค้าปลอมมักขาดการรับรองความปลอดภัยที่เกี่ยวข้อง ในด้านความปลอดภัยของแบตเตอรี่และมอเตอร์ ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดไฟไหม้หรือการระเบิดของมอเตอร์และแบตเตอรี่ รวมถึงใบพัดที่อาจหลุดออกมาในขณะทำงานที่มีความเร็วสูง ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าสินค้าที่คุณซื้อนั้นไม่ใช่ของปลอม! 

ผู้ขายสินค้าปลอมเหล่านั้นไม่สนใจประโยชน์ของผู้บริโภค ซึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341 ถือเป็นการฉ้อโกง การฉ้อโกงอาจถูกลงโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากการกระทำเข้าข่ายความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 343 อาจถูกลงโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ทั้งนี้หากต้องการสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ JISULIFE ของแท้สามารถสั่งจากช่องทางการได้ตามข้อมูลนี้
1.ร้านค้าออนไลน์ 
- แพลตฟอร์ม Tiktok ชื่อบัญชี : Jisulife.Thailand 
- แพลตฟอร์ม Shopee ชื่อร้านค้า :  JISULIFE Official Shop  ชื่อบัญชี  : jisulife.thแพลตฟอร์ม LAZADA ชื่อบัญชี : JISULIFE Flagship Store 

2.ร้านค้าออฟไลน์

- Life 
- Xiaomi 
- Betrend

‘ธนกร-รวมไทยสร้างชาติ’ จวก!! ‘ปิยบุตร’ พาลไปทั่ว ปม ‘ยุบก้าวไกล’ ลั่น!! หากไม่ได้ทำผิดกฎหมาย ใครหน้าไหนก็ทำอะไรไม่ได้

(31 ก.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ สส.แบบบัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ หลังจากที่นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ได้โพสต์ในเชิงตำหนินักวิชาการ นักวิเคราะห์ และโดยเฉพาะเหมือนเป็นการตำหนิสื่อมวลชน 

เรื่องนำเสนอแต่ข่าวดรามาไม่สนใจกกต. ยื่นศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคก้าวไกลทำถูกต้องหรือไม่ สะท้อนภาพไม่มีใครสนใจกฎหมาย และการยุบพรรคกลายเป็นเครื่องมือของ ‘นิติสงคราม’ ว่า การที่นายปิยบุตร จะชี้แจงลงรายละเอียดถึงข้อต่อสู้คดียุบพรรคก้าวไกล ที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัยในวันที่ 7 สิงหาคมนี้ ก็สามารถทำได้อย่างเต็มที่ ให้เป็นการต่อสู้คดีอย่างถึงที่สุดตามกระบวนการยุติธรรม

“แต่การออกมาตำหนินักวิชาการ นักวิเคราะห์ รวมถึงการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนนั้น ตนมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง เป็นเหมือนภาษิตไทยที่ว่า ‘ขี้แพ้ชวนตี’ หรือ พาลไปทั่ว ไม่เลือกหน้า ตนมั่นใจว่า พี่น้องสื่อมวลชนนั้น ต่างก็ทำหน้าที่นำเสนอข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น อย่างตรงไปตรงมา การสัมภาษณ์สส.ก้าวไกลถึงคดีนี้ ก็เพื่อไม่ให้เกิดการก้าวล่วงอำนาจศาลอย่างไม่สมควร เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว พรรคก้าวไกลต่างหาก ควรระวังการก้าวล่วงอำนาจศาล” นายธนกร กล่าว

เมื่อถามว่า ในช่วงที่ผ่านมาดูเหมือนแกนนำพรรคก้าวไกลพร้อมใจกันออกมา แสดงความเห็นในแนวต่อว่ากระบวนการ ไม่เป็นธรรมนั้น นายธนกร มองว่า การที่นายปิยบุตร รวมถึงแกนนำพรรคก้าวไกล ออกมาพูดแสดงความเห็นในเชิงลบต่อกระบวนการของกกต.และศาลรัฐธรรมนูญก่อนวันตัดสินนั้น ถือเป็นการก้าวล่วงศาลอย่างชัดเจนหรือไม่ 

ไม่เพียงเท่านั้น พรรคก้าวไกลยังนัดรวมพลแฟนคลับเตรียมจัดกิจกรรมต่าง ๆ ในวันที่ฟังผลตัดสินคดีด้วย จะให้สังคมคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้ จึงขอถามนายปิยบุตร ว่ามีเจตนาใดแอบแฝงเบื้องหลังหรือไม่ และขอให้หยุดดิสเครดิตกระบวนการยุติธรรม หากไม่ได้ทำผิดอาจจะรอดไม่ต้องถูกยุบพรรคก็เป็นได้ จึงไม่ควรตีโพยตีพาย ออกมาตีตนไปก่อนไข้แบบนี้

“ขอให้ตั้งสติและเลิกใช้คำว่า ‘นิติสงคราม’ เสียที เพราะไม่มีใครใช้กฎหมายเพื่อกลั่นแกล้งใครได้ ถ้าคุณไม่ได้ทำผิดกฎหมาย ใครหน้าไหนก็ทำอะไรคุณไม่ได้ ประเทศไทยเรายึดตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อยู่กันด้วยหลักการกฎหมาย ยืนบนความถูกต้อง ไม่ใช่ความถูกใจของคนบางกลุ่ม บางพรรค เรามีรัฐธรรมนูญฉบับเดียวกัน ขอให้พรรคก้าวไกลและนายปิยบุตร ยอมรับความจริงตรงนี้ด้วย” นายธนกร กล่าว

ศาลอาญายกคำร้อง ไม่อนุญาตให้ ’ทักษิณ’ เดินทางไปดูไบ หลังขอไปรักษาตัว ชี้มีแพทย์ในประเทศ ตรวจรักษาอยู่แล้ว

(31 ก.ค. 67) เมื่อไม่นานมานี้ ณ ศาลอาญาถนนรัชดาภิเษก นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จำเลยในคดีประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ได้ยื่นคำร้องขอเดินทางออกนอกราชอาณาจักร ศาลจึงมีคำสั่งให้นัดไต่สวนคำร้องในวันที่ 30 ก.ค. 2567 ที่ผ่านมาและมีคำสั่งในวันเดียวกัน

วันนัดฟังคำสั่งโจทก์ นายทักษิณ ผู้เป็นจำเลย และทนายได้เดินทางมาที่ศาล ภายหลังศาลได้ไต่สวนพยานแล้วมีคำสั่งในทางไต่สวนสรุปว่า จำเลยได้รับอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวระหว่างพิจารณาและห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักร 

แต่จำเลยมีความประสงค์เดินทางออกนอกราชอาณาจักร ไปพำนักอยู่ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ดูไบ) ระหว่างวันที่ 1-16 ส.ค.2567 เพื่อพบแพทย์ซึ่งเคยตรวจรักษาอาการป่วยของจำเลยเกี่ยวกับปอดอักเสบเรื้อรัง ระบบหายใจและหลอดเลือดหัวใจ เอ็นไหล่ขวาฉีกขาด และหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อน ในสถานพยาบาล ที่ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ในวันที่ 2 และ 8 ส.ค.2567 

โดยช่วงเวลาที่จำเลยพำนักอยู่ ณ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จำเลยยังมีนัดหมายกับบุคคลสำคัญหลายคน เกี่ยวด้วยภารกิจส่วนตัวของจำเลยหลายเรื่อง จำเลยจะเดินทางกลับเข้ามาในราชอาณาจักรก่อนวันนัดตรวจพยานหลักฐานซึ่งศาลนัดไว้ในวันที่ 19 ส.ค.2567

ศาลเห็นว่า แม้จำเลยอ้างตนเองเป็นพยานเบิกความยืนยันถึงความจำเป็นที่ต้องเดินทางออกนอกราชอาณาจักร โดยมีเอกสารหลักฐานจากแพทย์สนับสนุน และนัดพบบุคคลสำคัญหลายคน โดยช่วงเวลาที่จำเลยพำนักอยู่ ณ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เป็นช่วงเวลาก่อนกำหนดนัดตรวจพยานหลักฐานก็ตาม 

แต่อาการป่วยของจำเลยเป็นโรคที่เกิดแก่บุคคลทั่วไป และแพทย์ในประเทศไทยตรวจรักษาเป็นประจำอยู่แล้ว การเดินทางไปพบบุคคลสำคัญของจำเลยเป็นเรื่องส่วนตัวของจำเลยทั้งไม่มีพยานหลักฐานยืนยันชัดแจ้งถึงความจำเป็นดังกล่าว ประกอบกับช่วงระยะเวลาที่เดินทางใกล้กับวันนัดตรวจพยานหลักฐานในชั้นนี้ไม่สมควรอนุญาตให้จำเลยเดินทางออกนอกราชอาณาจักร ให้ยกคำร้อง

‘ดร.เจษฎา’ เฉลย!! ปมผวา ‘ปลานิลคางดำ’ ไม่มีจริง ชี้!! แค่ ‘ปลาหมอคางดำ’ ที่กินเยอะจนตัวใหญ่

(31 ก.ค. 67) รายงานข่าวระบุว่า รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก Jessada Denduangboripant ถึงประเด็นปลานิลกลายพันธุ์ หรือเป็นลูกผสมระหว่างปลานิลกับปลาหมอคางดำ เป็นปลานิลคางดำ โดยระบุว่า…

มันคือ ‘ปลาหมอคางดำที่อ้วน’ แค่นั้นแหละครับ…ไม่ใช่ปลานิลที่กลายพันธุ์

เช้าวันนี้มีพาดหัวข่าว กันหลายสำนักข่าวเลย ว่าเจอ ‘ปลานิลคางดำ’ ปลานิลกลายพันธุ์มาจากปลาหมอคางดำ หรือเป็นลูกผสมระหว่างปลานิลกับปลาหมอคางดำ!? 

ซึ่งผมว่า มันไม่ใช่ปลากลายพันธุ์หรือปลาลูกผสมอะไรหรอกครับ เพราะดูตามในรูป ในคลิปข่าวแล้ว ก็ปลาหมอคางดำนั่นแหละครับ... แค่มันกินจนอ้วนใหญ่ จนคนไม่คุ้นตากัน เพราะคิดว่ามันจะต้องผอมเรียวยาวเท่านั้น

จากข้อมูลของที่แอฟริกา ปลาหมอคางดำนั้น ถ้าเติบโตดี อาหารดี จะยาวเฉลี่ย 8 นิ้วนะครับ และสถิติตัวยาวสุดนี่ ถึงขนาด11 นิ้วเลยครับ (และเป็นปลาอาหารชนิดหนึ่ง ของคนในท้องถิ่นครับ)

การจำแนกความแตกต่างระหว่าง ‘ปลาหมอคางดำ’ ออกจาก ‘ปลาหมอเทศ’ และ ‘ปลานิล’ ให้ดูที่ลักษณะจำเพาะของมัน อย่าดูแต่ความอ้วนผอมครับ 

โดย ดร.ชวลิต วิทยานนท์ นักวิชาการอิสระ ด้านความหลากหลายของสัตว์น้ำ เคยโพสต์ข้อมูลไว้ว่า ปลาหมอคางดำ หรือ blackchin tilapia (หรือชื่อวิทยาศาสตร์ Sarotherodon melanotheron) จะมีลักษณะเด่นคือ ใต้คาง มักมีแต้มดำ หางเว้าเล็กน้อย และไม่มีลายใด ๆ 

ในขณะที่ ปลาหมอเทศ หรือ  Mozambique tilapia (ชื่อวิทยาศาสตร์ Oreochromis mossambicus) จะมีแก้ม ในตัวผู้มักมีแต้มขาว หางมน มีขอบแดงเสมอ 

ส่วนปลานิล หรือ Nile tilapia (ชื่อวิทยาศาสตร์ O. niloticus) จะมีแก้มและตัวสีคล้าย ๆ กัน หางมน และมีลายเส้นคล้ำขวางเสมอ

ซึ่งถ้าพิจารณาดูจากปลาต้องสงสัยในคลิปข่าวแล้ว ก็จะเห็นว่า ไม่ได้มีลักษณะ ‘ลายเส้นคล้ำขวาง (ตามลำตัว และหาง)’ แบบปลานิล ที่จะให้คิดว่าเป็นปลานิลกลายพันธุ์มาคล้ายปลาหมอคางดำ หรือเกิดลูกผสมกัน แต่มีรูปร่างหน้าตาสีสันไปทางเดียวกับปลาหมอคางดำตามปกติ เพียงแต่ตัวอ้วนกว่าเท่านั้นครับ!

ข้อสังเกตอีกอย่างคือ ปลานิลและปลาหมอเทศนั้น (สกุล Oreochromis) เป็นปลาคนละสกุล กับปลาหมอคางดำ (สกุล Sarotherodon) เลยครับ การที่อยู่ ๆ ในเวลาไม่กี่ปีนี้ มันจะกลายพันธุ์มาคล้ายกันได้นั้น ก็เป็นไปไม่ได้เลย 

ส่วนการเกิดลูกผสมข้ามสกุล ระหว่างปลานิลกับปลาหมอคางดำนั้น เคยโพสต์อธิบายอย่างละเอียดแล้ว ว่ามีการทดลองทำได้จริงในระดับงานวิจัย แต่ทำลูกผสม F1 สำเร็จได้ในปริมาณที่น้อยมาก ๆ และไม่มีรายงานว่าเกิดขึ้นในธรรมชาติครับ 

'เพจดัง' แชร์มุมมองสาวญี่ปุ่นอยู่ไทยมานานในอีกด้าน เผย!! ด้านดีเมืองไทยมีมาก แต่ก็ต้องระวังด้านมืดไว้ด้วย

(31 ก.ค.67) จากเพจ 'J-doradic' ได้โพสต์ข้อความของชาวญี่ปุ่นที่เผยผ่านแพลตฟอร์ม X โดยระบุว่า...

ในไทยไม่ได้มีแต่ด้านดีแต่อย่างเดียว หลังจากที่ตนแต่งงานอาศัยอยู่ที่ไทยนับสิบปี จึงสังเกตเห็นด้านมืดเหล่านี้ด้วย

หลังจากคุณซายากะ สาวลูกครึ่งญี่ปุ่น-อเมริกา เผยด้านดีของเมืองไทยหลายอย่าง จนทำให้เธอตัดสินใจย้ายมาอาศัยที่ประเทศไทยไปโพสต์ก่อนหน้า (https://www.facebook.com/share/p/u73HnqHo8JD55Hk9/?mibextid=oFDknk)

ก็มีชาวญี่ปุ่นใน X แอค Akbkk5 ซึ่งลงไบโอว่าแต่งงานกับสามีชาวไทย และ ทำงานที่ไทยมานับสิบปี พร้อมทั้ง ยังประกาศว่าตัวเองเป็นแฟนตัวยง Silly fools ยุคบังโตด้วย ออกมาให้ข้อมูลอีกมุมหนึ่ง ถึงด้านมืดของประเทศไทยดังนี้ 

**คำเตือน ใครโลกสวย ไม่แนะนำให้อ่านนะครับ

สิ่งที่คุณซายากะเขียน คือ ด้านดี ส่วนด้านมืด 

- ติดอันดับโลกในเรื่องการจราจรติดขัด, จำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนน, มลพิษทางอากาศในฤดูแล้ง และความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ
- เงินคือพระเจ้า
- ถ้าบ่นเจ้าหน้าที่รัฐ ชีวิตจบ
- เส้นสายสำคัญมาก
- มีการลักพาตัวเด็กค่อนข้างบ่อย
- ไม่ค่อยตรงต่อเวลา
- ฝนตกนิดหน่อยก็น้ำท่วม
- รถยนต์ ค่าไฟ ค่ารักษาพยาบาลแพง
- มีตำรวจรีดไถเยอะ
- พนักงานร้านค้าพูดจาส่งเดชเยอะ

แอดนี่ แปลไปกำหมัดแน่นไปเลย ไม่ใช่โกรธหรือไร หลายอย่าง เราเองก็ปฏิเสธไม่ลง 😅 

แล้วเพื่อน ๆ คิดเห็นยังไง?? หากไม่โลกสวย เห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ชาวญี่ปุ่นท่านนี้พูดหรือไม่?

‘ครูเดวิด’ เผยให้สัมภาษณ์ CNN ปม Apple เหยียดเมืองไทย ลั่น!! ไม่ต้องเสียใจที่โดนดูถูก เพราะวันนี้เสียงคนไทยดังไปทั่วโลก

เมื่อวานนี้ (30 ก.ค. 67) ‘เดวิด วิลเลี่ยม’ ชาวต่างชาติที่สอนภาษาอังกฤษในประเทศไทย และเป็นเจ้าของช่อง Tiktok @davidwilliamdw ที่มีผู้ติดตามเกือบ 3 ล้านคน ได้โพสต์วิดีโอพร้อมเล่าเรื่องราวว่า CNN ขอติดต่อสัมภาษณ์ ประเด็นโฆษณาของ Apple ที่มีผลกระทบต่อภาพลักษณ์เมืองไทย โดยจะลงคลิปที่ให้สัมภาษณ์กับทาง CNN ในโอกาสต่อไป เพราะเพิ่งให้สัมภาษณ์จบ

“การสัมภาษณ์ในครั้งนี้ สิ่งที่พี่พูดเต็มปาก คือ สนามบินในไทยเป็นหนึ่งในสนามบินที่เลิศที่สุดในโลก แล้วพี่ก็พูดต่อในเรื่องความปลอดภัยในบ้านเราด้วย ตั้งแต่มาอยู่ประเทศไทยไม่เคยต้องห่วงเรื่องนี้เลย สำหรับใครที่ทุกข์มากกับโฆษณานี้ พี่อยากจะบอกว่าไม่ต้องเครียดแล้ว เพราะคนไทยมีเสียงทั่วโลกในตอนนี้” ครูเดวิดกล่าว

ย้อนไปที่จุดเริ่มต้นดรามาร้อนแรง กรณีโฆษณา iPhone ในช่อง Youtube Apple UK ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา ได้ทำให้หลายคนออกมาแสดงความคิดเห็นถึงความไม่เหมาะสม ในการนำเสนอภาพประเทศไทย ด้วยมุมมองที่ล้าหลัง 

ซึ่งในวันที่ 29 กรกฎาคมที่ผ่านมา ดาราหนุ่มซี ศิวัฒน์ ก็ออกมาวิจารณ์โฆษณานี้เช่นกันว่า “ไม่ขำ” และ “อยากเขวี้ยง iphone ทิ้ง” รวมถึงคนมีชื่อเสียงคนอื่น ๆ และชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยจำนวนมาก ต่างออกมายืนยันว่าภาพในโฆษณานั้นต่างกับความเป็นจริงในประเทศไทยมาก

ในโฆษณาดังกล่าว มีหลายช่วงที่ทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยดูแย่ เช่น ขนส่งสาธารณะแออัด นั่งเรือแล้วเมาจนอ้วก นั่งรถเมล์แล้วต้องอุ้มลูกให้คนอื่น ไม่มีแท็กซี่จนต้องนั่งรถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้าง สนามบินเล็กและคนเยอะ พนักงานสนามบินทำให้กระเป๋าผู้โดยสารหายไป แท็กซี่พาไปผิดโรงแรม อีกทั้งยังพูดว่า “I think she likes me” กับผู้หญิงไทยอีกด้วย

จากการนำเสนอภาพของระบบขนส่งสาธารณะในประเทศไทยด้วยบรรยากาศที่แย่ รวมถึงพยายามถ่ายทอดภาพให้ ‘ฝรั่ง’ หรือชาวตะวันตกในโฆษณา สูงส่งกว่าคนไทย ทั้งในแง่ของมุมมองภาพ การกระทำ และวัฒนธรรม เช่น ถามว่าในโรงแรมที่ประเทศไทยมีแอร์ หรือห้องน้ำไหม?

อีกทั้งยังมีประเด็นเรื่องการย้อมสีภาพสำหรับฉากในประเทศไทย ให้กลายเป็นสีโทนร้อน ออกแนวเก่า ๆ ซึ่งเป็นโทนสีที่วงการภาพยนตร์มักใช้นำเสนอฉากหรือภูมิประเทศที่มีความล้าหลัง หรือด้อยพัฒนา เมื่อโฆษณา iPhone เลือกใช้โทนสีดังกล่าว ประกอบกับเขียนสตอรี่ให้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในประเทศไทยล้วนเต็มไปด้วยความยากลำบาก และไม่สะดวกสบาย จนทำให้ฝรั่งอยากกลับบ้าน ด้วยเหตุนี้จึงกลายเป็นสาเหตุให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก นับตั้งแต่วันที่ปล่อยโฆษณานี้ออกมาสู่โลกออนไลน์

‘หนุ่ม สุรวุฑ’ ขอบคุณ ‘เปิ้ล หัทยา’ จ่ายค่าตัวครบทุกบาททุกสตางค์ พร้อมวอน ‘ชาวเน็ต’ คอมเมนต์ด้วยความสุภาพ อย่าระรานถึงครอบครัว

(31 ก.ค. 67) จากกรณีที่ 'หนุ่ม' สุรวุฑ ไหมกัน นักแสดงชื่อดังโพสต์ข้อความฝากถึงบุคคลปริศนา ที่เจ้าตัวเคยมีโอกาสได้ร่วมงานละครด้วย และแม้ว่าละครเรื่องดังกล่าวจะจบไปเป็นระยะเวลากว่า 1 ปีแล้ว แต่จนถึงตอนนี้เจ้าตัวก็ยังได้เงินค่าตัวไม่ครบ จนเป็นเหตุให้ต้องใช้พื้นที่อินสตาแกรมระบายความรู้สึกอัดอั้น โดยระบุว่า "เลื่อนยิ่งกว่าไส้เลื่อน ก็เงินค่าตัวกรูนิล่ะ ละครจบไปจะเป็นปีละ รวมเวลาถ่ายทำอีก รวม ๆ 5 ปีแล้ว ยังได้ค่าตัวไม่ครบ"

ต่อมา ‘เปิ้ล หัทยา วงษ์กระจ่าง’ ได้ยอมรับว่า “ผู้จัดที่หนุ่ม สุรวุฑ พูดถึงเป็นตนเอง แต่หนุ่มเขาไม่ได้เอ่ยชื่อ ต้องเล่าก่อนว่า ตัวพี่เองได้เข้ามาช่วยดูละครเรื่องปาฏิหาริย์กาลเวลา ในตอนท้าย ๆ หลังจากที่พี่ตั้วเสียชีวิต ทำให้ตัวพี่เองรู้ข้อมูลน้อยมาก ไม่รู้ว่าตอนนี้มีนักแสดงคนไหนได้เงินยังไม่ครบ หรือว่าได้ครบแล้ว”

ล่าสุด 'หนุ่ม สุรวุฑ' ได้ออกมาเคลื่อนไหวผ่านทางติ๊กต็อกส่วนตัว ‘noommaikan’ ออกมาขอบคุณ เปิ้ล หัทยา ได้จ่ายเงินค่าตัวนักแสดงที่ยังเหลือค้างอยู่ให้เรียบร้อยแล้วว่า…

“วันนี้พี่เปิ้ลได้มีการชำระค่าตอนที่เหลือให้ผมมาเรียบร้อยแล้ว ครบทุกบาททุกสตางค์ ขอบคุณพี่เปิ้ลด้วย ขอบคุณทุกการซัพพอร์ต ขอบคุณสื่อมวลชนทุกท่านที่เสนอข่าว”

หนุ่ม สุรวุฑ ระบุอีกว่า “อยากฝากไปบอกคนที่เข้ามาคอมเมนต์ใช้ข้อความที่สุภาพแล้วกัน ที่สำคัญที่สุด พยายามอย่าไปพาดพิงครอบครัวพี่เปิ้ลเขา โดยเฉพาะลูก ๆ เขา น้อง ๆ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้ด้วย เป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่ตกลงกันทางธุรกิจ”

ซึ่งก็มีเหล่าชาวโซเชียลเข้ามาให้กำลังใจทั้งสองฝ่ายกันเป็นจำนวนมาก พร้อมทั้งแสดงความยินดีกับหนุ่ม สุรวุฑ ที่ได้รับค่าตัวครบแล้ว

‘NETA’ หั่นราคา NETA V รุ่นแรก เหลือ!! 399,000 บาท พร้อมฟรีประกันภัยชั้น 1 - Wallbox พิกัดศูนย์ย่านนนทบุรี

(31 ก.ค.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ‘ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า’ สะเทือนอีก เมื่อโลกออนไลน์เปิดเผยว่า ค่ายรถยนต์ EV ดังอย่างเนต้า (NETA) เตรียมลดราคาจำหน่าย เนต้า วี (NETA V) และ เนต้า วี-ทู (NETA V-II) จากเดิมลงไป 110,000-120,000 บาท

โดย NETA V รุ่น LITE จะลดราคาลงจากเดิม 120,000 บาท ทำให้ราคาขาย 549,000 บาท ลดราคาลงมาเหลือ 429,000 บาท ส่วน NETA V-II SMART จะลดราคาลง 110,000 บาท จากเดิม 569,000 บาท ทำให้ราคาลงไปอยู่ที่ 459,000 บาท

นอกจากนี้ NETA ลดราคา NETA V รุ่นแรก เหลือเพียง 399,000 บาทเท่านั้น โดยภาพดังกล่าว เป็นศูนย์ที่อยู่ย่านนนทบุรี ถือเป็นล็อตสุดท้ายราคาใหม่ ฟรีประกันภัยชั้น 1 และฟรี Wallbox อีกด้วย

‘ทีมแพทย์กว่างตง’ ผ่าตัดให้ผู้ป่วยอยู่ไกลกว่า 5,000 กม.สำเร็จ หลังใช้เทคโนโลยี ‘หุ่นยนต์ผ่าตัด 5G’ ทำให้ราบรื่นไปด้วยดี

(31 ก.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ทีมแพทย์ในมณฑลกว่างตง (กวางตุ้ง) ทางตอนใต้ของจีนประสบความสำเร็จในการผ่าตัดระบบทางเดินปัสสาวะ จากระยะไกลหลายพันกิโลเมตร ให้ผู้ป่วยในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ทางตะวันตกเฉียงเหนือ ของจีน ด้วยความช่วยเหลือจากเทคโนโลยีหุ่นยนต์ผ่าตัด 5G

ด้าน หลินเทียนซิน ผู้อำนวยการโรงพยาบาลแห่งที่ 5 ในเครือมหาวิทยาลัยซุนยัตเซ็น เป็นผู้บังคับแผงควบคุมหุ่นยนต์ที่พัฒนาในประเทศระหว่างผ่าตัดให้ผู้ป่วยที่อยู่โรงพยาบาลในภูมิภาคคัชการ์ของซินเจียง ซึ่งอยู่ห่างจากกว่างตงกว่า 5,000 กิโลเมตร โดยการผ่าตัดราบรื่นด้วยแขนกลที่คล่องแคล่วและความหน่วงน้อย

ทั้งนี้ โรงพยาบาลหลายแห่งในบางภูมิภาคทางตะวันตกของจีนประสบปัญหาขาดแคลนบุคลากรมืออาชีพและอุปกรณ์ขั้นสูง จึงต้องแสวงหาความช่วยเหลือจากทีมแพทย์ของศูนย์การแพทย์ชั้นนำ เพื่อดำเนินการผ่าตัดที่ตรงกับความจำเป็นของผู้ป่วย ซึ่งทีมแพทย์บางส่วนต้องเดินทางไกลไปยังภูมิภาคเหล่านั้น

อย่างไรก็ดี ปัญหาเหล่านี้ถูกแก้ไขอย่างมีประสิทธิภาพในปัจจุบันด้วยเทคโนโลยีการผ่าตัด 5G ซึ่งช่วยให้ผู้ป่วยในภูมิภาคห่างไกลของจีนเข้าถึงการบริการทางการแพทย์ที่มีคุณภาพสูงเพิ่มขึ้น

‘มาเลเซีย’ ออกกฎหมายต่อสู้กับอาชญากรรมในโลกออนไลน์ บังคับทุกแพลตฟอร์ม ‘โซเชียลมีเดีย’ ต้องขอใบอนุญาตจากภาครัฐ

รัฐบาลมาเลเซียเอาจริงกับปัญหาสื่อสังคมออนไลน์ในประเทศ เมื่อคณะกรรมการการสื่อสารและมัลติมีเดียแห่งมาเลเซีย (MCMC) กำหนดให้แพลตฟอร์มผู้ให้บริการโซเชียลมีเดีย และส่งข้อความออนไลน์ ที่มีบัญชีผู้ใช้งานตั้งแต่ 8 ล้านบัญชีขึ้นไปในมาเลเซีย ต้องขึ้นทะเบียนเพื่อขอใบอนุญาตตามกรอบกฎหมายการกำกับดูแลใหม่ ให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 1 มกราคม 2568

กรอบระเบียบใหม่นี้ สอดคล้องกับการตัดสินใจในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีที่ว่าโซเชียลมีเดียและบริการส่งข้อความทางอินเทอร์เน็ตจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายของมาเลเซีย เพื่อต่อสู้กับคดีอาชญากรรมและการฉ้อโกงทางไซเบอร์ รวมถึงพฤติกรรมการกลั่นแกล้งกันบนโลกออนไลน์ และอาชญากรรมทางเพศต่อเด็กและเยาวชน ผ่านสื่อโซเชียลที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก 

โดยรัฐบาลมาเลเซียเชื่อมั่นว่า กรอบระเบียบใหม่นี้ จะช่วยสร้างระบบนิเวศออนไลน์ที่ปลอดภัย มีคุณภาพ เพื่อประสบการณ์ที่ดีสำหรับผู้ใช้งานทุกเพศ ทุกวัย โดยเฉพาะเด็กและครอบครัว

นั่นหมายความว่า แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่ อาทิ Facebook, Instagram, WhatsApp, Line, Youtube, TikTok, Telegram, X และอื่น ๆ ที่มีผู้ใช้งานในมาเลเซียเกิน 8 ล้านบัญชี ต้องมาลงทะเบียนขอใบอนุญาต และปฏิบัติตามกรอบกฎหมายใหม่นี้ นับตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2567 นี้เป็นต้นไป จนถึงภายในวันที่ 1 มกราคม 2568 มิฉะนั้น จะถือเป็นความผิด ที่ต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายของมาเลเซีย ที่อาจมีผลถึงการถูกระงับการเผยแพร่ หรือใช้งานภายในประเทศได้

ก่อนหน้านี้ แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย และสื่อออนไลน์ ได้รับการยกเว้นในการขอใบอนุญาตตามระเบียบข้อบังคับกิจการสื่อในมาเลเซีย ซึ่งแตกต่างจากสื่อออฟไลน์ดั้งเดิม ที่ต้องอยู่ภายในกฎหมายควบคุมของรัฐบาลอย่างเคร่งครัด และนั่นจึงกลายเป็นช่องโหว่ที่นำไปสู่การก่ออาชญากรรมมากมาย ที่ใช้ช่องทางโซเชียลเข้าถึงเหยื่อผู้ใช้งานเป็นจำนวนมาก

จากข้อมูลของ MCMC พบว่า ตั้งแต่เดือนมกราคม 2020 - ตุลาคม 2023 มีคดีหลอกลวงทางไซเบอร์ที่สร้างความเสียหายให้แก่เหยื่อ เป็นมูลค่าสูงกว่า 506 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีคดีเกี่ยวข้องกับการ กลั่นแกล้ง และเผยแพร่คำพูดแสดงความเกลียดชังผ่านโซเชียลถึง 3,419 รายการ

และล่าสุดจากกรณีการฆ่าตัวตายของ ‘Esha’ หรือ ราชาสวารี อัพพาหุ TikToker สาวชื่อดังชาวมาเลเซีย ที่ทำคอนเทนต์ด้านความงาม และการใช้ชีวิตแบบคิดบวก แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถต่อสู้กับข้อความบูลลี่ คุกคาม ไปจนถึงการขู่ฆ่าทางออนไลน์ได้ จนเกิดอาการซึมเศร้าและจบชีวิตตนเองเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคมที่ผ่านมา กลายเป็นประเด็นที่ชาวมาเลเซียวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางถึงมาตรการป้องกันการกลั่นแกล้ง ดูหมิ่นกันในโลกออนไลน์อย่างเหมาะสม

แต่เมื่อรัฐบาลมาเลเซียตัดสินใจที่จะจัดระเบียบโซเชียลใหม่ ก็มีกลุ่มต่อต้านมองว่า รัฐบาลกำลังใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการควบคุมสื่อออนไลน์ เป็นการละเมิดเสรีภาพทางการพูด และนำเสนอข่าวทางสื่อสาธารณะ ที่เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน ที่จะนำไปสู่การปิดกั้น และ ปราบปรามกลุ่มเห็นต่างทางการเมือง ที่ต่อต้านรัฐบาลได้ในภายหลัง

และมีการส่งจดหมายเปิดผนึกจากองค์กรอิสระ 44 แห่งและนักเคลื่อนไหว 23 คน ถึงนายกรัฐมนตรี อันวาร์ อิบราฮิม ประณามการออกกฎหมายควบคุมสื่อโซเชียลมีเดียดังกล่าวว่า เป็นการใช้อำนาจมิชอบอย่างโจ่งแจ้ง เพื่อโจมตีระบอบประชาธิปไตย และลดการมีส่วนร่วมของประชาชน

ในขณะเดียวกัน กฎหมายควบคุมแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียใหม่ของมาเลเซีย กำลังจะกลายเป็นต้นแบบให้กับรัฐบาลอื่น ๆในอาเซียน อย่างอินโดนีเซีย และ สิงคโปร์ ที่กำลังพิจารณากฎหมายควบคุมสื่อสังคมออนไลน์ด้วยเช่นกัน เพื่อป้องกันอาชญากรรมทางออนไลน์ไม่ให้ประชาชนของชาติตกเป็นเหยื่อ

หากรัฐบาลหลายชาติเริ่มออกมาเคลื่อนไหวในการกำหนดกรอบกติกาการใช้สื่อโซเชียลมีเดียมากขึ้น ก็ต้องมาติดตามว่าแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่ว่าจะออกมาปรับตัวให้อยู่ในกรอบเพื่อรักษาตลาด หรือ ปลุกกระแสต่อต้านเพื่อรักษาคำว่า "เสรีภาพสื่อ" ที่ไม่ยอมอยู่ภายใต้กฎหมายของชาติใด


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top