Thursday, 19 June 2025
NewsFeed

ทำไม 'หมอคางดำ' ไม่รุกราน 'ระบบนิเวศแอฟริกา' ทั้งที่เป็นถิ่นกำเนิด เพราะยากที่จะรอดจากดงนักล่าเจ้าถิ่น-ภูมิประเทศไม่เอื้อแพร่พันธุ์

(30 ก.ค.67) สำนักข่าว Thaipost ได้นำเสนอเนื้อหาในหัวข้อ เหตุใดปลาหมอคางดำถึงไม่รุกรานระบบนิเวศของทวีปแอฟริกา ที่เป็นถิ่นกำเนิดของมัน แต่กลับเป็นปัญหากับระบบนิเวศประเทศอื่น โดยเฉพาะประเทศไทย ระบุว่า...

คำตอบอย่างแรกก็คือ เป็นเพราะความแตกต่างระหว่างสภาพทางภูมิศาสตร์และระบบนิเวศของไทยกับทวีปแอฟริกา ที่ไม่เหมือนกัน โดยปลาหมอคางดำ วิวัฒนาการมาพร้อมกับระบบนิเวศขอแอฟริกา โดยมันเป็นส่วนหนึ่งของ Food web ของทวีปแห่งนี้ที่มีทั้ง ผู้ล่า, คู่แข่งในการล่า ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ เป็นการจัดการตามธรรมชาติ และมีผลทำให้ควบคุมประชากรของปลาหมอคางดำไม่ให้มีมากเกินไป จนส่งผลเสียต่อระบบนิเวศโดยรวม

ผู้ล่าหลัก ๆ ในถิ่นเดิมของแอฟริกา ก็คือ ปลาในแอฟริกานั่นเอง เช่น ปลาดุกแอฟริกา, ปลากะพงขาวแอฟริกา, ปลาแอฟริกันไพด์, ปลาเสือแอฟริกัน ปลาหมอสี 5 แถบ 

สัตว์นักล่าเจ้าถิ่นเหล่านี้ จัดว่าเป็น Predator หรือเป็นปลานักล่าที่โหด และมีขนาดใหญ่กว่าปลาหมอคางดำหลายเท่ามาก เช่น ปลากะพงแม่น้ำไนล์ ที่ตัวใหญ่หนักเป็น 100 กิโลกรัม ใหญ่กว่ากะพงขาวไทยหลายเท่า อีกทั้งยังมีความดุร้ายและกินจุกว่ากะพงไทยมาก ขนาดที่มันสามารถอ้าปากแต่ละครั้งก็กลืนปลาหมอคางดำได้หมดทั้งฝูง แถมยังมีปลาไทเกอร์โกไลแอต ปลาตะเพียนกินเนื้อที่มีทั้งความเร็วขนาดที่ใหญ่มหึมาและฟันที่คมกริบ คอยล่าปลาหมอคางดำ

แม้ปลาหมอคางดำจะเป็นนักล่าด้วยเช่นกัน แต่มันก็ไม่สามารถลงทะเลได้เพราะภูมิประเทศของแอฟริกาเป็นน้ำลึก ชัน ไม่เหมาะกับการแพร่พันธุ์ และหากลงทะเลยังต้องเจอกับนักล่าทะเลลึกที่โหดขึ้นไปอีกระดับ ด้วยเหตุนี้ปลาหมอคางดำเมื่ออยู่ในแอฟริกา จึงมีสภาพเป็นเหยื่อ หรือหากมันจะว่ายมาริมฝั่งทะเล ก็จะต้องเจอพวกแรคคูน และอาจปะหน้า พวกนกตระกูล Heron, Kingfisher ที่เป็นนักล่า อีกทั้ง บางแหล่งยังเป็นดงจระเข้

ด้วยเหตุนี้ พอมาอยู่ไทยปลาหมอคางดำจึงกลายเป็นนักล่า เพราะที่ไทยไม่มีนักล่าเจ้าถิ่นที่โหดกว่ามัน อีกทั้งสภาพแวดล้อมยังเหมาะกับการแพร่พันธุ์ แตกต่างจากสภาพแวดล้อมภูมิศาสตร์ของแอฟริกา ที่ปากแม่น้ำเป็นทั้งน้ำลึกมีความเค็มในระดับที่ปลาหมอคางดำไม่สามารถปรับตัวขยายพันธุ์ได้

‘ไทยออยล์’ ร่อนแถลง ยัน!! จ่ายค่าจ้างเอกชนตามสัญญาครบถ้วน พร้อมจี้ ‘UJV-Sinopec’ ดูแล-จ่ายเงินลูกจ้าง ก่อนยกระดับการชุมนุม

(30 ก.ค.67) บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ได้ออกแถลงการชี้แจง ความคืบหน้ากรณีกลุ่มผู้ใช้แรงงานของผู้รับเหมาช่วงของกิจการร่วมค้า Unincorporated Joint Venture of Petrofac South East Asia Pte. Ltd. (Petrofac), Saipem Singapore Pte. Ltd. (Saipem) และ Samsung E&A (Thailand) Co., Ltd. (ชื่อเดิม Samsung Engineering (Thailand) Co., Ltd.) (Samsung) ซึ่งไม่ได้รับค่าจ้างตามกำหนดรวมตัวชุมนุมบริเวณริมถนนสุขุมวิท หน้าโรงกลั่นไทยออยล์ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี โดยระบุว่า…

“ตามที่มีกลุ่มผู้ใช้แรงงานจำนวนหนึ่งได้รวมตัวชุมนุมบริเวณริมถนนสุขุมวิท หน้าโรงกลั่นไทยออยล์ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 24 - 26 กรกฎาคม 2567 เนื่องจากไม่ได้รับค่าจ้างจากผู้รับเหมาตามกำหนด จากการสอบถามของ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (บริษัทฯ) เข้าใจว่ากลุ่มผู้ใช้แรงงานดังกล่าวเป็นพนักงานชาวไทยและเวียดนาม ของ บริษัท วัน เทิร์น เท็น จำกัด (One Turn Ten), บริษัท เอ็มโก้ แอลทีดี (ไทยแลนด์) จำกัด (EMCO) และ บริษัท ไทยฟง เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (Thai Fong)... 

ซึ่งทั้ง 3 บริษัทเป็นนายจ้างและเป็นผู้รับเหมาช่วงอีกทอดหนึ่งของ บริษัท ซิโนเพค เอ็นจิเนียริ่ง กรุ๊ป (ไทยแลนด์) จำกัด (Sinopec) ที่เป็นผู้รับเหมาช่วงของกิจการร่วมค้า UJV: Unincorporated Joint Venture of Petrofac South East Asia Pte. Ltd. (“Petrofac”), Saipem Singapore Pte. Ltd. (Saipem) และ Samsung E&A (Thailand) Co., Ltd. (ชื่อเดิม Samsung Engineering (Thailand) Co., Ltd.) (Samsung) ซึ่งเป็นผู้รับเหมาหลักในการก่อสร้างโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project: CFP) ให้กับ บริษัทฯ 

ทั้งนี้ กลุ่มผู้ใช้แรงงานได้มารวมตัวกันเพื่อเรียกร้องค่าจ้างจากนายจ้างทั้ง 3 บริษัท (One Turn Ten, EMCO, Thai Fong) รวมถึง Sinopec และ UJV ด้วย โดยทั้ง 3 บริษัทไม่ได้รับค่าจ้างจาก Sinopec และทาง Sinopec เองก็ยังไม่ได้รับค่าตอบแทนตามสัญญาจ้างช่วงจาก UJV ด้วยเช่นกัน จึงทำให้ไม่สามารถจ่ายค่าจ้างให้แก่กลุ่มบริษัทผู้รับเหมารายย่อยต่าง ๆ รวมถึง 3 บริษัทข้างต้น

ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้จ่ายค่าตอบแทนให้ UJV ตามเงื่อนไขที่ระบุในสัญญาจ้างเหมาทำของ ออกแบบวิศวกรรม การจัดหา และการก่อสร้าง (EPC: Engineering, Procurement and Construction) อย่างครบถ้วนถูกต้องแล้ว ซึ่ง UJV ได้ไปว่าจ้างผู้รับเหมาช่วงและมีสัญญาจ้างกับผู้รับเหมาช่วงอีกประมาณ 60 ราย รวมถึง Sinopec ด้วย 

ดังนั้น การที่กลุ่มผู้ใช้แรงงานของผู้รับเหมาช่วงมารวมตัวชุมนุมที่หน้าโรงกลั่นไทยออยล์ จึงเป็นหน้าที่ของผู้รับเหมาช่วง (Sinopec) รวมถึง UJV ที่จะต้องรับผิดชอบในการชำระค่าจ้างและดำเนินการเพื่อให้กลุ่มผู้ใช้แรงงานกลับไปทำงานได้ตามปกติ 

อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ได้ตระหนักถึงความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นของกลุ่มผู้ใช้แรงงาน โดยได้ประสานให้มีการหารือร่วมกันระหว่างผู้แทนกลุ่มผู้ใช้แรงงานของผู้รับเหมาช่วง หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ผู้แทนของผู้รับเหมาช่วง และผู้แทน UJV มาอย่างต่อเนื่อง จากการเจรจาเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคมที่ผ่านมา ถึงแม้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ แต่บริษัทฯ ได้รับแจ้งว่าผู้แทนกลุ่มผู้ใช้แรงงานของผู้รับเหมาช่วง ผู้แทนของผู้รับเหมาช่วง และผู้แทน UJV มีความเข้าใจข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นและน่าจะบรรลุข้อตกลงได้และได้นัดหมายการเจรจาครั้งต่อไปในวันนี้ (30 กรกฎาคม 2567) เมื่อกลุ่มผู้ใช้แรงงานได้รับทราบผลความคืบหน้าในการเจรจาและการนัดหมายครั้งต่อไป จึงได้สลายการชุมนุม เวลา 20.30 น. วันที่ 26 กรกฎาคม 2567

โดยในวันนี้ (30 ก.ค.67) ได้มีกลุ่มผู้ใช้แรงงานมารวมตัวชุมนุมกันอีกครั้ง เพื่อรอฟังความคืบหน้าจากการประชุมร่วมกันระหว่าง Sinopec UJV นายจ้างของกลุ่มผู้ใช้แรงงาน ผู้แทนจากภาครัฐ และ ผู้แทนจากกลุ่มผู้ใช้แรงงาน เพื่อเจรจาหาข้อยุติการชำระเงินค้างจ่ายกับผู้รับเหมา ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ดำเนินการดูแลและมีบุคลากรที่มีความพร้อมในการรักษาความปลอดภัยของโรงกลั่นไทยออยล์ และประสานความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ ในการจัดทำแผนฉุกเฉินและการส่งกำลังพลเพื่อเฝ้าระวังเหตุฉุกเฉินที่อาจจะเกิดขึ้น โดยครอบคลุมพื้นที่ตลอด 24 ชั่วโมง ควบคุมการเข้า - ออกอย่างเข้มงวด เพื่อให้มั่นใจว่าการรวมตัวชุมนุมจะเป็นไปอย่างสงบเรียบร้อย ปลอดภัย และลดผลกระทบต่อชุมชนโดยรอบ

เปิดใจ 'มาเฟียสายขาว' ที่ Startup รุ่นใหม่ต้องรู้ หากหวังชนะใจ 'วิชัย ทองแตง' 'โปร่งใส-ทุ่มเท' พร้อมพาเฮเข้าตลาดใน 3 ปี แง้ม!! 'เฮลท์เทค' โอกาสรุ่งสูง

เชื่อได้ว่าหลาย ๆ คนที่กำลังทำบริษัทสตาร์ตอัปอยู่ คงอยากจะรู้ว่าคุณวิชัย ทองแตง เศรษฐีพอร์ตหุ้นระดับหมื่นล้าน ผู้ได้ฉายา 'มาเฟียสายขาว' แห่งวงการสตาร์ตอัปท่านนี้ จะอยากสนับสนุนใครบ้าง โดยช่วงหนึ่งที่คุณวิชัย เคยแชร์ไว้ในงาน Beartai Best Buy ผ่านหัวข้อ The Money For Startup ระบุว่า…

“จริง ๆ คนไทย โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่เริ่มถอยห่างจากการเป็นพนักงานกินเงินเดือนมาเป็นเจ้าของธุรกิจ อยากจะทดสอบและใช้ความรู้ความสามารถของตัวเอง เดินอยู่บนเส้นทางที่ตัวเองเป็นผู้กําหนด ซึ่งผมก็มองเห็นว่าศักยภาพของคนรุ่นใหม่ และคิดว่าเป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้เลย จึงได้ตัดสินใจเข้าไปช่วยส่งเสริม ผลักดัน ให้คำแนะนำ และในบางบริษัทก็เข้าไปร่วมลงทุนด้วย”

คุณวิชัยได้กล่าวถึงเป้าหมาย ขอบเขต และอนาคตของสตาร์ตอัปในมุมมองของตัวเองว่า “คำว่า ‘สตาร์ตอัป’ ในความหมายของผม ไม่ได้หมายถึงเพียงแค่ IT เท่านั้น แต่รวมถึงธุรกิจอื่น ๆ ด้วย แต่ที่ให้น้ำหนักกับธุรกิจ IT มากนั้น บอกตรง ๆ เลยว่าเวลาเราดันเข้าตลาดหลักทรัพย์ ‘ตัวคูณ’ เยอะ และเป้าหมายการลงทุนของผม ในทุก ๆ การลงทุน จะมองไปยังเป้าหมายสุดท้ายคือเรื่องการเข้าตลาดทุนอยู่เสมอ”

“ผมเชื่อมั่นว่าสตาร์ตอัปสาย ‘เฮลท์เทค’ หรือธุรกิจสายสุขภาพในประเทศไทย สามารถเติบโตและก้าวเป็นผู้นำในระดับนานาชาติได้ ฉะนั้นผมจึงเปิดกว้างสำหรับสตาร์ตอัปที่มีแนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนารูปแบบของการทำธุรกิจทางด้านสุขภาพ เพราะผมเชื่อว่าอย่างไรแล้วก็ไม่มีวันตกเทรนด์ สามารถเติบโตได้  และหากทำสำเร็จก็จะยั่งยืน เป็นจุดแข็งของประเทศได้เลย”

คุณวิชัยยังได้เผยถึงขั้นตอนการเข้าพบ เพื่อนำเสนอไอเดียธุรกิจ และเกณฑ์การตัดสินใจไว้ว่า “การเข้ามาพูดคุยกับผม เรียนตามตรงว่าจะยุ่งยากสักหน่อย ขั้นตอนแรกก็ต้องผ่านผู้ช่วยของผมก่อน 2 ท่าน หากผู้ช่วยเห็นว่าเหมาะสมและดูมีโอกาสเป็นไปได้ในอนาคต ก็จะพาเข้ามาพรีเซ็นต์กับผม”

“ส่วนเรื่องเกณฑ์การตัดสินใจก็คือ ‘ความถูกใจ’ ผมจะมองถึงเรื่องความคิดใหม่ ๆ ที่ผ่านการทุ่มเทมามากพอสมควร เพราะคนที่จะเข้ามาทำสตาร์ตอัปได้นั้น หากขาดความอดทน ทุ่มเทอย่างแท้จริง ก็ยากที่จะทำได้ ไม่ว่ากับธุรกิจใด ๆ ก็ตาม” คุณวิชัยกล่าว

นอกจากนี้ คุณวิชัยยังได้กล่าวถึงการพาธุรกิจสตาร์ตอัปที่ผ่านเกณฑ์เข้าตลาดทุน แม้ว่าเจ้าของธุรกิจนั้น ๆ ไม่มีความรู้ความเข้าใจเรื่องการเข้าตลาดทุนว่า “ก่อนอื่นคือต้องปรับจูนความเข้าใจ ให้เห็นตรงกันก่อน ว่าการจะเดินเข้าสู่ตลาดทุนได้ ต้องมีการปรับตัวเอง เพราะมีกฎเกณฑ์ที่ค่อนข้างชัดเจน แต่หัวใจหลักใหญ่ก็คือ ‘ต้องโปร่งใส’ ไม่ว่าจะทําธุรกิจอะไรก็ตาม ต้องคํานึงถึงความโปร่งใส ไม่เอาเปรียบ…

“อีกอย่างหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ เวลาผมจะลงทุนในธุรกิจใดก็ตาม สิ่งที่มองเป็นหลักสำคัญคือหากเอาเข้าตลาดทุน ต้องมองไปที่อนาคตว่าสามารถไปต่อได้หรือไม่? ธุรกิจนั้นมีอุปสรรคหรือมีข้อขัดข้องอะไรบ้าง หรือมีคู่แข่งมากเกินไปหรือไม่? ซึ่งตอนนี้ผมกําลังพยายามที่มอบความรู้เหล่านี้ให้กับกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เริ่มทำสตาร์ตอัปอยู่…”

สุดท้าย คุณวิชัยได้ทิ้งท้ายเกี่ยวกับระยะเวลาพาบริษัทสตาร์ตอัปเข้าตลาดหลักทรัพย์ไว้ว่า “กว่าจะเข้าตลาดทุนได้นั้น ใช้เวลาปกติประมาณ 3 ปี แต่ก็มีโอกาสเร็วกว่านั้นหากว่ามีจังหวะที่เหมาะสม ธุรกิจนั้น ๆ แมตช์กับบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ได้ โดยมีทิศทางที่สอดคล้องกัน และสามารถไปด้วยกันได้ เพื่อให้ธุรกิจนั้น ๆ แข็งแรงและเติบโตได้ตามความฝันของคนรุ่นใหม่”

‘รมว.ปุ้ย’ หนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เดินหน้าสู่อุตสาหกรรมสีเขียว ปล่อยสินเชื่อ 'SME Green Productivity' วงเงิน 15,000 ลบ. ส.ค.นี้

(30 ก.ค.67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า จากที่รัฐบาลภายใต้การนำของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญอย่างยิ่งในการสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ยกระดับสู่อุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry) ที่จะสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนทั้งมิติทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม จึงมีมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 30 กรกฎาคม 2567 เห็นชอบและอนุมัติโครงการสินเชื่อ 'SME Green Productivity' วงเงิน 15,000 ล้านบาท ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เข้าถึงแหล่งทุนดอกเบี้ยต่ำ นำไปเพิ่มผลิตภาพ ลดต้นทุน พัฒนายกระดับเปลี่ยนผ่านธุรกิจสู่อุตสาหกรรมสีเขียวได้อย่างราบรื่น ที่สำคัญช่วยให้การดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย สามารถตอบโจทย์กติกาการค้าโลกยุคปัจจุบัน แก้ปัญหาเชิงโครงสร้างของภาคอุตสาหกรรม ลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ขับเคลื่อนกิจการเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สร้างอนาคตที่สดใสและยั่งยืน  

ด้าน นายพิชิต มิทราวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank กล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรม ได้มอบหมายให้ SME D Bank ในฐานะหน่วยงานภายใต้การกำกับดูแล เป็นหน่วยงานหลักในการส่งเสริมผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งทุนในโครงการสินเชื่อ 'SME Green Productivity' ซึ่งเป็นสินเชื่อเงื่อนไขผ่อนปรน เปิดกว้างกู้ได้ทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล วงเงินกู้สูงสุด 10 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3 ปีแรก 3% ต่อปี ผ่อนชำระนานสูงสุด 10 ปี ปลอดชำระหนี้เงินต้นสูงสุด 12 เดือน และไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำ โดยกำหนดจะเปิดยื่นคำขอกู้ได้ภายในเดือนสิงหาคม 2567 นี้  

ทั้งนี้ กำหนดกลุ่มเป้าหมาย คือ ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่ต้องการติดตั้งระบบหรืออุปกรณ์ต่อเนื่องเพื่อปรับเปลี่ยนไปใช้พลังงานสะอาด ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ต้องการปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตหรือเครื่องจักร รวมถึงการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการบริหารจัดการ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ เพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าและบริการ หรือลดการใช้พลังงาน ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่มีกระบวนการผลิตหรือเทคโนโลยีที่เชื่อมโยงไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ผ่านการพัฒนาหรือยกระดับด้านผลิตภาพ (Productivity) จากหน่วยงานพันธมิตรภาครัฐและเอกชนที่ธนาคารกำหนด สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Call Center 1357

‘ซี ศิวัฒน์’ เดือด!! หลังเห็นโฆษณา Apple ถ่ายทำในประเทศไทย ย้ำ!! บ้านเรามีดีเยอะ พร้อมไม่ขำกับภาพลักษณ์ที่คนอื่นมองเราไม่ดี

(30 ก.ค.67) กลายเป็นประเด็นดรามาร้อนแรง หลังจากที่ค่ายมือถือยักษ์ใหญ่อย่าง Apple ได้เผยแพร่โฆษณาตัวใหม่ The Underdogs: OOO (Out Of Office) | Apple at Work รวมสินค้าสุดล้ำสมัยหลากหลายชิ้น โดยปักหมุดถ่ายทำในประเทศไทย

กลับมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากคนไทยไปในทิศทางลบว่า รู้สึกไม่ปลื้มอย่างแรง เพราะองค์ประกอบ สถานที่ คอสตูม ขัดกับสิ่งที่ Apple นำเสนอมาก ๆ

แถมมีการย้อมสีภาพให้ออกโทน ‘สีเหลือง’ ค่อนข้างที่จะเหยียด สื่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยได้ออกมาล้าหลัง และด้อยพัฒนา

ไม่เพียงแค่นั้น ในเรื่องของการเดินทาง ที่ค่อนข้างเก่า จนเหมือนโลเคชั่นของการถ่ายทำเป็นประเทศอื่นไปเลย ทำเอาสาวกหลาย ๆ คน ถึงขั้นอยากเลิกใช้แบรนด์ดังกล่าวทันที

งานนี้ล่าสุด พิธีกร-นักแสดงชื่อดัง อย่าง ‘ซี ศิวัฒน์’ ขอไม่ทนกับประเด็นดังกล่าวด้วยเช่นกัน ออกมาโพสต์ภาพโฆษณาตัวดังกล่าว พร้อมระบุว่า “xูไม่ขำ! บอกเลยโคตรเฮีย ถ้าไม่เสียดายตังค์นะ แx่งเขวี้ยงทิ้งจริง”

ก่อนได้ตอบคอมเมนต์รัว ๆ เอาไว้ว่า “แอบโกรธอะ ทั้ง ๆ ที่เราก็สาวก Apple มาตลอด”

“ก็เพราะ Soft Power นี่แหละครับ เราถึงดูแย่ บ้านเราไม่ได้ล้าหลังขนาดนั้น ประเทศไทยเรามีสิ่งที่ดีเยอะแยะ ทำให้ขำเข้าใจได้ แต่ผมไม่ขำกับภาพลักษณ์ที่คนอื่นมองเราไม่ดี”

🔎10 คนดัง ‘ถือคบเพลิง’ ในพิธีโอลิมปิก Paris 2024 มีใครกันบ้างนะ??

ในพิธี ‘โอลิมปิก Paris 2024’ คบเพลิงจะถูกส่งต่อผ่านคนดังและผู้มีชื่อเสียงที่มาจากหลายแขนงการทำงานทั่วโลกรวมกว่า 10,000 คน โดยการวิ่งถือคบเพลิงจะใช้เวลาทั้งหมด 11 สัปดาห์ ผ่าน 450 เมืองทั่วปารีสก่อนที่จะมาจุดในพิธีเปิดในวันที่ 26 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งวันนี้ได้รวบรวม 10 คนดังที่เข้าร่วมวิ่งคบเพลิง ‘โอลิมปิก Paris 2024’ มาไว้ให้แล้ว จะมีใครบ้าง ไปดูกัน!!

1.Jin พี่ใหญ่แห่งวงศิลปินชื่อดังสัญชาติเกาหลี 🇰🇷อย่างวง BTS เขาได้หมายเลขในการวิ่ง E109 

2.Wang Yibo นักแสดงหนุ่มมากฝีมือจากประเทศจีน 🇨🇳 หมายเลข E142 โดยหนุ่มหวังอี้ป๋อเคยถูกแต่งตั้งให้เป็นทูตส่งเสริมโอลิมปิกฤดูหนาวที่กรุงปักกิ่งในปี 2022 ด้วย

3.Zhao Lusi ดาราสาวตัวท็อปชาวจีน 🇨🇳 มาวิ่งในหมายเลข E014 

4.Halle Berry ดาราสาว 🇺🇸 ที่ชนะรางวัล The Academy Award ได้เข้าวิ่งถือคบเพลิงด้วยหมายเลข E022 

5.Thierry Henry อดีตนักเตะทีมชาติฝรั่งเศส 🇫🇷 และบุคคลในตำนานของอาร์เซนอล ได้ใส่เบอร์ E001

6.Charles Leclerc นักแข่งรถฟอร์มูล่าวัน ภายใต้สังกัดเฟอร์รารี่ชาวโมนาโก 🇲🇨 โดยใส่เสื้อเบอร์ E161

7.Nicky Doll 🇫🇷 พิธีกรรายการ Drag Race France และยังเป็นราชินีของ LQBTQ+ โดยใส่เสื้อเบอร์ E077

8.Pharrell Williams 🇺🇸 โดยเขาถือคบเพลิงที่มหาวิหาร The Basilica of Saint-Denis ซึ่งเป็นช่วงท้ายก่อนจะถูกนำไปจุดในพิธีเปิด

9.SnoopDogs เจ้าพ่อ Rapper สัญชาติอเมริกัน 🇺🇸 เข้าร่วมวิ่งคบเพลิงในช่วงสุดท้าย ซึ่งเป็นหน้าบริเวณพิธีเปิดโอลิมปิก โดยใส่เบอร์ E015

10.The Masked เป็นไฮไลต์สุด ๆ ชายที่ใส่หน้ากากโพกผ้าปิดมิดชิด เข้ามาวิ่งถือคบเพลิง วิ่งไปรอบ ๆ ตามสถานที่ต่าง ๆ ในกรุงปารีส โดยมีการคาดเดาว่าการแต่งตัวน่าจะมาจากละครเกมซีรีส์ยอดฮิตอย่าง The Assasin’s Creed ที่มีมากกว่า 10 ภาคและในบางภาคก็มีการนำเอาบรรยากาศของกรุงปารีสมาใช้เป็นฉากประกอบในเกมด้วย

‘แฟนคลับ’ สุดทน!! YG ปฏิบัติกับ ‘ลิซ่า’ ไม่แฟร์ หากเทียบสมาชิกในวง ได้ใส่ชุดโปรโมต BORN PINK ตัวเดิม แถมเขียนชื่อค่าย LLOUD ผิด

(30 ก.ค.67) เป็นเรื่องอีกแล้วบลิ๊งค์ทั่วโลก (ชื่อแฟนคลับ) ต่างรอคอยการกลับมาของทั้ง 4 สาว ‘ลิซ่า - โรเซ่ - เจนนี่ - จีซู’ ล่าสุด YG Entertainment ต้นสังกัดเพียงในนามวงของ ‘BLACKPINK’ เตรียมปล่อยเวิลด์ทัวร์คอนเสิร์ต ‘BORN PINK’ ครั้งยิ่งใหญ่ในรูปแบบภาพยนตร์

ภายใต้ชื่อ ‘BLACKPINK WORLD TOUR [BORN PINK] IN CINEMAS’ เรียกว่า เป็น Limited screenings เริ่มต้นฉายครั้งแรกในวันที่ 31 ก.ค. แต่กลายเป็นประเด็นร้อนไม่ใช่น้อย เมื่อแฟนคลับเห็นโปสเตอร์ และโปสการ์ดของ ‘ลิซ่า’ เมื่อเทียบกับเพื่อน ๆ คนอื่นในวง ทำให้รู้สึกไม่ยุติธรรม และเท่าเทียมกับคนอื่น 

โดยแฟนคลับต่างโพสต์ในแพลตฟอร์ม X เกี่ยวกับสิ่งที่ YG ปฏิบัติ หลังจาก ‘ลิซ่า’ แยกออกมาเปิดต้นสังกัดเดี่ยว และเตรียมกลับมาทำงานผลงานร่วมกับวง ได้แก่ 

- เขียนชื่อค่ายของ ลิซ่า ผิด จาก LLOUD เป็น LOUD ซึ่งแฟนคลับมองว่า ชื่อค่ายนี้เขียนง่ายมากที่สุด 
- โปสการ์ดแถมจากภาพยนตร์ที่กำลังจะปล่อยออกมานั้น สมาชิกในวงคนอื่น เป็นรูปภาพที่ใส่ชุดแตกต่างกัน แต่ของลิซ่ากลับเป็นชุดเดิม ทั้งที่ในโชว์เปลี่ยนตั้งหลายชุด แถมคอมโพสต์ภาพแสงกลับแยงตาอีก
- โปสเตอร์เดี่ยวสำหรับการโปรโมตยังใช้ชุดเดิม ภาพเดิมซ้ำกับโปสการ์ด ทั้งที่สมาชิกคนอื่นเปลี่ยนรูป แถมรูปที่ออกมายังมีไมค์ปิดบังใบหน้า 

อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้คือความเห็นจากในโลกโซเชียลเท่านั้น ต้องมารอติดตามกันอีกที ว่าในรูปแบบภาพยนตร์เต็มที่ปล่อยออกมาจะเป็นอย่างไร

'ทร.' รับโล่เกียรติยศ ITA ตอกย้ำการทำงานอย่างมีคุณธรรม-โปร่งใส ปลื้ม!! ได้คะแนนประเมินลำดับที่ 2 จาก 160 หน่วยงานภาครัฐ

(31 ก.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ณ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ถนนสนามบินน้ำ จังหวัดนนทบุรี พล.ร.อ.ชลธิศ นาวานุเคราะห์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นผู้แทนผู้บัญชาการทหารเรือ เข้ารับโล่เกียรติยศในพิธีมอบรางวัลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity and Transparency Assessment: ITA) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567

ทั้งนี้ทางกองทัพเรือได้รับคะแนนการประเมินผลคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐในภาพรวม 99.21 คะแนน ได้คะแนนเป็นลำดับที่ 2 ของกลุ่มส่วนราชการระดับกรมทั่วประเทศ รวม จำนวน 160 หน่วยงาน

โดยมี พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานกรรมการ ป.ป.ช. เป็นผู้มอบรางวัลดังกล่าว

'ปตท.สผ.' ชี้!! ครึ่งปีแรก 67 นำส่งรายได้ให้รัฐแล้ว 30,170 ล้านบาท พร้อมจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล 4.50 บาทต่อหุ้น

เมื่อวานนี้ (30 ก.ค.67) ปตท.สผ. เผยความคืบหน้าการดำเนินงานครึ่งแรกปี 2567 ประสบความสำเร็จในการขยายฐานการลงทุนในตะวันออกกลาง ช่วยเพิ่มปริมาณสำรองปิโตรเลียมให้บริษัทได้ทันที พร้อมจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล 4.50 บาทต่อหุ้น โดยนำส่งรายได้จากการดำเนินธุรกิจให้กับรัฐประมาณ 30,170 ล้านบาท เพื่อการพัฒนาประเทศ 

นายมนตรี ลาวัลย์ชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. เปิดเผยผลการดำเนินงานครึ่งแรกของปี 2567 ว่าบริษัทมีความคืบหน้าที่สำคัญในส่วนธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม โดยได้ขยายฐานการลงทุนในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) จากการเข้าซื้อสัดส่วนการลงทุนร้อยละ 10 ในแปลงสัมปทานกาชา หนึ่งในแหล่งก๊าซธรรมชาตินอกชายฝั่งที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของยูเออี ซึ่งสามารถเพิ่มปริมาณสำรองปิโตรเลียมให้บริษัทได้ทันที และช่วยเสริมประโยชน์และประสิทธิภาพด้านการบริหารจัดการร่วมกับโครงการสำรวจอื่น ๆ ซึ่งบริษัทมีการลงทุนอยู่แล้วในยูเออี โดยคาดว่าแปลงสัมปทานกาชาจะมีปริมาณการผลิตก๊าซฯ ประมาณ 1,500 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันภายในปี 2573 และมีแผนที่จะทำการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ประมาณ 1.5 ล้านตันต่อปี เพื่อสนับสนุนเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์อีกด้วย

ในด้านการพัฒนาเทคโนโลยี ปตท.สผ. ได้จัดทำ 'EP Digital Platform' ซึ่งเป็นศูนย์รวมโครงการนวัตกรรมดิจิทัล ทั้งที่บริษัทพัฒนาขึ้น และพัฒนาร่วมกับพันธมิตร กว่า 65 โครงการ เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานอย่างครบวงจร ตั้งแต่งานด้านการสำรวจและการผลิตปิโตรเลียม การซ่อมบำรุง โลจิสติกส์ และความปลอดภัยและอาชีวอนามัย ซึ่งจะช่วยลดต้นทุน ลดระยะเวลาในการทำงาน และเพิ่มประสิทธิภาพให้กับองค์กร รวมถึง สร้างประโยชน์ให้กับภาคอุตสาหกรรมทั้งปัจจุบันและต่อไปในอนาคต 

ปตท.สผ. ยังได้ทำโครงการ 'Subsurface Data for U' เพื่อส่งมอบข้อมูลทางด้านธรณีศาสตร์จากการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมจริงจากการดำเนินงานของบริษัท ให้กับมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ที่มีการเรียนการสอนในสาขาธรณีศาสตร์และวิศวกรรมปิโตรเลียม เช่น ข้อมูลการสำรวจคลื่นไหวสะเทือน ข้อมูลหลุมเจาะ และข้อมูลด้านวิศวกรรมปิโตรเลียม ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพการเรียนการสอนและการศึกษาวิจัยให้กับสถาบันการศึกษาและนิสิตนักศึกษา เพื่อส่งเสริมการสร้างบุคลากรด้านธรณีศาสตร์ให้กับประเทศและส่งเสริมอุตสาหกรรมการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม

สำหรับการดำเนินงานเพื่ออนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลนั้น ปตท.สผ. ได้พัฒนาแพลตฟอร์มข้อมูลวิทยาศาสตร์ทางทะเล หรือ PTTEP Ocean Data Platform ขึ้น โดยร่วมมือกับหลายหน่วยงาน เพื่อรวบรวมข้อมูลวิทยาศาสตร์ทางทะเล ซึ่งเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่มีการใช้แท่นผลิตปิโตรเลียมนอกชายฝั่งเป็นสถานีเก็บข้อมูล เช่น ข้อมูลด้านอุตุนิยมวิทยาและสมุทรศาสตร์ รวมทั้ง แสดงผลการศึกษาปริมาณไมโครพลาสติกในทะเล การตรวจติดตามและระบุชนิดสัตว์ทะเลใต้ขาแท่นผลิตปิโตรเลียม เพื่อใช้ในการจัดทำแผนอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลอย่างมีประสิทธิภาพ 

ส่วนการดำเนินงานเพื่อเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 (Net Zero Greenhouse Gas Emissions by 2050) นั้น ณ สิ้นไตรมาส 2 นี้ ปตท.สผ. ได้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสะสมได้ประมาณ 3.22 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า เมื่อเทียบกับความเข้มการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปีฐาน 2563 โดยการบริหารจัดการการลงทุนในโครงการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมที่มีคาร์บอนต่ำ การจัดการหลุมผลิตที่เหมาะสม รวมถึง การจัดทำโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่าง ๆ เช่น การนำก๊าซส่วนเกินจากกระบวนการผลิตปิโตรเลียมกลับมาใช้ใหม่ การปรับปรุงกระบวนการผลิต การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และการใช้พลังงานหมุนเวียน เป็นต้น

สำหรับผลประกอบการในรอบ 6 เดือนแรกของปี 2567 ปตท.สผ. มีรายได้รวม 166,887 ล้านบาท (เทียบเท่า 4,608 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (สรอ.)) มีปริมาณขายปิโตรเลียมเฉลี่ยอยู่ที่ 489,879 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 8 เมื่อเทียบกับช่วงครึ่งแรกของปี 2566 ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการเพิ่มอัตราการผลิตปิโตรเลียมของโครงการ G1/61 สู่ระดับ 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันตามสัญญาแบ่งปันผลผลิต ตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ส่วนราคาขายผลิตภัณฑ์ปรับตัวลงเล็กน้อยจากราคาขายก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวลดลง โดยในช่วงครึ่งปีแรก บริษัทมีกำไรสุทธิ 42,660 ล้านบาท (เทียบเท่า 1,177 ล้านดอลลาร์ สรอ.) และมีต้นทุนต่อหน่วย (Unit Cost) อยู่ที่ 28.6 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ โดยมีอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคาที่ร้อยละ 76

ทั้งนี้ จากผลการดำเนินการดังกล่าว เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2567 คณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติเสนอจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล สำหรับผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรก ปี 2567 ที่ 4.50 บาทต่อหุ้น โดยกำหนดวันให้สิทธิผู้ถือหุ้น (Record Date) เพื่อรับสิทธิในการรับเงินปันผลวันที่ 14 สิงหาคม 2567 และจะจ่ายเงินปันผลในวันที่ 28 สิงหาคม 2567

นอกจากนี้ ในรอบครึ่งปีแรกของปี 2567 ปตท.สผ. ยังได้นำส่งรายได้ให้กับรัฐในรูปของภาษีเงินได้ ค่าภาคหลวง และส่วนแบ่งผลประโยชน์อื่น ๆ  จำนวนกว่า 30,170 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาประเทศด้านต่าง ๆ เช่น การพัฒนาชุมชน การศึกษา และการวิจัยและพัฒนา เป็นต้น นอกจากนี้ ส่วนแบ่งของผลผลิตปิโตรเลียมจากโครงการ G1/61 และ G2/61 ภายใต้สัญญาแบ่งปันผลผลิต (PSC) ยังเป็นรายได้อีกส่วนหนึ่งที่รัฐได้รับโดยตรงจากการผลิตปิโตรเลียม เพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาประเทศอีกด้วย

'ผู้เชี่ยวชาญ' แนะ!! สหรัฐฯ ควรปฏิรูป 'ระบบภาษี-สวัสดิการสังคม' ช่วยแก้ปัญหาระยะยาว หลังหนี้สาธารณะพุ่งแตะ 35 ล้านล้านเหรียญ

(31 ก.ค.67) Business Tomorrow รายงานว่า สหรัฐอเมริกากำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตหนี้สาธารณะที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อตัวเลขหนี้รวมของรัฐบาลกลางพุ่งทะลุ 35 ล้านล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรก สร้างความกังวลให้กับนักเศรษฐศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญทั่วโลก

ตัวเลขหนี้สาธารณะของสหรัฐอยู่เหนือระดับ 34 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงปลายเดือน ธ.ค. 2566 และในช่วง 3 เดือนก่อนหน้านั้น หนี้สาธารณะของสหรัฐได้ทำสถิติพุ่งขึ้นทะลุระดับ 33 ล้านล้านดอลลาร์

ข้อมูลจากมูลนิธิปีเตอร์ จี ปีเตอร์สัน (Peter G. Peterson Foundation) องค์กรที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดและมุ่งเน้นการจัดการกับความท้าทายด้านการคลังระยะยาวของสหรัฐ ระบุว่า หนี้สาธารณะจำนวน 35.001 ล้านล้านดอลลาร์นั้น หมายความว่าตัวเลขหนี้สินต่อประชากร 1 คนในสหรัฐอยู่ 103,945 ดอลลาร์

นางมายา แมคกินีส์ ประธานคณะกรรมการด้านงบประมาณของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ได้ออกมาเตือนถึงความรุนแรงของปัญหานี้ และเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินมาตรการแก้ไขอย่างเร่งด่วน 

ทั้งนี้มูลนิธิปีเตอร์ จี ปีเตอร์สัน ซึ่งเป็นองค์กรที่ศึกษาปัญหาการคลังระยะยาวของสหรัฐฯ ก็ได้ชี้ให้เห็นว่า หนี้สาธารณะที่พุ่งสูงขึ้นเป็นผลมาจากปัจจัยโครงสร้างที่ซับซ้อน และจำเป็นต้องมีการปฏิรูประบบภาษีและสวัสดิการสังคมเพื่อแก้ไขปัญหาในระยะยาว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top