Monday, 23 June 2025
NewsFeed

'ลุงสุทิน' ซัด!! 'ก้าวไกล' หลังบินดูงานรับผู้ลี้ภัยที่โปแลนด์  ลั่น!! ดูงานครั้งนี้ผลาญภาษี เพราะบริบทสงครามต่างกัน

(4 ก.ค.67) จากกรณี นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร นำคณะกมธ.เดินทางไปดูงานแนวทางการรับมือผู้ลี้ภัยที่ประเทศโปแลนด์

นายสุทิน วรรณบวร อดีตผู้สื่อข่าวสำนักข่าวต่างประเทศ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Sutin Wannabovorn’ ระบุว่า…

“ก้าวไกลคงอยากให้ไทยเหมือนโปแลนด์ที่ต้องรับผู้อพยพจากยูเครนหลายล้านคน นอกจากนั้นยังเป็นด่านหน้านาโตที่ส่งอาวุธมาพักไว้ก่อนส่งต่อให้เซเลนสกี แต่หากวางกระป๋องกาวลง แล้วจะพบว่าบริบทสงครามในยูเครนกับพม่าต่างกันเหมือนหน้ามือกับหลังตีน”

“รัฐบาลทหารพม่ายังควบคุมสถานการณ์ได้กว่า 90% ของประเทศ ที่ตะวันตกปั่นกระแสการสู้รบในพม่านั้น ล้วนแต่รบกันในพื้นที่ที่กองกำลังชาติพันธุ์รบกันเองภายในมาแล้วกว่าครึ่งศตวรรษไม่ได้รุกล้ำเข้าไปในพื้นที่ควบคุมรัฐบาลแต่อย่างใด ข่าวสู้รบในพม่าล้วนเป็นการปั่นกระแสของตะวันตกที่สนับสนุนฝ่ายต่อต้านทั้งด้านปัจจัยและยุทธวิธี”

พร้อมติดแฮชแท็กว่า ‘#จึงบอกพวกมึงว่าไปดูงานโปแลนด์เป็นการผลาญภาษีกู’

รมว.ปุ้ย’ ชื่นชม!! นวัตกรรม ‘น้ำมันอาโวคาโด’ สารพัดประโยชน์ ผลผลิตเม็ดงามของผู้ประกอบการ ผ่านแรงหนุนจากดีพร้อม

เมื่อวานนี้ (3 ก.ค.67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว เกี่ยวกับ ‘น้ำมันอาโวคาโด’ ผลผลิตจากผู้ประกอบการผ่านแรงหนุนจาก ‘ดีพร้อม’ โดยระบุว่า…

‘น้ำมันอาโวคาโด’ ผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจอย่างมากชนิดหนึ่งและกำลังมาแรงด้วยคุณค่าสารสำคัญที่ดีต่อสุขภาพ ดีต่อร่างกาย เล่าสู่กันฟังนะคะเป็นควันหลงจากวานนี้ ก่อนการประชุม ครม.วานนี้มีบูธผลงานนวัตกรรมการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากน้ำมันอโวคาโด เพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรสู่ความยั่งยืน ของ บริษัทริบูรณ์ฟาร์ม โดยได้รับการสนับสนุนจาก กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (ดีพร้อม) มาจัดแสดงให้กับ ครม.ทุกท่านได้ชมและเลือกซื้อหาค่ะ

‘น้ำมันอาโวคาโด’ คืออะไร คือน้ำมันที่ได้จากการสกัดอโวคาโดผลสดค่ะ มีอะไรอยู่ในนั้นบ้าง นี่เลยค่ะกรดโอเลอิก ในปริมาณสูงกว่า 70% ของไขมันในน้ำมันอาโวคาโด มีปริมาณลูทีนสูงมากสารชนิดนี้อยู่ในกลุ่มคาโรทีนอยด์ ช่วยลดอาการของโรคไขข้อ สรรพคุณสำคัญอีกอย่างคือบำรุงผิว ช่วยสมานแผล สามารถนำไปขยายผลิตภัณฑ์ได้อีกนานาชนิดค่ะ เฉพาะตัวน้ำมันอาโวคาโดมีจุดเกิดควัน สูงถึง 250-270 องศาเซลเซียส สูงกว่าน้ำมันพืชส่วนใหญ่ในตลาดนะคะ จุดเกิดควันคืออุณหภูมิที่เริ่มทำให้น้ำมันเสื่อมสภาพไป 

ดังนั้น เมื่อจุดเกิดควันสูงคุณค่าจากสารต่าง ๆ สูงด้วยค่ะ การนำไปประกอบการหารคุณค่าของสารอาหารอยู่ในนั้นครบถ้วน นี่คือนวัตกรรมที่ผู้ประกอบการจากการส่งเสริมของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมที่น่าชื่นชมอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ค่ะ กระทรวงอุตสาหกรรม กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมพร้อมนะคะ ผู้ประกอบการมีแนวคิดที่ดี มีวัตถุดิบรอการพัฒนา กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมพร้อมไปเป็นพี่เลี้ยงค่ะ

'อดีตทูตนริศโรจน์' เตือน!! อย่าหลงเชื่อบทความปลอมอ้างชื่อ ปธ.JETRO หลังพวกชังชาติ 'เขียนเอง-แชร์เอง' เพื่อดิสเครดิตไทย แนะ!! อย่าส่งต่อ

(4 ก.ค. 67) นายนริศโรจน์ เฟื่องระบิล อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา ได้โพสต์ข้อความเตือนผ่านเฟซบุ๊ก 'Fuangrabil Narisroj' ระบุว่า…

ช่วงนี้บทความ fake เรื่องประธาน JETRO เขียนตำหนิคนไทย เวียนกลับมาอีกแล้ว หลังจากออกมาหลายปีก่อน 

ทาง JETRO ได้เคยออกมาแถลงการณ์ปฏิเสธอย่างเป็นทางการตั้งแต่ปี 2557 แล้วว่า อดีตประธาน JETRO ไม่เคยเขียน

เบื้องหลังคือ บทความนั้นเป็นคนไทยเขียนขึ้นเองเพื่อด่าคนไทยกันเอง แต่เอาชื่อและตำแหน่งของอดีตประธาน JETRO มาสวมรอยแอบอ้าง

แบบนี้เจตนาไม่ดี ไม่สมควรครับ อย่าแชร์!!

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง สร้างชีวิต อย่างยั่งยืน มอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพให้แก่ครัวเรือนยากจน มอบจักรยานให้กับโรงเรียนในพื้นที่ชนบท พร้อมนำหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ออกบริการฟรีแก่ชาวสกลนคร

วันนี้ (วันพฤหัสบดีที่ 4 กรกฎาคม 2567) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายวิชิต ชินวงศ์วรกุล รองประธานกรรมการ เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ ที่ปรึกษาประธานกรรมการ นายสุรพงษ์ เตชะหรูวิจิตร กรรมการและรองเลขาธิการ นางศิริพร กระจ่างหล้า ผู้จัดการฝ่าสังคมสงเคราะห์ และ นางสาวศุภรัตน์ สมบัติเจริญไทย หัวหน้าแผนกส่งเสริมการศึกษาและอาชีพ ร่วมในพิธีมอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพให้กับครัวเรือนยากจนในพื้นที่จังหวัดสกลนคร จำนวน 29 ครัวเรือน พร้อมทั้งมอบรถจักรยานในโครงการ จักรยานเพื่อน้องสัญจร ครั้งที่ 5 จำนวน 100 คัน กระบอกน้ำ จำนวน 500 ใบ ให้แก่โรงเรียนที่ขาดแคลน จำนวน 10 แห่ง เพื่อให้นักเรียนที่ประสบปัญหาในการเดินทางได้ยืมเรียน รวมถึงเป็นการแบ่งเบาภาระค่าพาหนะแก่ผู้ปกครองได้อีกทางหนึ่ง อีกทั้งยังเสริมสร้างให้นักเรียนได้ออกกำลังกาย เรียนรู้กฎจราจร เรียนรู้การแบ่งปัน และดูแลรักษาสาธารณสมบัติร่วมกัน รวมมูลค่าสิ่งของที่มอบในครั้งนี้เป็นเงิน 922,660 บาท (เก้าแสนสองหมื่นสองพันหกร้อยหกสิบบาทถ้วน) โดยมี นายชยุต วงศ์วณิช รองผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนคร พร้อมด้วย นางสาวนิภา ทองก้อน ผู้อำนวยการสำนักเสริมสร้างความเข้มแข็งชุมชน เป็นประธานร่วมในพิธี นายสุรพล แก้วอินธิ ผู้ตรวจราชการกรมการพัฒนาชุมชน เขตตรวจราชการ ที่ 11 คณะเมตตาธรรมมูลนิธิสกลนคร ร่วมในพิธี รวมทั้ง ประชาชน เยาวชน และผู้แทนจากสถาบันการศึกษา เป็นผู้รับมอบ  ณ หอประชุมถนอมจันทร์เปล่ง กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 23 อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร

พร้อมกันนี้ นางสาวเนาวรัตน์ วรรณศิริ หัวหน้าแผนกหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน นำทีมหน่วยแพทย์ฯ และเจ้าหน้าที่กู้ชีพ  แผนกบรรเทาสาธารณภัยฯ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ลงพื้นที่ให้บริการประชาชนฟรี ประกอบด้วย บริการตรวจรักษาโรคทั่วไป จ่ายยา ตรวจวัดสายตาพร้อมแจกแว่น  และบริการตัดผม ฯลฯ โดยมีประชาชนเข้ารับบริการเป็นจำนวนมาก

โครงการแก้ไขปัญหาความยากจนเชิงบูรณาการ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้สนับสนุนอุปกรณ์ประกอบอาชีพ ช่วยเหลือครัวเรือนยากจน ตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือแก้ไขปัญหาความยากจน  ระหว่างกรมการพัฒนาชุมชนและมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง  ซึ่งมูลนิธิฯ ได้จัดงบประมาณดำเนินการเพื่อจัดหาวัสดุอุปกรณ์การประกอบอาชีพมอบให้แก่ครัวเรือนยากจน ให้สามารถประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัว โดยในกลุ่มเป้าหมายแรกดำเนินการในพื้นที่ภาคกลาง 17 จังหวัด รวม 98 ครัวเรือน ต่อมา ได้ดำเนินการในพื้นที่จังหวัดทางภาคเหนือ 17 จังหวัด รวม 230 ครัวเรือน ซึ่งได้ดำเนินการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และในขณะได้พิจารณาพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวม 20 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดบุรีรัมย์ สุรินทร์ กาฬสินธุ์ ชัยภูมิ นครราชสีมา อุดรธานี มุกดาหาร หนองบัวลำภู บึงกาฬ ยโสธร ศรีสะเกษ มหาสารคาม ขอนแก่น อุบลราชธานี ร้อยเอ็ด อำนาจเจริญ สกลนคร เลย หนองคาย และ นครพนม ซึ่งปัจจุบันทางมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ลงพื้นที่มอบไปแล้วรวมทั้งสิ้น 12 จังหวัด

ตลอดระยะเวลา 114 ปี ที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง  ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ  ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลายทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป ดังปณิธาน มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung

#มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง #ช่วยชีวิต #รักษาชีวิต #สร้างชีวิต 
#แอปพลิเคชันป่อเต็กตึ๊ง1418
#ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน

'ภูมิธรรม' ขยายผล 'เศรษฐา' จับมือมาเลฯ ดันเป้า 1 ล้านล้านบาท ภายในปี 70 พร้อมเชื่อมโยงชายแดนใต้ด้วย Twins City

ภูมิธรรม เดินหน้าผลักดันให้มาเลเซียอำนวยความสะดวกและเปิดตลาดนำเข้าสินค้าเกษตรจากไทย ตลอดจนยกระดับความเชื่อมโยงเศรษฐกิจชายแดนใต้ให้เป็นรูปธรรม หนุนการค้าสองฝ่ายขยายตัว พร้อมขยายความร่วมมือฮาลาล ดันแฟรนไชส์ไทยไปยังมาเลเซียมากขึ้น

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยหลังการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า ไทย -มาเลเซีย (Thailand  -Malaysia Joint Trade Committee :JTC) ครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2567 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ว่า ทั้งสองฝ่ายมีความสัมพันธ์อันดีในทุกระดับโดยเฉพาะผู้นำประเทศโดยท่านนายกรัฐมนตรีประเทศมาเลเซีย อันวาร์ อิบราฮิม กับนายกรัฐมนตรีประเทศไทย เศรษฐา ทวีสิน ได้มีการพบปะหารือเกี่ยวกับด้านเศรษฐกิจกันอย่างบ่อยครั้ง โดยมีการปรึกษาเกี่ยวกับเศรษฐกิจการค้าอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งการมาเยือนมาเลเซียของผมในครั้งนี้ ผมได้มาสานต่อให้กับท่านผู้นำทั้งสองประเทศ ซึ่งจะมีผลที่สามารถนำไปกำหนดทิศทางอย่างเป็นรูปธรรม 

“การมาครั้งแรกหลังจากที่ได้รับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งผมมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากประเทศมาเลเซียเป็นเพื่อบ้านใกล้ชิดและเป็นประเทศคู่ค้าอันดับ 1 ในอาเซียนของไทย โดยการประชุมในครั้งนี้ ทั้ง 2 ประเทศ จะเดินหน้าทางเศรษฐกิจอย่างเต็มที่เพื่อส่งเสริมการค้าให้บรรลุเป้าหมาย 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือ 1 ล้านล้านบาทภายในปี 2570 ตามที่นายกรัฐมนตรีสองฝ่ายตั้งเป้าหมายไว้ โดยจะอำนวยความสะดวกในการเปิดตลาดสินค้าเกษตรของทั้งสองฝ่ายให้รวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งไทยได้ขอให้มาเลเซียเร่งอนุญาตนำเข้าเนื้อโค เนื้อสุกร และนกเขาชวาเสียง รวมทั้งตรวจรับรองผู้ผลิตสินค้าไก่สดแช่เย็นแช่แข็งของไทยในการส่งออกไปยังมาเลเซีย”

นายภูมิธรรมเสริมว่า ทั้งสองฝ่ายจะเดินหน้าเชื่อมโยงเศรษฐกิจชายแดนและเพิ่มตัวเลขการค้าชายแดน โดยเร่งรัดให้คณะทำงานด้านการค้าชายแดน และการค้าการลงทุนที่นายกรัฐมนตรีสองฝ่ายได้จัดตั้งขึ้นทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด ซึ่งมาเลเซียจะเป็นเจ้าภาพการประชุมคณะทำงานครั้งแรกปลายเดือนกรกฎาคมนี้ เพื่อเป็นกลไกส่งเสริมและแก้ไขปัญหาการค้าและการลงทุนชายแดน และไทยได้เสนอการเชื่อมโยงเศรษฐกิจท้องถิ่นระหว่าง 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย กับ 5 รัฐตอนเหนือของมาเลเซียในรูปแบบเมืองคู่แฝดทางการค้า ระหว่างจังหวัดนราธิวาส-รัฐกลันตัน สงขลา-รัฐเคดาห์ สตูล-รัฐเปอลิส ยะลา-รัฐเปรัก และปัตตานี-รัฐตรังกานู ตลอดจนได้ผลักดันให้เร่งหาข้อสรุปในการจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการขนส่งสินค้าและผู้โดยสารข้ามพรมแดนระหว่างไทย-มาเลเซีย เพื่อให้ลงนามได้ภายในปีนี้ นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยินดีต่อความคืบหน้าการก่อสร้างถนนเชื่อมด่านสะเดาแห่งใหม่และด่านบูกิตกายูฮิตัมฝั่งมาเลเซียที่กำหนดจะแล้วเสร็จในปี 2568 ซึ่งจะทำให้การขนส่งสินค้าและการเดินทางของนักท่องเที่ยวข้ามพรมแดนสะดวกมากยิ่งขึ้น

นายภูมิธรรม กล่าวด้วยว่า ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะส่งเสริมความร่วมมือใหม่ๆ โดยเฉพาะการส่งเสริมผู้ประกอบการด้านฮาลาล และธุรกิจแฟรนไชส์ที่ไทยมีศักยภาพไปยังมาเลเซีย รวมถึงความร่วมมือด้านดิจิทัลและดาต้าเซนเตอร์ที่รัฐบาลทั้งสองฝ่ายให้ความสำคัญ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการสร้างสภาพแวดล้อม ที่เอื้ออำนวยต่อการค้า ดึงดูดการลงทุน และเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัล 

โดยในช่วงท้าย นายภูมิธรรม ได้ประชาสัมพันธ์เชิญชวนฝ่ายมาเลเซียเข้าร่วมงานมหกรรมการค้าชายแดน ณ จังหวัดสงขลา รวมทั้งกิจกรรมส่งเสริมการค้าของไทยในปี 2567 ที่จะจัดขึ้นในประเทศมาเลเซีย เช่น งาน Thailand Week 2024 และงานแสดงสินค้านานาชาติในประเทศไทยด้วย

ในนามรัฐบาลไทยขอขอบคุณอีกครั้งที่ได้ร่วมกันผลักดันการประชุมในวันนี้ให้สำเร็จอย่างมีประสิทธิภาพในส่วนของฝ่ายไทยของจะนำผลประชุมในครั้งนี้ไปกราบเรียนนายกรัฐมนตรีให้ทราบถึงการผลักดันเศรษฐกิจร่วมของทั้งสองประเทศในครั้งนี้เพื่อผมจะรอต้อนรับคณะรัฐตรีและผู้บริหารของมาเลเซียในการประชุม JTC ครั้งที่ 4 ที่ไทย

ทั้งนี้ มาเลเซียเป็นประเทศเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทยในอาเซียน และอันดับที่ 4 ของไทยในโลก และเป็นคู่ค้าชายแดนอันดับ 1 ของไทย ในปี 2566 การค้ารวมไทย-มาเลเซีย มีมูลค่า 25,118.03 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (-7.14%) สำหรับในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2567 (ม.ค.-พ.ค.) การค้าสองฝ่ายมีมูลค่า 10,787.02 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (-0.54%) โดยเป็นการส่งออก 5,046.26 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และนำเข้า 5,740.76 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

‘พ่อค้าแม่ค้า’ โอด!! เศรษฐกิจไทยย่ำแย่ ทำลูกค้าหายเกลี้ยง ลั่น!! ขายวันละ 18 ชม.ได้ไม่ถึง 3,000 บาท หักลบแทบไม่เหลือ

(4 ก.ค. 67) รายงานข่าวระบุว่า หากพูดถึงสภาพเศรษฐกิจไทยในช่วงนี้ หลายคนคงได้รับผลกระทบอย่างเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะพ่อค้า แม่ค้า หรือแม้แต่ธุรกิจขายปลีกที่โดนตลาดออนไลน์จีนแทรกแซงและขายในราคาถูกมาก จนได้รับผลกระทบกันไปตาม ๆ กัน

โดยจะเห็นได้จากโลกโซเชียล เมื่อผู้ใช้ติ๊กต็อกรายหนึ่ง @peolove1 ถ่ายบรรยากาศของร้านขายเสื้อผ้าที่เงียบเหงา ไม่มีลูกค้าเข้ามาจับจ่าย พร้อมเผยว่า สินค้าจีนทะลักเข้าไทย ตลาดออนไลน์ขายถูกกว่าร้านขายส่ง ทำให้คนหันไปซื้อของออนไลน์มากขึ้น และตลาดปลีกส่งก็ต้องเงียบลง

ขณะเดียวกันติ๊กต็อกชื่อ @honeyghetti แม่ค้าขายอาหารตามสั่ง เผยว่า ทุกวันนี้ยังเรียกตัวเองว่าแม่ค้าได้อยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้ ตลกตัวเอง ขายของไปแล้ววันละ 18 ชั่วโมง ขายของได้ไม่ถึง 3,000 บาท หักค่าเช่าและค่าพนักงานไปหนึ่งพัน ส่วนแม่ค้าหลายคนที่ร่วมชะตากรรมทั้งหลาย นั่งกินข้าว นั่งเล่นเกม นั่งกินขนม ถ้าวันนี้คุณขายของเงียบเหงา วังเวง เราคือเพื่อนกัน

ช่องติ๊กต็อกดังกล่าวได้ตอบกลับคอมเมนต์ “พอเงียบก็บ่น ไม่พัฒนาตัวเอง โทษแต่รัฐบาล โทษฟ้าฝน” ว่า เอาจริง ๆ บางอย่าง เราไม่สามารถจะทำด้วยตัวเราเองได้ เราพัฒนาตัวเองแล้ว ปรับปรุงร้าน ลงทุนเพิ่มแล้ว แต่บางอย่างที่เราไม่สามารถทำเองได้ เช่น ของแพง ผักแพง น้ำมันแพง

นอกจากนี้ยังมี เจ้าของธุรกิจร่วม 10 ปี ออกมาเปิดใจผ่านติ๊กต็อกว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้ มันแย่มาก ขายของเงียบมาก ถ้าไม่เท่าทุนก็เข้าเนื้อ เป็นแบบนี้ทุกเดือน เมื่อก่อนจากห้างที่เคยขายดีมาก ๆ ตอนนี้ค่าที่บางทียังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ หนำซ้ำค่าที่ยังขึ้นด้วย ไม่รู้ว่ารัฐบาลมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอะไรบ้าง

ถัดมา ผู้ใช้ติ๊กต็อกอีกราย @sprince.s ถ่ายบรรยากาศร้านที่เงียบเหงา พร้อมเผยว่า ตลาดเงียบมาก ปีนี้ 2024 ยิ่งชัดขึ้น ว่าเศรษฐกิจแย่หนักขึ้นเรื่อย ๆ ไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นเลย หลายห้างร้าน ตลาดออนไลน์ก็เงียบตัวลงเหมือนกัน ไม่ว่าหน้าร้าน-ออนไลน์ หลายร้านก็เงียบลงหมด เราก็เป็นผู้บริโภคคนหนึ่งที่ซื้อของออนไลน์ เดินตลาด ห้างสรรพสินค้าเราเดินปกติ แต่มองเห็นหลาย ๆ อย่างก็สงสารประชาชนเรา ๆ นี่แหละ

‘SpaceX’ ลุยปล่อยดาวเทียม ‘Starlink’ สู่อวกาศเพิ่ม 20 ดวง แถม 13 ดวงในนี้ สามารถปล่อย ‘คลื่นมือถือ’ ตรงสู่เครื่องได้

(4 ก.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สเปซเอ็กซ์ (SpaceX) บริษัทเอกชนด้านอวกาศสัญชาติสหรัฐฯ ส่งดาวเทียมอินเทอร์เน็ตสตาร์ลิงก์ (Starlink) ขึ้นสู่วงโคจรเพิ่ม 20 ดวง เมื่อวันพุธ (3 ก.ค.67) ซึ่งในจำนวนนี้มีดาวเทียม 13 ดวงที่สามารถปล่อยสัญญาณโทรศัพท์มือถือตรงสู่เครื่อง (direct-to-cell) โดยไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์อื่นเพิ่มเติม

จรวดฟอลคอน 9 (Falcon 9) ซึ่งบรรทุกกลุ่มดาวเทียมดังกล่าว ทะยานออกจากฐานทัพอวกาศเคปคานาเวอรัล ในรัฐฟลอริดาของสหรัฐฯ ตอน 04.55 น. ตามเวลาตะวันออก หลังจากเกิดปัญหาทางเทคนิคที่ทำให้ล่าช้าไปสองชั่วโมง

ต่อมาไม่นาน จรวดบูสเตอร์ท่อนแรก (first stage) ของฟอลคอน 9 ได้ร่อนลงสู่เรือโดรนที่ประจำการอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติก ซึ่งนับเป็นการปล่อยตัวและลงจอดครั้งที่ 16 สำหรับบูสเตอร์ตัวนี้

เปิดเรื่องราว ‘ทหารเด็ก’ เครื่องมือจักรกลสงคราม ของพวกไร้จิตสำนึก ‘บังคับ-หลอกใช้’ ให้กระทำความผิด ไม่คำนึงผลที่จะตามมาในอนาคต

ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นทั่วโลก นอกจากการใช้นักรบวัยฉกรรจ์กระทั่งวัยชราแล้ว ยังมีพวกชั่วช้าสามานย์บังคับใช้เด็กให้มาเป็นนักรบอีกด้วย วันนี้จึงขอนำเรื่องของการใช้เด็กเป็นทหารมาเล่าให้ฟัง…

การนำเด็กมากระทำความผิดเกิดขึ้นมาอย่างยาวนานมาก แม้แต่ในบ้านเรามีการบังคับเด็กให้เป็นขอทาน หลอกล่อเด็กให้กระทำความผิดต่าง ๆ ปล้น ชิง วิ่งราว ล้วงกระเป๋า ขายของ กระทั่งขนและขายยาเสพติด ตลอดจนสิ่งผิดกฎหมายอื่น ๆ ฯลฯ โดยไม่สนใจถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับเด็ก ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรม หรือลักษณะนิสัยที่เปลี่ยนไป ผลกระทบด้านจิตใจ ตลอดจนการถูกดำเนินคดี ซึ่งเด็ก ๆ และครอบครัวต้องเผชิญชะตากรรมที่ถูกล่อลวงให้กระทำความผิดตามลำพัง และโดดเดี่ยว ผู้ที่หลอกลวงและอยู่เบื้องหลังจึงเป็นพวกที่เลวและชั่วช้ามาก ๆ เช่นที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน

การบังคับเด็กมาเป็นทหารก็เฉกเช่นเดียวกัน ทหารเด็กนับเอาเด็กในกองกำลังติดอาวุธที่อายุต่ำกว่า 18 ปีลงมา 

อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (Convention on the Rights of the Child : CRC) ห้ามการใช้เด็กที่อายุต่ำกว่า 18 ปี เข้าร่วมในปัญหาซึ่งมีความขัดแย้งกันและมีการใช้กำลังอาวุธ นอกจากนั้นการใช้เด็กต่ำกว่า 15 ปีเป็นทหารถือเป็นการก่ออาชญากรรมสงครามอีกด้วย โดยประเทศส่วนใหญ่ในโลกนี้ต่างเห็นด้วยกับการห้ามใช้ทหารเด็กทั้งที่อยู่ในกองกำลังฝ่ายรัฐบาล หรือของกลุ่มติดอาวุธอื่น ๆ 

น้อยคนในโลกนี้ที่จะทราบว่า นักรบที่ได้รับการกล่าวขานว่ามีความเหี้ยมโหดที่สุดในโลกกลุ่มหนึ่งเป็น ‘ทหารเด็ก’ ซึ่งเป็นเยาวชนที่มีอายุระหว่าง 7-18 ปี หรืออาจจะน้อยกว่านั้น ที่มีกระจัดกระจายอยู่ทั่วโลกนับแสนคน ทั้งนี้เพราะ ‘ทหารเด็ก’ หรือ ‘นักฆ่ารุ่นเยาว์’ เหล่านี้ ได้รับการวิเคราะห์จากโลกตะวันตกแล้วว่า เป็นนักฆ่าที่สามารถสังหารผู้คนได้เพียงเพราะต้องการฆ่า หรือเพียงเพราะได้รับคำสั่งให้ฆ่า เป็นการฆ่าด้วยจิตใต้สำนึก ไม่ใช่การฆ่าด้วยอุดมการณ์ เป็นการฆ่าที่ปราศจากความยั้งคิดใด ๆ ทั้งสิ้น อันเนื่องมาจากความด้อยประสบการณ์ ความไร้เดียงสา และการขาดความรู้ที่เพียงพอ ‘ทหารเด็ก’ บางคนเริ่มสังหารผู้คนตั้งแต่ยังไม่สามารถจำอายุของตนได้เลย 

ทั้งนี้ ‘Mike Wessells’ นิตยสาร The Atomic Scientists ของสหรัฐฯ ได้วิเคราะห์ถึงการใช้ ‘ทหารเด็ก’ เป็นเครื่องมือ ‘จักรกลสงคราม’ ในการทำสงครามกลางเมืองของประเทศต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นในทวีปแอฟริกา เช่น ประเทศเซียร่า ลีโอน, ชาด, บุรุนดี, โซมาเลีย, เอธิโอเปีย เป็นต้น และในทวีปเอเชีย เช่น พม่า, จีน ในอเมริกากลาง เช่น ชิลี, เอล ซัลวาดอร์, ปารากวัย เป็นต้น หรือแม้กระทั่งในยุโรป เช่น เซอร์เบีย และบอสเนีย เป็นต้น

โดย Wessells ระบุว่า เหล่านักรบรุ่นเยาว์เหล่านี้บางคนก้าวเข้าสู่สงครามตั้งแต่อายุ 7 ขวบ ทั้ง ๆ ที่ในช่วงอายุดังกล่าวควรเป็นช่วงเวลาที่พวกเขาควรได้รับโอกาสทางการ ‘ศึกษา’ มากกว่าได้รับโอกาสในการ ‘เข่นฆ่าประหัตประหาร’ สงครามที่เหล่านักรบรุ่นเยาว์เข้าไปมีส่วนด้วย มักเป็นสงครามที่มีความขัดแย้งทางเชื้อชาติ และเป็นสงครามกลางเมืองที่มีรูปแบบของการรบแบบกองโจรเสียเป็นส่วนใหญ่ ไม่ใช่สงครามตามแบบแผนที่มีแนวรบแน่นอนตายตัวเหมือนในอดีตที่ผ่านมา

เด็ก ๆ เหล่านี้เริ่มต้นด้วยการเป็นผู้ช่วยในครัวสนาม เป็นยามรักษาการณ์ เป็นหน่วยสอดแนม เป็นสายลับในการรวบรวมข่าวสาร แล้วได้รับการพัฒนาขึ้นมาเป็นกลุ่มที่คอยก่อการจลาจล ด้วยการขว้างปาก้อนหิน เผาอาคารสถานที่ ลักลอบส่งอาวุธให้กับกลุ่มทหารของตน จนถึงขั้นสุดท้ายของการพัฒนาคือ เข้าสวมเครื่องแบบ จับอาวุธสงคราม มีการฝึกฝนการใช้อาวุธประจำกายและยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ

โดย UNICEF ได้มีการเปิดเผยว่า กองทัพฝ่ายรัฐบาลที่เกณฑ์ทหารเด็กแบบใช้กำลังบังคับ อาทิ เอล ซัลวาดอร์ เอธิโอเปีย กัวเตมาลา และพม่า ส่วนกลุ่มติดอาวุธอื่นที่บังคับเด็กมาเป็นทหาร เช่น แองโกลา โมซัมบิก ศรีลังกา และซูดาน ส่วนที่พบว่าส่วนใหญ่เด็กสมัครใจมาเอง ได้แก่ ไลบีเรีย 

นอกจากนั้น องค์การนิรโทษกรรมสากล ยังระบุด้วยว่า ทหารเด็กส่วนใหญ่ถูกฆ่า หากรอดชีวิตก็มีที่พิการ เป็นเหยื่อของการถูกข่มขืนและล่วงละเมิดทางเพศอื่น ๆ มีบาดแผลในด้านจิตใจติดตัวไปจนตลอดชีวิต

การเคลื่อนไหวเพื่อยุติการใช้ทหารเด็ก การใช้ทหารเด็กเป็นเรื่องปกติตลอดประวัติศาสตร์ ในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมามีการปฏิบัติตามคำวิจารณ์ที่มีข้อมูล และความพยายามร่วมกันเพื่อยุติปัญหานี้ ความคืบหน้าเป็นไปอย่างเชื่องช้า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมีกองกำลังติดอาวุธจำนวนมากต้องพึ่งพาเด็ก ๆ เพื่อเติมเต็มจำนวนทหารของพวกเขา และส่วนหนึ่งเป็นเพราะพฤติกรรมของกลุ่มติดอาวุธที่ไม่ใช่ฝ่ายรัฐบาลนั้นยากที่จะตรวจสอบและจัดการ

ช่วงทศวรรษ 1970-1980 มีความพยายามระหว่างประเทศในการจำกัดการมีส่วนร่วมของเด็ก ๆ ในความขัดแย้งด้วยอาวุธเริ่มต้นจากพิธีสารเพิ่มเติมของอนุสัญญาเจนีวาปี 1949 ซึ่งรับรองในปี 1977 (มาตรา 77.2) พิธีสารใหม่ห้ามการเกณฑ์ทหารจากเด็กที่อายุต่ำกว่า 15 ปี แต่ยังคงอนุญาตให้กองกำลังของรัฐและกลุ่มติดอาวุธที่ไม่ใช่รัฐรับสมัครเด็กตั้งแต่อายุ 15 ปี และใช้ในการทำสงคราม มีความพยายามในระหว่างการเจรจาเกี่ยวกับการต่ออายุอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (CRC) เมื่อองค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) ต่าง ๆ รณรงค์ให้สนธิสัญญาฉบับใหม่ว่าด้วยการจัดหาเด็กผิดกฎหมายโดยสิ้นเชิง ในบางประเทศซึ่งมีกองกำลังด้วยอาศัยการเกณฑ์ทหารที่อายุต่ำกว่า 18 ปี ได้ต่อต้านเรื่องนี้ ดังนั้นข้อความสนธิสัญญาฉบับสุดท้ายของปี 1989 จึงสะท้อนให้เห็นเพียงมาตรฐานทางกฎหมายที่มีอยู่เท่านั้น : การห้ามไม่ให้เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปี เข้ามีส่วนร่วมในการรบโดยตรงในสงคราม 

ในช่วงทศวรรษ 1990 องค์กรพัฒนาเอกชนต่าง ๆ ได้จัดตั้งแนวร่วมเพื่อหยุดการใช้ทหารเด็ก (ปัจจุบันคือ Child Soldiers International) เพื่อทำงานร่วมกับรัฐบาลที่เข้าใจและเห็นด้วยในการรณรงค์เพื่อทำสนธิสัญญาฉบับใหม่สำหรับแก้ไขข้อบกพร่องที่พบเห็นใน CRC หลังจากการรณรงค์ทั่วโลกเป็นเวลาหกปีสนธิสัญญาดังกล่าวก็ได้รับการรับรองในปี 2000 เป็นพิธีสารเลือกรับว่าด้วยการมีส่วนร่วมของเด็กในความขัดแย้ง (OPAC) สนธิสัญญาห้ามการเกณฑ์เด็ก ตรวจสอบให้แน่ใจว่าการเกณฑ์ทหารต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 16 ปี และห้ามใช้การเกณฑ์เด็กเข้าร่วมในการสู้รบ สนธิสัญญาดังกล่าวยังห้ามไม่ให้กลุ่มติดอาวุธที่ไม่ใช่รัฐจัดหาบุคคลที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปีเพื่อวัตถุประสงค์ใด ๆ แม้ว่าประเทศส่วนใหญ่ที่ร่วมเจรจากับ OPAC จะสนับสนุนการห้ามคัดเลือกเด็กเพื่อเป็นทหาร แต่บางประเทศนำโดยสหรัฐฯ ซึ่งเป็นพันธมิตรกับสหราชอาณาจักรคัดค้านเรื่องนี้ ด้วยเหตุนี้สนธิสัญญาจึงไม่ห้ามการจัดหาเด็กอายุ 16 หรือ 17 ปี แม้ว่าจะอนุญาตให้ชาติต่าง ๆ ผูกมัดตัวเองกับมาตรฐานที่สูงกว่าที่กำหนดในกฎหมาย

อย่างไรก็ตาม ยุค 2000 - ปัจจุบัน ‘Red Hand Day’ ซึ่งเป็นวันต่อต้านการใช้ทหารเด็กสากล มีเครื่องหมายแสดงรอยมือสีแดง

หลังจากการรับรองพิธีสารเลือกรับว่าด้วยการมีส่วนร่วมของเด็กในความขัดแย้ง การรณรงค์เพื่อการให้สัตยาบันทั่วโลกได้ดำเนินไปอย่างรวดเร็ว ในปี 2018 OPAC ได้รับการรับรองสัตยาบันโดย 167 ประเทศ การรณรงค์ดังกล่าวยังสนับสนุนให้หลาย ๆ ประเทศไม่รับสมัครเด็กเป็นทหารเลย ในปี 2001 มี 83 ประเทศเกณฑ์ทหารเฉพาะผู้ใหญ่ (อายุ 18 ปีขึ้นไป) เท่านั้น ภายในปี 2016 จำนวนนี้เพิ่มขึ้นเป็น 126 ประเทศซึ่งเป็น 71% ของประเทศที่มีกองกำลังติดอาวุธ กลุ่มติดอาวุธที่ไม่ใช่ฝ่ายรัฐประมาณ 60 กลุ่มได้ทำข้อตกลงเพื่อหยุดยั้ง หรือลดขนาดการใช้ประโยชน์จากเด็ก ซึ่งมักจะดำเนินการโดย UN หรือองค์กรพัฒนาเอกชน เช่น Geneva Call

Child Soldiers International รายงานว่าความสำเร็จของสนธิสัญญา OPAC บวกกับการลดลงทีละน้อยในการเกณฑ์เด็กโดยกองกำลังของรัฐบาล ทำให้เด็กในกองกำลังทางทหารทั่วโลกลดลง ในปี 2018 การเกณฑ์และการใช้ทหารเด็กยังคงมีอยู่ทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ISIS และ Boko Haram ตลอดจนกลุ่มติดอาวุธที่ยังคงต่อสู้อยู่ ซึ่งใช้นักรบเด็กอย่างมากมาย นอกจากนี้สามประเทศที่มีประชากรมากที่สุด ได้แก่ จีน อินเดีย และสหรัฐอเมริกา ยังอนุญาตให้กองกำลังติดอาวุธเกณฑ์เด็กอายุ 16 หรือ 17 ปี เช่นเดียวกับห้าประเทศในกลุ่ม G-7 : แคนาดา ฝรั่งเศส เยอรมนี สหราชอาณาจักรและ สหรัฐอเมริกา

ปัจจุบันมีถึง 195 ประเทศในโลกที่ลงนามร่วมเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ซึ่งมีการประกาศใช้ในปี 1989 และมีผลบังคับใช้เมื่อปี 1990 ซึ่งประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคีสมาชิกตั้งแต่ปี 1992 และยังเข้าเป็นภาคีสมาชิกพิธีสารต่อท้ายอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กอีก 3 ฉบับ คือ พิธีสารเลือกรับฯ เรื่องการขายเด็ก การค้าประเวณี และสื่อลามกที่เกี่ยวกับเด็ก (Optional Protocol to the Convention on the Rights of the Child on the sale of children, child prostitution and child pornography) พิธีสารเลือกรับฯ เรื่องความเกี่ยวพันของเด็กในความขัดแย้งกันด้วยอาวุธ (Optional Protocol to the Convention on the Rights of the Child on the involvement of children in armed conflict) ซึ่ง 2 ฉบับดังกล่าว ไทยเข้าเป็นภาคีเมื่อปี 2006 และฉบับที่ 3 เป็นพิธีสารเลือกรับฯ เรื่องกระบวนการติดต่อร้องเรียน (Optional Protocol to the Convention on the Rights of the Child on a communications procedure) ไทยเข้าเป็นภาคีเป็นประเทศแรกในโลกเมื่อ 25 กันยายน 2012

หลักการสำคัญของสิทธิเด็กที่ต้องเข้าใจก่อน คือ สิทธิของเด็ก ไม่ใช่เรื่องที่รัฐหรือใครให้กับเด็ก แต่เป็นสิทธิของเด็กทุกคนที่มีติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด โดยไม่มีผู้ใดสามารถไปตัดทอน หรือจำกัดการใช้สิทธิอันชอบธรรมของเด็ก หรือละเมิดสิทธิของเด็กได้ และการดำเนินการใด ๆ ที่เกี่ยวกับเด็ก ต้องคำนึงถึงสิทธิเด็ก และยึดถือหลักประโยชน์สูงสุดของเด็ก อนุสัญญานี้ยังกำหนดสิทธิเด็กขั้นพื้นฐานไว้ 4 ด้าน ดังนี้

1. สิทธิในชีวิตและการอยู่รอด : สิทธิมีชีวิตและความต้องการขั้นพื้นฐานที่จะดำรงชีวิตอยู่ได้ ได้รับการดูแลสุขภาพขั้นพื้นฐาน และมีความปลอดภัย

2. สิทธิในการได้รับการปกป้องคุ้มครอง : ให้รอดพ้นจากการทำร้าย การล่วงละเมิด การละเลย การนำไปขาย การใช้แรงงานเด็ก การเลือกปฏิบัติ และการแสวงประโยชน์โดยมิชอบในรูปแบบอื่น ๆ 

3. สิทธิในการพัฒนา : สิ่งที่เด็กต้องการเพื่อจะไปถึงศักยภาพอย่างสมบูรณ์ การพัฒนาทางด้านจิตใจ สิทธิที่จะได้เล่นและพักผ่อน และอื่น ๆ 

4. สิทธิในการมีส่วนร่วม : เปิดโอกาสให้เด็กมีสิทธิแสดงความคิดเห็น แสดงออก มีผู้รับฟัง และมีส่วนร่วมในการตัดสินใจในเรื่องที่มีผลกระทบต่อตนเอง

หลังจากได้เข้าเป็นภาคีสมาชิกในปี 1992 บ้านเราโดยกระทรวงกลาโหมได้ดำเนินการในตามภาคีอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก การรับสมัครบุคคลเพื่อบรรจุเป็นหน่วยรบมีการกำหนดชัดเจนโดยจำกัดอายุขั้นต่ำในการสมัครเข้าโรงเรียนทหาร โดยให้มีความสัมพันธ์ในเรื่องของอายุถูกต้องเมื่อจบการฝึกฝนอบรม และประจำการด้วยอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี ส่วนการเกณฑ์ทหารกำหนดที่ 21 ปีตลอดมาตั้งแต่ต้น เช่นเดียวกับนักศึกษาวิชาทหารจะได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นกำลังสำรองเมื่ออายุครบ 18 ปีเช่นกัน บ้านเราจึงไม่มีปัญหาในเรื่องของทหารเด็ก เว้นแต่ในคราวที่ญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกในหลาย ๆ จุด โดยสมรภูมิที่จังหวัดนครศรีธรรมราชและชุมพร มียุวชนทหารจำนวนหนึ่งได้เข้าร่วมกับทหารและตำรวจในการรบกับกองทัพญี่ปุ่นเพื่อปกป้องชาติบ้านเมืองอย่างกล้าหาญ และได้รับพระราชทานเหรียญชัยสมรภูมิ (เอเชียบูรพา) อย่างสมเกียรติ

การบังคับหรือล่อลวงเด็กให้กระทำผิดนั้น เป็นเรื่องที่เหี้ยมโหดและชั่วช้าสามานย์ยิ่ง มีแต่คนที่อุบาทว์ชาติชั่วเลวทรามจริง ๆ เท่านั้นถึงทำได้ เพราะเด็ก ๆ ทั้งไร้เดียงสา ขาดความเข้าใจ จึงไม่มีวุฒิภาวะพอ เมื่อถูกหลอกลวงด้วยคำพูด ถ้อยคำ โฆษณาชวนเชื่อ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจึงหลงเชื่อ แต่เมื่อได้กระทำการจนกลายเป็นความผิดสำเร็จไปแล้ว จึงต้องรับโทษตามกฎหมายโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เช่นเดียวกับการเกณฑ์และบังคับใช้ทหารเด็ก ซึ่งสมควรต้องประนามหยามเหยียดคนเหล่านี้อย่างเต็มที่จนถึงที่สุด

‘ขสมก.’ อัปเดต!! ยุติการเดินรถเมล์เพิ่ม ‘14 เส้นทาง’ มอบไม้ต่อ ‘เอกชน’ เดินรถตามแผนปฏิรูปรถโดยสาร

(4 ก.ค.67) รายงานข่าวระบุว่า องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) แจ้งเปลี่ยนผ่าน การให้บริการรถโดยสารเส้นทางปฏิรูปฯ ตั้งแต่วันที่ 25 กรกฎาคม 2567 เป็นต้นไป ทั้งหมด 14 เส้นทาง เพื่อส่งต่อเอกชนเดินรถแทน ตามมติคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจและมติคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลาง 

ขสมก. ประกาศ 'หยุดเดินรถเมล์' 14 เส้นทาง เช็กสายรถเมล์ทดแทน

- สาย 1 ถนนตก-ท่าเตียน (สาย 3-35)

- สาย 4 ท่าเรือคลองเตย-ท่าน้ำภาษีเจริญ (สาย 3-36)

- สาย 11 อู่เมกาบางนา-มาบุญครอง (สาย 3-3)

- สาย 12 ห้วยขวาง-เศรษฐการ (สาย 3-37)

- สาย 25 ท่าช้าง-ปากน้ำ (สาย 3-6)

- สาย 71 สวนสยาม-วัดธาตุทอง (สาย 1-39)

- สาย 77 เซ็นทรัลพระราม 3-สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (จตุจักร) (สาย 3-45)

- สาย 80 ก. หมู่บ้าน วปอ.11-สำนักงานเขตบางกอกใหญ่ (สาย 4-44)

- สาย 82 พระประแดง-บางลำพู (สาย 4-15)

- สาย 84 อ้อมใหญ่-คลองสาน (สาย 4-46)

- สาย 88 วัดคลองสวน-ลาดหญ้า (สาย 4-17)

- สาย 165 พุทธมณฑลสาย 3-สำนักงานเขตบางกอกใหญ่ (สาย 4-17)

- สาย 515 เซ็นทรัลศาลายา-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ (สาย 4-61)

โดยก่อนหน้านี้ ขสมก.ได้ทยอยยุติการเดินรถไปแล้วหลายเส้นทางเพื่อส่งต่อให้บริษัทเอกชนเดินรถแทน ตามแผนปฏิรูปรถโดยสารประจำทางในเขตกรุงเทพมหานครและจังหวัดที่มีเส้นทางต่อเนื่องของกรมการขนส่งทางบก

ทั้งนี้ บริษัท ไทย สมายล์ บัส จำกัด (TSB) จะทำการเดินรถใน 14 เส้นทางสุดท้ายตามแผนปฏิรูปรถโดยสาร ที่ปัจจุบันมีการวิ่งทับซ้อน ซึ่ง ขสมก.จะยกเลิกการเดินรถในวันที่ 25 ก.ค.เป็นต้นไป  

โดยเตรียมแผนที่จะนำรถเมล์ปรับอากาศพลังงานไฟฟ้า ออกมาให้บริการใน 14 เส้นทางและจะมี 4 เส้นทางที่ไทยสมายล์บัสจะเดินรถให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง ได้แก่

>> สาย 4 ท่าน้ำภาษีเจริญ-ท่าเรือคลองเตย (สาย 3-36)

>> สาย 25 ท่าช้างวังหลวง-อู่สายลวด (สาย 3-6)

>> สาย 82 พระประแดง-บางลำพู (สาย 4-15)

>> สาย 84 สถานีรถไฟฟ้าวงเวียนใหญ่-สามพราน (สาย 4-46)

'แบงก์ชาติ' เผย!! สาเหตุ 'เศรษฐกิจไทย' ทำไมฟื้นช้ากว่าเพื่อนบ้าน 'พึ่งท่องเที่ยว-ภาคบริการมาก' ส่วนภาคการผลิตก็ต้องเจอจีน

(4 ก.ค. 67) Brand Inside เผยถึงสภาพเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นช้ากว่าเพื่อนบ้าน จากคำกล่าวของ ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุว่า...

"เศรษฐกิจตอนนี้ ภาพที่อาจจะคลาดเคลื่อน ที่จะเห็นบ่อย ที่ว่า ธปท. มองเศรษฐกิจดีเกินไป ไม่เห็นความลำบากของคน มองแต่ตัวเลข ไม่รู้สึกสิ่งที่หลายกลุ่มเผชิญกันอยู่ เราก็ทราบดีว่า ศก. ไม่ได้ดีขนาดนั้น ศก. ฟื้นช้า...

"ศก. ฟื้นตัวในแง่ของภาพรวมโดยเฉลี่ยของคน ในแง่ของตัวเลข ไม่ว่าจะ GDP หรืออะไร แต่เราเข้าใจดีในการฟื้นตัวในตัวเลขรวม ตัวเลขเฉลี่ย มันซ่อนความลำบากและความทุกข์ของประชาชนไม่น้อย หลายกลุ่มด้วยกัน...

"ถ้าดูตัวเลขผ่าน ๆ ผิว ๆ รายได้เขาฟื้นแล้ว แต่จริง ๆ มันเป็นตัวเลขที่ซ่อนความลำบาก ความทุกข์ประชาชน กลุ่มอาชีพอิสระ...

"แม้รายได้กลับมา แต่มีหลุมรายได้มหาศาลระหว่างทาง รายได้หายไป จากปกติที่ควรจะได้ เขามีหลุมรายได้ ตัวเลขไม่สะท้อนความลำบากของประชาชน...

"ภาคการผลิต ทำไมประเทศไทยฟื้นช้ากว่าชาวบ้าน เพราะเราพึ่งพาท่องเที่ยวเยอะ เราพึ่งภาคบริการเยอะและท่องเที่ยวมาก ทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวช้ากว่าที่อื่น...

"ภาคการผลิต พวกส่งออก Sector สำคัญ ๆ เจอโครงสร้างที่หนักขึ้น Landscape การแข่งขันเปลี่ยนไปด้วย หลายเซคเตอร์เจอการแข่งขันที่เข้มข้นกว่าก่อนเยอะ โดยเฉพาะจากจีน"


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top