Monday, 23 June 2025
NewsFeed

‘กรมการแพทย์แผนไทยฯ’ หนุนเกษตรกรปลูก ‘มะระขี้นก’ ‘ขายผลสด-แปรรูป’ รับเทรนด์รักสุขภาพ สร้างรายได้เข้าประเทศ

(5 ก.ค. 67) นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เปิดเผยว่า ที่ได้มีการประกาศสมุนไพร Herbal Champions 15 รายการ ตามแผนปฏิบัติการด้านสมุนไพรแห่งชาติ ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2566-2570 

‘มะระขี้นก’ ซึ่งเป็น 1 ในสมุนไพร Herbal Champions มีตลาดทั่วโลกมูลค่ารวมกว่า 28,000 ล้านบาท กำลังมีแนวโน้มของตลาดกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง

ข้อมูลเชิงลึกที่สำรวจประเทศเม็กซิโกเป็นประเทศที่มีการส่งออกมะระสูงสุดในโลกมีมูลค่า 17,000 ล้านบาท ขณะที่ประเทศไทยส่งออกมะระขี้นกเพียง 18 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นว่าโอกาสของมะระขี้นกในตลาดโลกสามารถจะเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต

การศึกษาวิจัยหลายฉบับบ่งชี้ว่ามะระขี้นกมีสารสำคัญที่ชื่อว่า ชาแรนติน (Charantin) ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ ประกอบกับเทรนด์การรักสุขภาพของผู้บริโภคทั่วโลกที่หันมาสนใจผลิตภัณฑ์ธรรมชาติและสมุนไพรมากขึ้นจึงทำให้มะระขี้นก เป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้รักสุขภาพในหลายประเทศทั่วโลก 

ประเทศไทยจึงมีการพัฒนาสายพันธุ์สาเกต 101 ของมะระขี้นกขึ้นใหม่เพื่อให้ได้สารสำคัญในปริมาณที่มากขึ้น เพียงพอต่อการแข่งขันในตลาดโลก ซึ่งมีการนำร่องให้เกษตรกรจังหวัดมหาสารคามนำไปขยายพันธุ์ปลูกและเกิดการซื้อขายระหว่างผู้ประกอบการจากสาธารณรัฐประชาชนจีนจำนวนมูลค่า 250 ล้านบาท เพื่อนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ

ทางด้าน ดร.ภญ.มณฑกา ธีรชัยสกุล ผู้อํานวยการกองสมุนไพรเพื่อเศรษฐกิจ กล่าวว่า ปัจจุบันมีการทำโมเดล การเกษตรต้นน้ำมูลค่าสูงของมะระขี้นก เพื่อเป็นการสร้างงาน สร้างอาชีพให้กับเกษตรกร และวิสาหกิจชุมชน โดยเป็นการพัฒนาสายพันธุ์มะระขี้นก เพื่อให้ได้สารสำคัญคือ Charantin ในปริมาณที่สูงขึ้น ผลการศึกษาเบื้องต้นพบว่าสายพันธุ์ใหม่ ที่พัฒนาทำให้มะระขี้นกใหญ่ขึ้น และสามารถให้สาร Charantin มากกว่าเดิม ประมาณ 2 เท่า ซึ่งส่งผลให้ราคามะระขี้นกเพิ่มสูงขึ้น จากเดิมกิโลกรัมละ 30 บาท เป็นกิโลกรัมละ 50 บาท เป็นการยกระดับรายได้ของคนในจังหวัด สร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานราก 

นอกจากนี้ยังมีการส่งเสริมการแปรรูปมะระขี้นกด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง ให้เป็นผลิตภัณฑ์รูปแบบต่าง ๆ ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น อาทิ มะระขี้นกแบบน้ำสกัดเข้มข้น ซุปมะระขี้นกแบบผง มะระขี้นกดองกิมจิ 3 รส เป็นต้น เป็นการผลักดันให้เกิดเกษตรมูลค่าสูงสอดคล้องกับนโยบายของคณะกรรมการนโยบายสมุนไพรแห่งชาติ ที่มีความมุ่งมั่นในการผลักดันสมุนไพรให้เป็นพืชเศรษฐกิจ โดยการสนับสนุนผู้ประกอบการแปรรูปสมุนไพรให้สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้มีคุณภาพมาตรฐาน ผลักดันจากการขายส่งวัตถุดิบเปลี่ยนเป็นการส่งออกผลิตภัณฑ์ในรูปแบบต่าง ๆ ที่มีมูลค่าสูงเพื่อสร้างความแตกต่างและสร้างมูลค่าเพิ่มแก่สมุนไพร เป็นการต่อยอดสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจของสมุนไพรไทย

การจัดงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ และการประชุมวิชาการประจำปีการแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือกแห่งชาติ ครั้งที่ 21 ในปีนี้ จัดภายใต้แนวคิด ‘นวดไทย สปาไทย สมุนไพรไทยสู่เวทีโลก’ ระหว่างวันที่ 3-7 กรกฎาคม 2567 ฮอลล์ 11 - 12 อิมแพ็ค เมืองทองธานี ภายในงานจะมีการจัดแสดงสมุนไพรไทยหลากหลายชนิด โดยเฉพาะ ‘มะระขี้นก’ พร้อมนิทรรศการและผลิตภัณฑ์แปรรูปต่าง ๆ ผู้เข้าร่วมงานจะได้พบกับมะระขี้นกสายพันธุ์ใหม่ที่พัฒนาขึ้นเพื่อให้ได้สาร Charantin ในปริมาณที่สูงขึ้น 

นอกจากนี้ยังมีการจัดแสดงนวัตกรรมและงานวิจัยล่าสุด รวมถึงกิจกรรมการสาธิตการปลูกและ แปรรูปสมุนไพร ร่วมกันสร้างเศรษฐกิจที่เข้มแข็งด้วยสมุนไพรไทย สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก 

>> โทร. 0-2591-7007
>> อินสตาแกรม, TIKTOK, Facebook Fanpage มหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ
>> Website: https://natherbexpo.dtam.moph.go.th
>> Line ID  : @DTAM

‘รัดเกล้า’ เผย รัฐบาลเตรียมแผนรับมือหน้าฝน ปี 67 จ่อป้องกัน-แก้ปัญหา ‘อุทกภัย’ ไม่ให้กระทบประชาชน

(5 ก.ค. 67) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กระทรวงมหาดไทย (มท.) ได้ติดตามและรายงานความคืบหน้าการเกิดสถานการณ์สาธารณภัยที่เกิดขึ้นในหลาย ๆ พื้นที่ ซึ่งนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ได้มีข้อสั่งการ เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2567 ให้กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด และกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกรุงเทพมหานคร เตรียมความพร้อมรับสถานการณ์อุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2567 โดยเพื่อให้การเตรียมความพร้อมป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยตลอดช่วงฤดูฝน ปี 2567 เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ให้ดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยและแผนที่เกี่ยวข้อง รวมถึงให้สอดคล้องกับมาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2567 ของสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ

โดยกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดดำเนินการ ดังนี้ 1.การเตรียมความพร้อม ทั้งการติดตามสภาพอากาศ การจัดทำแผนเผชิญเหตุอุทกภัย การตรวจสอบความมั่นคงแข็งแรงสถานที่ใช้กักเก็บ/กั้นน้ำ การระบายน้ำและการเพิ่มพื้นที่รองรับน้ำ และการแจ้งเตือนภัย 2.การเผชิญเหตุ เมื่อเกิดหรือคาดว่าจะเกิดสถานการณ์อุทกภัย วาตภัย และดินถล่ม ให้ดำเนินการตามแนวทาง คือจัดตั้งศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ระดับจังหวัด อำเภอ และศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และเมื่อเกิดฝนตกหนักในพื้นที่ ให้มอบหมายฝ่ายปกครอง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อาสาสมัคร และประชาชนจิตอาสา เฝ้าระวังพื้นที่ชุมชน พื้นที่สำคัญทางเศรษฐกิจ สถานที่สำคัญต่าง ๆ

รองโฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า การจัดชุดปฏิบัติการเร่งให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัย โดยเฉพาะด้านการดำรงชีพตามวงรอบอย่างต่อเนื่อง ให้รายงานสถานการณ์อุทกภัย วาตภัย และดินถล่ม และผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลางตามช่องทางที่กำหนด เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการประเมินสถานการณ์ และเสนอความเห็นต่อผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติในการตัดสินใจ สั่งการในเชิงนโยบายต่อไป

ส่วนกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกรุงเทพมหานครดำเนินการ ดังนี้ 1.การเตรียมความพร้อม โดยเฝ้าระวังติดตามข้อมูลสภาพอากาศ สถานการณ์น้ำท่วมที่อาจส่งผลให้เกิดอุทกภัยในช่วงฤดูฝน เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการวางแผนเผชิญเหตุ ตลอดจนการประสานการปฏิบัติกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และการสื่อสารแจ้งเตือนประชาชนให้รับทราบสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น การตรวจสอบพื้นที่เขตชุมชน พื้นที่สำคัญทางเศรษฐกิจ และเส้นทางคมนาคมที่มักเกิดปัญหาน้ำท่วมขังเมื่อฝนตกหนัก พร้อมทั้งเร่งเปิดทางน้ำโดยการดูดเลน ขุดลอกท่อระบายน้ำ ทำความสะอาดร่องน้ำเพื่อเตรียมรองรับน้ำฝน และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ

ขณะที่พื้นที่คู คลอง แหล่งน้ำต่าง ๆ ที่เป็นพื้นที่รองรับน้ำและเส้นทางระบายน้ำลงสู่แม่น้ำสายต่างๆ ให้เร่งกำจัดวัชพืช ขยะ สิ่งกีดขวางทางน้ำอื่น ๆ เพื่อเพิ่มพื้นที่รองรับน้ำให้สามารถรองรับน้ำฝน และน้ำจากท่อระบายน้ำได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เตรียมความพร้อมบุคลากร วัสดุอุปกรณ์ เครื่องจักรกลสาธารณภัย เพื่อใช้ในการเผชิญเหตุให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่เสี่ยงในแต่ละเขตพื้นที่ พร้อมทั้งติดตั้งเครื่องจักรกลสาธารณภัยไว้ในพื้นที่เสี่ยงเป็นการล่วงหน้า โดยให้ประสานการปฏิบัติการร่วมกับจังหวัดที่มีพื้นที่ติดต่อกับกรุงเทพมหานคร เพื่อดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาร่วมกันอย่างเป็นระบบ และเตรียมแผนสำรองในการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อรองรับการแก้ไขปัญหากรณีฉุกเฉินอื่นๆ

นางรัดเกล้า กล่าวว่า 2.การเผชิญเหตุ เมื่อเกิดฝนตกหนักต่อเนื่องในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ให้จุดชุดปฏิบัติการเร่งเข้าตรวจสอบพื้นที่เสี่ยงที่มักเกิดปัญหาน้ำท่วมขังบริเวณผิวการจราจร หรือตามเขตชุมชน พร้อมทั้งทำการแก้ไขปัญหาที่ส่งผลต่อการกีดขวางการระบายน้ำทันที หากเกิดกรณีน้ำท่วมขังบนผิวการจราจร ให้บูรณาการการปฏิบัติร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกการจราจรโดยเฉพาะในชั่วโมงเร่งด่วน ตลอดจนให้ความช่วยเหลือผู้ขับขี่ที่อาจประสบปัญหาเครื่องยนต์ดับบนผิวจราจรที่มีน้ำท่วมขัง ส่วนในช่วงของการเกิดฝนฟ้าคะนอง และฝนตกหนักให้กำกับเจ้าหน้าที่ประจำจุดสูบน้ำดำเนินการตามแผนอย่างต่อเนื่อง หากเกิดปัญหาระหว่างการปฏิบัติงานให้เร่งทำการแก้ไขตามแผนสำรอง และประสานการปฏิบัติร่วมกับชุดปฏิบัติการของการไฟฟ้านครหลวงอย่างใกล้ชิดและให้ความสำคัญกับการสร้างการรับรู้กับประชาชน

“โดย มท. ได้เสนอเรื่องดังกล่าวเพื่อให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ทราบ ซึ่งเรื่องนี้เข้าข่ายที่ต้องนำเสนอ ครม. ตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 มาตรา 4(1) เรื่องที่กฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะรัฐมนตรี หรือให้ต้องเสนอ ครม. และ เรื่องที่ต้องใช้งบประมาณแผ่นดินนอกเหนือจากที่ได้รับอนุมัติไว้แล้ว ตามกฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่ายประจำปี หรืองบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม” นางรัดเกล้า ระบุ

‘ร้านคาเฟ่’ โต้!! หลังโดนลูกค้ารีวิว 1 ดาว เพราะเลี้ยงหมาในร้าน แจง!! น้องเกิด-โตที่นี่ แถมพิการซ้ำไม่ทำร้ายใคร ขาประจำจะรู้ดี

(5 ก.ค. 67) ในปัจจุบัน สถานที่ต่าง ๆ ทั้งร้านอาหาร ร้านคาเฟ่ อนุญาตให้ลูกค้านำสัตว์เลี้ยงไปด้วยมากขึ้น หรือบางแห่งก็มีสัตว์เลี้ยงของเจ้าของอยู่ภายในร้านด้วย โดยปกติลูกค้าก็มักไม่มีปัญหาอะไร หากเจ้าของระมัดระวังเรื่องความสะอาด

แต่เจ้าของร้านคาเฟ่แห่งหนึ่ง แถมป้อมปราบศัตรูพ่าย กลับต้องหัวเสีย เมื่อโดนลูกค้ารีวิว 1 ดาว เนื่องจากเขาเลี้ยงสุนัขไว้ภายในร้าน ทางร้านจึงแคปรีวิวนั้นแล้วโพสต์ลงเพจเฟซบุ๊กของร้าน

ลูกค้ารายนี้ระบุว่า “ขายของกินแต่เลี้ยงสุนัขไว้กลางร้าน คือไม่ได้เกลียดสุนัขนะ แต่มันไม่เหมาะที่จะเอามาเลี้ยงไว้กลางร้าน ใครจะอยากนั่งกิน..”

เจ้าของร้านจึงมาตอบว่า “ไม่อยากนั่งก็ไม่ต้องนั่งครับ เพราะคุณไม่ได้ตั้งใจมานั่งตั้งแต่แรก มีพยาน สั่งอเมริกาโน่ร้อน 1 แก้ว 65 บาท (กลับบ้าน) เพื่อมาดิสเครดิตร้าน ส่วนน้องหมาก็ไม่ได้ไปเห่าหรือกัดทำร้าย น้องนอนเฉย ๆ น้องหมาของเราชื่อถ้วยฟู น้องเกิดและโตที่นี่ อยู่มากับร้านตั้งแต่เปิด

น้องอายุมาก แก่แล้วตาบอด ขาพิการ ผมดูแลถ้วยฟูอย่างดี ถ้วยฟูชินในพื้นที่ตั้งแต่เด็กยันแก่ครับ ลูกค้าประจำจะรู้และเอ็นดูน้อง ส่วนผมรักถ้วยฟูเป็นสมาชิกในครอบครัว ผมเจ้าของร้าน คุณหัดรู้จักเปิดใจหรือสอบถามก่อนก็ได้ ไม่ใช่แต่สักจะรีวิวมันไม่น่ารัก
เพราะถ้วยฟูเขาน่ารักกว่าคุณเยอะครับ มีแต่ความรัก ถ้าไม่สะดวกก็ไม่ต้องมาอุดหนุน” พร้อมยืนยันว่า ทางร้านจะมีน้องถ้วยฟูอยู่ตรงที่เขาอยู่แบบเดิมและตลอดไป

โพสต์นี้ของร้านมีคนแชร์มากถึง 3 พันครั้ง และเข้ามาแสดงความคิดเห็นมากมาย โดยส่วนใหญ่เห็นใจเจ้าของร้านและสงสารน้องหมา หลายคนบอกว่าเป็นสิทธิ์ของร้าน ถ้าลูกค้าไม่สะดวกใจเห็นหมาแล้วจะเดินออกก็คงไม่มีใครว่า

บางคนก็บอกว่าเห็นรีวิวใหญ่โต นึกว่าเป็นน้องหมาพันธุ์ใหญ่ ที่แท้ตัวนิดเดียว แถมพิการอีก พร้อมส่งกำลังใจให้ทางร้านและน้องหมา

‘โรม’ ขอบคุณ ‘กองทัพบก’ ประสานช่วยเหลือชาวโมร็อกโก 12 คน หลังถูกแก๊งสแกมเมอร์ลวงทำงานผิดกม. ในเมียวดี ประเทศเมียนมา

(5 ก.ค. 67) รังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการช่วยเหลือชาวโมร็อกโก 12 คนที่ถูกแก๊งสแกมเมอร์ในเมืองเมียวดี ประเทศเมียนมา หลอกลวงและควบคุมตัวไว้ใช้แรงงาน โดยได้รับการปล่อยตัวออกมาอย่างปลอดภัยแล้วเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา

รังสิมันต์กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ตนได้รับการประสานจากสถานทูตโมร็อกโกประจำประเทศไทย ขอให้ช่วยเหลือชาวโมร็อกโกที่ถูกหลอกลวงไปทำงานสแกมเมอร์ในเมืองเมียวดี ทราบจำนวนคร่าว ๆ ว่ามีประมาณ 21 คน โดยหลังจากได้ทราบชื่อและเลขพาสปอร์ตของทุกคนแล้ว ตนจึงประสานไปยังกองทัพบกไทยเพื่อขอความช่วยเหลือ

หลังจากนั้น กองทัพบกได้พูดคุยกับเหยื่อ และพยายามเจรจากับกองกำลังติดอาวุธที่ควบคุมพื้นที่ที่แหล่งสแกมเมอร์แห่งนั้นตั้งอยู่ เพื่อขอให้กองกำลังดังกล่าวเจรจากับกลุ่มทุนที่เป็นเจ้าของสแกมเมอร์ให้ปล่อยตัวเหยื่อชาวโมร็อกโกที่ถูกหลอกไป จนสุดท้ายสามารถช่วยเหลือออกมาได้ในช่วงเช้าวันนี้จำนวน 12 คน โดยมีบางคนจ่ายเงินให้กับหัวหน้าแก๊งสแกมเมอร์เพื่อแลกกับการปล่อยตัวไปแล้วก่อนหน้านี้ ส่วนที่เหลือตัดสินใจอยู่ทำงานต่อ

รังสิมันต์กล่าวต่อไปว่า ไม่เพียงแต่ชาวโมร็อกโกเท่านั้น แต่ยังมีคนไทยและคนต่างชาติอีกจำนวนมากที่ถูกหลอกลวงให้เข้าไปทำงานเป็นสแกมเมอร์ในเมืองต่าง ๆ ของเมียนมาที่อยู่ติดกับชายแดนไทย จึงยิ่งตอกย้ำให้เห็นถึงความสำคัญเร่งด่วนของปัญหานี้ และจำเป็นที่รัฐบาลไทยต้องมองปัญหานี้เป็นวาระระดับชาติได้แล้ว โดยต้องดำเนินมาตรการต่าง ๆ อย่างเข้มงวดเพื่อปกป้องประชาชนจากการถูกหลอกไปทำงาน ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน และถูกขโมยทรัพย์สินจากการที่แก๊งสแกมเมอร์โทรศัพท์เข้ามาหลอกลวงคนในประเทศ

“ไม่ใช่แค่ชาวไทย ไม่ใช่แค่ชาวโมร็อกโก แต่มีคนทั่วโลกที่ถูกหลอกไปอยู่ตรงนั้น และมันไม่ใช่แค่การค้ามนุษย์เท่านั้น แต่ยังมีการหลอกลวงเอาทรัพย์สินของคนไทย มีกิจกรรมที่ผิดกฎหมายอีกมากมายอยู่ในบริเวณนั้น ผมคิดว่าประเทศไทยควรจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นวาระหลักระดับชาติ” รังสิมันต์กล่าว

รังสิมันต์กล่าวทิ้งท้ายว่า สุดท้ายนี้ตนต้องขอขอบคุณกองทัพบกไทยเป็นอย่างยิ่ง หากเรื่องนี้ไม่ได้รับความช่วยเหลือจากกองทัพบก เราคงไม่สามารถช่วยเหลือชาวโมร็อกโกได้ การที่กองทัพบกได้เพียรพยายามและใช้เวลาในการเจรจาแก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างจริงจัง เป็นสิ่งที่มีคุณค่ามาก จึงขอขอบคุณบุคลากรทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือครั้งนี้จากใจจริง

‘วราวุธ’ ย้ำ!! ไม่นิรโทษกรรม ‘ม.112-คดีอาญาร้ายแรง-ทุจริต’ เชื่อ!! พรรคร่วมรัฐบาลมีความเห็นในแนวทางเดียวกัน

(5 ก.ค. 67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) ให้สัมภาษณ์กรณีที่คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมอาจจะได้ข้อสรุปเรื่องการนิรโทษกรรม จะครอบคลุมคดีที่เกี่ยวกับมาตรา 112 หรือไม่ ว่า พรรคชทพ. เสนอนายนิกร จำนง ผู้อำนวยการพรรคเข้าไปเป็น กมธ. และทราบว่าจะให้ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม เป็นประธาน 

ส่วนขั้นตอนการดำเนินงาน จะมีหน่วยงานใดเข้าร่วม และพิจารณาอย่างไร คงต้องไปลงในรายละเอียดอีกครั้งนึง 

ทั้งนี้พรรคชทพ.มีจุดยืนและย้ำมาตลอด ตั้งแต่ตั้งรัฐบาลนี้และเป็นหัวใจสำคัญที่จะร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ว่าคดีที่มีความอ่อนไหว โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับประเด็นมาตรา 112 คดีที่เกี่ยวกับอาชญากรรมและทำให้เสียชีวิต คดีที่เกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัปชัน เราจะไม่ร่วมอยู่ในการพิจารณาและไม่ควรนำมารวมอยู่ในร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม และเชื่อว่าพรรคร่วมทุกพรรคคงเห็นตรงกัน

ผู้สื่อข่าวถามว่าหากพรรคเพื่อไทยเห็นด้วยกับการแก้ไขมาตรา 112 พรรคชาติไทยพัฒนาจะยืนยันจุดยืนเดิมหรือหันไปร่วม เพื่อให้เป็นแนวทางเดียวกัน นายวรวุฒิกล่าวย้ำว่า ชทพ. ยืนยันจุดยืนเดิม 3 ประเด็น คือ ไม่พิจารณาคดีที่เกี่ยวกับมาตรา 112 เรื่องคดีอาญาร้ายแรงที่เสียชีวิต รวมไปถึงคดีทุจริต

เมื่อถามว่าจะไม่มีปัญหาใช่หรือไม่หากพรรคแกนนำเห็นด้วยกับการนิรโทษกรรม มาตรา 112 ในขณะที่ชทพ.ยังยืนยันในจุดยืนไม่รวม นายวราวุธ กล่าวว่า ให้ถึงเวลานั้น แล้วค่อยมาพิจารณาอีกทีแต่จุดยืนของเราไม่เปลี่ยนแปลง อย่าเพิ่งตั้งสถานการณ์ถ้าเผื่อ เพราะไม่แน่ใจว่าในอนาคต จะเกิดอะไรบ้าง แต่คิดว่าในท้ายที่สุดคงเห็นไปในแนวทางเดียวกัน

สินค้าจีน Overcapacity ล้นทะลักไปตีตลาดโลก เรื่องจริงหรือวาทกรรม?

(5 ก.ค.67) รองศาสตราจารย์ ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจจีน จากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์เนื้อหาในหัวข้อ 'สินค้าจีน 🇨🇳 Overcapacity ล้นทะลักไปตีตลาดโลก : เรื่องจริงหรือวาทกรรม'

โดย รองศาสตราจารย์ ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เผยว่า...

ปัญหากำลังการผลิตที่ล้นเกินของจีน (Overcapacity) กลายเป็นประเด็นถกเถียงระดับโลก ด้วยความกังวลว่า จะส่งผลกระทบต่อประเทศต่าง ๆ มากน้อยเพียงใด และในกรณีประเทศไทยจะถูกกระทบจากสินค้าราคาถูกจากจีนที่ล้นทะลักเข้ามาอย่างไรบ้าง บทความนี้ จะมาวิเคราะห์ไล่เรียงทีละประเด็น ดังนี้...

ประเด็นแรก จีนมีการผลิตสินค้ามากจนล้นเกิน (Overcapacity) หรือไม่ หากพิจารณาจากบริบทประเทศจีนที่มีขนาดใหญ่ และมีข้อได้เปรียบเชิงขนาด (Scale Advantage) ผู้ผลิตจีนจึงมักจะเน้นการผลิตเชิงปริมาณจำนวนมาก (Mass Production) เพื่อให้ต้นทุนเฉลี่ยต่อหน่วยลดลง เกิดการประหยัดต่อขนาด (Economies of Scale) หวังจะป้อนตลาดภายในของจีนที่มีผู้บริโภคจำนวนมหาศาล  

อย่างไรก็ดี บางอุตสาหกรรมของจีนมีอุปทานการผลิตมากเกินกว่าอุปสงค์ความต้องการของตลาดภายในจีนเอง จนเกิดปัญหาอุปทานล้นตลาดจีน ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจจีนในยุคหลังโควิด-19 ที่ค่อนข้างอึมครึมซึมเซา ไม่คึกคักเหมือนเดิม คนจีนใช้จ่ายน้อยลง หันมาเน้นเก็บเงินอดออมมากขึ้น (จนเกิดกระแส ‘เก็บเงินเพื่อล้างแค้น’ ในจีน) ยิ่งทำให้ สินค้าจีนที่ล้นเกินเหล่านั้น ถูกระบายผ่านการส่งออกไปต่างประเทศมากขึ้น เพราะลดกำลังการผลิตได้ยาก 

ในมุมเศรษฐศาสตร์ หากอุตสาหกรรมใดมีอุปทานการผลิตล้นเกินกว่าอุปสงค์ความต้องการ ส่งผลให้สินค้านั้นราคาถูกลง เพื่อระบายสินค้าคงเหลือ แม้ว่าจะเป็นผลดีในมุมของผู้บริโภค แต่ก็เป็นแรงกดดันต่อคู่แข่งของผู้ผลิตสินค้าล้นเกินเหล่านั้น และในระยะยาว หากไม่สามารถแข่งขันได้ ก็ต้องปิดโรงงานและย่อมจะกระทบการจ้างงานที่ลดลง  

ดังนั้น ประเด็นสินค้าจีนที่มีกำลังการผลิตล้นเกิน Overcapacity จนต้องระบายส่งออกไปตีตลาดทั่วโลกเริ่มถูกพูดถึงด้วยความกังวลมากขึ้น เพราะจะทำให้อุตสาหกรรมท้องถิ่นอยู่ไม่ได้ ทำให้คู่แข่งจีนในต่างประเทศต้องถูกกระทบเสียหาย เช่น ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา เจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสหรัฐได้เคยกล่าวถึงประเด็นนี้ว่า “รัฐบาลจีนให้เงินสนับสนุนอุตสาหกรรมหลักในประเทศ ทำให้มีกำลังการผลิตล้นเกิน Overcapacity มากเกินกว่าความต้องการ จนต้องเร่งส่งออก และนำไปสู่การทะลักล้นของสินค้าในตลาดโลกได้” 

ในขณะที่ นายกรัฐมนตรีหลี่เฉียงของจีน ได้เคยกล่าวแย้งว่า “รัฐบาลสหรัฐฯ ไม่ควรนำเศรษฐกิจการค้ามาทำให้เป็นเรื่องการเมือง แต่ควรพิจารณาประเด็นกำลังการผลิตตามข้อเท็จจริง และโต้แย้งด้วยหลักเหตุผล ด้วยมุมมองของระบบเศรษฐกิจกลไกตลาด มุมมองในระดับโลก และบนพื้นฐานของหลักการทางเศรษฐกิจ”

นอกจากนี้ หลายฝ่ายของจีนก็ได้โต้แย้งว่า “การโจมตีจีนด้วยคำว่า Overcapacity สะท้อนความวิตกกังวลของชาติตะวันตกที่จะไม่สามารถแข่งขันกับจีนในอุตสาหกรรมใหม่ เช่น รถยนต์ EV จึงพยายามสร้างวาทกรรมนี้ขึ้นมา เพื่อขัดขวางความก้าวหน้าด้านอุตสาหกรรมของจีน”

ประเด็นที่สอง อุตสาหกรรมใดของจีนที่ถูกจับตาว่า มีกำลังการผลิตล้นเกิน ส่วนใหญ่จะเป็นอุตสาหกรรมหนักที่มีการผลิตแบบดั้งเดิมเน้นเชิงปริมาณ เช่น เหล็ก ซีเมนต์ และแก้ว จนเกิดการผลิตล้นเกินมานานหลายปี ส่วนหนึ่งเกิดจากนโยบายของรัฐบาลจีนในอดีตที่ทุ่มงบอัดฉีดส่งเสริมให้มีการพัฒนาอุตสาหกรรมหนักเหล่านั้น ตลอดจนกลุ่มพลังงานทางเลือก เช่น แผงโซลาร์เซลล์ มีการขยายการผลิตกระจายอยู่ในมณฑลต่าง ๆ จนทำให้ปริมาณการผลิตแผงโซลาร์เซลล์ของจีนทั้งประเทศมีมากกว่าความต้องการของทั้งโลกถึงสองเท่า ส่งผลให้แผงโซลาร์เซลล์ของจีนมีราคาถูกลงเป็นอย่างมาก

นอกจากนี้ กลุ่มพลังงานใหม่ เช่น รถยนต์ไฟฟ้า EV และแบตเตอรี่ลิเธียม ซึ่งเป็น 1 ใน 10 อุตสาหกรรมแห่งอนาคตภายใต้แผนยุทธศาสตร์ Made in China 2025 และอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรม ‘สามใหม่’ (New Three industries) ที่เพิ่งประกาศของรัฐบาลจีนด้วย ได้แก่ (1) รถยนต์ไฟฟ้า EV (2) แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน และ (3) เซลล์แสงอาทิตย์ (solar photovoltaic) 

ดังนั้น ด้วยการสนับสนุนและผลักดันอย่างหนักจากภาครัฐในยุคสีจิ้นผิง กลายเป็นใบเบิกทางเอื้อให้อุตสาหกรรมเหล่านี้มีการขยายการผลิตอย่างรวดเร็ว และเน้นออกไปทำตลาดต่างประเทศในเชิงรุก จนเกิดประเด็น ‘สงครามราคา’ ที่กระทบคู่แข่งในหลายประเทศ และเกิดข้อกังวลในประเด็นคุณภาพของสินค้าจีนที่หั่นราคาถูกลงอย่างมาก

ประเด็นสุดท้าย สินค้าราคาถูกที่ไหลทะลักมาจากจีนส่งผลกระทบต่อประเทศไทย และประเทศอื่น ๆ อย่างไรบ้าง ในแต่ละอุตสาหกรรมของไทยที่เกี่ยวข้องย่อมถูกกระทบมากน้อยไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ตัวอย่างเช่น ภาคอุตสาหกรรมที่ผู้ผลิตไทยมีจุดแข็งและมีความสามารถในการแข่งขัน เช่น กลุ่มอาหารแปรรูป ก็จะได้รับผลกระทบจากปัญหานี้น้อยกว่าอุตสาหกรรมอื่น ๆ เช่น สิ่งทอ หรือ เฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น

ที่น่าเป็นห่วง คือ ผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทย SME รายเล็ก เช่น การแข่งขันด้านราคา กระแสสินค้าจีนราคาถูกทะลักเข้ามาตีตลาดในประเทศไทยเป็นแรงกดดันบีบให้ราคาสินค้าที่ผลิตในไทยต้องลดต่ำลง ทำให้ผลกำไรของผู้ผลิตต้องลดลงตามไปด้วย รวมทั้งส่วนแบ่งการตลาดที่ลดลง จากการที่ผู้บริโภคของไทยหันไปซื้อสินค้าราคาถูกจากจีนมากขึ้นผ่านช่องทางและแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น สินค้าออนไลน์ และในระยะยาว หากผู้ประกอบการไทยแข่งขันไม่ได้ ต้องปิดกิจการหรือปิดโรงงาน แรงงานไทยก็จะตกงานมากขึ้น 

ล่าสุด จากข้อเรียกร้องของผู้ประกอบการที่ถูกกระทบจากสินค้าราคาถูกนำเข้าจากจีน ทำให้รัฐบาลไทยต้องออกมาตรการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ในอัตรา 7% จากการนำเข้าสินค้าที่มีมูลค่าไม่เกิน 1,500 บาท เพื่อหวังจะแก้ไขปัญหาความไม่เป็นธรรมระหว่างผู้ขายในประเทศกับผู้ขายจากต่างประเทศ ซึ่งเดิมไม่มีการเก็บภาษี VAT ดังกล่าว

นอกจากประเทศไทย ยังมีประเทศใดในอาเซียนอีกบ้างที่ถูกกระทบจากสินค้าราคาถูกจากจีน แน่นอนว่า หลายประเทศในอาเซียน เช่น เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ได้แสดงความกังวลต่อสินค้าราคาถูกที่ล้นทะลักมาจากจีน ผู้ผลิตในประเทศเหล่านั้นต้องดิ้นรนอย่างหนักเพื่อความอยู่รอด เช่น เหล็ก สิ่งทอ รัฐบาลบางประเทศในอาเซียนจึงได้ออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการในท้องถิ่นของตน เช่น อินโดนีเซียเพิ่งประกาศแผนที่จะใช้มาตรการปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ โดยการประกาศเก็บภาษีกับสินค้านำเข้า (Safeguard Duties) เพื่อปกป้องผู้ประกอบการธุรกิจ SME รายเล็ก เช่น รองเท้า สินค้าเซรามิก โดยเบื้องต้น อินโดนีเซียประกาศว่า จะเก็บภาษีศุลกากรกับสินค้าที่ผลิตจากจีนอยู่ที่อัตรา 100-200%  

ที่สำคัญ หลายประเทศในอาเซียนประสบปัญหาขาดดุลการค้ากับจีน เช่น เวียดนามมีการขาดดุลการค้ากับจีนอย่างมหาศาล จนเกิดประเด็นกังวลว่า หากปล่อยให้ปัญหายืดเยื้อในระยะยาว อาจจะส่งผลกระทบต่อทุนสำรองเงินตราและค่าเงิน เป็นต้น 

นอกจากนี้ หลายประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ เช่น สหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น ต่างก็กังวลว่า จีนกำลังนำผลผลิตที่ล้นเกินเร่งส่งออกไปตีตลาดโลกด้วยการลดราคาขายถูกลง และจะส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตภายในประเทศของตนที่ไม่สามารถแข่งขันกับสินค้าจีนอย่างไม่เป็นธรรม รวมทั้งมองว่า สินค้าจีนเหล่านั้นได้รับการอุดหนุนการส่งออกจากรัฐบาลจีน ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ประเทศเหล่านี้จึงออกมาตรการต่าง ๆ เพื่อกีดกันการนำเข้าจากจีน เช่น สหรัฐฯ ประกาศปรับขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ EV จีน จาก 27.5% เพิ่มเป็น 102.5% และสหภาพยุโรปประกาศเก็บภาษีรถยนต์ EV ที่ผลิตในจีนในอัตรา 37.6%

ในขณะเดียวกัน ผู้บริโภครายได้ต่ำในหลายประเทศ เช่น แถบแอฟริกา และละตินอเมริกา ก็อาจจะได้รับประโยชน์จากสินค้าราคาต่ำที่นำเข้าจากจีนและจะเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภคที่สามารถเข้าถึงสินค้าจีนที่ราคาถูกลง ตัวอย่างเช่น รถยนต์ EV จีนราคาไม่แพงในบราซิล เอื้อให้ผู้บริโภคชาวบราซิลได้รับประโยชน์จากการหันมาใช้รถยนต์ EV พลังงานสะอาดที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ในขณะนี้ บราซิลได้กลายเป็นผู้นำเข้ารถยนต์ไฟฟ้า EV จากจีนรายใหญ่ที่สุดของโลก

ดังนั้น สินค้าจีนราคาถูกจากการผลิตล้นเกินจะส่งผลกระทบต่อประเทศต่าง ๆ อย่างไร มากน้อยเพียงใด ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละภาคการผลิต แต่ละกลุ่มผู้บริโภค รวมทั้งโครงสร้างเศรษฐกิจที่แตกต่างกันของแต่ละประเทศนั้นๆ 

ในขณะนี้ ฝ่ายรัฐบาลจีนพยายามชี้แจงต่อความกังวลเรื่องกำลังการผลิตล้นเกินของจีน โดยให้เหตุผลว่า “เกิดจากกลไกตลาดในเศรษฐกิจโลกาภิวัตน์ และจากมุมมองด้านอุปสงค์ ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Product) ในราคาที่เอื้อมถึงได้ที่ผลิตจากจีน จะช่วยส่งเสริมมาตรฐานการครองชีพและความเป็นอยู่ของผู้บริโภครายได้ต่ำในหลายประเทศ” โดยเฉพาะประเทศโลกขั้วใต้ (Global South)  

ในอีกมุมหนึ่ง การแข่งขันกับจีนจะสร้างแรงผลักดันให้ผู้ผลิตในประเทศต่าง ๆ ต้องสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพดีขึ้น แรงกดดันจากจีนจะบีบให้ผู้ผลิตในท้องถิ่นจะต้องคิดค้นสร้างสรรค์และปรับปรุงผลิตภัณฑ์ รวมทั้งอัปเกรดกระบวนการผลิต เพื่อจะได้รักษาความสามารถในการแข่งขันต่อไป หากทำได้สำเร็จ จะทำให้สามารถผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งการต่อยอดพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่สูงขึ้นต่อไป   

อย่างไรก็ดี ทั้งหมดนี้ ไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ ขึ้นอยู่กับความสามารถในการปรับตัวของภาคส่วนต่าง ๆ ในแต่ละประเทศ และอีกหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะบทบาทและนโยบายของรัฐบาลในการรับมือกับความท้าทายเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพ

โดยสรุป ปัญหากำลังการผลิตที่ล้นเกินของจีนกลายเป็นประเด็นถกเถียงระดับโลก สามารถส่งผลกระทบทั้งเชิงลบและเชิงบวก บางคนอาจจะกังวลถึงผลกระทบต่อผู้ผลิตในท้องถิ่นที่แข่งขันไม่ได้ แต่ในอีกมุมมอง ก็จะเป็นโอกาสของผู้บริโภคที่จะมีทางเลือกในการซื้อสินค้าราคาถูกลง อย่างไรก็ดี หากเกิด ‘สงครามราคา’ แข่งขันกันลดราคาที่มากจนเกินไป หรือเน้นลดต้นทุนด้วยการลดคุณภาพสินค้าต่ำกว่ามาตรฐาน ก็จะส่งผลกระทบเชิงลบต่อผู้บริโภคได้เช่นกัน สำหรับผลกระทบในระยะยาวจะเป็นอย่างไร และภาครัฐจะรับมือกับปัญหาเหล่านี้อย่างไร ยังคงต้องจับตากันต่อไป

‘หนุ่มฟิลิปปินส์’ ลาโลก หลังไลฟ์กินข้าวกับไก่ทอดจำนวนมาก แพทย์เผย!! ‘เส้นเลือดในสมองแตก’ ผลพวงจากพฤติกรรมการกิน

เมื่อวานนี้ (4 ก.ค. 67) เพจเฟซบุ๊ก ‘World Forum ข่าวสารต่างประเทศ’ ได้แชร์เรื่องราวของคอนเทนต์ครีเอเตอร์หนุ่มนักกิน ชาวฟิลิปปินส์ ที่ได้เสียชีวิต ภายหลังจากกินไก่ทอดพร้อมข้าวจำนวนมาก โดยระบุว่า…

“คอนเทนต์ครีเอเตอร์ชื่อดังฟิลิปปินส์ เสียชีวิต หลังจากกินไก่ทอดจำนวนมาก”

“นายดงซ์ อปาตัน มีชื่อจริงว่า มาโนย อปาตัน มักโพสต์คลิปของตัวเองขณะกินอาหารท้องถิ่นจานใหญ่ ๆ จำนวนมาก เพื่อหารายได้ออนไลน์ เพื่อเพิ่มกระแส เพิ่มผู้ติดตาม”

“คลิปสุดท้ายวันที่ 13 มิถุนายน 2024 ขณะกินไก่ทอดจำนวนมาก กับ ข้าว หลังจากนั้นในวันต่อมา น้องสาวโพสต์แจ้งว่าเขาเสียชีวิตแล้ว”

“มาโนย อปาตัน วัย 38 ปี มีผู้ติดตาม 457,000 รายในเฟซบุ๊ก และเขาชอบรับประทานอาหารจานใหญ่ ๆ โชว์ ไก่จำนวนมาก ปลา หมู อื่น ๆ เกินคนทั่วไปจะรับประทานได้”

“ลีอาห์ อปาตัน น้องสาว โพสต์เฟซบุ๊กของเขาแจ้งว่า พี่ชายเกิดอาการหัวใจหยุดเต้นเมื่อเวลาประมาณ 15.00 น. 14/06 และถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน”

“ชาวเน็ตแสดงความเห็นว่า สาเหตุอาจมาจากการกินที่มากเกินไป เกินพอดี น้องสาว อปาตัน แย้งว่า บางคลิปที่โชว์ก็กินไม่หมดทุกจาน และอย่ามองพี่ชายเป็นตัวตลก รายได้จากคลิปยังนำไปช่วยคนอื่น ๆ”

“แพทย์แจ้งว่า การเสียชีวิตของนายอปาตัน เกิดจากโรคหลอดเลือดในสมองแตก ตามคำบอกเล่าของแพทย์ที่รักษาเขาในห้องฉุกเฉิน กล่าวว่าเขามีลิ่มเลือดในสมอง โรคหลอดเลือดในสมองแตกหรือตีบตัน นั่นหมายความว่าความดันโลหิตของเขาสูงขึ้น และเส้นเลือดในสมองแตก ตามคำอธิบาย”

“อาจมาจากอาหารรสเค็มและเนื้อสัตว์ หากรับประทานเป็นประจำ จำนวนมาก หลอดเลือดในสมองอาจอุดตันได้”

'ดร.สุวินัย' เผย!! วิกฤตการณ์ฐานรากเมืองไทย 'กับดักหนี้-ขาดสภาพคล่อง' ทำศก.ไทยฟื้นตัวยาก

(5 ก.ค. 67) รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กในหัวข้อ ‘วิกฤตฐานราก, Balance Sheet Recession และกลุ่ม ALICE’ โดยระบุว่า…

‘วิกฤตฐานราก’, Balance Sheet Recession, The Lost Decades ฯลฯ... ตอนนี้เหล่านักเศรษฐศาสตร์ไทยกำลังพูดถึงเรื่องเดียวกัน

ถ้ามองภาพการเงินของเศรษฐกิจไทยขณะนี้ในรูปของ ‘งบดุล’ โดยที่ฝั่งซ้ายเป็นสินทรัพย์ ส่วนฝั่งขวาเป็นหนี้สิน

Balance Sheet Recession คือสภาพที่ฝั่งหนี้สูงขึ้นเรื่อย ๆ แต่ฝั่งสินทรัพย์มีมูลค่าลดลงเรื่อย ๆ ... สภาพเช่นนี้เป็น ‘กับดักหนี้’ ที่ทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวยากมาก

สภาพของครัวเรือนไทยจำนวนมากตอนนี้ กำลังตกลงอยู่ในกับดักหนี้สินที่มูลค่าหนี้รวมสูงขึ้นเรื่อย ๆ แต่ฝั่งทรัพย์สินมูลค่ากลับลดลงเรื่อย ๆ

ในสภาพ Balance Sheet Recession นโยบายการเงิน โดยเฉพาะการลดดอกเบี้ยไม่ใช่ทางออกในการแก้ปัญหากับดักหนี้ เพราะต่อให้ดอกเบี้ยถูกลง คนก็ไม่ค่อยกู้เพราะลำพังแค่หนี้เดิมก็อ่วมจะแย่อยู่เเล้ว ...ที่สำคัญแบงก์เองก็ไม่อยากปล่อยกู้ให้ครัวเรือนที่แบกหนี้หนักอยู่แล้ว

‘วิกฤติฐานราก’ รอบนี้จึงไม่เหมือน ‘วิกฤติต้มยำกุ้ง’ ในปี พ.ศ. 2540 ตรงที่รอบนั้นมันไปพังที่สถาบันการเงินเป็นหลัก กระทบกับคนรวยเป็นหลัก มันเจ็บหนักก็จริงแต่จบแค่นั้น

ส่วนครั้งนี้มันคือความฝืดเคืองขาดสภาพคล่องในวงกว้าง ในภาคครัวเรือนที่ต้องเติมรายได้เพื่อลดหนี้แก้หนี้ให้ได้ ว่าแต่ว่าหน้าตาตัวตนที่แท้จริงของครัวเรือนไทยจำนวนมากตอนนี้ เป็นอย่างไร?

คำตอบก็คือ ครัวเรือนไทยกลุ่มนี้ นักเศรษฐศาสตร์เรียกว่า ALICE หรือ Asset Limited, Income Constrained, Employed

การจำแนกตัวตนของกลุ่มชนชั้นกลางไทยที่วัดตามระดับรายได้

● ในปัจจุบัน การอยู่เหนือระดับเส้นความยากจน คือการมีรายได้ตั้งแต่เดือนละประมาณ 10,000 บาทขึ้นไป 

● ครัวเรือนที่มีระดับรายได้ต่อเดือนต่ำกว่าหมื่นนั้น จะอยู่แบบเดือนไม่ชนครึ่งเดือน คือมีรายจ่ายสูงถึง 147% ของรายได้

โดยที่ยอดจ่ายเงินกู้ตกอีกเดือนละ 29% รวมกันคือรายจ่าย 176% ของรายได้ แสดงว่าครัวเรือนกลุ่มนี้ต้องกู้มาโปะ 70%-80% ของรายได้ทบเข้าไปทุกเดือน

● ครัวเรือนที่มีรายได้เดือนละตั้งแต่ 1-2 หมื่นก็ไม่ได้ต่างกันนักคือ มีรายจ่าย 103% กับยอดจ่ายเงินกู้อีก 18% รวมมีค่าใช้จ่ายเป็น 121% ของรายได้ ครัวเรือนกลุ่มนี้ก็ต้องกู้มาโปะทุกเดือนเช่นกัน

● ครัวเรือนที่มีรายได้ 2-3 หมื่นต่อเดือน มีค่าใช้จ่ายกินอยู่บวกจ่ายเงินกู้ 112% ของรายได้

● ครัวเรือนที่มีรายได้ 3-5 หมื่นต่อเดือน มีค่าใช้จ่ายอยู่กินบวกจ่ายเงินกู้ 106% ของรายได้

● ครัวเรือนที่มีรายได้ 5 หมื่น - 1 แสนต่อเดือนถึงเริ่มจะมีรายได้เกินค่ากินอยู่จ่ายหนี้ อยู่ที่ 97% ของรายได้ คือมีรายได้ปริ่ม ๆ ไม่ต้องพึ่งเงินกู้มาโปะค่ากินอยู่ แต่แทบไม่มีเงินออม

● มีเฉพาะครัวเรือนกลุ่มรายได้เกินแสนบาทต่อเดือนเท่านั้นที่มีเหลือเก็บจริง ๆ คือมีค่ากินอยู่ อยู่ที่ 66% ของรายได้

● ซึ่งกลุ่มครัวเรือนชนชั้นกลาง ตั้งแต่ 1-5 หมื่น ที่รายได้พ้นเส้นความยากจน แต่มีไม่พอจะชนเดือนนั้น เขาเรียกคนกลุ่มนี้ว่า ALICE หรือ Asset Limited, Income Constrained, Employed

ซึ่งกลุ่ม ALICE นี้มีจำนวน 17.4 ล้านครัวเรือน คิดเป็นสัดส่วนถึง 72% ของประชากรประเทศไทย

สั้น ๆ มีผู้คนราว 3 ใน 4 ของประเทศนี้ ที่ต้องกู้มากินมาใช้เพิ่มขึ้นทุกเดือน เพียงเพื่อจะอยู่รอด 

หนี้ครัวเรือนในประเทศนี้จึงทะลุ 90% GDP มิหนำซ้ำในปัจจุบันสถาบันการเงินได้หยุดไม่ให้สินเชื่อกับ ALICE เพิ่มอีกแล้วด้วย

● เมื่อเอาภาพนี้ไปมองคู่กับสัดส่วนของ GDP ไทยและ สัดส่วนแรงงาน มันจะเห็นอะไรชัดขึ้น

กล่าวคือสัดส่วนของ GDP ไทยในตอนนี้คือ ภาคอสังหา 5%, เกษตร 9%, พาณิชย์ 16%, อุตสาหกรรม 30% และ บริการ 40% ของ GDP ตามลำดับ

ในขณะที่การจ้างงานราว 30% อยู่ภาคเกษตร, 20% อยู่ภาคอุตสาหกรรม และ อยู่ภาคบริการราวครึ่งหนึ่ง 50%

แสดงว่า 9% ของ GDP ในภาคการเกษตรนี้ต้องเอามาเลี้ยงคนทำงาน 30% ในภาคเกษตร นี่ยังไม่ต้องพูดถึงส่วนที่มันเข้ากระเป๋าทุนผูกขาดทางการเกษตร ถ้าหักส่วนนี้ออก มันจะเหลือถึงคน 30% ในภาคเกษตรจริง ๆ สักเท่าไร

● อสังหา 5% นั้นมันคงเอาไปรวมกับ 30% อุตสาหกรรม เป็น 35% ของ GDP เทียบกับจำนวนหนุ่มสาวโรงงาน 20%ในภาคอุตสาหกรรม มันก็ยังดูได้สัดส่วน แต่ภาคอุตสาหกรรมที่กำลังจะตายของประเทศไทย เพราะไม่สามารถแข่งขันกับกลุ่มทุนจีนที่กำลังเข้ามาฮุบกลืนธุรกิจอุตสาหกรรมของไทย... จะอุ้มชูคนกลุ่มนี้ได้นานแค่ไหน?

● หรือจะให้ 50% ของ GDP จากภาคบริการและท่องเที่ยว ที่ปัจจุบันก็จ้างงานแบกคนอยู่ 40% ของ GDP อยู่แล้ว ...จะต้องแบกรับภาระส่วนที่เหลือไปทั้งหมดอีกหรือ?

● สมัยวิกฤติต้มยำกุ้ง ปี พ.ศ. 2540 นั้น ผู้คนที่เผชิญมรสุม เขายังมีบ้าน มีชนบท มีนา มีไร่ ให้กลับ แต่คนพ.ศ. 2567 ที่กำลังเผชิญกับ ‘วิกฤติฐานราก’ หรือ Balance Sheet Recession อยู่ตอนนี้ โดยที่ภาคเกษตร 9% ของ GDP อุ้ม 30% ของแรงงานในภาคเกษตรอยู่แล้ว ภาคเกษตรที่หลังแอ่นอยู่แล้วจะรองรับพวก ALICE ให้กลับอยู่ด้วยอีกได้หรือเปล่า?

~ สุวินัย ภรณวลัย และเต่า วรเดช

'ภูมิธรรม' นำทัพดาราไทย บุกมาเลย์ ดึง 'ปันหยี I Sea You' โชว์ Soft Power เชื่อมวัฒนธรรม พร้อมนำ 18 บริษัทร่วมงานอาหารเครื่องดื่ม Food and Drinks Malaysia by SIAL คาดโกยเงินเข้าประเทศกว่า 650 ล้านบาท

ภูมิธรรม นำนักแสดงและผู้กำกับภาพยนตร์ไทย “ปันหยี I Sea You”  เยือนมาเลเซีย เพื่อโปรโมทหนัง และสร้างความร่วมมือด้านสื่อบันเทิงไทยละหว่าไทยกับมาเลเซีย ถือเป็นก้าวสำคัญในการขยายตลาดคอนเทนต์บันเทิงไทยสู่ตลาดมาเลเซีย และการแลกเปลี่ยนกันในวัฒนธรรมของทั้งสองประเทศ ถือเป็นการสอดแทรก Soft Power ของไทยในภาพยนต์ ทั้งยังนำ 18 ผู้ประกอบการไทยและผู้นำเข้าสินค้าของไทย ร่วมงานแสดงสินค้าด้านอาหาร Food and Drinks Malaysia by SIAL เพื่อขยายตลาดอาหารและเครื่องดื่มในมาเลเซีย

วันที่ 4 กรกฎาคม 2567 เวลา 10.00 น.(เวลาไทย) ณ โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย 

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนหลังเป็นสักขีพยานการลงนามบันทึกข้อตกลง ระหว่าง บริษัท Final Draft Creation จำกัด ผู้ผลิตคอนเทนต์บันเทิงชั้นนำของไทย กับ Banyak Bagus Entertainment Sdn. Bhd. (บริษัท บายะ บากุส เอนเตอร์เทนเมนท์ จำกัด) บริษัทสื่อบันเทิงจากมาเลเซีย โดยมี นายอรินชัย รัตนขวิจิตร กรรมการบริหาร บริษัท Final Draft Creation จำกัด เป็นตัวแทนฝ่ายไทยในการลงนาม ขณะที่ฝ่ายมาเลเซียมี Mr. David Chua Boon Ghe กรรมการผู้จัดการ Banyak Bagus Entertainment Sdn. Bhd. เป็นผู้ลงนาม โดยมีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และ นาย Yb Senator Tengku Datuk Seri Utama Zafrul Tengku Abdul Aziz รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการลงทุน การค้าและอุตสาหกรรมของมาเลเซีย ร่วมเป็นสักขีพยาน

การลงนามในครั้งนี้ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือในอุตสาหกรรมบันเทิงระหว่างสองประเทศ สร้างโอกาสทางธุรกิจร่วมกัน โดยมีการทำแคมเปญการตลาดและประชาสัมพันธ์ รวมถึงการสนับสนุนการสร้างสรรค์ผลงานเพลง โดยศิลปินไทยและมาเลเซียที่ผสมผสานสไตล์ดนตรี ภาษา และวัฒนธรรมของทั้งสองประเทศเข้าด้วยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสนับสนุนภาพยนตร์เรื่อง 'ปันหยี ไอ ซี ยู' (Panyi I Sea You) ซึ่งเป็นภาพยนตร์แนวโรแมนติกคอมเมดี้ที่สะท้อนความงดงามของประเทศไทย วิถีชีวิตของชาวไทยมุสลิมและอาหารไทยผ่านเรื่องราวบนเกาะปันหยี ซึ่งอยู่ในระหว่างการถ่ายทำและคาดว่าจะออกฉายสู่สายตาสาธารณชนในเดือนมีนาคม 2568 ผ่านความสำเร็จจาก MOU ที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ ภายในงานมีการแสดงเพลงประกอบภาพยนตร์ (OST) โดยเฟม โนอาห์ และตัวอย่างของภาพยนต์ 'ปันหยี ไอ ซี ยู' (Panyi I Sea You) ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมและขยายฐานแฟนภาพยนตร์ในภูมิภาค

นายภูมิธรรม กล่าวว่า “โดยความร่วมมือครั้งนี้นับเป็นก้าวสำคัญในการขยายตลาดคอนเทนต์บันเทิงไทยสู่ตลาดมาเลเซียซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 132,000 ล้านบาทในปี 2565 และยังเป็นประตูสู่ตลาดอินโดนีเซียที่มีขนาดใหญ่กว่า เนื่องจากมีความคล้ายคลึงทางวัฒนธรรม อีกทั้งมาเลเซียมีความสนใจในความบันเทิงและวัฒนธรรมไทยเป็นอย่างมาก จึงเป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างสองประเทศผ่านสื่อบันเทิงรูปแบบต่างๆ การร่วมกันครั้งนี้สอดคล้องกับนโยบายส่งเสริม Soft Power ของรัฐบาลไทย และได้รับการสนับสนุนจากกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) ณ
กรุงกัวลาลัมเปอร์” 

หลังเสร็จสิ้นการลงนามบันทึกข้อตกลงดังกล่าวรองนายกรัฐมนตรีฯ นายภูมิธรรมได้เดินทางไปยังงานแสดงสินค้าด้านอาหาร Food and Drinks Malaysia by SIAL จัดขึ้นระหว่างวันที่ 2 – 4 กรกฎาคม 2567 ณ ศูนย์การแสดงสินค้านานาชาติ มาเลเซีย โดยภายในงานได้มีการนำผู้ประกอบการไทยและผู้นำเข้ามาเลเซียจำนวน 18 บริษัท มาร่วมออกคูหาแสดงสินค้าอาหารครอบคลุมหลากหลายประเภท อาทิ ซอสปรุงรส บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อาหารพร้อมปรุง และพร้อมรับประทาน ตลอดจนผลิตภัณฑ์เสริมอาหารนวัตกรรมต่าง ๆ 

“โดยคาดว่าจะเกิดมูลค่าการค้าของสินค้าอาหารและเครื่องดื่มไทยภายในงานไม่น้อยกว่า 650 ล้านบาท ตอกย้ำศักยภาพของอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มไทยตามนโยบายครัวของโลก และการผลักดันซอฟท์พาวเวอร์อาหารไทยสู่ตลาดต่างประเทศตามนโยบายรัฐบาล“ นายภูมิธรรม กล่าว

งานแสดงสินค้า Food and Drinks Malaysia by SIAL ในปีนี้ ถือเป็นครั้งที่ 2 ที่จัดขึ้นในประเทศมาเลเซีย มีผู้เข้าร่วมงานรวม 326 บริษัท 370 คูหา คาดว่าจะมีผู้เข้าชมงานตลอดระยะเวลาการจัดงาน 3 วัน ไม่น้อยกว่า 10,000 รายจาก 50 ประเทศทั่วโลก โดย SIAL ถือเป็นแบรนด์เครือข่ายงานแสดงสินค้าอาหารและ
เครื่องดื่มที่มีชื่อเสียงระดับโลก กระจายการจัดงานอยู่ในภูมิภาคยุโรป แอฟริกา และเอเชีย ถือเป็นหนึ่งในงานแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่มที่มศักยภาพของภูมิภาค

‘ทีมนักบินอวกาศจีน’ เสินโจว-18 ทำภารกิจนอกตัวยาน ครั้งที่ 2 สำเร็จ หลังติดตั้งอุปกรณ์-เช็กตรวจสอบ ก่อนกลับสู่ห้องปฏิบัติการอย่างปลอดภัย

เมื่อวานนี้ (4 ก.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า องค์การอวกาศที่มีมนุษย์ควบคุมแห่งประเทศจีน (CMSA) รายงานว่า ทีมนักบินอวกาศประจำภารกิจเสินโจว-18 ที่ประจำการอยู่บนสถานีอวกาศในวงโคจรของจีน ได้ทำกิจกรรมนอกยานอวกาศครั้งที่ 2 เสร็จสิ้นตอน 22.51 น. ของวันพุธ (3 ก.ค.67) ตามเวลาปักกิ่ง

โดยรายงานระบุว่า เย่กวงฟู่, หลี่ชง และหลี่กว่างซู ทำงานร่วมกันเป็นระยะเวลาราว 6 ชั่วโมง 30 นาที เพื่อทำงานหลายรายการ โดยหลี่กว่างซูอยู่ภายในสถานีอวกาศ

ทีมนักบินอวกาศได้ติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันขยะอวกาศให้ท่อ สายเคเบิล และอุปกรณ์สำคัญนอกสถานีอวกาศเทียนกง รวมถึงทำการตรวจสอบนอกยานอวกาศ ด้วยความช่วยเหลือจากแขนกลหุ่นยนต์และคณะนักวิจัยบนพื้นโลก โดยเย่กวงฟู่และหลี่ชง ผู้รับผิดชอบการทำกิจกรรมนอกยานอวกาศ ได้กลับเข้าสู่โมดูลห้องปฏิบัติการเวิ่นเทียนอย่างปลอดภัย

อนึ่ง ทีมนักบินอวกาศทั้ง 3 ท่องอวกาศราว 1 ใน 3 ของระยะเวลาที่วางไว้แล้ว และมีกำหนดดำเนินการทดลองทางวิทยาศาสตร์และการทดสอบทางเทคโนโลยีในวงโคจรจำนวนมาก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top