Monday, 23 June 2025
NewsFeed

‘นักร้องหนุ่ม’ โชว์สปิริต ร้องเพลงท่ามกลาง ‘ฝูงแมลงเม่า’ รับ!! ไม่อยากให้แขกในงานเซ็ง แม้บินเข้าปากไป 3-4 ตัว

(3 ก.ค. 67) จากกรณีคลิปวิดีโอว่อนโซเชียล นักร้องหนุ่มร้องเพลงท่ามกลางแมลงเม่านับแสน จนมีคนแชร์และเข้าไปให้กำลังใจเป็นจำนวนมาก

ล่าสุด ชาวเน็ตต่างเข้าไปให้กำลังใจนักร้องขณะร้องเพลงในเพจมงคลซาวด์ & อาลาไก สตูดิโอเป็นจำนวนมาก หลังมีคนนำคลิปบรรยากาศการร้องเพลงของวงอนุบาล 3 ไปโพสต์

เป็นภาพที่นักร้องหนุ่มใช้มือข้างหนึ่งถือไมค์ร้องเพลง อีกมือหนึ่งเอาไว้ปัดแมลงเม่า ซึ่งคาดว่ามีนับแสนตัวมารุมอยู่บนเวทีขณะร้องเพลง ชาวเน็ตหลายคนมาคอมเมนต์และให้กำลังใจเป็นจำนวนมาก บางคนบอกว่าสงสาร บางคนบอกว่า ‘ร้องเพลงจบอิ่มพอดี’

ผู้สื่อข่าวตรวจสอบพบว่า นักร้องคนที่อยู่ในคลิป ชื่อ นายวิทยา สิวกระโทก หรือเต็งหนึ่ง อายุ 29 ปี เล่าว่า ตั้งวงดนตรีชื่อวง ‘อนุบาล 3’ จะรับเล่นดนตรีตามรถแห่ที่เขาจ้างไปหรือรับงานตามงานเลี้ยงต่าง ๆ

เมื่อวันที่ 29 มิถุนายนที่ผ่านมาไปรับงานเลี้ยงที่บ้านชุมทอง ต.ชุมเห็ด อ.เมืองบุรีรัมย์ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่กำลังเช็กซาวด์ คือจะต้องร้องก่อนประมาณ 4-5 เพลง ระหว่างที่กำลังร้องได้เพลงที่ 3 ได้มีแมลงเม่าไม่รู้ว่ามาจากไหน บินมารุมตนเองขณะร้องเพลงอยู่

แต่ทำอะไรไม่ถูก นักดนตรีก็เล่นไปเพราะไม่ได้รับผลกระทบ และคาดว่าน่าจะลืมคิดถึงนักร้อง จึงตัดสินใจร้องไปเรื่อย ๆ ประกอบกับไม่อยากให้แขกในงานเกิดอาการเซ็ง ร้องไปเอามือปัดแมลงเม่าไป

ประมาณ 30 นาทีแมลงเม่าที่ปีกหลุดก็หายไป แต่ยอมรับว่าระหว่างที่ร้องอยู่นั้นได้กินแมลงเม่าไปประมาณ 3-4 ตัว รู้สึกมันดี ถือเป็นครั้งแรกที่ได้ร้องเพลงในฝูงแมลงเม่า และเป็นครั้งแรกที่ได้กินแมลงเม่าตัวเป็น ๆ

ขณะที่ นายมงคล ก่อแก้ว เจ้าของรถแห่มงคลซาวด์ เล่าว่า ปกตินักร้องไม่เคยจะเจอแมลงเม่าแบบนี้ วันนั้นเห็นนักร้องร้องเพลงด้วยความลำบาก จึงถ่ายคลิปไว้ดูกระทั่งเอาไปโพสต์ลงในเพจไม่คิดว่าจะมีคนมาสนใจและรู้สึกดีกับนักร้องแบบนี้

ส่วนการแก้ไขปัญหาแมลงเม่าระหว่างการแสดงนั้น ยังไม่มีวิธีเพราะแมลงเม่าถ้าออกมาแล้วไม่นานปีกจะหลุดแล้วเดินหายไปอยู่แล้ว ถือว่าเป็นอีกหนึ่งบรรยากาศแปลกที่หาดูได้ยากของการแสดงดนตรีได้อีกมุมหนึ่ง

‘ญี่ปุ่น’ สวนกระแสสังคมไร้เงินสด เริ่มใช้ ‘ธนบัตรรุ่นใหม่’ ในรอบ 20 ปี พิมพ์ด้วยเทคโนโลยีโฮโลแกรมล้ำสมัย ป้องกันการปลอมแปลง

(3 ก.ค. 67) ญี่ปุ่นเริ่มใช้ธนบัตรหมุนเวียนรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงในรอบ 20 ปี โดยใช้เทคโนโลยีโฮโลแกรมที่ทำให้เห็นหน้าบุคคลสำคัญบนธนบัตรแบบสามมิติ เพื่อป้องกันการปลอมแปลง นับเป็นครั้งแรกในโลกที่ใช้เทคโนโลยีดังกล่าวบนธนบัตร

ธนบัตรแบบใหม่นี้มี 3 ราคา ได้แก่ ธนบัตร 10,000 เยน ที่มีภาพของ ‘เออิจิ ชิบูซาวะ’ ผู้ก่อตั้งธนาคารและตลาดหลักทรัพย์แห่งแรก เป็นที่รู้จักกันในนาม ‘บิดาแห่งทุนนิยมญี่ปุ่น’ มีชีวิตอยู่ระหว่างปี พ.ศ.2383-2474

ส่วนธนบัตร 5,000 เยน มีภาพของ ‘อุเมโกะ สึด’ ผู้ก่อตั้งหนึ่งในมหาวิทยาลัยสตรีแห่งแรกในญี่ปุ่น มีชีวิตระหว่างปี 2407-2472 และธนบัตร 1,000 เยน มีภาพของ ‘ชิบาซาบูโระ คิตะซาโตะ’ นักวิทยาศาสตร์การแพทย์รุ่นบุกเบิกที่มีชีวิตอยู่ในระหว่างปี 2396-2474

โรงพิมพ์ธนบัตรของญี่ปุ่นวางแผนจะพิมพ์ธนบัตรรุ่นใหม่ประมาณ 7.5 พันล้านใบ ภายในสิ้นปีงบประมาณปัจจุบัน และจะพิมพ์ธนบัตรจำนวน 1.85 หมื่นล้านใบ มูลค่า 125 ล้านล้านเยนที่หมุนเวียนอยู่นับถึงเดือนธันวาคมปีที่แล้ว

อย่างไรก็ตาม ธนบัตรที่ยังใช้กันอยู่ในปัจจุบันยังคงใช้ต่อไปได้ ในขณะที่รัฐบาลผลักดันให้ผู้บริโภคและธุรกิจต่าง ๆ ใช้เงินสดน้อยลง เพื่อเปลี่ยนเศรษฐกิจให้เป็นดิจิทัล

‘คาซูโอะ อุเอดะ’ ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) กล่าวในพิธีฉลองการใช้ธนบัตรรุ่นใหม่ว่า เงินสดเป็นวิธีการชำระเงินที่ปลอดภัย ซึ่งทุกคนสามารถใช้ได้ทุกที่ ทุกเวลา และจะยังคงมีบทบาทสำคัญต่อไป แม้ว่าจะมีวิธีชำระเงินแบบอื่นก็ตาม

🔎ส่อง 20 ซุป ที่ได้รับความนิยมที่สุดในโลก

เว็บไซต์ TasteAtlas ศูนย์รวบรวมสูตรอาหารและรีวิวจากนักวิจารณ์อาหารทั่วโลก ได้รวบรวมเมนูซุปที่ได้รับความนิยมที่สุดในโลก 20 เมนู ซึ่งน่ายินดีอย่างยิ่งที่เมนู ‘ต้มข่าไก่’ ของไทย ติด 1 ใน 20 ด้วย

เมนู ‘ต้มข่าไก่’ เป็นอาหารประจำชาติของไทย ที่มาจากภาคเหนือ เป็นซุปที่ประกอบด้วยส่วนผสมสำคัญ อาทิ กะทิ ไก่ชิ้น ข่า ตะไคร้ กระเทียม พริก ใบมะกรูด น้ำปลา และเห็ด โดยต้มข่าไก่จะเสิร์ฟพร้อมข้าวสวย และรับประทานพร้อมกัน

สำหรับรสชาติของต้มข่าไก่ จะมีรสชาติเผ็ด และเปรี้ยวเล็กน้อย มีกลิ่นหอมนำจากข่า ตามด้วยใบมะกรูด และตะไคร้ รสสัมผัสของน้ำซุปกะทิมีความละมุนเข้ากับเนื้อไก่และเห็ด ทำให้อาหารจานนี้มีความกลมกล่อมอย่างลงตัว 

นอกจากนี้ ต้มข่าไก่ยังมีคุณค่าทางโภชนาการสูง และมีสรรพคุณช่วยบรรเทาระบบทางเดินอาหารด้วย

สวนสัตว์ขอนแก่น ผ่านการรับรองมาตรฐานท่องเที่ยวไทย มาตรฐานห้องน้ำสาธารณะเพื่อการท่องเที่ยว ประจำปี 2567

สวนสัตว์ขอนแก่น ได้รับรองมาตรฐานการท่องเที่ยวมาตรฐานห้องน้ำสาธารณะเพื่อการท่องเที่ยว โดยกรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

วันที่ 2 กรกฎาคม 2567 สวนสัตว์ขอนแก่น เข้าร่วมพิธีมอบเครื่องหมายมาตรฐานการท่องเที่ยวไทย ประจำปี พ.ศ. 2567 โดยนางทิพาวดี กิตติคุณ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสวนสัตว์ขอนแก่น รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการสวนสัตว์ขอนแก่น ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ ทั้งนี้สวนสัตว์ขอนแก่น ได้ผ่านการตรวจประเมินและได้รับการรับรองมาตรฐานห้องน้ำสาธารณะเพื่อการท่องเที่ยว โดยกรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยมีนายพลภูมิ วิภัติภูมิประเทศ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานในพิธี ซึ่งสถานประกอบการที่ผ่านการรับรองมาตรฐานห้องน้ำสาธารณะเพื่อการท่องเที่ยวระดับสากลในครั้งนี้ ใช้แบบประเมินโดยมีเนื้อหาและกรอบดัชนีวัดคุณภาพมาตรฐานห้องน้ำสาธารณะ 5 องค์ประกอบ 28 เกณฑ์ และ 90 ตัวชี้วัด ซึ่งครอบคลุมในด้านความสะอาด ความปลอดภัย ความสะดวก การออกแบบ และการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน และการบริหารจัดการคุณภาพการบริการ

นางทิพาวดี กิตติคุณ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสวนสัตว์ขอนแก่น รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการสวนสัตว์ขอนแก่น กล่าวว่า สวนสัตว์ขอนแก่นรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้เข้าร่วมพิธีรับมอบเครื่องหมายรับรองมาตรฐานการท่องเที่ยวไทย ประจำปี พ.ศ. 2567 มาตรฐานห้องน้ำสาธารณะเพื่อการท่องเที่ยว ซึ่งสวนสัตว์ขอนแก่นเห็นถึงความสำคัญของห้องน้ำ ในการให้บริการนักท่องเที่ยวที่มาใช้บริการที่สวนสัตว์ขอนแก่น ที่สามารถเข้าถึงการใช้บริการห้องน้ำที่ “สะอาด พอเพียง ปลอดภัย” และส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวมีพฤติกรรมในการใช้ห้องน้ำที่ถูกต้องและต้องมีจำนวนห้องน้ำที่พอเพียงสำหรับนักท่องเที่ยวที่มาใช้บริการสำหรับนักท่องเที่ยวทั่วไป ผู้พิการ ผู้สูงอายุ และหญิงตั้งครรภ์ ที่สามารถพร้อมใช้งานได้ตลอดเวลาที่เปิดให้บริการ รวมถึงจัดให้มีส้วมที่เหมาะสมทุกคนสามารถใช้บริการได้ง่ายและปลอดภัย มาอยู่ในที่ลับตาแสงสว่างพอเพียง แยกเป็นสัดส่วนชายหญิง สามารถให้ความช่วยเหลืออย่างยังทันท่วงทีในกรณีเหตุฉุกเฉิน อีกทั้งห้องน้ำของสวนสัตว์ขอนแก่นเป็นห้องน้ำรูปแบบใหม่ที่ให้ความสำคัญในด้านความสะอาดพร้อมทั้งมีบรรยากาศโปร่งโล่งสบายและยังมีการให้ความรู้เผยแพร่ในห้องน้ำเช่นความรู้เกี่ยวกับสัตว์ต่าง ๆ การเที่ยวชมสวนสัตว์ติดไว้เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้อ่านในช่วงมาใช้บริการอีกด้วย

ถอดรหัสโอกาสจาก ‘ผืนป่า’ ผ่านมุมมอง ‘วีระศักดิ์ โควสุรัตน์’ หากมนุษย์รู้จักบริบาลป่า ป่าก็พร้อมบริบาลมนุษย์กลับคืน

จากรายการทันข่าววุฒิสภา เมื่อวันที่ 2 ก.ค.67 ได้เชิญ 'อาจารย์วีระศักดิ์ โควสุรัตน์' รองประธาน กมธ. ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วุฒิสภา มาร่วมพูดคุยถึงประเด็น ‘เศรษฐกิจภายใต้ผืนป่า’ แบบเจาะลึก โดยเนื้อหาดังกล่าวมีสาระสำคัญ ดังนี้…

อ.วีระศักดิ์ มองว่า ในสมัยหนึ่ง มนุษย์มองเรื่องของ ‘ป่า’ เป็นเรื่องของสิ่งแวดล้อม เป็นเรื่องของทรัพยากรธรรมชาติเป็นหลัก โดยมนุษย์จะบริบาลหรือดูแลรักษาป่าไว้เพื่อรักษาความชื้น เพื่อให้เป็นที่อยู่ให้สัตว์ป่า หรือก็คือ…มองป่าในเชิงของนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิด แล้วก็เป็นเรื่องที่ดีมาก ๆ ด้วย

อย่างไรก็ตาม หากมองในมิติดังกล่าวมากเกินไป ก็อาจจะทำให้ ‘ความสัมพันธ์’ ระหว่างป่า กับ มนุษย์ ค่อย ๆ เกิดช่องว่าง ป่าจะเป็นได้เพียงแค่ผู้ช่วยที่ทำให้เกิดอากาศดี และเป็นที่ธำรงไว้ซึ่งความหลากหลายทางชีวภาพบางประเภทให้กับมนุษย์เท่านั้น

ทว่า ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา มนุษย์เริ่มเข้าไปรุกล้ำป่ามากขึ้น หรือก็คือ…แทบจะไม่มีพื้นที่ไหน ที่ไม่มีมนุษย์เข้าไปอยู่อาศัย และใช้ประโยชน์จากป่า และเริ่มมองหา ‘เศรษฐกิจภายใต้ผืนป่า’ อย่างจริงจัง แต่เป็นการหาประโยชน์ที่ขาดซึ่งบริบาลป่าควบคู่กันไป ซึ่งส่วนหนึ่งก็อาจจะเป็นเพราะองค์ความรู้ และบุคลากรที่พร้อมจะช่วยบริบาลป่าได้อย่างต่อเนื่อง เปรียบเสมือนกับสังคมปัจจุบันที่เข้าสู่ ‘ยุคสูงวัย’ แต่ขาดระบบในการดูแลจัดการคนกลุ่มนี้ รวมถึงคนที่มีความชำนาญในการมาดูแลพวกท่าน เป็นต้น

ทั้งนี้ เหตุผลที่เทียบ ‘เศรษฐกิจภายใต้ผืนป่า’ กับ ‘ยุคสูงวัย’ นั้น เพราะ อ.วีระศักดิ์ พยายามจะเน้นย้ำให้เห็นถึงมิติของการบริบาล หรือการดูแล เพื่อให้ป่าพร้อมที่จะกลับมาดูแลมนุษย์คืนกลับต่อไป ไม่ใช่มองป่าเป็นเพียงเศรษฐกิจที่เอาไว้กอบโกย แต่ไม่เคยคืนหรือดูแลป่าไม้กลับ

“เดิม ‘ชาวตะวันตก’ ที่เข้ามาได้สัมปทานป่าไม้ในประเทศไทยในยุคช่วงหลังล่าอาณานิคม เคยแนะนำให้ประเทศไทยสร้าง ‘กลุ่มป่าไม้’ หรือ หน่วยงานราชการที่ว่าด้วยเรื่องป่าไม้กันมาแต่ก็ตั้งแต่ช่วงนั้น เพื่อคุ้มครองป้องกันไม่ให้ป่าถูกบุกรุกและถูกทำลาย เพราะเขามองเห็นว่าในอนาคตกลุ่มคนที่เข้ามาทำลาย และเข้าไปได้เศรษฐกิจจากป่ากลับไปนั้น จะทำให้ป่าไม่ได้อะไรกลับคืนมาเลย และนานวันป่าก็ยิ่งมีแต่ต้องมอบเศรษฐกิจให้แก่มนุษย์ฝ่ายเดียวมากขึ้น ผ่านการมอบสัมปทานให้กับภาคเอกชน ที่ตัดป่าไม้ไปเพื่อการส่งออกไม้ในเชิงของอุตสาหกรรม ไปทำเฟอร์นิเจอร์ ไปต่อเรือ รวมไปถึงกลุ่มที่ลักลอบตัดไม้ไปขาย ซึ่งปัจจุบันก็คงเห็นแล้วว่าป่าไม้ในไทยถูกตัดกันจนเหี้ยนแล้วจริง ๆ” 

จากจุดนี้ อ.วีระศักดิ์ จึงมองว่า ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยจะต้องมาสนทนากันอย่างจริงจังถึง ‘เศรษฐกิจภายใต้ผืนป่าในยุคปัจจุบัน’ โดยระหว่างช่วงแรมปีที่ผ่านมาคณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม พร้อมคณะกรรมาธิการการอุดมศึกษานวัตกรรมและเทคโนโลยี ได้มีการไปร่วมพูดคุยกันอย่างจริงจังที่จังหวัดแพร่ โดยต่างเห็นพ้องต้องกันว่า จะฟื้นฟูให้ ‘โรงเรียนป่าไม้แพร่’ ฟื้นกลับขึ้นมาใหม่ เพื่อเป็นสะพานไปสู่เศรษฐกิจภายใต้ผืนป่าแห่งยุคปัจจุบัน

อ.วีระศักดิ์ เล่าให้ฟังว่า นี่เป็นเสมือนการชุบชีวิตโรงเรียนป่าไม้แพร่ให้ฟื้นกลับมาใหม่ ในฐานะของ ‘สถาบันการศึกษา’ โดยจะมีกิจกรรมหลักสูตรที่เปิดให้บุคคลทั่วไปสามารถเข้ามาเรียนเพื่อรับเป็นเครดิตในระดับปริญญาได้เป็นครั้งแรก หลังโรงเรียนป่าไม้แพร่ของกรมป่าไม้ถูกปิดตัวไปกว่า 30ปี

ทั้งนี้ หลักสูตรที่เปิด นอกจากการเรียนเรื่องการปลูกป่า รักษาป่า การพัฒนาพันธุ์ไม้ป่า การใช้ประโยชน์จากวัสดุที่เก็บได้จากป่ามาทำมูลค่าเพิ่ม เช่น ทำถ่านกัมมันต์จากเปลือกไม้ จากฟาง จากขี้เลื่อยแล้ว ยังมีหลักสูตรรุกขกรตัดแต่งกิ่งไม้ การออกแบบผลิตภัณฑ์จากไม้ การตรวจพิสูจน์ไม้ การสกัดสารสำคัญทางชีวภาพจากพืช การเพาะเลี้ยงสัตว์ การบริหารป่าชุมชน การทำสวนป่า การทำฝายในป่า ฯลฯ ซึ่งจะช่วยให้พื้นที่ตั้งโรงเรียนป่าไม้แพร่ได้กลับมามีชีวิตชีวา และสามารถถ่ายทอดความรู้ความชำนาญจากผู้มีทักษะความรู้กระจายให้ผู้มาเข้าหลักสูตรได้หลากหลาย

นอกจากนี้ ยังมีหลักสูตรที่ว่าด้วยการเพาะพันธุ์กล้าไม้ ทั้งไม้ทั่วไป ไม้เฉพาะ ไม้เศรษฐกิจ (ไม้สัก-ไม้พะยูง) และไม้หายากด้วย ซึ่งเดิมหน่วยงานไหน สถาบันการศึกษาใดจะเพาะ แล้วไปจำหน่ายก็ตามแต่บทบาทของแต่ละหน่วย เพียงแต่ถ้าถามว่าแล้ว ความรู้ในการ การเพาะพันธุ์นั้น พอจะสอนกันได้หรือไม่ ก็นำมาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในสถาบันแห่งนี้ เพื่อช่วยให้เกิดการต่อยอดสร้างเศรษฐกิจจากผืนป่า ที่นำไปพัฒนาต่อทางอุตสาหกรรม เฟอร์นิเจอร์ เชื้อเพลิง และอื่น ๆ ได้ต่อไป

ในอดีตแต่ดั้งเดิมนั้น โรงเรียนป่าไม้แพร่เคยถูกสร้างมาเพื่อสร้างข้าราชการที่จะบรรจุมาทำงานด้านการทำไม้ การชักลากไม้ ซึ่งเน้นการตัดสางเพื่อเปิดพื้นที่ให้ไม้ป่าสามารถเติบโตให้ลำต้นอ้วนพีมากขึ้น แต่ภายหลังเมื่อทางการไทยเปลี่ยนมาใช้การให้สัมปทานตัดไม้แก่เอกชน จึงปิดโรงเรียนป่าไม้แพร่ไป ปรากฏว่าเอกชนที่ได้รับสัมปทานกลับเน้นการตัดไม้ในพื้นที่ให้หมด เพื่อให้คุ้มค่าการลงทุนที่สุด และยังมักลักลอบตัดไม้นอกแปลงสัมปทานไว้ด้วย จนเมื่อมาถึงสมัยรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ หลังพายุไต้ฝุ่นเกย์ทำให้เกิดซุงถล่มไหลลงจากเขา ทับหมู่บ้านที่อยู่ตอนล่างมากมาย รัฐบาลจึงสั่งเปลี่ยนนโยบายให้ปิดป่าเลิกสัมปทานทำไม้ทั้งหมดนับแต่นั้น

นั่นจึงทำให้โรงเรียนป่าไม้แพร่ไม่ได้รับเหตุจูงใจให้เปิดขึ้นมาอีก จนภายหลังจากปี 2562 มีการแก้ไขกฎหมายให้คนอยู่กับป่าได้ ยกเลิกการห้ามตัดไม้หวงห้าม ทำให้มีประชาชนปลูกไม้มีค่าเพิ่มขึ้นในที่ดินตนเอง แต่องค์ความรู้ในการบำรุงรักษา และการทำไม้เริ่มหายไป ดังนั้น การฟื้นฟูหลักสูตรทักษะการจัดการป่า การดูแลต้นไม้ และสร้างมูลค่าเพิ่มจากป่า จึงเป็นฐานความรู้ที่จะทวีความสำคัญต่อการรักษาและพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพอย่างมีคุณภาพได้ดียิ่ง ๆ ขึ้นต่อ ๆ ไป

ดังนั้นโรงเรียนป่าไม้แพร่ ก็จะเป็นต้นแบบหนึ่ง ที่เชื่อว่าหลักสูตรและความรู้เหล่านี้ เมื่อนำไปขยายกระจายต่อ จะสร้างความตระหนักรู้ และประโยชน์เพียงพอที่จะทำให้ประชาชนและผู้คนในพื้นที่ต่าง ๆ ที่ใกล้ป่าหันกลับมาอยากจะปลูกป่ากันมากขึ้น

แม้เศรษฐกิจภายใต้ผืนป่ายุคใหม่ จะดูน่าสนใจเพียงใด แต่ อ.วีระศักดิ์ เชื่อว่า บางคนที่พอได้ฟังแบบนี้แล้ว ก็อาจจะมีบางมุม เช่น ถ้าการตัดไม้ทำลายป่า เป็นเรื่องไม่ดี เขาก็จะไม่ตัด แต่เช่นเดียวกันเขาก็จะไม่ปลูกด้วย ฉะนั้นเศรษฐกิจว่าด้วยผืนป่านี้ยุคใหม่นี้ จึงต้องมีการผลักดันเพื่อให้คนส่วนใหญ่เริ่มเห็นคุณค่า และเข้าใจว่าป่านั้นสามารถเป็นเศรษฐกิจได้ โดยที่ไม่กระทบและทำลายป่า แถมยังช่วยรักษ์โลกไปในเวลาเดียวกัน เช่น ในยุโรป จะมีการอนุญาตให้ตัดไม้ในป่าที่มีการกำหนดขอบเขตปลูก เพื่อไปต่อยอดเศรษฐกิจการค้าไม้ในตลาดโลก พร้อมกระตุ้นให้เกิดการใช้งานไม้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เพื่อลดโลกร้อน อาทิ การก่อสร้างที่ใช้ไม้ทดแทน ‘ปูนซีเมนต์’ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักหนึ่งที่ทำให้โลกร้อน เนื่องจากกระบวนการผลิตประกอบไปด้วยการเผาในอุณหภูมิหลายพันองศา แถมต้องใช้พลังงานเชื้อเพลิงมากมาย เพื่อให้ได้ปูนสำเร็จออกมา และผลกระทบจากกระบวนการเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่ไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมทั้งสิ้น กลับกันถ้าผู้คนหันมาสร้างอาคารสูงที่ทำด้วยไม้มากขึ้น ผลลัพธ์ที่ว่าไปก็จะหายไป แถมมีการพิสูจน์ออกมาแล้วว่า การก่อสร้างด้วยไม้ให้น้ำหนักที่เบากว่า แต่ทนทาน แถมไม่ก่อให้เกิดโลกร้อน ทั้งในเชิงโครงสร้างและเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ เหมือนกับที่ IKEA กำลังทำอยู่กับการสร้างพื้นที่ป่าไม้ของตนเองในสวีเดน ซึ่งมีมากกว่าพื้นที่ป่าไม้ของกรมป่าไม้สวีเดน ถึง 5 เท่า เป็นต้น 

ดังนั้นสำหรับประชาชนที่สนใจที่จะมองหาประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากผืนป่า อ.วีระศักดิ์ ได้แนะนำให้เริ่มจากการเข้าไปศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับป่า ศึกษาดูว่าในพื้นที่ของท่าน ดินอยู่ในจุดไหน โดยข้อมูลเหล่านี้สามารถค้นหาได้ในเว็บไซต์ของกลุ่มพัฒนาที่ดิน / กรมอุทยาน / กระทรวงเกษตร และมหาวิทยาลัยที่สอนเกี่ยวกับเรื่องป่าไม้-ต้นไม้ เช่น มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ไม่ยาก

“เราบริบาลป่า ป่าก็จะบริบาลเราครับ” อ.วีระศักดิ์ ทิ้งท้าย

'นายกฯ' ต้อนรับ 'DP World' หารือโอกาสลงทุนไทย พร้อมชูจุดแข็งทางภูมิศาสตร์ เชื่อมทะเล 2 ฝั่งมหาสมุทร

(3 ก.ค. 67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้การต้อนรับ สุลต่าน อะห์เหม็ด บิน สุลาเย็ม ประธานกลุ่มบริษัทและผู้บริหารธุรกิจโลจิสติกส์และ Supply Chain ยักษ์ใหญ่ระดับโลก ‘Dubai Port World (DP World)’ เพื่อหารือเกี่ยวกับโอกาสการลงทุนในประเทศไทย และการเปลี่ยนแปลงประเทศไปสู่การเป็นศูนย์กลางด้านการขนส่งของภูมิภาค

โดย นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า “เราได้พูดคุยเกี่ยวกับภาพรวมของเศรษฐกิจและทิศทางการลงทุนในโครงการต่างๆ ของประเทศไทยเพื่อผลักดันเศรษฐกิจให้เติบโตไปสู่การเปลี่ยนแปลงประเทศเพื่อเป็นศูนย์กลางด้านการขนส่งของภูมิภาคโดยอาศัยความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ ที่เชื่อมทะเลทั้ง 2 ฝั่ง คือ ฝั่งมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งจะเป็นประตูให้กับการคมนาคมขนส่งและการค้าในระดับภูมิภาคและระดับโลก”

นายกรัฐมนตรี ยังเน้นย้ำความมุ่งมั่นของรัฐบาลที่ต้องการให้นักลงทุนจากทั่วโลกมีส่วนร่วมในการลงทุนในประเทศไทยเพื่อก้าวสู่ประเทศที่เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่ครบวงจร พร้อมแสดงให้เห็นถึงทิศทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นของประเทศไทยและการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ

ด้าน นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม รู้สึกดีใจที่ได้พบกับผู้บริหารและฝ่ายบริหารของ DP World อีกครั้งที่ประเทศไทย จากก่อนหน้านี้ที่พบกันในงาน World Economic Forum (WEF) ที่เมืองดาวอส สวิตเซอร์แลนด์ เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา 

นอกเหนือจากภารกิจในการจัดตั้งสำนักงานภูมิภาคอาเซียนที่กรุงเทพฯ แล้ว DP World ยังประกอบกิจการท่าเทียบเรือขนถ่ายตู้สินค้าที่ท่าเรือแหลมฉบังในจังหวัดชลบุรี ซึ่งถือเป็นท่าเรือนานาชาติที่คับคั่งที่สุดในประเทศไทย

สุลต่าน อะห์เหม็ด บิน สุลาเย็ม ประธานกลุ่มบริษัทและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร DP World กล่าวว่า ตนรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้มาเยือนประเทศไทยอีกครั้ง และยินดีที่จะรับฟังข้อมูลโครงการต่างๆ ของประเทศไทย

“DP World ยังคงมองหาโอกาสในการลงทุนในประเทศที่มีศักยภาพในการเติบโตทางเศรษฐกิจสูง อย่างไรก็ตาม แรงเสียดทานทางเศรษฐกิจและอุปสรรคจาก Supply Chain ทำให้เกิดความท้าทายด้วยความเชี่ยวชาญในการบริหารท่าเรือและท่าเทียบเรือ เขตเศรษฐกิจพิเศษ ไปจนถึงการขนส่ง โลจิสติกส์ และเทคโนโลยีด้านการขนส่ง เรามั่นใจว่าจะทำให้การค้าราบรื่น” บิน สุลาเย็ม กล่าว

DP World ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในดูไบ มีพนักงาน 111,000 คนในกว่า 75 ประเทศ ทำหน้าที่สนับสนุนเจ้าของสินค้าตั้งแต่ท่าเรือและท่าเทียบเรือไปจนถึงบริการทางทะเลและโลจิสติกส์ มีขีดความสามารถในการบริหารตู้สินค้าได้ถึง 10% ของตู้สินค้าทั่วโลก ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก DP World มีพนักงานกว่า 7,000 คน และมีท่าเรือและท่าเทียบเรือ 19 แห่ง

'อัครเดช-รวมไทยสร้างชาติ' ระดมหัวกะทิ ลุยแผนรับมือเพลิงไหม้โรงงาน ยกบทเรียนไฟไหม้ถังเก็บสารเคมี ‘มาบตาพุด แทงค์ เทอร์มินัล’ เป็นแม่แบบ

(3 ก.ค.67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส. จังหวัดราชบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการอุตสาหกรรม คณะผู้แทนราษฎร เปิดเผยถึงกรณีเพลิงไหม้ถังเก็บสารเคมี บริษัท มาบตาพุด แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด ว่า จากเหตุการณ์เพลิงไหม้ถังเก็บสารเคมี บริษัท มาบตาพุด แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา เป็นเหตุให้ส่งผลกระทบต่อทั้งสุขภาพและสิ่งแวดล้อมของประชาชนในบริเวณนั้นอย่างกว้างขวาง คณะกรรมาธิการได้เล็งเห็นถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเหตุไฟไหม้ และความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียง ควรต้องทบทวนและถอดบทเรียนจากเหตุการณ์ไฟไหม้ดังกล่าว เพื่อหาแนวทางร่วมกันกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เพื่อป้องกันเหตุและลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต

ในวันนี้ คณะกรรมาธิการ จึงได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกรณีไฟไหม้ถังเก็บสารเคมี บริษัท มาบตาพุด แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด คือ กรมควบคุมมลพิษ จังหวัดระยอง สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดระยอง การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดระยอง สํานักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดระยอง สํานักงานเทศบาลเมืองมาบตาพุด และบริษัท มาบตาพุด แทงค์ เทอร์มินัล จํากัด มาให้ข้อมูลแก่ทางคณะกรรมาธิการ

โดยคณะกรรมาธิการ ได้พิจารณาใน 2 ประเด็น คือ ประเด็นที่ 1 แผนการเผชิญเหตุเพลิงไหม้สารเคมีในพื้นที่โรงงานอุตสาหกรรม ในเบื้องต้น ได้ให้ความเห็นว่า การดำเนินการดับเพลิงล่าช้ากว่าที่ควรจะเป็น จึงได้มอบหมายให้สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดระยอง และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ทบทวนแผนการดำเนินการดับเพลิง กรณีเพลิงไหม้สารเคมีและเพลิงไหม้ที่ต้องใช้สารเคมีในการดับเพลิงในพื้นที่โรงงานอุตสาหกรรม 

โดยให้ทบทวนถึงจำนวนรถดับเพลิงที่บรรจุสารเคมี บุคลากรที่มีความชำนาญในการดับเพลิงที่ใช้สารเคมีว่ามีความจำนวนเหมาะสมกับความเสี่ยงหรือไม่อย่างไร 

อย่างไรก็ตาม แม้สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดระยอง จะได้ชี้แจงว่าได้มีแผนการดำเนินงานระหว่าง พ.ศ. 2564 ถึง พ.ศ. 2570 อยู่แล้ว และทางการนิคมอุตสาหกรรมจะได้ชี้แจงว่าปัจจุบันมีรถดับเพลิงที่ใช้สำหรับกรณีเกิดจากสารเคมีโดยเฉพาะอยู่แล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถพิจารณาถึงการนำมาใช้ที่ความเหมาะสมได้ ดังนั้น จึงมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กลับไปพิจารณาทบทวนแผนการเผชิญเหตุ เพื่อให้จังหวัดระยองเป็นจังหวัดต้นแบบในการเผชิญเหตุเพลิงไหม้ในอุตสาหกรรมหนักที่ไม่สามารถใช้น้ำในการดับเพลิงได้ และจะมีการเข้าชี้แจงต่อ กมธ. อุตสาหกรรมอีกครั้งหนึ่ง 

นายอัครเดช กล่าวต่อว่า ประเด็นที่ 2 คือประเด็นผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ซึ่งแบ่งออกเป็นผลกระทบต่อสุขภาพของพี่น้องประชาชน และผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม 

สำหรับผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนนั้นปรากฏว่า กรมควบคุมมลพิษได้ร่วมกับสาธารณสุขจังหวัดระยองได้มีการดูแลช่วยเหลือประชาชนเป็นอย่างดี และไม่พบปัญหาใด ๆ 

สำหรับด้านสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมมลพิษได้ดำเนินการตรวจวัดความปนเปื้อนในน้ำทะเล อากาศ และสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ บริเวณโดยรอบพบว่าในช่วงแรกของเหตุการณ์มีการปนเปื้อน แต่กลับเข้าสู่ภาวะปกติในเวลาต่อมา 

ขณะที่ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้ให้ข้อมูลว่า เบื้องต้นได้มีการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบไปแล้วประมาณ 10 ล้านบาท ทาง กมธ. อุตสาหกรรม จึงได้เสนอแนะให้เยียวยาอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะกลับเข้าสู่สถานการณ์ปกติ 

“ในฐานะตัวแทนคณะกรรมาธิการอุตสาหกรรมขอยืนยันว่า คณะกรรมาธิการจะดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าวอย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันไม่ให้มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นซ้ำอีกในอนาคต” นายอัครเดชกล่าว

‘ดอยคำ’ เปิดตัว ‘น้ำทุเรียนหมอนทอง 100%’ บรรจุซอง ‘เนื้อเนียน-หวานมัน’ เหมาะซื้อเป็นของฝากในราคา 95 บาท

เรียกว่าช่วงนี้ของประเทศไทย ถือเป็นฤดูแห่งทุเรียนก็ว่าได้ และคนไทยเราก็ขึ้นชื่อเรื่องความไปเรื่อยแบบสร้างสรรค์สุด ๆ กินทุเรียนปกติมันไม่จึ้งพอ ก็สรรหาทำ ข้าวเหนียวทุเรียน ไอศกรีมทุเรียน นมเม็ดทุเรียน ลูกอมทุเรียน ทุเรียนกวน ทุเรียนทอด เรียกได้ว่า สารพัดเมนูทุเรียนจริง ๆ

ล่าสุด (3 ก.ค. 67) เพจเฟซบุ๊ก ดอยคำ-Doi Kham ได้โพสต์สินค้าตัวใหม่ ระบุว่า…

“ใหม่ น้ำทุเรียน 100% จากดอยคำ ผลิตจากทุเรียนพันธุ์หมอนทอง เนื้อเนียน หวานมัน เข้มข้นเต็มรสทุเรียน”

“คงความสดในซอง รังสรรค์เมนูได้หลากหลาย พกพาสะดวก เหมาะเป็นของฝากชาวไทย และชาวต่างชาติ ราคา 95 บาท ทุเรียนเลิฟเวอร์ห้ามพลาด ซื้อได้แล้ววันนี้ที่ ร้านดอยคำ และ คิงพาวเวอร์ ทุกสาขา”

‘คลัง’ แย้ม!! ก.ค.นี้ เล็งเคาะวันลงทะเบียน ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ พร้อมเปิดให้ ‘ปชช.-ร้านค้า’ ยืนยันสิทธิ์ ผ่านแอปฯ ‘ทางรัฐ’

(3 ก.ค. 67) นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.การคลัง เปิดเผยว่า ภายในเดือน ก.ค. นี้ กระทรวงการคลังจะประกาศวันเปิดให้ประชาชน และร้านค้าที่มีสิทธิ์ลงทะเบียนเพื่อยืนยันการรับสิทธิ์เข้าร่วมโครงการดิจิทัล วอลเล็ตอย่างเป็นทางการ ผ่านแอปพลิเคชัน ‘ทางรัฐ’ โดยจะเปิดให้ผู้มีสิทธิ์ลงทะเบียนภายในระยะ 2 เดือนนับจากวันประกาศ ส่วนกำหนดวันแจกเงิน หรือ โอนเงินในโครงการดิจิทัล วอลเล็ตนั้น ขณะนี้เริ่มเห็นวันที่ชัดเจนแล้ว รอเพียงระบบการโอนเงินมีความพร้อม ก็จะประกาศวันโอนเงินอย่างเป็นทางการต่อไป

“ภายในเดือนนี้ กระทรวงการคลังจะประกาศวันลงทะเบียนอย่างเป็นทางการ สำหรับประชาชน และร้านค้า โดยจะเปิดให้ลงทะเบียนประมาณ 2 เดือน เชื่อว่ามีเวลาเพียงพอ ส่วนกำหนดวันรับเงินที่ชัดเจนนั้น คงต้องรอดูว่าระบบจะพร้อมเมื่อไหร่ แต่ขอเวลาทำงานอีกนิดหน่อย ใกล้ ๆ วันอีกหน่อย เพื่อความชัดเจน เพื่อที่วันจะได้ไม่เลื่อนไหลไปอีก” นายจุลพันธ์ กล่าว

ส่วนความคืบหน้า กรณีที่คณะกรรมาธิการ วิสามัญ พิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 แขวนการพิจารณาจัดสรรงบกลางรองรับโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 152,700 ล้านบาทนั้น นายจุลพันธ์ ในฐานะประธานที่ประชุมคณะกรรมาธิการฯ ระบุว่า หลังจากที่ได้มอบหมายให้นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง กลับไปจัดทำเอกสารงบฯ เพิ่มเติม ขณะนี้ ยังไม่ได้รับรายงานความคืบหน้ากลับมา แต่อย่างไรก็ตามหากแล้วเสร็จจะกำหนดวันที่ชัดเจน เพื่อนำเข้าสู่การพิจารณาต่อสภาฯ ต่อไป

“คาดว่าจะผ่านพิจารณาของสภาฯ ได้ไม่มีไรน่าตื่นเต้น เพราะการแขวนงบไม่ใช่เรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้น เป็นเรื่องปกติ สุดท้ายก็เป็นเรื่องของเสียงข้างมาก เพราะเราชี้แจงได้ และทำให้งบประมาณตัวนี้เข้าสู่วาระ 2 ได้ และมั่นใจว่า จะผ่านวาระ 3 ได้ 100%” นายจุลพันธ์ กล่าว

‘เพจดัง’ อัปเดต!! งบจัดซื้อจัดจ้าง ‘ทุ่นลอยน้ำ’ กทม.แพงเกินจริง โป๊ะ!! ผู้จัดซื้อเจ้าเดิมได้งาน พร้อมส่วนต่างแพงกว่าตลาดครึ่ง

(3 ก.ค.67) เพจเฟซบุ๊ก ‘ชมรมSTRONGต้านทุจริตประเทศไทย’ โพสต์ภาพทุ่นลอยน้ำกรุงเทพมหานคร (กทม.) 2.5 ล้าน ระบุว่า…

ทุ่นลอยน้ำ กทม. 2.5 ล้าน แพงเกินครึ่ง

ตามกันต่อส่อพิรุธจัดซื้อจัดจ้างแพงเกินจริงของ กรุงเทพมหานคร ล่าสุดพบเจอความผิดปกติกรณีจัดซื้อจัดจ้างทุ่นลอยน้ำ บริเวณสวนลุมฯ และสวนเบญจกิติ

สืบเสาะข้อมูลพบว่าชื่อโครงการซื้อทุ่นลอยน้ำพร้อมอุปกรณ์ยึดต่อสำหรับเทียบเรือ จำนวน 2 ชุด โดยวิธีคัดเลือก หน่วยงาน กองการกีฬา สำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว ราคากลาง 5,000,000 บาท ราคาจ้าง 4,998,000 บาท ต่ำกว่าราคากลาง 2,000 บาท

จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าติดตั้งจำนวน 2 จุด มีขนาดกว้าง 20 เมตร ยาว 7.5 เมตร และทางกว้าง 2 เมตร ยาว 5 เมตร คำนวนคร่าว ๆ ประมาณ 160 ตร.ม. จากการสืบราคาตลาดพบว่าราคาทุ่นเทียบเรือรุ่นดังกล่าว อยู่ที่ ตร.ม. ละ 5-7 พันบาท ก็ราว ๆ ล้านนิด ๆ แต่ กทม.จัดซื้อ 2.5 ล้านต่อจุด งานนี้คำนวนส่วนต่างครึ่ง ๆ

เมื่อดูในระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐฯ พบว่าโครงการฯ นี้ ใช้วิธีการคัดเลือก แทนที่จะต้องใช้วิธีการประมูลแบบอีบิดดิ้ง ตามระเบียบฯ กรมบัญชีกลาง The Comptroller General’s Department มีเอกชน 3 ราย ยื่นซองเสนอราคา คือ

1. บริษัท ไอ คอมเมิร์ซ จำกัด เสนอราคา 5,300,000 บาท

2. บริษัท วาล็อค สปอร์ต อีควิปเม้นท์ จำกัด เสนอราคา 4,998,000 บาท

3. บริษัท ทรี สปอร์ตฟลอริ่ง จำกัด เสนอราคา 5,500,000 บาท

บริษัท วาล็อค สปอร์ต อีควิปเม้นท์ จำกัด ที่จัดซื้อเครื่องออกกำลังกายแพง ๆ เสนอราคาต่ำสุดได้รับงานไป ส่วนรายอื่น ๆ เสนอราคาสูงกว่าราคากลาง แต่ กทม. ไม่เอา ทั้งนี้จากการตั้งข้อสังเกตในระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ พบแต่ชื่อไฟล์ แต่ไม่มีข้อมูล ซึ่งตามระบบแล้วจะต้องอัพเดทเข้าไปในระบบ

อีกโพสต์หนึ่ง ระบุว่า "ทุ่นลอยน้ำสวนรถไฟ ส่วนต่างครึ่ง ๆ เจออีก…ทุ่นลอยน้ำ กทม.ที่สวนรถไฟจัดซื้อส่อแพงเกินจริง ชื่อโครงการจัดซื้อทุ่นลอยน้ำพร้อมอุปกรณ์ยึดต่อสำหรับเทียบเรือ ขนาดไม่น้อยกว่า 46 ตารางเมตร (ศูนย์กีฬาวชิรเบญจทัศ) โดยวิธีเฉพาะเจาะจง งบประมาณ 495,000 บาท หน่วยงานที่จัดซื้อ กองการกีฬา สำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว สืบราคาตลาดรวมหมุดสกรูแล้วตก ตร.ม.ละ 5,400 บาท คำนวนคร่าว ๆ คูณด้วย 46 ตร.ม. เป็นเงิน 248,400 บาท แต่ กรุงเทพมหานคร เบิก 495,000 ไม่มีลดสักบาท...ครึ่ง ๆ แบบนี้เป็นของหวานให้ ผอ.กอง-เขต ต่าง ๆ"

ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 2 ก.ค. ได้โพสต์ข้อความว่า "สวัสดีตอนเช้า ผ่านมา 27 วันแล้ว ตั้งแต่ผู้ว่าฯ กรุงเทพมหานครแถลงข่าวจนบัดนี้ ยังไม่ทราบผลสอบจัดซื้อเครื่องออกกำลังกายแพงเกินจริง ๆ"

เป็นการกล่าวถึงกรณีที่นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร แถลงข่าวการจัดซื้อเครื่องออกกำลังกาย เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. โดยกล่าวว่า “ผิด ก็ยืนยันว่าผิด กระบวนการในการตรวจสอบราคากลาง คงต้องให้เข้มงวดขึ้นและสามารถให้สังคมตรวจสอบได้ และขบวนการต่าง ๆ ต้องตามกฎหมายอย่างชัดเจน ของฝ่ายบริหารเองก็ไม่มีนโยบายไปก้าวก่ายฝ่ายอื่นหรือคณะกรรมการราคากลางอยู่แล้ว ทุกอย่างต้องเป็นไปตามระเบียบและให้ประโยชน์ต่อประชาชนกับราชการ ของเราเองก็มีการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริตกรุงเทพมหานคร (ศปท.กทม.) ก็จะดำเนินการตรวจสอบต่อไป”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top