Tuesday, 24 June 2025
NewsFeed

สตม. รวบคู่รักแสบ จีน-คาซัค นำนาฬิกาปลอมหรูเกรด A+ หลอกขายร้านนาฬิกาแบรนด์ดัง ความเสียหายกว่า 12 ล้านบาท

กก.4 บก.สส.สตม. จับกุมคนต่างด้าว จำนวน 2 ราย ดังนี้
1. นายอัลคัส (นามสมมติ) อายุ 32 ปี สัญชาติคาซัคสถาน ตามหมายจับของศาลแขวงพระนครใต้ ที่ จ.163/2567 ลงวันที่ 21 พ.ค.2567 ความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกง” 

2. นางสาวบิลลี่ (นามสมมติ) อายุ 38 ปี สัญชาติจีน ตามหมายจับของศาลแขวงพระนครใต้ ที่ จ.164/2567 ลงวันที่ 21 พ.ค.2567 ความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกง” นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุม คอนโดมิเนียมภายใน ซ.สุขุมวิท 32 ถ.สุขุมวิท แขวงคลองตัน เขตคลองเตย กรุงเทพฯ

จากกรณีที่นายอัลคัส และนางสาวบิลลี่ ผู้ต้องหาได้ร่วมกันหลอกให้นายหน้านำนาฬิกายี่ห้อ Patek Philippe ของผู้ต้องหา โดยแจ้งกับผู้เป็นนายหน้าซื้อขายว่าจะจ่ายเงินค่าตอบแทนในการนำไปขายให้ เรือนละ 800 ดอลลาร์สหรัฐ เมื่อนายหน้าตกลง ผู้ต้องหาได้นำนาฬิกายี่ห้อ Patek Philippe พร้อมเอกสารจากร้านที่รับตรวจสอบนาฬิกาที่มีชื่อเสียง โดยอ้างว่าเป็นเอกสารรับรองของจริง เมื่อนายหน้าได้นำนาฬิกาไปขายให้กับร้านนาฬิกาชื่อดังแห่งหนึ่งซึ่งเป็นผู้เสียหาย จากนั้นนายหน้าได้โอนเงินให้กับผู้ต้องหาจากการขายนาฬิกาจำนวนหลายครั้ง เมื่อเจ้าของร้านนาฬิกาผู้เสียหาย ได้ทำการตรวจสอบพบว่านาฬิกาและเอกสารรับรองนาฬิกาเป็นของปลอม รวมมูลค่าการซื้อขายกว่า 12 ล้านบาท ผู้เสียหายจึงได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ เพื่อให้ดำเนินคดีกับผู้เป็นนายหน้าและได้มีการเจรจายอมความกันโดยนายหน้ายินยอมชดใช้ค่าเสียหายให้กับผู้เสียหาย และได้แจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ ให้ดำเนินคดีกับนายอัลคัส นางสาวบิลลี่ ซึ่งต่อมาศาลแขวงพระนครใต้ได้ออกหมายจับนายอัลคัส นางสาวบิลลี่ ความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกง” นั้น 

กก.4 บก.สส.สตม. ได้รับแจ้งจากสายลับว่าพบเห็นนายอัลคัส นางสาวบิลลี่ ได้หลบหนีมาพักอาศัยอยู่ในห้องพักของคอนโดมิเนียมภายใน ซ.สุขุมวิท 32 ถ.สุขุมวิท แขวงคลองตัน เขตคลองเตย กรุงเทพฯ จึงได้สืบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขอหมายค้นต่อศาลแขวงพระนครใต้เข้าทำการตรวจค้นห้องพักดังกล่าว ผลการตรวจค้นพบนายอัลคัส และนางสาวบิลลี่ จึงได้จับกุมนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

'Forbes' เผย!! 50 อันดับ มหาเศรษฐีไทยปี 2567 ชี้!! ความมั่งคั่งรวมลดลง 12% เหตุการเมืองฉุด ศก.

(3 ก.ค. 67) นิตยสารฟอร์บส์ (Forbes) เปิดเผยผลการจัดอันดับ 50 มหาเศรษฐีไทยประจำปี 2567 หรือ Thailand’s 50 Richest 2024 ว่า ปีนี้มหาเศรษฐีเบอร์ 1 ของไทยมีการ ‘เปลี่ยนแชมป์’ จาก ‘พี่น้องเจียรวนนท์’ แห่งเครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP) ที่ครองอันดับ 1 มานานเกือบสิบปี ไปเป็น ‘เฉลิม อยู่วิทยา และครอบครัว’ จากธุรกิจเครื่องดื่มชูกำลัง Red Bull ด้วยทรัพย์สิน 3.6 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 1.32 ล้านล้านบาท)

ฟอร์บส์ระบุว่าหลังจากเข้ารับตำแหน่งได้ไม่ถึงปี อนาคตทางการเมืองของนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน อดีตนักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ก็เริ่มไม่มั่นคง เช่นเดียวกับเศรษฐกิจไทยที่ถูกการเมืองบั่นทอนความมั่นใจของนักลงทุน ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นตกลงถึง 15% นับตั้งแต่ปีที่แล้ว และยังถูกซ้ำเติมด้วยค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง จนฉุดความมั่งคั่งโดยรวมของมหาเศรษฐีเมืองไทยให้ลดลงถึงเกือบ 12% เหลือเพียง 1.53 แสนล้านดอลลาร์ (ราว 5.6 ล้านล้านบาท) จากเดิม 1.73 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2566 มหาเศรษฐีไทยส่วนใหญ่ 39 คนจากการจัดอันดับปีนี้มีทรัพย์สินลดลง โดยมีเพียงแค่ ‘7 คน’ เท่านั้นที่ ‘รวยขึ้น’ สวนกระแสได้อย่างท้าทาย

ปีนี้ ‘เฉลิม อยู่วิทยา และครอบครัว’ แซงขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ด้วยมูลค่าทรัพย์สิน 3.6 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 1.32 ล้านล้านบาท) หรือเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 2.6 พันล้านดอลลาร์ จากอานิสงส์รายได้ของธุรกิจเครื่องดื่มชูกำลัง Red Bull ที่เติบโตกว่า 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2566 โดยสามารถขายได้ทะลุ 1.2 หมื่นล้านกระป๋องทั่วโลก 

ขณะที่ ‘พี่น้องเจียรวนนท์’ แห่งเครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP) ที่ครองอันดับ 1 ติดต่อกันมานานเกือบสิบปี ถูกโค่นลงมาอยู่อันดับ2 ในปีนี้ โดยมีมูลค่าทรัพย์สิน 2.9 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 1.06 ล้านล้านบาท) หรือลดลงจากปีที่แล้ว 5 พันล้านดอลลาร์ โดยส่วนหนึ่งเป็นเพราะราคาหุ้นที่ตกลงของบริษัท ‘ผิงอัน อินชัวรันซ์’ (Ping An Insurance) ในประเทศจีน ทำให้ขาดทุน 2.7 พันล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว

สำหรับมหาเศรษฐีคนอื่น ๆ ใน 5 อันดับแรกของไทยยังคงไม่เปลี่ยนแปลงในแง่ของอันดับ มีเพียงความมั่งคั่งเท่านั้นที่ปรับตัวลดลง ‘เจริญ สิริวัฒนภักดี’ แห่งบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด อยู่ในอันดับ 3 ด้วยมูลค่าทรัพย์สิน 1 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 3.68 หมื่นล้านบาท) หรือลดลงจากปีก่อนถึงกว่า 1 ใน 4 
ส่วนอันดับ 4 ที่ตามมาติด ๆ คือ ‘ครอบครัวจิราธิวัฒน์’ ซึ่งมีมูลค่าทรัพย์สิน 9.9 พันล้านดอลลาร์ (3.64 แสนล้านบาท) หรือลดลง 20% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยกลุ่มเซ็นทรัลเพิ่งกลายมาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของห้างสรรพสินค้า Selfridges ในกรุงลอนดอน เมื่อเดือนพ.ย. 2567

ขณะที่ ‘สารัชถ์ รัตนาวะดี’ อยู่ในอันดับ 5 โดยมหาเศรษฐีธุรกิจพลังงานและโทรคมนาคมรายนี้เคยสร้างความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นต่อเนื่องนับตั้งแต่ปรากฏชื่อในทำเนียบของฟอร์บส์เมื่อ 6 ปีก่อน แต่ล่าสุดในปีนี้ ถือเป็นปีแรกที่ความมั่งคั่งตกลงเหลือเพียง  9.2 พันล้านดอลลาร์ (ราว 3.38 แสนล้านบาท) ลดลงจากปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 1.13 หมื่นล้านดอลลาร์

สำหรับมหาเศรษฐีคนอื่นๆ ที่มีความมั่งคั่งลดลงมากในปีนี้ ได้แก่ ‘สมโภชน์ อาหุนัย’ จาก Energy Absolute ซึ่งมีความมั่งคั่งลดลงถึง 2 ใน 3 ทำให้อันดับตกลงจากอันดับ 9 ในปีที่แล้ว มาอยู่อันดับ 32 ในปีนี้ ท่ามกลางราคาหุ้นที่ร่วงลงหนักเนื่องจากความกังวลเรื่องหนี้สินจากการขยายธุรกิจไปยังตลาดรถยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่

ขณะที่ ‘อาลก โลเฮีย’ แห่ง Indorama Ventures มีความมั่งคั่งลดลง 310 ล้านดอลลาร์ เหลือ 1.2 พันล้านดอลลาร์ในปีนี้ โดยเป็นผลจากความต้องการผลิตภัณฑ์ด้านปิโตรเคมีในจีนและยุโรปที่หดตัวลง
สำหรับ 10 อันดับมหาเศรษฐีไทย 2567 มีดังต่อไปนี้

1.เฉลิม อยู่วิทยา และครอบครัว 
- ทรัพย์สิน 3.6 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 1.32 ล้านล้านบาท)
  เพิ่มขึ้น 2.6 พันล้านดอลลาร์

2.พี่น้องเจียรวนนท์ 
- ทรัพย์สิน 2.9 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 1.06 ล้านล้านบาท)
  ลดลง 5 พันล้านดอลลาร์

3.เจริญ สิริวัฒนภักดี 
- ทรัพย์สิน 1 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 3.68 หมื่นล้านบาท)
  ลดลง 3.6 พันล้านดอลลาร์

4.ครอบครัวจิราธิวัฒน์ 
- ทรัพย์สิน 9.9 พันล้านดอลลาร์ (ราว 3.64 แสนล้านบาท)
  ลดลง 2.5 พันล้านดอลลาร์

5.สารัชถ์ รัตนาวะดี 
- ทรัพย์สิน 9.2 พันล้านดอลลาร์ (ราว 3.38 แสนล้านบาท)
  ลดลง 2.1 พันล้านดอลลาร์

6.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ 
- ทรัพย์สิน 3.8 พันล้านดอลลาร์ (ราว 1.39 แสนล้านบาท)
  เท่ากับปีที่แล้ว

7.อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา และครอบครัว 
- ทรัพย์สิน 3.6 พันล้านดอลลาร์ (ราว 1.32 แสนล้านบาท)
  เพิ่มขึ้น 100 ล้านดอลลาร์

8.วานิช ไชยวรรณ 
- ทรัพย์สิน 3.3 พันล้านดอลลาร์ (ราว 1.21 แสนล้านบาท)
  ลดลง 600 ล้านดอลลาร์

9.ครอบครัวโอสถานุเคราะห์ 
- ทรัพย์สิน 2.2 พันล้านดอลลาร์ (ราว 8.10 หมื่นล้านบาท)
  ลดลง 300 ล้านดอลลาร์

10.ประยุทธ มหากิจศิริ 
- ทรัพย์สิน 2.15 พันล้านดอลลาร์ (ราว 7.91 หมื่นล้านบาท)
  (ไม่มีข้อมูล)

หมายเหตุ: เทียบกับ 50 อันดับเศรษฐีไทยปี 2566

‘ภูมิธรรม’ หนุน ’คนรุ่นใหม่เมืองย่าโม‘ ยก โคราชโมเดลธุรกิจครบวงจร เตรียมยกระดับสินค้าชุมชนผ่าน E-Commerce Alibaba

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หารือกับ กลุ่มผู้ประกอบการรุ่นใหม่ (Young Entrepreneurs Chamber of Commerce: YEC) กลุ่มผู้แทนเกษตรกรรุ่นใหม่จังหวัด(Young Smart Farmer: YSF) และเครือข่ายธุรกิจ MOC Biz Club ของจังหวัดนครราชสีมา หารือถึงปัญหาอุปสรรคในการทำธุรกิจ รวมไปถึงแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับภาครัฐ สนับสนุนเอกชนทำรายได้ให้ประเทศ เตรียมจัดงาน Live E-Commerce ที่จะนำสินค้าของไทยทั่วทุกภาค ให้ทั่วโลกรู้จักผ่าน Influencer ระดับประเทศ

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังหารือกับกลุ่มผู้ประกอบการคนรุ่นใหม่ YEC กลุ่ม MOC Biz Club และกลุ่ม Young Smart Farmer ของจังหวัดนครราชสีมา เมื่อวันอังคารที่ 2 กรกฎาคม 2567 ณ โรงแรม AISANA อำเภอเมืองจังหวัดนครราชสีมา โดยในการหารือมีนายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ นายจิรพิสิษฐ์ รุจน์จริญ ประธาน YEC นครราชสีมา นายสุดที่รัก พันธุ์สายเชื้อ ประธานหอการค้าจังหวัดนครราชสีมา นางสาวปุณยนุช เขียนนอก เลขานุการ YSF ผู้ประกอบการ Logistics นครราชสีมา คุณเจนจิรา กงทอง นายปราโมศวร์ ตัณฑเศณีวัฒน์ ประธานเครือข่ายธุรกิจ Moc Biz Club จังหวัดนครราชสีมา ร่วมด้วย

นายภูมิธรรม กล่าวว่า “ตนมีความสนใจและให้ความสำคัญกับกลุ่มคนรุ่นใหม่ YEC YSF MOC Biz Club เพราะคนกลุ่มนี้มีพลัง มีพื้นฐานทางเศรษฐกิจ มีโอกาส และมีพื้นฐานความรู้เรื่องโลกสมัยใหม่อยู่กับเทคโนโลยี เคยเห็นโลกกว้าง วันข้างหน้าจะเป็นโลกของคนรุ่นใหม่ อนาคตของจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งถือว่าเป็นจังหวัดใหญ่ ที่มีโอกาสอีกเยอะ ส่วนหนึ่งก็มาจากพวกท่าน ท่านนายกฯให้นโยบายภาครัฐเป็นรัฐสนับสนุนให้เอกชนเป็นทัพหน้าทำเงินเข้าประเทศ เรารอดูความสำเร็จ“

ด้านผู้ประกอบการจังหวัดนครราชสีมา เปิดเผยว่า จังหวัดนครราชสีมา หรือโคราช มีทั้งสินค้าและสถานที่ที่พร้อมจะนำเสนอให้กับผู้ซื้อและนักท่องเที่ยว เพราะมีทั้งแหล่งวัฒนธรรม และ Soft Power มีความพร้อมที่อยากให้คนทั่วโลกได้สัมผัส โดยกระทรวงพาณิชย์ มีฑูตพาณิชย์ประจำประเทศต่างๆ อยู่แล้ว จึงอยากให้มีคนกลางไปช่วยโปรโมท ในตลาดต่างประเทศ รวมถึง การจัดกิจกรรม “Big Match ยกระดับเศรษฐกิจ@นครราชสีมา” ในวันที่ 16 สิงหาคม 2567 ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลโคราช โดยรองนายกฯ ได้ให้การสนับสนุน และจะมีการจัดกิจกรรมคล้ายๆ โครงการYEN-D ของกรมการค้าต่างประเทศ โดยฟื้นกิจกรรมนี้มาเพื่อสร้างเครือข่ายในประเทศ ให้แนวคิดให้ “คิดให้ลึกและให้ทำต่อ” โดยจะทำคู่ขนานกันไปกับการสร้างความแข็งแรงให้กับผู้ประกอบการ

นอกจากนี้ ในส่วนของ YEC มีการร่วมกับสำนักงานพาณิชย์จังหวัดนครราชสีมา เฟ้นหาสินค้าชุมชน และนำพัฒนาจัดภาพลักษณ์ของสินค้า เนื่องจากสินค้าหลาย ๆ ตัว เป็นสินค้าที่ชุมชนผลิตออกมาได้ดีมาก แต่ยังขาดการจัดการ และการ promote ประชาสัมพันธ์ จึงต้องมีการนำเอกลักษณ์สินค้ามาพัฒนาเป็นคาแรกเตอร์ดีไซน์ ปัจจุบันเราได้มีกิจกรรม Koratmonogram  ซึ่งสินค้าที่ถูกพัฒนาภายใต้โครงการนี้เป็นสินค้าที่มีลายเป็นเอกลักษณ์ อย่างเช่นกางเกงแมว หรือ Art Toy รูปแมว ที่มีคาแรกเตอร์เฉพาะที่เกี่ยวข้องกับจังหวัด โดยเราได้สร้างคาแรกเตอร์เฉพาะ คือ “แมวเมื่อย” และเราสร้าง story ให้กับสินค้า ในปัจจุบันนี้มีการเลือกสินค้ามาใช้กับคาแรกเตอร์ดังกล่าวประมาณ 40 สินค้า และปัจจุบันได้มีการศึกษาการร่วมมือระหว่างการท่องเที่ยวกับสินค้า อย่างเช่นที่ประเทศญี่ปุ่นมีตัว “คุมะมง” นำเที่ยวในเมืองคุมาโมโตะ ของประเทศญี่ปุ่น จึงอยากนำมาพัฒนากับไทยโดยสร้างคาแรกเตอร์ดีไซน์ขึ้นมาโดยถือว่าเป็น KOL สำหรับจังหวัดโคราชที่จะใช้กับสินค้าและสถานที่ต่างๆในจังหวัด

ในส่วนของการผลักดัน E-Commerce นายภูมิธรรมฯ กล่าวว่า “การจัดขายออนไลน์แพลตฟอร์ม E-Commerce กระทรวงพาณิชย์ได้จัดมาบ้างแล้ว หลังจากที่ผมได้เข้ามา ผมก็ได้เดินทางไปประเทศจีนเพื่อเจาะตลาดรายมณฑลจากที่ผมได้เดินทางไปเอง เกือบ 10 มณฑลแล้ว และขณะนี้ผมได้ตั้งทีมอินเดีย เพื่อเจาะตลาดรัฐของอินเดีย ซึ่งมีความต้องการสินค้าไทยสูง โดยในเดือนกันยายนนี้ จะมีการจัดมหกรรม Live E-Commerce จะเชิญอินฟลูเอนเซอร์ระดับTOP 3 ทั้งไทยและต่างประเทศ มาเลือกดูสินค้าของไทย โดยเฉพาะจะมีการเชิญ Alibaba ที่เป็นแพลตฟอร์มการขายสินค้าE-Commerce ของจีน เข้ามาดูสินค้าระดับพรีเมี่ยมของไทย และจะมีการคัดเลือกสินค้าจากทั่วทุกภาคในประเทศไทย ไปวางขายในแพลตฟอร์ม Alibaba ของจีน
และสร้างแบรนด์ไทย ให้ชาวโลกต้องการ”

“ทิศทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ต้องช่วย SME ที่เป็นฐานของเศรษฐกิจของประเทศได้มีโอกาสในตลาด โดยเฉพาะตลาดต่างประเทศ  อีกอย่างคือ ผมฝากสินค้าตัวรอง ให้คนรุ่นใหม่นำมาดูตลาด เพราะต้นทุนราคาสินค้าต่ำ แต่มีโอกาสในตลาดมาก หากเข้าได้ถูกทางโดยการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีมาช่วย นโยบายของรัฐบาล คือช่วยคนตัวเล็ก อย่างเช่น SME ที่ถือเป็นผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากให้เติบโตขึ้นให้ได้ เมื่อเศรษฐกิจพื้นฐานเติบโต กำลังซื้อเติบโตการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจจะดีขึ้น โดยการหมุนเวียนในห่วงโซ่เศรษฐกิจนี้ ต้องพึ่งพากัน” นายภูมิธรรม กล่าว

สตม. รวบหนุ่มเวียดนาม ไกด์เถื่อน ปล้นเพื่อนร่วมชาติ มูลค่าความเสียหายกว่าล้านบาท

วันนี้ (3 ก.ค. 67) เวลา 13.30 น. ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัยผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ประพันธ์ศักดิ์ ประสานสุข ผบก.สส.สตม., พล.ต.ต.ณัฐกร ประภายนต์ ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.ภาณุภาคยณ์ จิตต์ประยูรตี รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชิตเดชา สองห้อง รอง ผบก.สส.ภ.7 ปฏิบัติราชการ บก.สส.สตม., พ.ต.อ.เพลิน กลิ่นพยอม รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.จิรพงศ์ รุจิรดำรงชัย ผกก.สส.บก.ตม.๓ พ.ต.อ.พิสิษฐ์ ศรีอ่อน ผกก.2 บก.สส.สตม., พ.ต.อ.รัฐพงศ์ แก้วยอด ผกก.4 บก.สส.สตม. ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญ ดังนี้

สตม. รวบหนุ่มเวียดนาม ไกด์เถื่อน ปล้นเพื่อนร่วมชาติ มูลค่าความเสียหายกว่าล้านบาทกก.สส.บก.ตม.3 จับกุม MR.NONG (นามสมมติ) อายุ 25 ปี สัญชาติเวียดนาม ตามหมายจับศาลอาญา พระโขนง ที่ จ.501/2566 ลงวันที่ 28 ส.ค.2566 ต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ชิงทรัพย์โดยร่วมกันกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป ผู้นั้นกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์, หน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่น, ทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ” นำตัวส่ง พนักงานสอบสวน สน.พระโขนง ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุมริมถนนเศรษฐกิจ 1 ม.2 ต.นาดี อ.เมืองสมุทรสาคร จว.สมุทรสาคร สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 21 ส.ค.2566 เกิดเหตุปล้นทรัพย์ในท้องที่ สน.พระโขนง จากการสืบสวนพบว่า ผู้ก่อเหตุเป็นกลุ่มวัยรุ่นสัญชาติเวียดนาม มีพฤติการณ์หลอกเหยื่อว่าเป็นไกด์นำเที่ยว โดยจะเลือกเหยื่อสัญชาติเวียดนามเนื่องจากสามารถสื่อสารกันเข้าใจ วัยรุ่นกลุ่มดังกล่าวเดินทางเข้ามาในประเทศไทย เมื่อวันที่ 16 ส.ค.66 ทางท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ต่อมา MR.NAM ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มวัยรุ่นชาวเวียดนามผู้ก่อเหตุ ได้รับการติดต่อจาก MR.TRAN (ผู้เสียหาย) สัญชาติเวียดนามกับเพื่อนรวม 8 คน ให้เป็นไกด์นำเที่ยว โดย MR.TRAN กับเพื่อนทั้ง 8 คน ได้เช่าบ้านพักอยู่ในซอยสุขุมวิท 101 ถนนปุณณวิถี 49 แขวงบางจาก เขตพระโขนง กรุงเทพฯ ต่อมาช่วงเวลาประมาณ 11.30 น. ของวันที่ 21 ส.ค.2566 MR.NAM พร้อมพวกจำนวน 7 - 8 คน ได้เข้ามาที่บ้านพักดังกล่าวแล้วใช้อาวุธมีดปลายแหลม ขู่บังคับให้ MR.TRAN กับเพื่อนให้เข้าไปอยู่ในห้องพัก จากนั้นใส่กุญแจมือและใช้โซ่เหล็กล่ามขา MR.TRAN กับเพื่อนไว้ในห้อง แล้วได้ทำร้ายร่างกายและบังคับให้ MR.TRAN กับเพื่อนส่งมอบเงินสดและโทรศัพท์มือถือให้  

ในเวลาต่อมาได้มีเพื่อนของ MR.TRAN มาเรียกที่บริเวณหน้าบ้านพัก MR.NAM กับพวกจึงได้พากันหลบหนีไปจากที่เกิดเหตุ MR.TRAN จึงได้ไปแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน สน.พระโขนง หลังก่อเหตุกลุ่มวัยรุ่นชาวเวียดนาม ได้หลบหนีออกนอกประเทศไทยทางจุดผ่านแดนถาวรสะพานมิตรภาพ 2 ในวันที่ 26 ส.ค.2566 ต่อมาพนักงานสอบสวน สน.พระโขนง ได้รวบรวมพยานหลักฐานยื่นคำร้องต่อศาลอาญาพระโขนงออกหมายจับผู้ต้องหาในคดีนี้จำนวน 13 ราย กก.สส.บก.ตม.3 จึงได้ประสานข้อมูลกับ สน.พระโขนง เพื่อสืบสวนติดตามจับกุมอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งทราบว่า MR.NONG  หนึ่งในกลุ่มวัยรุ่นชาวเวียดนามผู้ก่อเหตุและศาลได้อนุมัติหมายจับ ได้เดินทางกลับเข้ามาในประเทศไทยและได้หลบหนีหมายจับไปพักอาศัยอยู่ในท้องที่ สภ.เมืองสมุทรสาคร จึงได้ติดตามจับกุมนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.พระโขนง ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

‘ออมเงินล้างแค้น’ เทรนด์ฮิตวัยรุ่นจีน งดฟุ่มเฟือย-ใช้จ่ายแค่จำเป็น แลกกับได้เห็นตัวเลขเงินเก็บที่เพิ่มขึ้น ในยามที่เศรษฐกิจไม่แน่นอน

ในขณะที่วัยรุ่นยุค Gen Z ทั่วโลก มีพฤติกรรมใช้จ่ายเงินสูงขึ้น และเริ่มเป็นหนี้กันตั้งแต่อายุน้อย ๆ แต่ที่จีนกลับมีเทรนด์ที่สวนกระแสไม่แคร์โลก เมื่อวัยรุ่นจีนแข่งขันกันเก็บออมเงินกันมากขึ้น และไม่ใช่การเก็บออมเงินแบบธรรมดาทั่วไป แต่เป็นการเก็บเงินแบบเอาเป็นเอาตาย เก็บโหด เหมือนโกรธใครมา

กระแสการเก็บเงินแบบโหด เกิดขึ้นในโลกออนไลน์จีนเมื่อไม่นานมานี้ ที่วัยรุ่นจีนเรียกว่า 报复性存钱 (เป้าฟู่ซิ่งฉุนเฉียน) หรือการเก็บเงินล้างแค้น ด้วยการตั้งเป้าหมายการออมเงินต่อเดือนในระดับสูงสุด และใช้จ่ายเงินเพื่อยังชีพเท่าที่จำเป็นให้น้อยที่สุด แล้วจึงเอารายละเอียดการใช้จ่ายของตนมาแชร์ในโลกออนไลน์ เพื่อแข่งกันว่าใครสามารถเหลือเงินเก็บได้มากกว่ากัน 

แต่นอกจากจะแข่งขันกันแล้ว บรรดานักเก็บเงินล้างแค้นยังมีการสร้างแรงจูงใจด้วยการแบ่งปันเทคนิคการประหยัดเงินในชีวิตประจำวันให้เพื่อน ๆ ในโซเชียลอีกด้วย อาทิ การเลือกรับประทานอาหารในโรงอาหารชุมชน ซึ่งเมื่อก่อนมักถูกมองว่าเป็นร้านสำหรับผู้สูงอายุ แต่ปัจจุบันมีวัยรุ่น หนุ่มสาวเข้าไปใช้บริการโรงอาหารชุมชนกันมากขึ้น เพราะค่าอาหารถูกโดยไม่ต้องไปคำนึงถึงความหรูหรา บางคนเน้นทำอาหารเองที่บ้าน บางคนเลือกซื้อเฉพาะผัก ผลไม้ตามฤดู หรือมีโปรโมชันลดราคาพิเศษเพื่อเน้นประหยัด

ชาวเน็ตรายหนึ่ง ที่ใช้นามแฝงว่า Little Zhai Zhai เล่าว่า เธอมีเป้าหมายที่จะลดค่ากินอยู่ให้เหลือเพียงแค่ 300 หยวนต่อเดือน (ประมาณ 1520 บาท/เดือน) ซึ่งล่าสุดเธอได้แชร์คลิปวิดีโอว่าสามารถใช้ชีวิตด้วยเงิน 10 หยวนต่อวันได้อย่างไร 

แถมหลายคนยังกลัวว่าตัวเองจะหลุดเป้า จึงเกิดไอเดียหาคู่หูร่วมประหยัด ให้มาช่วยกันดึงสติในการประหยัดเงินไปด้วยกันให้สามารถบรรลุเป้าหมายในแต่ละเดือนได้สำเร็จอีกด้วย 

กระแส ‘ออมเงินล้างแค้น’ สะท้อนหลายสิ่งที่น่าสนใจในสังคมจีนปัจจุบัน จากมุมมองของ ฉวน เหลียน ผู้อำนวยการของสำนักวิเคราะห์ตลาด China Market Research Group กล่าวว่า คนรุ่นใหม่จีนเลือกที่จะตอบโต้ต่อสภาพสังคมที่กดดัน บีบคั้น ด้วยการเก็บเงินอย่างเอาเป็นเอาตาย 

ซึ่งแตกต่างจากกลุ่มวัยรุ่นในยุคก่อนหน้าช่วงปี 2010s ที่ใช้จ่ายเงินสุรุ่ยสุร่ายเพื่อคลายเครียด ซึ่งเป็นยุคที่ตลาดสินค้าแบรนด์เนมในจีนเฟื่องฟูมาก จนวัยรุ่นยุคนั้นถึงขนาดยอมกู้หนี้ยืมสินเพื่อซื้อกระเป๋ากุชชี่สักใบ หรือ iPhone สักเครื่องกันมากมาย 

แต่วัยรุ่นจีนในยุคนี้ กลับมีความระมัดระวังในการใช้เงินมากขึ้น ส่งสัญญาณค่านิยมแบบ ‘การบริโภคย้อนกลับ’ หรือ ‘เศรษฐกิจแบบตระหนี่’ ซึ่งก็มีทั้งความพยายามในการใช้สติก่อนใช้สตางค์ หรือการเสาะหาโปรโมชันลดราคาทุกครั้งเมื่อต้องจับจ่ายซื้อของแต่ละชิ้น

ซึ่งตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับกระแสค่านิยมของวัยรุ่นยุค Gen Z โดยรวมทั่วโลก ที่มักใช้เงินเพื่อการท่องเที่ยว ซื้อความสุขให้ตัวเองก่อนคิดที่จะออมเงิน เช่นเดียวกับรายงานดัชนีความมั่งคั่งโดย Intuit พบว่า 73% ของกลุ่มวัยรุ่น Gen Z ในสหรัฐอเมริกาให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตที่ดีของตน มากกว่ายอดเงินออมในธนาคาร 

แต่ค่านิยมการเก็บเงินล้างแค้นของวัยรุ่นจีนมาจากไหน? 

คริสโตเฟอร์ เบดดอร์ รองผู้อำนวยการสถาบันจีนศึกษาของ Gavekal Dragonomics กล่าวว่า คนรุ่นใหม่จีนเริ่มมีความรู้สึกตรงกันว่าเศรษฐกิจไม่ได้ดีอย่างที่คิด ทำให้คนจีนเลือกที่จะเก็บเงินสำรองไว้ก่อนเพื่อความปลอดภัย

เพราะหากดูจากตัวเลข GDP ของจีนในช่วงไตรมาสแรกของปี 2024 นี้ เติบโตขึ้น 5.3% ซึ่งดีกว่าที่รัฐบาลเคยคาดการณ์ไว้ แต่จากรายงานของธนาคารแห่งชาติจีนก็ยังชี้ว่าครัวเรือนจีนยังออมเงินเพิ่มขึ้นเป็น 11.8% เช่นกัน ซึ่งสะท้อนถึงความไม่มั่นใจต่ออนาคตของเศรษฐกิจจีน 

เจี๋ย เหมี่ยว ผู้ช่วยศาสตราจารย์สถาบัน NYU เซี่ยงไฮ้ กล่าวว่า ปัญหาตลาดแรงงานที่คับแคบและหดตัวลง เป็นสาเหตุสำคัญที่หนุ่ม-สาวจีน ใช้จ่ายเงินลดลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

จากตัวเลขอัตราการว่างงานในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาของกลุ่มวัยรุ่นอายุ 16 - 24 ปีอยู่ที่ 14.2% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยอัตราการว่างงานของประเทศถึง 5% ส่วนเงินเดือนเฉลี่ยขอผู้จบการศึกษาระดับปริญญาตรี ที่สำรวจในปี 2023 อยู่ที่ 6,050 หยวน/เดือน (ประมาณ 3 หมื่นบาท) ซึ่งสูงกว่าปีที่ผ่านมาเพียง 1% 

จากสถานการณ์ที่ตลาดแรงงานแข่งขันสูง หนุ่มสาวจำนวนไม่น้อยยังหางานทำไม่ได้ และการหารายได้เสริมทำได้ยากขึ้น เป็นสิ่งที่บั่นทอนจิตวิญญาณ และ ความมั่นใจของหนุ่มสาวจีนให้หมดไฟ จึงต้องหาทางระบายด้วยการเก็บเงินล้างแค้น แม้ชีวิตจะลำเค็ญ แต่เมื่อเห็นตัวเลขเงินออมที่เพิ่มขึ้น ก็ยังพออุ่นใจในอนาคตที่ไม่แน่นอนของพวกเขาได้นั่นเอง

‘รัฐบาล’ ไฟเขียว!! เพิ่มงบเหมาจ่ายดูแล ‘ผู้มีภาวะพึ่งพิง’ อีก 4 พันบาท พร้อมขยายการดูแลเพิ่มอีก 2 กลุ่มเป้าหมาย เคาะ!! 'อปท.' ดูแล

(3 ก.ค. 67) นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในแต่ละปีจะมีผู้มีภาวะพึ่งพิงได้รับการดูแลจากภาครัฐอยู่ที่จำนวน 320,000 คนต่อปี แต่พบว่ายังมีผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงกลุ่มอื่น ๆ ในชุมชนเพิ่มเติมอีก เช่น 1.กลุ่มที่มีภาวะสมองเสื่อม และ 2.กลุ่มผู้ป่วยระยะสุดท้าย (Palliative Care) เป็นต้น ซึ่งมีความจำเป็นหรือความต้องการที่ต้องได้รับการดูแลเหมือนกับกลุ่มที่มี ADL เท่ากับหรือต่ำกว่า 11 ดังนั้น เพื่อเพิ่มการเข้าถึงบริการของผู้มีภาวะพึ่งพิงให้ได้รับบริการที่บ้านหรือในชุมชนเพิ่มขึ้น คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) มีมติเห็นชอบให้ขยายกลุ่มเป้าหมาย โดยให้ครอบคลุมกลุ่มที่มีภาวะสมองเสื่อมตั้งแต่ระยะปานกลางและกลุ่มผู้ป่วยระยะสุดท้ายด้วย โดยคาดการณ์ว่า จะทำให้มีผู้ป่วยที่มีภาวะพึ่งพิงที่ได้รับการดูแลในระบบเพิ่มรวมเป็นจำนวนประมาณ 6 แสนคน

นายคารมกล่าวว่า นอกจากนี้ บอร์ด สปสช. ได้อนุมัติเพิ่มงบประมาณค่าบริการจากเดิมเหมาจ่ายการดูแลระยะยาวด้านสาธารณสุขสำหรับผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงในพื้นที่ จากจำนวน 6,000 บาทต่อคนต่อปี เพิ่มเติมเป็นจำนวน 10,442 บาทต่อคนต่อปี (เพิ่มขึ้น 4,442 บาทต่อคนต่อปี) ซึ่งจะทำให้ อปท. มีงบประมาณสนับสนุนเพิ่มมากขึ้นในการดูแลผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงในพื้นที่ ทำให้หน่วยบริการสามารถจัดบริการได้ดีขึ้น รวมถึงจัดหาอุปกรณ์การแพทย์ที่จำเป็นให้กับผู้ป่วย ขณะเดียวกันยังทำให้เกิดแรงจูงใจหน่วยบริการที่มีศักยภาพ เช่น สถานชีวาภิบาลที่อยู่กระจายในชุมชนเข้าร่วมให้การดูแลผู้ป่วยที่มีภาวะพึ่งพิงในระบบ

“รัฐบาลมุ่งดูแลผู้ที่มีภาวะพึ่งพิง ยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น รองรับสังคมผู้สูงอายุในประเทศไทย ผ่านการจัดสรรงบประมาณ โดยมอบให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เป็นหน่วยงานดำเนินการให้ผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงเข้าถึงบริการด้านสุขภาพที่จำเป็น ภายใต้กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) โดยได้ร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ผ่านกลไก ‘ระบบการดูแลระยะยาวด้านสาธารณสุขสำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงในพื้นที่’ (Long Term Care : LTC )” นายคารมกล่าว

‘โตโยต้า-GAC’ เตรียมเปิดตัวรถยนต์ EV รุ่นแรก เจาะตลาดจีนในปีหน้า มาพร้อมจุดเด่น ‘ระบบช่วยขับอัตโนมัติ’ ล้ำกว่าทุกแบรนด์ต่างชาติในจีน

(3 ก.ค.67) กิจการร่วมค้าระหว่างโตโยต้า กับกว่างโจว ออโตโมบิล กรุ๊ป(GAC) ที่มีรัฐเป็นเจ้าของ มีเป้าหมายเพื่อกอบกู้ส่วนแบ่งตลาดจีนของผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่สัญชาติญี่ปุ่น ในความพยายามไล่ตามให้ทันบรรดาคู่แข่งสัญชาติจีนทั้งหลายในด้านเทคโนโลยีต่างๆ ในรถยนต์ไฮบริด รถไฟฟ้าพลังงานแบตเตอรี่ และยานยนต์อัจฉริยะ

ทั้งนี้ กิจการร่วมค้าดังกล่าวได้แถลงเป้าหมายด้านนวัตกรรมต่างๆ ภายในงานกิจกรรมหนึ่งที่เมืองกว่างโจว เมื่อวันศุกร์ (28 มิ.ย.67) ที่ผ่านมา

ทางกิจการร่วมค้า GAC Toyota ระบุว่าพวกเขาจะเปิดตัวรถยนต์อเนกประสงค์ Bozhi 3X SUV ในปีนี้ ซึ่งจะเป็นรุ่นแรกที่ติดตั้งระบบที่จะสามารถใช้ระบบช่วยขับขี่ล้ำสมัยสำหรับเข้าจอดและเดินทางไปตามถนนหลวง รวมถึงการสัญจรในเมือง ความเคลื่อนไหวนี้จะเป็นการรับประกันความเป็นผู้นำของพวกเขา ในด้านเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติเหนือกว่าแบรนด์ต่างชาติทั้งหมดในจีน

ถ้อยแถลงระบุว่า GAC Toyota กำลังพัฒนาระบบนี้ร่วมกับโมเมนตา โกลบอล บริษัทสตาร์ทอัปผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ขับขี่อัตโนมัติ สำหรับผู้ผลิตรถยนต์ต่างๆ ในนั้นรวมถึงเมอร์เซเดส-เบนซ์

นอกจากนี้ ทาง GAC Toyota ยังทำงานร่วมกับหัวเว่ย สำหรับเริ่มใช้ซอฟต์แวร์ปฏิบัติการในรถยนต์ของฝ่ายหลัง กับรถยนต์ซีดานรุ่นหนึ่ง ที่มีกำหนดจะเปิดตัวในจีนในปี 2025

ขณะเดียวกัน ผู้ผลิตรถยนต์แห่งนี้ ระบุด้วยว่าพวกเขามีแผนจะเปิดตัวแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนฟอสเฟต ระหว่างปี2026 และ 2027 ที่จะลดต้นทุนการผลิตลงราว 40%

ในบรรดาแบรนด์ทั้งหมดในจีน โตโยต้ามียอดขายรั้งอันดับ 5 ในตลาดรถยนต์ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งนี้ในช่วง 4 เดือนแรกของปี โดยพวกเขามียอดขายตกลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2023 ถึง 22% อ้างอิงข้อมูลจากสมาคมผู้ผลิตยานยนต์ของจีน

ที่มา: MGROnline 

สตม. รวบหนุ่มเมืองเบียร์ OVERSTAY พบประวัติก่อคดีพยายามฆ่าเพื่อนร่วมชาติ

กก.2 บก.สส.สตม. จับกุม นายอัลเมด (นามสมมติ) อายุ 28 ปี สัญชาติเยอรมัน ในข้อหา “เป็นคนต่างด้าว อยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด” นำตัวส่ง พนักงานสอบสวน กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม. ดำเนินการคดีกฎหมาย สถานที่จับกุม โรงแรมภายในซอยสุขุมวิท ๔ แขวงคลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 

กก.2 บก.สส.สตม. ได้รับการร้องเรียนว่ามีโรงแรมภายในซอยสุขุมวิท 4 แขวงคลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพฯ บางแห่งรับคนต่างด้าวเข้าพักอาศัยแล้วไม่แจ้งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองทราบ จึงได้ไปตรวจสอบ โดยระหว่างตรวจสอบพบนายอัลเมด จากการตรวจสอบหนังสือเดินทางและข้อมูลในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ตม. พบว่าการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรได้สิ้นสุดแล้ว จึงได้สอบถามไปยังสถานเอกอัครราชทูตเยอรมนี ประจำประเทศไทย รับแจ้งว่า นายอัลเมด เป็นหนึ่งในสมาชิกองค์กรอาชญากรรม ได้ก่อเหตุทะเลาะวิวาทและได้พยายามฆ่าโดยใช้อาวุธปืนยิงฝ่ายตรงข้ามจำนวน 4 นัด ได้รับบาดเจ็บสาหัส กก.2 บก.สส.สตม.จึงทำการจับกุมดำเนินคดีในข้อกล่าวเป็น คนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด และหลังจากคดีสิ้นสุดจะได้ส่งนายอัลเมดกลับไปยังประเทศเยอรมนีต่อไป 

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่น ๆ ที่มีหมายจับ และการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง อาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระชนมพรรษา 60 พรรษา เลขที่ 904 หมู่ที่ 6 ต.บ้านใหม่ อ.ปากเกร็ด จว.นนทบุรี 11120 หรือติดต่อตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดในพื้นที่ หรือที่ www.immigration.go.th จะขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

สมาคมนักเรียนเก่า เอ เอฟ เอส ประเทศไทย คว้ารางวัล Moral Awards 2022 เป็นองค์กรต้นแบบที่ร่วมขับเคลื่อนคุณธรรมสู่สังคมไทย

เมื่อวานนี้ (2 ก.ค.67) ศูนย์คุณธรรม(องค์การมหาชน) นำโดย คุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล ประธานกรรมการศูนย์คุณธรรม รศ. นพ.สุริยเดว ทรีปาตี ผู้อำนวยการศูนย์คุณธรรม มอบโล่รางวัล Moral Awards 2022 และเกียรติบัตรเชิดชูเกียรติ ให้แก่ สมาคมนักเรียนเก่า เอ เอฟ เอส ประเทศไทย เนื่องด้วยเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนคุณธรรมสู่สังคมด้วยโครงการตามรอยพระราชาอย่างต่อเนื่อง โดยมี นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการ มูลนิธิการศึกษาและวัฒนธรรมสัมพันธ์ไทย-นานาชาติ (เอเอฟเอส ประเทศไทย) เป็นผู้รับมอบ ณ ห้อง Auditorium สถาบันอุทยานการเรียนรู้ TK Park

รางวัล Moral Awards 2022 เป็นรางวัลที่ยกย่ององค์กรที่เป็นแบบอย่างด้านคุณธรรม ควรค่าแก่การยกย่องให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสังคมไทย โดย รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี ผู้อำนวยศูนย์คุณธรรม กล่าวว่า ศูนย์คุณธรรมได้เล็งเห็นความสำคัญของพลังความดีที่ขับเคลื่อนคุณธรรมของสมาคมนักเรียนเก่า เอ เอฟ เอส ประเทศไทย มาอย่างต่อเนื่อง จึงได้ดำเนินการมอบโล่รางวัลพิเศษ เพื่อต้องการยกย่อง ชื่นชม ให้แก่ สมาคมนักเรียนเก่า เอ เอฟ เอส ประเทศไทย เนื่องด้วยให้การสนับสนุนโครงการตามรอยพระราชา ซึ่งเป็นโครงการน้อมนำพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เป็นโครงการเรียนรู้อย่างครบวงจร ทั้งการศึกษาดูงาน การลงมือทำกิจกรรมเสริมทักษะเรียนรู้ และต่อยอด พร้อมสร้างความเข้าใจและเข้าถึงคุณธรรม พอเพียง วินัย สุจริต จิตอาสา และกตัญญู 

โดยมีกลุ่มเป้าหมายของโครงการ คือ บุคลากรทางการศึกษา ครู อาจารย์ นักธุรกิจ จากทั่วประเทศ ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ดำเนินโครงการมากว่า 39 ครั้ง มีผู้ร่วมกิจกรรมกว่า 5,000 คน โดยสมาคมฯ ได้สนับสนุนให้คณะคุณครูเข้ามาร่วมกิจกรรม boardgame นวัตกรรมศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนระดับสากล (from SEP to SDGs) พร้อมส่งมอบเครื่องมือชุด The King’s Journal: Learn English ให้กับตัวแทนคุณครูที่มีความตั้งใจ และมีความพร้อมจะนำไปขยายผลกับเด็กนักเรียนที่โรงเรียน ต่อไป 

อีกทั้งสมาคมฯ ยังให้ความสำคัญในการทำกิจกรรมสาธารณะประโยชน์มาอย่างต่อเนื่อง โดยให้สมาชิกเก่า สมาชิกปัจจุบัน ได้มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์ ศักยภาพ ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ กิจกรรมค่ายพัฒนาทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษ “TRAFS English Camp” กิจกรรมส่งมอบจักรยานสำหรับนักเรียนในต่างจังหวัดที่ต้องเดินทางเป็นระยะทางไกลไป-กลับโรงเรียน “TRAFS Bike for Kids” กิจกรรมที่ดำเนินโครงการโดยสมาชิกเอง อาทิ กิจกรรมส่งเสริมการอ่านทดแทนคุณแผ่นดิน “โครงการนักอ่านบ้านนา” กิจกรรมส่งเสริมศิลปะและวัฒนธรรม “รักไหมสุรินทร์” กิจกรรมมอบทุนการศึกษาเด็กนักเรียนคนดีที่ขาดแคลนกองทุน “ปันบุญ” กิจกรรมสร้างแรงบันดาลใจพัฒนาภาวะผู้นำให้เยาวชน “2000 วัน ปั่นรอบโลก” เป็นต้น ถือเป็นแบบอย่างด้านคุณธรรมให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสังคมไทย และสร้างแรงกระเพื่อมให้แก่สังคมสืบไป

#ศูนย์คุณธรรม #ทำดีไม่ต้องเดี๋ยว #คนดีมีพื้นที่ยืน #ความดีมีพื้นที่ในสังคม #กระทรวงวัฒนธรรม
ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่
🌐 Facebook : ศูนย์คุณธรรม Moral Center Thailand
🎥 YouTube : Moral Channel

'อ.อุ๋ย-ปชป.' หวัง!! 'ลุงชาญ' แสดงสปิริต หยุดปฏิบัติหน้าที่  ชี้!! ไม่ต้องรอให้ใครสั่ง ยก 'อภิรักษ์' เป็นตัวอย่าง

(3 ก.ค.67) จากการเลือกตั้งนายก อบจ. ปทุมธานี เมื่อ 30 มิถุนายน ที่ผ่านมา ซึ่งผลปรากฏว่า นายชาญ พวงเพ็ชร์ ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย เป็นฝ่ายชนะ แต่ต่อมาความปรากฎขึ้นว่า นายชาญ เคยถูก ถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดเกี่ยวกับการจัดซื้อถุงยังชีพในปี 2555 และศาลอาญาคดีทุจริตได้ประทับรับฟ้องแล้ว ทำให้มีข้อถกเถียงว่า นายชาญ ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 81 และมาตรา 93 หรือไม่ นั้น

นายประพฤติ ฉัตรประภาชัย หรือ อาจารย์อุ๋ย นักวิชาการด้านกฎหมายและอดีตผู้สมัคร สส. กรุงเทพมหานคร เขตบางกะปิ พรรคประชาธิปัตย์ ได้แสดงความเห็นว่า พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 81 ประกอบมาตรา 93 กำหนดให้ ผู้ดำรงตำแหน่งต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ทันที โดยไม่ต้องรอคำสั่งจากหน่วยงานใด ๆ อีก เพราะเป็นไปโดยผลของกฎหมาย ซึ่งมีเจตนารมณ์คือหากท้ายสุดแล้วศาลพิพากษาว่าผู้นั้นกระทำความผิด ก็จะทำให้ผู้นั้นหมดสิทธิ์ที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งหรือเข้าดำรงตำแหน่งนั้นอีกต่อไป จึงต้องยุติการปฏิบัติหน้าที่ไว้ก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายใด ๆ จากการใช้อำนาจหน้าที่ในภายหลัง ไม่ว่าจะเป็นการออกคำสั่งแต่งตั้งบุคคลต่าง ๆ หรืออนุมัติการใช้งบประมาณ ซึ่งจะมีปัญหาความชอบด้วยกฎหมายของการกระทำเหล่านั้นในภายหลัง และป้องกันมิให้ผู้นั้นใช้ตำแหน่งหน้าที่เข้าไปสั่งการใด ๆ เพื่อยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน

ดังนั้น ไม่ว่าผู้ถูกกล่าวหาจะพ้นจากตำแหน่งไปแล้วและได้รับเลือกตั้งกลับมาดำรงตำแหน่งเดิมอีกในวาระใหม่ ก็ไม่ได้ทำให้ผลของกฎหมายเปลี่ยนแปลงไป ผู้ถูกกล่าวหาจึงยังต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ตามผลของกฎหมาย โดยไม่ต้องรอการสั่งการใด ๆ อีก

"ระหว่างที่ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ ผมอยากให้ลุงชาญ แสดงสปิริต แถลงข่าวยุติการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสมัครใจ โดยไม่ต้องรอให้สังคมและภาคส่วนต่าง ๆ กดดันไปมากกว่านี้ เพื่อให้กฎหมายได้ดำเนินไปตามครรลองแห่งความยุติธรรม เพื่อสร้างจิตสำนึกและสร้างบรรทัดฐานใหม่ให้กับการเมืองท้องถิ่น เหมือนอย่างเช่นที่ ท่านอภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีตผู้ว่า กทม. จากพรรคประชาธิปัตย์ ได้เคยสปิริตลาออกจากตำแหน่ง ทั้งที่ได้รับเลือกตั้งมาเป็นสมัยที่สอง หลังจากที่ถูก ปปช. ชี้มูลความผิดกรณีจัดซื้อรถ-เรือดับเพลิง โดยที่ยังไม่ได้ยื่นฟ้องศาลเลย และไม่มีกฎหมายกำหนดให้ท่านต้องลาออก และสุดท้ายศาลก็ตัดสินว่าท่านบริสุทธิ์ และรักษาผลประโยชน์ให้ กทม. ได้ถึง 250 ล้านบาท ครับ ด้วยความปรารถนาดี" นายประพฤติ ระบุ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top