Sunday, 29 June 2025
NewsFeed

‘3 นวัตกรรมจุฬาฯ’ คว้ารางวัลเหรียญทอง - ถ้วยรางวัลพิเศษ เวทีนวัตกรรมนานาชาติ ในงาน ITEX 2024 ประเทศมาเลเซีย

(29 พ.ค.67) คณะกรรมการนานาชาติจากเวทีการนำเสนอ และประกวดนวัตกรรม ระดับนานาชาติ ในงาน 35th International Innovation & Technology Exhibition 2024 (ITEX 2024) เมื่อวันที่ 16-18 พฤษภาคม 2567 ณ Kuala Lumpur Convention Centre สหพันธรัฐมาเลเซีย ได้ประกาศมอบรางวัล จำนวน 4 รางวัล แบ่งเป็น รางวัลเหรียญทอง 3 รางวัล และรางวัลพิเศษ 1 รางวัล แก่ 3 ผลงานวัตกรรมจุฬาฯ ดังนี้

>> นวัตกรรมเจลทรานสเฟอร์โซมเก็บกักกรดเอเชียติกเพื่อใช้ทาลบเลือนรอยแผลเป็น

นวัตกรรมชิ้นนี้เป็นผลิตภัณฑ์เจลทรานสเฟอร์โซมที่พัฒนาขึ้น สามารถนำส่งสารสำคัญกรดเอเชียติกที่พบในพืชบัวบกเข้าสู่เมมเบรนผิวหนังจำลองได้ในปริมาณสูงหลังจากใช้ 8 ชั่วโมง จากการศึกษาทางคลินิกพบว่าเจลทรานสเฟอร์โซมเก็บกักกรดเอเชียติกช่วยลดปริมาณเม็ดสีผิวเมลานินซึ่งแสดงถึงประสิทธิภาพในการลดความเข้มของสีผิวที่ผิดปกติ อีกทั้งยังเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวบริเวณแผลเป็นได้ เป็นนวัตกรรมทางเลือกสำหรับการรักษาแผลเป็น

เจลทรานสเฟอร์โซมเก็บกักกรดเอเชียติกเพื่อใช้ทาลบเลือนรอยแผลเป็น ได้รับรางวัลเหรียญทอง จาก ITEX2024 และ ถ้วยรางวัลพิเศษ Special Prize for the best international invention โดย Korea Invention Promotion Association ซึ่งผลงานดังกล่าวศึกษาวิจัยโดย ผศ.ภญ.ดร.รมย์ฉัตร ชูโตประพัฒน์ จาก ภาควิชาวิทยาการเภสัชกรรมและเภสัชอุตสาหกรรม คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาฯ ภายใต้การสนับสนุนของ ชมรมจุฬาฯ สปินออฟ (Club Chula Spin-off)

>> วัตกรรมการจัดการห่วงโซ่คุณค่าโกโก้ในระบบนิเวศโกโก้

นวัตกรรมการจัดการห่วงโซ่คุณค่าโกโก้ในระบบนิเวศโกโก้ใช้รูปแบบการดำเนินธุรกิจแบบ CSA (Community Support Agriculture) ซึ่งเป็นระบบตลาดสมาชิกแบบมีส่วนร่วมที่ผู้บริโภคสามารถสื่อสารความต้องการเชิงคุณภาพและปริมาณกับผู้ผลิตได้โดยตรงบนกลไกตลาดล่วงหน้าภายใต้กลไกราคาที่เป็นธรรม โดยการเชื่อมโยงเครือข่ายผู้มีส่วนเกี่ยวข้องตลอดห่วงโซ่คุณค่าโกโก้ที่มีพันธกิจในการพัฒนานวัตกรรมการจัดระดับคุณภาพโกโก้ผลสดและเมล็ดโกโก้ การบริการตรวจคุณภาพ การเชื่อมโยงตลาดที่เหมาะสมให้กับผลผลิตโกโก้และผลิตภัณฑ์จากโกโก้ รวมทั้งให้บริการข้อมูลและองค์ความรู้ด้านโกโก้แก่เกษตรกร ผู้ประกอบการและผู้ที่สนใจตลอดห่วงโซ่คุณค่าโกโก้

การจัดการห่วงโซ่คุณค่าโกโก้ในระบบนิเวศโกโก้ ได้รับรางวัลเหรียญทอง จาก ITEX2024 ซึ่งผลงานดังกล่าวศึกษาวิจัยโดย ผศ.ดร.ธัญศิภรณ์ ณ น่าน จาก สำนักวิชาทรัพยากรการเกษตร จุฬาฯ ภายใต้การสนับสนุนของ ศูนย์กลางนวัตกรรมทางสังคมแห่งจุฬาฯ (CU Social Innovation Hub)

>> นวัตกรรมเส้นโปรตีนไข่ขาว ไร้แป้ง พร้อมทาน

นวัตกรรมเส้นโปรตีนไข่ขาว 100% ที่ใช้เทคโนโลยีการเปลี่ยนแปลงโปรตีนไข่ขาว ทำให้ไข่ขาวต้มที่เคยแข็งกระด้างและเปราะหักง่ายกลายเป็นเส้นก๋วยเตี๋ยวที่มีเนื้อสัมผัสนุ่มเด้ง มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ทำให้แตกต่างจากไข่ขาวต้มทั่วไป พลังงานต่ำ อีกทั้งยังไม่มีส่วนผสมของแป้งและกลูเตน สามารถฉีกซองแล้วทานได้ทันที สร้างประสบการณ์แปลกใหม่ที่ไม่เหมือนใครในโลกของนวัตกรรมอาหาร

เส้นโปรตีนไข่ขาว ไร้แป้ง พร้อมทาน ได้รับรางวัลเหรียญทอง จาก ITEX2024 ซึ่งผลงานดังกล่าวศึกษาวิจัยโดย ผศ.ดร.สถาพร งามอุโฆษ จาก ภาควิชาโภชนาการและการกำหนดอาหาร คณะสหเวชศาสตร์ จุฬาฯ ภายใต้การสนับสนุนของ ศูนย์กลางนวัตกรรมแห่งจุฬาฯ (CU Innovation Hub)

ทั้งนี้ งาน International Innovation & Technology Exhibition (ITEX) คือ งานนิทรรศการที่จัดขึ้นโดยความร่วมมือของ Malaysian Invention and Design Society (MINDS) และ C.I.S. ภายในงานมีการจัดแสดงผลงานนวัตกรรม เทคโนโลยี และผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายจากนานาชาติ อีกทั้งยังมีการจัดประกวดแนวคิดและสิ่งประดิษฐ์ โดยมีคณะกรรมการผู้มีประสบการณ์จากแวดวงวิชาการและหน่วยงานเอกชนที่มาจากหลากหลายอุตสาหกรรม ซึ่งปีนี้ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เป็นผู้คัดเลือกผลงานนวัตกรรมระดับอุดมศึกษา จำนวนทั้งสิ้น 54 ผลงาน เป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมการประกวดในเวทีดังกล่าว

'เขื่อนของพ่อ' เพื่อประโยชน์สุขของพี่น้องประชาชนชาวไทย เติมชีวิต เป็นมิตรเกษตร เขตป้องอุทกภัย โอกาสใหม่การท่องเที่ยว

‘เขื่อนภูมิพล’ ถือกำเนิดเกิดขึ้นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งรัฐบาลในขณะนั้นมีแนวคิดที่จะสร้างโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าพลังน้ำ 

รัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงครามได้อนุมัติการก่อสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2496 แรกเริ่มใช้ชื่อว่า 'เขื่อนยันฮี' (ยันฮีชื่อของตำบลยันฮี อันเป็นที่ตั้งของเขื่อนภูมิพล) 

การเวนคืนได้เริ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2499 และเริ่มการก่อสร้างในปี พ.ศ. 2500 โดยว่าจ้างบริษัทผู้รับเหมาจากสหรัฐฯ และบริษัทอื่น ๆ จาก 14 ประเทศร่วมเป็นที่ปรึกษา 

ในปี พ.ศ. 2500 รัฐบาลจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตอัญเชิญพระปรมาภิไธย ‘พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร’ มาเป็นชื่อ ‘เขื่อนภูมิพล’ และได้เสด็จไปทรงประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์เมื่อ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2504 การก่อสร้างแล้วเสร็จและทำรัฐพิธีเปิดเขื่อนเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2507 

‘เขื่อนภูมิพล’ เป็นเขื่อนอเนกประสงค์กั้นแม่น้ำปิงที่บริเวณเขาแก้ว อำเภอสามเงา จังหวัดตาก มีลักษณะเป็นเขื่อนคอนกรีตรูปโค้ง รัศมีความโค้ง 250 เมตร สูง 154 เมตร ยาว 486 เมตร ความกว้างของสันเขื่อน 6 เมตร อ่างเก็บน้ำสามารถรองรับน้ำได้สูงสุด 13,462 ล้านลูกบาศก์เมตร 

เมื่อแรกก่อสร้างเสร็จถือเป็นเขื่อนรูปโค้งที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 7 ของโลก ขณะที่ปัจจุบัน ‘เขื่อนภูมิพล’ ยังคงเป็นเขื่อนขนาดใหญ่ที่สูงที่สุดในประเทศไทยและ ASEAN และอยู่ในอันดับที่ 8 ของโลก

เขื่อนแห่งนี้ ใช้เงินในการก่อสร้างทั้งสิ้นราว 2,250 ล้านบาท โดยเกือบครึ่งหนึ่ง (66 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เป็นเงินกู้จากธนาคารโลก

พร้อมกันนี้ ในปี พ.ศ. 2500 มีการตั้งรัฐวิสาหกิจขึ้นมาดูแลการก่อสร้างและบริหารโครงการนี้ในชื่อว่า 'การไฟฟ้ายันฮี' 

ในระยะแรกเขื่อนแห่งนี้ติดตั้งเครื่องกำเนิดไฟฟ้า 2 เครื่อง (รวม 70,000 กิโลวัตต์) จากที่สามารถติดตั้งได้ 8 เครื่อง ต่อมาได้มีการติดตั้งเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเครื่องที่ 3-6 กำลังผลิตเครื่องละ 70,000 กิโลวัตต์ และเครื่องที่ 7 กำลังผลิต 115,000 กิโลวัตต์ 

ต่อมาปี พ.ศ. 2511 'การไฟฟ้ายันฮี' ได้ถูกควบรวมกับรัฐวิสาหกิจ 'การลิกไนต์' และ 'การไฟฟ้าตะวันออกเฉียงเหนือ' กลายเป็นการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จนถึงทุกวันนี้

นอกจากนี้ และในปี พ.ศ. 2534 กฟผ. ได้ติดตั้งเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเครื่องที่ 8 แบบสูบกลับ ขนาดกำลังผลิต 171,000 กิโลวัตต์ จึงต้องสร้างเขื่อนแม่ปิงตอนล่างปิดกั้นลำน้ำปิง อยู่ห่างจากเขื่อนภูมิพลลงมาทางท้ายน้ำ 5 กิโลเมตร เพื่อใช้อ่างเก็บน้ำเป็นอ่างล่าง โดยถูกออกแบบให้มีบานประตูระบายน้ำเปิดปิดสำหรับใช้กักเก็บน้ำแล้วสูบกลับไปใช้ผลิตไฟฟ้าอีกครั้ง สามารถจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบได้ในเดือน มกราคม 2539 ทำให้โรงไฟฟ้าพลังน้ำ ‘เขื่อนภูมิพล’ มีกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้าติดตั้งทั้งสิ้น 779.2 เมกกะวัตต์ และสามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าได้ปีละประมาณ 1,062 ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง จนทุกวันนี้

นอกจากเป็นเขื่อนที่ผลิตกระแสไฟฟ้าพลังน้ำแล้ว ‘เขื่อนภูมิพล’ ยังมีคุณูปการต่อประเทศไทยอีกมากมาย ด้วยความจุในการกักเก็บน้ำ 13,462 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยปริมาณน้ำที่ระบายออกไปจากเขื่อนจะถูกนำไปใช้ประโยชน์มากมายหลายด้าน เช่น...

- ด้านการเกษตร ทำหน้าที่ในการทดและส่งน้ำในลุ่มน้ำปิง ฤดูฝนได้ 1,500,000 ไร่ ฤดูแล้งได้อีก 500,000 ไร่ ส่งน้ำไปช่วยพื้นที่ในโครงการเจ้าพระยาใหญ่สำหรับเพาะปลูกในฤดูแล้งได้อีก 2,000,000 ไร่ ตลอดจนถึงการสนับสนุนพื้นที่เพาะปลูกในพื้นที่จังหวัดตากและกำแพงเพชรถึง 7.5 ล้านไร่

- ใช้สำหรับการอุปโภคและบริโภคของพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งที่อยู่เหนือและใต้เขี่อน 
- เป็นเส้นทางคมนาคมทางน้ำ เมื่อได้ทำการขุดลอกและตกแต่งแม่น้ำปิงบางตอนสำเร็จแล้ว จะ
- สามารถใช้เป็นทางคมนาคมจากเขื่อนเจ้าพระยา จังหวัดชัยนาท ไปจนถึงอำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ได้ตลอดปี

- เป็นแหล่งท่องเที่ยว บริเวณโดยรอบเขื่อนมีเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติหลากหลายเส้นทาง และ
- บริการล่องแพชมความสวยงามของทัศนียภาพของตัวเขื่อนและแก่งต่างๆ ที่อยู่ใกล้เคียง
- เป็นแหล่งเพาะพันธุ์สัตว์น้ำจืดที่สำคัญของประเทศ

- ช่วยป้องกันน้ำเค็มสำหรับการผลิตน้ำประปาในเขต กทม. นนทบุรี ปทุมธานี และนครปฐม
- บรรเทาอุทกภัยในพื้นที่ลุ่มน้ำปิง รวมถึงในเขตทุ่งเจ้าพระยา ในช่วงฤดูฝน

ปัจจุบันนี้ในประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะ สาธารณรัฐประชาชนจีนก็ยังคงมีการสร้างเขื่อนอเนกประสงค์โดยเน้นในเรื่องของการผลิตกระแสไฟฟ้า เก็บกักน้ำ และป้องกันอุทกภัยอยู่ 

แต่สำหรับประเทศไทย ด้วยกระแสต่อต้านการสร้างเขื่อนจาก NGO ที่เป็นกลุ่มอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ทำให้แนวคิดในการสร้างเขื่อนใหม่ ๆ ในประเทศไทยถูกคัดค้านอย่างรุนแรงเรื่อยมา จนต่อไปในอนาคตข้างหน้าคงเป็นการยากมาก ๆ ที่จะมีการสร้างเขื่อนขึ้นในประเทศไทยได้อีก และคนไทยคงไม่มีโอกาสที่จะได้รับประโยชน์จากเขื่อนอเนกประสงค์เช่นนี้อีก แม้ว่าสังคมไทยจะได้รับอรรถประโยชน์โภคผลเกิดขึ้นจาก 60 ปีของ ‘เขื่อนภูมิพล’ มาแล้วมากมายก็ตาม 

"…ข้าพเจ้าเห็นพ้องกับรัฐบาลว่า โครงการอเนกประสงค์โครงการแรกของประเทศไทยนี้ เป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนาเศรษฐกิจก้าวใหม่ให้ไพศาลออกไป ปัจจุบันน้ำเป็นปัจจัยหล่อเลี้ยงชีวิต และน้ำกับไฟฟ้าส่งเสริมความเจริญก้าวหน้าของชีวิต เมื่อพลเมืองเพิ่มมากและเร็ว ก็ต้องเพิ่มน้ำและไฟฟ้าให้ทันความต้องการของพลเมือง…" พระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องในโอกาสเสด็จพระราชดำเนินเปิดเขื่อนภูมิพล 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2507

‘นักวิจัยญี่ปุ่น’ สร้าง ‘LignoSat’ ดาวเทียมไม้ดวงแรกของโลก เตรียมส่งขึ้นสู่อวกาศด้วยจรวดขนส่ง ‘สเปซเอ็กซ์’ กันยายนนี้

(29 พ.ค.67) สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า ดาวเทียมไม้ดวงแรกของโลก ที่มีทรงลูกบาศก์ พัฒนาโดยทีมนักวิจัยญี่ปุ่น มีกำหนดจะถูกจรวดขนส่งของบริษัท สเปซเอ็กซ์ ส่งขึ้นสู่อวกาศในเดือนกันยายนนี้

ดาวเทียมไม้ดวงแรกนี้ ได้รับการตั้งชื่อว่า ดาวเทียม LignoSat ทำจากไม้จากต้นแมกโนเลีย มีขนาดกว้างคูณยาวเพียง 10 เซนติเมตร ได้รับการพัฒนาโดยทีมนักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยเกียวโต ร่วมกับบริษัท ซูมิโตโม ฟอเรสตรี ถูกคาดหมายว่าจะเผาไหม้โดยสมบูรณ์เมื่อกลับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศโลกอีกครั้ง ซึ่งผู้พัฒนาคาดหวังว่าด้วยวิธีการนี้จะช่วยหลีกเลี่ยงการใช้ดาวเทียมที่สร้างจากอนุภาคโลหะ ซึ่งอาจก่อผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมและการโทรคมนาคม

‘ดาวเทียมที่ไม่ได้ทำจากโลหะควรกลายเป็นกระแสหลัก’ ทาคาโอะ โดอิ นักบินอวกาศและศาสตราจารย์พิเศษแห่งมหาวิทยาลัยเกียวโต กล่าวในการแถลงข่าวเปิดตัวดาวเทียมไม้ดวงแรกของโลก

ทีมผู้พัฒนามีแผนที่จะมอบดาวเทียมไม้ดวงนี้ให้กับองค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น (JAXA) ในสัปดาห์หน้า หลังจากนั้นจะถูกส่งขึ้นสู่อวกาศด้วยจรวดขนส่งของสเปซเอ็กซ์ ที่ศูนย์อวกาศเคนเนดี้ ในเดือนกันยายน เพื่อมุ่งหน้าสู่สถานีอวกาศนานาชาติ (ไอเอสเอส) ต่อไป

จากสถานีไอเอสเอส ดาวเทียมไม้ LignoSat จะถูกปล่อยจากโมดุลทดลองของญี่ปุ่นบนไอเอสเอส ที่จะทำการทดสอบความแข็งแรงและความทนทานของดาวเทียมไม้ดวงแรกนี้

“ข้อมูลจากดาวเทียมไม้จะถูกส่งกลับมายังทีมนักวิจัยที่สามารถตรวจสอบสัญญาณของแรงตึงและดูว่าดาวเทียมสามารถทนต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิครั้งใหญ่ได้หรือไม่” โฆษกหญิงของบริษัท ซูมิโตโม ฟอเรสตรี กล่าว

เชียงใหม่-สสส.-มสส.จับมือสื่อมวลชนเชียงใหม่ เปิดเวทีทุกฝ่ายถกปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5

29 พฤษภาคม 2567 ที่โรงแรมอโมร่า ท่าแพ จ.เชียงใหม่ มูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ(มสส.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)ร่วมกับสื่อมวลชนจังหวัดเชียงใหม่ จัดประชุมโฟกัส กรุ๊ป เรื่อง “PM 2.5 ... ปัญหาซ้ำซากภาคเหนือไร้ทางแก้จริงหรือ? โดยมี นายวิเชษฐ์ พิชัยรัตน์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการสื่อสารมวลชน กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.)กล่าวเปิดการประชุม   

สสส.-มสส.จับมือสื่อมวลชนเชียงใหม่ เปิดเวทีทุกฝ่ายถกปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5 ทั้งอบจ.เชียงใหม่ คณะแพทย์ศาสตร์มช. สภาลมหายใจเชียงใหม่ ชี้กระทบทั้งเศรษฐกิจและสุขภาพ นักท่องเที่ยวลดลงทุกปีเสียรายได้ปีละหมื่นล้านบาท งานวิจัยระบุสัมพันธ์กับมะเร็งปอด ทุกฝ่ายเรียกร้องเลิกทำงานเป็นแท่ง กระจายอำนาจชุมชน มีการวิจัยสาเหตุที่ชัดเจนอย่าโทษชาวบ้านอย่างเดียว ภาครัฐอย่าปิดบังความจริง พร้อมเรียกร้องนายกรัฐมนตรีใช้งบกลางคัดกรองมะเร็งปอดและเพิ่มสิทธิประโยชน์ในระบบประกันสุขภาพของประชาชน นายวิเชษฐ์ พิชัยรัตน์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการสื่อสารมวลชน กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวเปิดการประชุมว่านับว่าเป็นโอกาสดีที่สื่อมวลชนจ.เชียงใหม่และมูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ (มสส.) ซึ่งได้รับการสนับสนุนการดำเนินงานจากสสส.เสริมพลังสื่อมวลชนร่วมขับเคลื่อนงานด้านสุขภาวะร่วมกันจัดเวทีระดมความคิดเห็นเพื่อแก้ไขปัญหา ลดผลกระทบต่อสุขภาพและผลกระทบด้านเศรษฐกิจจากปัญหามลพิษทางออากาศจาก PM 2.5 ในจังหวัดเชียงใหม่และภาคเหนือ งานวิจัยลงตีพิมพ์ในวารสารราชภัฏเชียงใหม่ที่ศึกษาผลกระทบของPM 2.5 ต่อจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 20 สัญชาติที่เดินทางมาท่องเที่ยวมากที่สุดโดยใช้ จ.เชียงใหม่ และ กทม.เป็นตัวแทนนักท่องเที่ยวที่เกิดปัญหามลพิษทางอากาศช่วงปี 2557ถึง ปี 2561 พบว่าปัญหาPM 2.5 ทำให้นักท่องเที่ยวลดลงโดยเฉพาะในเดือนเมษายนและพฤษภาคม หากดัชนีค่าฝุ่น  PM 2.5 เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 จากค่าเฉลี่ยรายเดือนจะทำให้นักท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงใหม่ลดลง 106,060 คน สอดคล้องกับตัวเลข ของนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวเชียงใหม่ลดลงเช่น  ปี2561 มีนักท่องเที่ยว จำนวน 10.84 ล้านคน ปี2562 มีนักท่องเที่ยวจำนวน 11 ล้านคน แต่ในปี 2565 นักท่องเที่ยวลดลงเหลือ 5.9 ล้านคนและปี 2566 ที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวจำนวน  7.7 ล้านคน       

ส่วนผลกระทบด้านสุขภาพนั้นองค์การอนามัยโลกระบุชัดเจนว่าอัตราการตายประชากรโลกมีความสัมพันธ์กับความเป็นพิษทางอากาศ โดยทุกๆ 10 ไมโครกรัมของฝุ่น PM 2.5 มีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งปอดเพิ่มขึ้น 8 ถึง 14 เปอร์เซ็นต์ องค์การอนามัยโลกกำหนดให้ PM 2.5 จัดอยู่ในกลุ่มที่ 1 ของสารก่อมะเร็งซึ่งเป็นสาเหตุ 1 ใน 8 ของประชากรโลกที่เสียชีวิตก่อนวัยอันควร สอดคล้องกับการวิจัยผลกระทบมลพิษต่อสุขภาพในพื้นที่อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ พบว่าการตายรายวันและความเจ็บป่วยของประชาชนสัมพันธ์กับปัญหาหมอกควันในช่วงเดือนมีนาคมถึงเมษายนของปี 2559 และปี 2560 ข้อมูลจากหลายองค์กรระบุตรงกันว่าภาคเหนือมีอัตราการป่วยเป็นมะเร็งปอดมากที่สุดเมื่อเทียบกับภาคอื่นทั้งๆที่อัตราการสูบบุหรี่ลดลง  การประชุมในวันนี้นอกจากได้ข้อมูลจากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ สภาลมหายใจเชียงใหม่และผู้แทนสื่อมวลชนเชียงใหม่แล้ว จะได้แลกเปลี่ยนความเห็นและเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อลดผลกระทบและแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนต่อไป

ผศ.พญ.พุดตาน วงศ์ตรีรัตนชัย รองคณบดีด้านสื่อสารองค์กร คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัย เชียงใหม่ กล่าวว่า ปัญหา PM 2.5 ที่เกิดขึ้นมีผลกระทบต่ออวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ปอด หัวใจ สมอง ตา ส่งผลต่อทารกในครรภ์ การได้รับฝุ่นพิษ PM 2.5 ทุก ๆ 22 ไมโครกรัม เฉลี่ย 20 ชั่วโมง จะเท่ากับการสูบบุหรี่ 1 มวน ซึ่งถือว่ารุนแรงมาก จากตัวเลขที่มีการรวบรวมค่าเฉลี่ย PM 2.5 รายวัน ในตัวเมืองเชียงใหม่ ตลอดเดือนมีนาคม 2562 โดยเฉพาะในวันเสาร์ที่ 23 มีนาคม 2562 คนเชียงใหม่ทุกเพศทุกวัยสูบบุหรี่ไปคนละ 18 มวน คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มีการสื่อสารกับประชาชนเพื่อให้รับรู้แนวทางปฏิบัติตัวตามระดับของฝุ่น PM 2.5 ทั้งกลุ่มประชาชนทั่วไป และกลุ่มเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง 

โดยเฉพาะผลที่เกิดขึ้นต่อสุขภาพ ไม่ได้เกิดโรคมะเร็งปอดอย่างเดียว แต่ยังมีผลต่อสมองของเด็กและผู้ใหญ่ด้วย ก่อให้เกิดอาการซึมเศร้า สมาธิสั้น พัฒนาการช้าลง และ IQ ต่ำลงในเด็ก ส่วนในผู้ใหญ่มีผลต่อโรคสมองเสื่อมทำให้เกิดโรคอัลไซเมอร์เพิ่มมากขึ้น หลอดเลือดสมองตีบและแตก มีผลงานการวิจัยของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ที่ระบุชัดเจนว่า ฝุ่น PM 2.5 ทำให้เลือดกำเดาไหล เพราะมีผลต่อช่องจมูก ส่งผลให้ตาแดงอักเสบ ส่วนอัตราการตายจากมะเร็งปอด แยกรายภาค ตั้งแต่ปี 2553 – 2562 ภาคเหนือมีอัตราการตายจากมะเร็งปอดมากกว่าภาคอื่น ซึ่งเป็นผลมาจาก ฝุ่น PM 2.5 ด้วยเช่นกัน

นายพิชัย เลิศพงศ์อดิศร นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่าเชียงใหม่ติดอันดับเมืองท่องเที่ยวที่ดีที่สุดในโลก แต่เมื่อเกิดปัญหา PM 2.5 ทำให้เกิดผลกระทบทั้งด้านสุขภาพ สิ่งแวดล้อมและเกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจปีละ 10,000 ล้านบาท นักท่องเที่ยวยกเลิกเที่ยวบิน 50-60 เปอร์เซ็นต์ สาเหตุของปัญหาหมอกควันพิษ PM 2.5 มาจากหลายสาเหตุทั้งการเผาในที่โล่ง ไฟป่า  การคมนาคมขนส่ง โรงงานอุตสาหกรรม และฝุ่นละอองจากการก่อสร้าง ประกอบกับที่ตั้งของเมืองเชียงใหม่มีสภาพเป็นแอ่งกะทะทำให้การแก้ปัญหายากมากขึ้น นอกจากนั้นยังมีปัญหาเรื่องการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาที่ไม่เป็นเอกภาพเพราะมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำนวนมากซึ่งในระยะหลังเริ่มดีขึ้นเพราะมีการจัดตั้งศูนย์บัญชาการป้องกันแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ทุกระดับทั้งระดับจังหวัด อำเภอและตำบล

สำหรับบทบาทของอบจ.เชียงใหม่ในการแก้ไขปัญหานั้น นายพิชัย กล่าวว่า มีหลายมิติคือ ทั้งการให้ใช้สถานที่จัดตั้งเป็นศูนย์บัญชาการระดับจังหวัด อบจ.เชียงใหม่ เป็นที่แรกของประเทศไทยที่ให้งบประมาณสนับสนุนแก่มูลนิธิป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและฝุ่นควัน จ.เชียงใหม่ ต่อเนื่องทุกปี เช่นปี 2564 จำนวน 13.67 ล้านบาท ปี 2565 จำนวน 13.67 ล้านบาท ปี 2566 จำนวน 10.87 ล้านบาท และปี 2567 จำนวน 10.99 ล้านบาท นอกจากนั้นยังสนับสนุนอุปกรณ์และเครื่องมือต่างๆ เช่น เครื่องมือทำแนวกันไฟ อากาศยานไร้คนขับ เครื่องตรวจวัดคุณภาพอากาศพร้อมจอแสดงผลทั้งจังหวัด 250 เครื่อง มอบเรือตรวจการณ์ในพื้นที่ป่ารอบเขื่อนแม่กวงอุดมธารา การแจกหน้ากาก N 95 ให้กับประชาชน มีการล้างถนน ติดตั้งเครื่องพ่นละอองฝอยเพิ่มความชุ่มชื้นในอากาศ 

พร้อมกันนั้นยังมีการจัดทำระบบข้อมูลและการสื่อสารเผยแพร่ เช่นโครงการพัฒนาระบบฐานข้อมูลและเว็บไซต์รายงานสถานการณ์ฝุ่นควัน PM 2.5 โดยร่วมกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่จัดเก็บบันทึกข้อมูลชุมชนและศูนย์วิชาการของจังหวัดเพื่อดำเนินการตัดสินใจในเวลาที่เหมาะสมในการกำจัดเชื้อเพลิงในแต่ละวัน มีการอบรมเชิงปฏิบัติการหลักสูตรเตรียมความพร้อมสำหรับสถานการณ์ PM 2.5 รวมทั้งจัดทำ Application และอบรมการใช้ เพื่อประโยชน์ในการเผยแพร่ข้อมูลและให้ประชาชนแจ้งเบาะแสต่าง ๆ ด้วย

นายชัชวาล ทองดีเลิศ ประธานสภาลมหายใจ เชียงใหม่ กล่าวว่าการแก้ปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5 ที่มีความซับซ้อนเชื่อมโยงกันทั้งด้านคมนาคม พลังงาน อุตสาหกรรม เกษตร ป่าไม้ สิ่งแวดล้อมและเชื่อมโยงไปถึงต่างประเทศ ปัญหาโลกร้อนและผลประโยชน์ทับซ้อน กุญแจสำคัญคือการแก้ปัญหาแบบบูรณาการโดยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน โดยใช้มิติทางสังคมควบคู่กฎหมาย จากข้อมูลสถานการณ์ปี 2567 จุดความร้อนจากไฟไหม้ ของเชียงใหม่ดีขึ้นแต่ยังไม่เป็นตามเป้าที่จะให้ลดลง 50% แต่สิ่งที่ยังไม่น่าพอใจก็คือ จำนวนวันของคุณภาพอากาศที่เกินค่ามาตรฐานถึง 87 วันก็ถือว่ายังมากอยู่  

ดังนั้นการสรุปบทเรียนต้องวิเคราะห์ผลที่เกิดขึ้นอย่างจริงจังลงลึกไปถึงเหตุปัจจัยและเงื่อนไขต่าง ๆ ที่ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ อุปสรรคสำคัญในการแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5 ของเชียงใหม่และภาคเหนือว่าเพราะเรามีระบบราชการรวมศูนย์อยู่ที่ส่วนกลางทำงานเป็นแท่งในจังหวัดมีหน่วยงานส่วนกลางอยู่ 157 หน่วย ผู้ว่าราชการจังหวัดดูแลอีก 23 หน่วย และมีองค์กรปกครองท้องถิ่น 211 หน่วย ทำให้การบูรณาการแผนและงบประมาณมีข้อจำกัด ต่อมาคือการบริหารสถานการณ์ภายใต้ พ.ร.บ.ป้องกันบรรเทาสาธารณะภัยยังทำงานเชิงรับถ้ามีอุบัติภัยจึงจะสามารถใช้งบประมาณใช้คนใช้เครื่องจักรได้ และเรายังมีความล่าช้าของการวางแผนแม้จังหวัดเชียงใหม่จะมีการวางแผนตั้งแต่ต้นปี2566แต่กว่าแผนจะเสร็จประมาณเดือนพฤศจิกายนทำให้งบประมาณล่าช้าจนต้องใช้เงินจากส่วนกลาง ดังนั้นแผนทุกอย่างควรจบในเดือนตุลาคม และเดือนธันวาคมต้องมีงบประมาณชัดเจนแล้ว

ประธานสภาลมหายใจเชียงใหม่ กล่าวอีกว่า ยังมีปัญหาพ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติกับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าประกาศทับซ้อนพื้นที่ชุมชนที่อยู่ในเขตป่าที่มีความขัดแย้งมาอย่างยาวนานจึงควรจะใช้รูปแบบเดียวกันกับการแก้ปัญหาเขตป่าสงวนที่มี พ.ร.บ.ป่าชุมชนรองรับทำให้ชุมชนมีส่วนร่วมแก้ปัญหาได้ดีขึ้น ส่วนการกระจายอำนาจแบบมีส่วนร่วมแม้จะทำได้ดีแต่ยังไม่ลงลึกถึงชุมชนโดยเฉพาะประชาชนที่ทำมาหากินอยู่ในป่ายังไม่ได้มีส่วนร่วมอย่างจริงจัง  

นอกจากนั้นควรมีการวิจัยที่ชัดเจนว่าเหตุปัจจัยของการเผาคืออะไรไม่ควรแก้ปัญหาตามความรู้สึกหรือมีอคติว่าชาวบ้านเผาเพื่อหาเห็ด หาหน่อไม้ ล่าสัตว์ และควรมีกฎหมายหรือมาตรการจัดการกับบริษัทที่ไปลงทุนปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศเพื่อนบ้านเพื่อ ป้องกันการเผาในที่โล่ง รัฐบาลต้องมีเจตจำนงทางการเมืองมีแผนที่ชัดเจนและสุดท้ายขอเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีจัดสรรงบฯ กลางเพื่อคัดกรองมะเร็งปอดโดยทันที โดยเพิ่มสิทธิประโยชน์การคัดกรองมะเร็งปอดในระบบหลักประกันสุขภาพทั้งบัตรทอง ประกันสังคม และข้าราชการโดยเร็ว  

นางอุบลนัดดา สุภาวรรณ บรรณาธิการ หนังสือพิมพ์ไทยนิวส์ กล่าวถึงบทบาทของสื่อมวลชนในเรื่อง PM 2.5 ว่าสื่อจะรวบรวมข้อมูลนโยบายจากส่วนกลางและหน่วยงานในพื้นที่มานำเสนอ เพื่อเพิ่มการตระหนักรู้ ช่วยกันเป็นหูเป็นตา มีการนำเสนอข้อมูลเชิงลึก เช่น ผลการวิจัย การลงพื้นที่ เก็บข้อมูลจากหน่วยงานและกลุ่มนักวิจัยหรือนักเคลื่อนไหวต่างๆ เพิ่มความถี่ในการนำเสนอข่าว ตอกย้ำ ว่าปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไข โดยพยายามขยายประเด็นการนำเสนอที่หลากหลายมิติ เช่นการดำรงชีวิต การแก้ปัญหา การปรับตัวและการป้องกันตนเองของคนทำงานในด้านการท่องเที่ยว การเกษตร ภาคประชาชน นักวิจัย เจ้าหน้าที่ของรัฐ บุคลากรทางการแพทย์ รวมทั้งการรวบรวมข้อมูลและวิธีการแก้ปัญหาของต่างประเทศ หรือการนำนวัตกรรมใหม่ ๆ มาใช้เพื่อแก้ปัญหาในระยะยาว

 สิ่งที่สื่อมวลชนอยากเรียกร้อง คือ ขอให้จังหวัดให้ข้อมูลที่เป็นความจริงกับสื่อมวลชน อย่างสร้างภาพและกลัวว่าข่าว PM 2.5 จะกระทบต่อการท่องเที่ยว แลกกับผลกระทบทางสุขภพาของคนเชียงใหม่ คุ้มกันหรือไม่ เราไม่อยากให้ผู้นำมาสร้างภาพ เช่น การปั่นจักรยาน การนั่งริมแม่น้ำปิง หรือการแจกหน้ากากอนามัย แต่อยากให้มีการวางแผนและแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังและยั่งยืน สื่อมวลชนพร้อมให้ความร่วมมืออยู่แล้ว แต่บางครั้งข้อมูลมามาถึงสื่อ ในวอร์รูม สื่อส่วนใหญ่ก็ไม่ได้เข้าไปร่วมประชุม

สุดท้าย นายอภิวัชร์ เกตุทัต ประธานมูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ (มสส.) ได้กล่าวขอบคุณวิทยากรและสื่อมวลชน พร้อมสรุปว่าข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากเวทีประชุมจะนำไปสู่การผลักดันมาตรการต่างๆเช่น การวางแผนสนับสนุนการทำงานของสภาลมหายใจเชียงใหม่และสื่อมวลชนเพื่อเผยแพร่ความรู้ใหม่ ๆ และข้อเท็จจริงที่ถูกต้องให้ประชาชนได้รับรู้เข้าใจปัญหาและปรับตัวเพื่อมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนตลอดจนรู้จักวิธีป้องกันอันตรายจากฝุ่น pm2.5

อธิบดีกรมอุทยานฯ ร่วมรับฟัง การนำเสนอกิจกรรมถอดบทเรียน (AAR) ไฟป่าในพื้นที่จังหวัดแพร่และจังหวัดน่าน

วันที่ 26 พ.ค. 2567 นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช เป็นประธานการประชุมถอดบทเรียน (After Action Review : AAR) “การแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควันและpm2.5ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ สังกัด สบอ.13(แพร่)ท้องที่จังหวัดแพร่และจังหวัดน่าน” โดยมีผู้เข้าร่วมได้แก่ นายกมล นวลใย ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่13 ผู้อำนวยการส่วนแต่ละส่วน หัวหน้าพื้นที่ป่าอนุรักษ์และหน่วยงานร่วมบูรณาการฯ เพื่อร่วมกันสะท้อนปัญหา และทบทวนกระบวนการต่าง ๆ นำมาเป็นแนวทางการจัดทำแผนและการปฏิบัติงานในปีถัดไปให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึ้น โดยมีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์การทำงานในแต่ละพื้นที่ป่าอนุรักษ์

สถานการณ์การเกิดไฟป่าในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ในสังกัด สบอ 13(แพร่) ท้องที่จังหวัดแพร่และจังหวัดน่านในปีงบประมาณพ.ศ.2566 พบว่ามีพื้นที่เผาไหม้(Burnsca) 1,433,503 ไร่ และปี 2567 พบพื้นที่เผาไหม้  647,466 ไร่ ลดลง คิดเป็น 54.83% จำนวนจุดความร้อน(Hotspot)ในปี 2566 พบจำนวน 6,415 จุด และปี 2567 พบจุดความร้อน 3,474จุด พบว่าพบว่าลดลง 46.80%

ในบางพื้นที่ป่าอนุรักษ์พบจุด hotspot ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาแต่มีพื้นที่ที่ถูกเผาไหม้ลดลง เช่น อุทยานแห่งชาติแม่ยม จังหวัดแพร่ พบจุดhotspot ในปี 2566จำนวน 550 จุด ในปี 2567 พบ 480จุด ลดลงร้อยละ 12.7% แต่ในปี 2566 พบว่ามีพื้นที่เผาไหม้ 193,560 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 63.94ของพื้นที่ทั้งหมด แต่พื้นที่เผาไหม้ใน ปี2567 พบเพียงแค่จำนวน 93,613(ไร่) โดยคิดเป็นร้อยละ 30 ของพื้นที่ทั้งหมด ซึ่งจะสังเกตได้ว่าเป็นผลการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ภาคสนามที่ปฏิบัติตามข้อสั่งการ “เห็นไว เข้าถึงไว ควบคุมและดับได้ไว“ 

อุทยานแห่งชาติเวียงโกศัย เป็นพื้นที่ป่าอนุรักษ์ในท้องที่จังหวัดแพร่ครอบคลุมพื้นที่จังหวัดลำปางบางส่วน ไม่มีหน่วยงานร่วมบูรณาการในพื้นที่ และไม่มีสถานีควบคุมไฟป่าแต่อย่างใด ดำเนินการโดยใช้กำลังเจ้าหน้าที่เพียง 45 นาย โดยอาศัยการสร้างภาคีเครือข่าย จิตสำนึกอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและความร่วมของชุมชนเครือข่ายรอบอุทยานสามารถลดจำนวนจุด hotspot ในพื้นที่ได้ถึง 50.9 %เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

อุทยานแห่งชาติดอยภูคา เป็นอุทยานแห่งชาติในท้องที่จังหวัดน่านมีพื้นที่รับผิดชอบขนาดใหญ่จำนวน1,065,000 ไร่ ครอบคลุม 8 อำเภอ 24 ตำบล มีหน่วยงานร่วมบูรณาการจำนวน 38 หน่วยงาน ได้มีการ จัดทำแผนปฏิบัติการแบบบูรณาการเชิงพื้นที่ป่าอนุรักษ์โดยแบ่งเขตการจัดการจำนวน4 เขต เพื่อให้ทุกหน่วยงานในพื้นที่ร่วมบรูณการเข้ามามีบาทในการดำเนินแก้ไขปัญหาร่วมกัน พบว่า จำนวนจุดhotspotปี2566พบ 1,706 จุด ส่วนในปี 2567 พบจำนวน 615 จุด ลดลงคิดเป็นร้อยละ 63.96 ซึ่งเป็นตามนโยบายของทส.ที่ได้กำหนดไว้

อุทยานแห่งชาติศรีน่าน พบว่าเมื่อเทียบกับปี 2566 จุด hotspot ลดลงคิดเป็นร้อยละ 13.9 แต่มีพื้นที่เผาไหม้ลดลงคิดเป็นร้อยละ 62.84ของพื้นที่ทั้งหมด เกิดจากความร่วมมือของหน่วยงานรัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ผู้นำชุมชนและชุมชนในพื้นที่ร่วมกันบริหารจัดการแก้ไขปัญหาหมอกควัน ไฟป่าและpm 2.5 ทำให้สถานการณ์ภาพรวมดีขึ้น

สรุปจากข้อมูลดังกล่าวสถานการณ์ไฟป่าในพื้นที่รับผิดชอบปี2567 สามารถบริหารจัดการแก้ไขปัญหาได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น จากการบูรณาการบริหารจัดการเชิงพื้นที่ป่าอนุรักษ์และความร่วมมือของหน่วยงานภายนอก

ทั้งนี้นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานฯ ได้ให้แนวการปฏิบัติงานแก้ไขปัญหาหมอกควัน ไฟป่า และpm2.5 นำไปวางแผนในการปฏิบัติงานต่อไป

แบนบุหรี่ไฟฟ้า 10 ปีแต่วิกฤตบุหรี่ไฟฟ้าในเด็กพุ่งชึ้บุหรี่ไฟฟ้าเกลื่อนตลาด แม้รัฐเร่งปราบปราม

เพจ ‘มนุษย์ควัน’ ตั้งคำถามเนื่องใน ‘วันงดสูบบุหรี่โลก’ เหตุสถานการณ์ ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ วิกฤต หลังพบกรณีเด็กและเยาวชนซื้อขายบุหรี่ไฟฟ้าเถื่อนเกลื่อนเมือง แม้รัฐเร่งปราบปราม พร้อมยกผลสำรวจจากภาครัฐชี้เยาวชนไทยใช้บุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นกว่า 5.3 เท่าภายในเวลาไม่ถึงสิบปี ชี้บุหรี่ไฟฟ้าเติบโตตามแนวทางส่วนใหญ่ของโลกที่ให้ถูกกฎหมาย การเน้นปราบปรามอาจไม่ใช่ทางออก

นายสาริษฏ์ สิทธิเสรีชน เจ้าของเฟซบุ๊กเพจ “มนุษย์ควัน” ที่มีผู้ติดตามกว่า 2.6 หมื่นคน ได้โพสต์ข้อความว่าด้วยเรื่องของบุหรี่ไฟฟ้าและวันงดสูบบุหรี่โลกว่า “วันงดสูบบุหรี่โลกปีนี้หน่วยงานไทยมาในธีมบุหรี่ไฟฟ้า(อีกแล้ว) ปี 67 นี้ครบรอบ 10 ปีที่ประเทศไทยแบนบุหรี่ไฟฟ้าพอดี มีใครอยากเสนอคำขวัญที่สะท้อนความจริงกว่า ‘ร่วมปกป้องเด็กและเยาวชนจากบุหรี่ไฟฟ้า’ มั้ยครับ?”

นายสาริษฎ์ยังเผยอีกว่า “ในวันที่ 31 พฤษภาคมนี้จะเป็นวันงดสูบบุหรี่โลกประจำปี 2567 โดยมีคำขวัญประจำปีนี้ว่า ‘ร่วมปกป้องเด็กและเยาวชนจากบุหรี่ไฟฟ้า’ ผมจึงอยากถือโอกาสนี้พูดถึงเรื่องบุหรี่ไฟฟ้าสักหน่อย”
“นับตั้งแต่ที่ประกาศแบนบุหรี่ไฟฟ้าไปเมื่อปี 2557 ขณะนี้ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่ปีที่ 10 ของการแบนบุหรี่ไฟฟ้าแล้ว แต่เชื่อว่ามีประชาชนคนไทยไม่น้อยที่งงกับคำกล่าวนี้ หลายคนถึงกับถามว่าประเทศไทยยังแบนบุหรี่ไฟฟ้าอยู่เหรอ นั่นก็เพราะประกาศแบนนั้นไม่สามารถจัดการปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าในสังคมได้จริง ไม่ว่าจะด้วยความหละหลวมในการบังคับใช้กฎหมาย หรือประเด็นของการทุจริตคอรัปชัน” “ประเทศไทยเป็นประเทศแห่งการรณรงค์และปลูกจิตสำนึก ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดอะไร ผมเองก็เห็นด้วยว่าบุหรี่ไฟฟ้าไม่ใช่ของสำหรับเด็กหรือคนที่ไม่ได้สูบบุหรี่มาก่อน ทว่าความรุนแรงของปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าในสังคมไทยในปัจจุบันนั้นน่าเป็นห่วงเกินกว่าที่การรณรงค์ เดินขบวน จัดงานวิ่ง จัดงานปั่นจักรยาน หรือเสวนาจะแก้ไขได้ทัน ในปัจจุบันนี้ตัวเลขจากผลสำรวจของภาครัฐชี้ว่าอัตราการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในเด็กไทยอายุ 13 ถึง 15 ปี มีเด็กและเยาวชนใช้บุหรี่เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 3.3 ในปี 2558 เป็นร้อยละ 17.6 ในปี 2565 ซึ่งนับว่าเพิ่มขึ้นกว่า 5.3 เท่าภายในเวลา 7 ปี”

“นั่นชี้ให้เห็นว่า ขณะที่กฎหมายแบนบุหรี่ไฟฟ้าออกมา 10 ปีแล้ว อัตราการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในเด็กและเยาวชนก็พุ่งขึ้นสวนทางกับที่ใครๆ คาดหวัง” นายสาริษฎ์กล่าว
“เมื่อวันก่อนสดๆร้อนๆ หน่วยงานได้จับกุมร้านค้าบุหรี่ไฟฟ้าที่มีลูกค้าและผู้ขายเป็นเด็กและเยาวชน ซึ่งเป็นสิ่งที่เห็นได้แทบทุกวันจากหน้าข่าว การจับกุมบุหรี่ไฟฟ้าไม่เคยหายไปเพราะมีบุหรี่ไฟฟ้ามูลค่ามหาศาลหลายล้านบาทที่ทะลักเข้ามาจากประเทศจีนโดยไม่มีการตรวจสอบ จะดีกว่าไหมถ้าประเทศไทยมีกฎหมายมาควบคุมอายุผู้ซื้อผู้ขายบุหรี่ไฟฟ้าเช่นเดียวกับการสูบบุหรี่” นายสาริษฎ์ยังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้ขณะนี้จะมีการจัดตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาเรื่องบุหรี่ไฟฟ้า แต่ตนและผู้สูบบุหรี่ไทยอีกนับสิบล้านรายก็ได้แต่คาดหวังว่าผลพิจารณาจะแตกต่างจากเดิม เพราะแบนมา 10 ปีเหมือนไม่แบน สู้เอากฎหมายมาควบคุมให้มีการกำหนดอายุผู้ซื้อ ผู้ขาย ป้องกันการเข้าถึงของเด็กอย่างเข้มงวด เหมือนกว่า 70 ประเทศทั่วโลกที่กำหนดให้บุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมายจะควบคุมได้ดีกว่า

สตูล ศรชล. ปลูกต้นกล้า รุ่นที่ 2 รู้อนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งและมีส่วนร่วมอย่างยั่งยืน

นักเรียน นักศึกษา ตลอดจนเยาวชน นับเป็นกลไกสำคัญในการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง การสร้างองค์ความรู้และปลูกจิตสำนึก รวมทั้งการมีส่วนร่วมนั้น

วันนี้ 30 พ.ค.2567 เมื่อวันที่ 29 พ.ค.2567 นาวาเอกแสนย์ไท บัวเนียม รองผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลจังหวัดสตูล หรือ ศรชล.สตูล เป็นประธานในพิธีเปิด กิจกรรม 'สร้างความรับรู้ในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล' เพื่อขับเคลื่อนการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งให้เกิดความยั่งยืน ครั้งที่ 2 ในการพัฒนาองค์ความรู้และปลูกจิตสำนึกในการรักษาทรัพยากรทางทะเลของชาติ ตลอดจนส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการช่วยกันดูแลรักษาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งในพื้นที่ให้เกิดความยั่งยืน

โดยมีนาวาเอก รัฐพล แก้วกระจาย หัวหน้าศูนย์ควบคุมความมั่นคงท่าเรือจังหวัดสตูล ศรชล.ภาค 3 รายงานและ ได้ให้ความรู้ เกี่ยวกับการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล การอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์ ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รวมทั้งทรัพยากรป่าชายเลน และการนำผู้เข้าร่วม กิจกรรมฯ ลงพื้นที่เยี่ยมชมศึกษาธรรมชาติของทรัพยากรป่าชายเลนตำมะลัง และ ร่วมกันปลูกป่าชายเลน ณ ศูนย์เรียนรู้ธรรมชาติป่าชายเลนตำมะลัง กิจกรรมเก็บขยะ ชายฝั่งและปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำกุ้ง จำนวน 2,000 ตัว ที่ บริเวณท่าเทียบเรือตำมะลัง ซึ่งได้รับการสนับสนุน ต้นพันธุ์กล้าไม้และสถานที่ปลูกป่าชายเลน จากศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรป่าชายเลนที่ 24 (ตำมะลัง สตูล) และได้รับการสนับสนุนพันธุ์สัตว์น้ำ จากศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงทะเลสตูล ทั้งนี้มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมฯ เป็นนักศึกษาจากวิทยาลัยชุมชนสตูล และเจ้าหน้าที่หน่วยงานใน ศรชล.จังหวัดสตูล จำนวน 50 คน

'กองทุนหมู่บ้าน' กระดุมเม็ดแรกที่กลัดผิดของประชานิยม เมื่อคนกู้ชักดาบ ไม่มีเงินจ่ายทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย ใครซวย?

นางวาสนา สมพงษ์ อายุ 58 ปี อดีตคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านหนองเรือ หมู่ 6 ตำบลละทาย อำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ ได้ร้องทุกข์กับสื่อต่าง ๆ ว่า ตนให้สมาชิกและคณะกรรมการกองทุนฯ กว่า 50 คน กู้ยืมเงินจากกองทุนหมู่บ้านฯ รวมกว่า 3.7 ล้านบาท แล้วไม่มีใครชำระหนี้ทั้งต้นและดอกเบี้ย ส่งผลทำให้ตนต้องถูกธนาคารยึดทรัพย์ที่ดินทำกินของตนเอง นำไปเตรียมขายทอดตลาด ทั้งที่มูลหนี้ดังกล่าวไม่ใช่มูลหนี้ที่ตนเองก่อขึ้น จึงทุกข์ใจหนักจนต้องเข้าร้องทุกข์ต่อสื่อมวลชน เพื่อเป็นสื่อกลางขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาช่วยเหลือ

นางวาสนา เล่าว่า เมื่อปี 2561 ตนเป็นหนึ่งในคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านหนองเรือ ซึ่งมีคณะกรรมการฯ รวมทั้งคณะ 10 คน และมีสมาชิกทั้งหมด 53 คน ในขณะนั้นคณะกรรมการและสมาชิกต่างก็ได้ทำสัญญากู้ยืมเงินจากกองทุน รายละ 10,000-30,000 บาท โดยช่วงแรก ๆ ก็มีการคืนต้นจ่ายดอกครบถ้วน จนกองทุนหมู่บ้านฯ ได้รับรางวัลผลงานดีเด่นระดับ 3 A+ 

ในเวลาต่อมาธนาคารออมสินได้ให้ยอดเงินกู้เพิ่มอีกเป็นเงิน 2 ล้านบาท จึงมีคณะกรรมการพร้อมทั้งสมาชิกเข้ามาทำสัญญากู้ยืมเงินต่อ บางคนกู้ยืมเงินจากกองทุนหลักหมื่น บางรายก็หลักแสน จากนั้นคณะกรรมการชุดตนก็หมดวาระลง และได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ขึ้นมา ซึ่งต่อมาต่างก็ประสบปัญหาตอนโควิด19 ระบาด อีกทั้งเจอกับปัญหาอุทกภัย น้ำท่วมใหญ่ ส่งผลทำให้สมาชิกซึ่งส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรเกิดปัญหาติดขัดด้านการเงิน ทำให้เริ่มไม่มีเงินจ่ายทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย กระทั่งตนได้สำรองเงินตัวเองสำรองจ่ายให้กับสมาชิกไปก่อน

ซึ่งต่อมาธนาคารออมสินได้ไปถอดโฉนดที่ดินของตน โดยยึดที่ดินออกมาจาก ธกส. ที่ตนเคยไปกู้ยืมเงินส่วนตัวย้ายไปไว้ที่ธนาคารออมสินแทน เนื่องจากไม่มียอดชำระหนี้ของสมาชิกตามหลักเกณฑ์ และสำนักงานบังคับคดีได้ทำการประกาศขายทอดที่ดินของตนเมื่อปี 2565 ที่ผ่านมา โดยที่คณะกรรมการชุดตนนั้นมีเพียงตนที่มีชื่อเป็นเจ้าของที่ดินเพียงคนเดียว ขณะที่คณะกรรมการคนอื่น ๆ รวมถึงประธานอีก 9 คนต่างก็ไม่มีทรัพย์สินเป็นของตนเองแม้แต่คนเดียว ธนาคารออมสินจึงไม่สามารถไปบังคับยึดทรัพย์สินของกรรมการคนอื่น ๆ ได้

ทำให้ตนต้องนำเงินส่วนตัวไปจ่ายหนี้ให้คนทั้งหมู่บ้านที่เป็นสมาชิก เดือนละ 20,000-30,000 บาท แยกเป็นเงินต้นที่ต้องจ่ายธนาคาร 12,000 บาท และดอกเบี้ยอีกเดือนละ 2.4 หมื่นบาท จนถึงตอนนี้หมดเงินไปแล้วไม่ต่ำกว่า 3-4 แสนบาท ต้องหมดเนื้อหมดตัว ซ้ำยังถูกยึดที่ดินทำกิน ซึ่งตนได้พยายามไปอ้อนวอนขอให้สมาชิกมาใช้หนี้ บางคนก็บอกไม่มี และถูกบอกปัดไปเรื่อย ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้แล้วในตอนนั้น ตนจะไม่เป็นกรรมการกองทุนหมู่บ้านอย่างแน่นอน

‘กองทุนหมู่บ้านฯ’ มีชื่อเต็มว่า ‘กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง’ เป็นโครงการตามนโยบายเร่งด่วนที่เอื้อประโยชน์ให้แก่ประชาชนในระดับรากหญ้าของรัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร โดยมีการดำเนินการจัดตั้งกองทุนในทุกหมู่บ้าน ๆ ละ 1 ล้านบาท เพื่อเป็นกองทุนหมุนเวียนให้ชาวบ้านได้มีแหล่งเงินทุนให้กู้ยืมเพื่อประกอบอาชีพ และดำรงชีพ เป็นแหล่งเงินทุนหมุนเวียนสำหรับการลงทุนเพื่อพัฒนาอาชีพ สร้างงาน สร้างรายได้ และบรรเทาเหตุจำเป็นเร่งด่วนของชุมชนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับรากหญ้า เป็นการเสริมสร้างการพึ่งพาตนเองด้วยภูมิปัญญาของตนเอง และเสริมสร้างภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจและสังคมของประชาชนทั่วประเทศ

แม้จะมีการกล่าวอ้างถึงผลดีมากมายของกองทุนหมู่บ้าน แต่เมื่อเวลาผ่านไปกลับมีผลเสียปรากฏมากมายกว่า ดังนี้...

- ผลการประเมินของสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติระบุว่า ผู้กู้เงินจากกองทุนหมู่บ้านฯ มีอัตราการชำระหนี้คืนกองทุนลดลง จาก 95.3% (ค้างชำระ 4.7%) ในปี 2547 เป็น 77.3% (ค้างชำระ 22.7%) ในปี 2555
- ในปี 2549 สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบผลการดำเนินงานกองทุนหมู่บ้านฯ พบประเด็นปัญหาสำคัญ คือ กองทุนหมู่บ้านฯ 50% มีหนี้ค้างชำระและ/หรือเงินขาดบัญชี โดยบางแห่งมีผลการดำเนินงานอยู่ในภาวะวิกฤติไม่ได้ดำเนินกิจกรรมมาเป็นเวลาหลายปี และไม่มีเงินคงเหลือในบัญชีกองทุน
- ผลประเมินการดำเนินงานโดยกรมบัญชีกลาง ระบุว่า กองทุนหมู่บ้านฯ ได้คะแนนรวมเพียง 2.4982 ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเงินทุนหมุนเวียนประเภทกู้ยืม 3.1760 โดยด้านที่ได้คะแนนมากที่สุด คือ ด้านการเงิน 4.6974 ส่วนด้านที่ได้คะแนนน้อยที่สุด คือ ด้านการสนองประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย 1.7163
- งานวิจัยของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (2550) ระบุว่า แม้กองทุนหมู่บ้านฯ จะทำให้รายได้จากกิจการภาคเกษตรเพิ่มขึ้นจริง แต่ไม่เพียงพอจะทำให้รายได้รวมของครัวเรือนเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด
- ผลสำรวจของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติระบุว่า 22.0% ของผู้กู้ยืมกองทุนหมู่บ้านฯ มีการใช้เงินกู้ไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ของกองทุน หากกองทุนที่บริหารจัดการไม่มีประสิทธิภาพ ขาดการฟื้นฟูอาชีพให้กับสมาชิก จะก่อให้เกิดเป็นวงจรหนี้ที่พอกพูนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สมาชิกยังต้องกลับไปกู้หนี้นอกระบบอีก
- แม้ครัวเรือนที่เป็นหนี้จะลดลงจาก 11.50 ล้านครัวเรือนในปี 2550 เหลือ 10.84 ล้านครัวเรือน ในปี 2556 หรือลดลง 6% แต่จำนวนหนี้สินเฉลี่ยตัวครัวเรือนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จาก 116,681 บาท ในปี 2550 เป็น 163,087 บาท ในปี 2556 หรือเพิ่มขึ้น 40%

วันนี้พรรคการเมืองภายใต้ทักษิณ ชินวัตรกลับมาเป็นรัฐบาลแล้ว ปัญหาของกองทุนหมู่บ้านฯ ดังที่ปรากฏเป็นข่าว รัฐบาลชุดนี้จะแก้ไขอย่างไร? ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ คงช่วยอะไรไม่ได้...

ดังนั้นทุกคนที่มีส่วนร่วมในการออกแบบและสร้างกองทุนหมู่บ้านฯ จึงต้องรีบระดมสมองเพื่อช่วยกันแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ของกองทุนหมู่บ้านฯ ที่เกิดขึ้นอย่างเร่งด่วนที่สุดโดยไม่สามารถบ่ายเบี่ยงหรือปฏิเสธความรับผิดชอบต่อปัญหาและความเสียหายที่เกิดขึ้นได้เลย

‘พลเมืองสหรัฐฯ’ เสียชีวิตจากน้ำมือ 'ตำรวจ' สูงเป็นประวัติการณ์ปี 2023 สะท้อน!! วิธีแก้ปัญหาเกินกำลังกว่าเหตุ ซ้ำ!! ยังเป็นปัญหาใหญ่ในประเทศ

เมื่อวานนี้ (29 พ.ค. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สำนักงานข้อมูลข่าวสารแห่งคณะรัฐมนตรีจีนออกรายงานการละเมิดสิทธิมนุษยชนในสหรัฐฯ ประจำปี 2023 ซึ่งระบุว่า สหรัฐฯ พบจำนวนประชาชนถูกตำรวจสังหารมากสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อปีก่อน นับตั้งแต่เริ่มติดตามข้อมูลทั่วประเทศเมื่อปี 2013

รายงานอ้างอิงข้อมูลจากแมปปิง โพลิส ไวโอเลนซ์ (Mapping Police Violence) กลุ่มวิจัยที่ไม่แสวงหากำไรแห่งหนึ่ง ระบุว่าตำรวจในสหรัฐฯ สังหารประชาชนเมื่อปีก่อนอย่างน้อย 1,247 ราย หมายความว่ามีผู้เสียชีวิตจากน้ำมือตำรวจโดยเฉลี่ยประมาณ 3 รายต่อวัน

อย่างไรก็ตาม ระบบความรับผิดชอบเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายของตำรวจนั้นไร้ประโยชน์

รายงานอ้างอิงหนังสือชื่อ ‘การจับกุมความเป็นพลเมือง : ผลพวงประชาธิปไตยของการควบคุมอาชญากรรมของอเมริกา’ (Arresting Citizenship: The Democratic Consequences of American Crime Control) ระบุว่า หน่วยงานตำรวจอเมริกันชิงชังพลเมืองที่ตั้งคำถามเกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมายในการบังคับใช้กฎหมายของพวกเขา และกลไกในการให้ตำรวจรับผิดชอบต่อการกระทำมิชอบด้วยกฎหมายนั้นแทบไม่มีประโยชน์อันใด

ทั้งนี้ แม้ว่าปัญหาการใช้กำลังเกินกว่าเหตุของตำรวจกำลังเป็นปัญหาใหญ่ในสหรัฐฯ แต่หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายส่วนใหญ่ต่างปฏิเสธจะเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการใช้กำลัง

'นักวิชาการอิสระ' ชี้!! ป้ายแลนด์มาร์กกรุงเทพฯ (เดิม) ยังขลัง นทท.อยากมาถ่าย เหมือนภาพป้ายกูลิโกะที่ริมคลองโดทงโบริ

(30 พ.ค.67) นายภัทร เหมสุข นักวิชาการอิสระ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า...

คะแนนเสียงคงเป็นเอกฉันท์แล้วนะครับ ว่าวันนี้คนส่วนมากคิดอะไร กับแลนด์มาร์กของกรุงเทพฯ ที่นักท่องเที่ยวต้องมายืนถ่ายรูปตัวเองที่จุดนี้ 

ไม่ต่างคนไปเที่ยวโอซาก้า กับต้องยืนบนสะพานเอบิสุ ถ่ายภาพป้ายกูลิโกะที่ริมคลองโดทงโบริ หลังจากไปถ่ายภาพกับปูที่ปากซอยมา ผมไปโอซาก้าสามล้านกว่าครั้งแล้ว ถ้าพูดเล่น ๆ แบบเซอร์เรียลิสม์ ก็อดไปยืนยิ้มแล้วถ่ายภาพมุมเดิม ๆ ไม่ได้ ทุกอย่างเหมือนเดิม เพียงแต่คนที่ยืนถ่ายแก่ขึ้นทุกปีเท่านั้นเอง แต่มันคือสิ่งที่นักท่องเที่ยวส่วนมากต้องมาทำก่อนไปเดินต่อในย่านชินไซบาชิยามค่ำเท่านั้นเอง

ภาพกรุงเทพฯ มุมนี้คลาสสิกมาก ทริปแอดไวเซอร์, อาเซียนเบสโฮเทล, แอร์บีเอ็นบี ฯลฯ และเว็บท่องเที่ยวอีกมากมายต้องมีภาพนี้สำหรับเชิญชวนให้คนมาเที่ยวกรุงเทพฯ แล้วจะบอกว่าที่หน้าป้ายนี้ไม่ใช่แลนด์มาร์กของกรุงเทพฯ ที่ให้นักท่องเที่ยวมายืนถ่ายภาพก็คงไม่ใช่แล้วล่ะครับ 

สำหรับผมเองผมเป็นคนชอบงานแนว ลอฟท์ (Loft) เป็นพื้นอยู่แล้วงาน ผิวปูนดิบ เนื้องานดิบ ดูแล้วเหมือนงานน้อย แต่กลับให้ความรู้สึกที่มาก และถ้าเป็น Contemporary Loft Design หลังยุค 40-50-60-70's มันคือ งานออกแบบได้ไม่ง่ายเหมือนยุคบุกเบิกที่เน้นงานดิบ ต้องเป็นคนที่อิ่มในความรู้สึกศิลป์และมีชั่วโมงบินอยู่พอสมควร เพราะมันไม่เน้นความดิบและว่างเปล่าเหมือนตอนอีกยุคที่ยังเป็น Mid-Modern Loft Design ในช่วงตลอดหลังสี่สิบปีก่อนอีกแล้ว เพราะในความเป็น Contemporary ที่เริ่มมีสีสันและองค์ประกอบที่เปลี่ยนไม่เคยหยุดของตัวมันเอง มันจะบอกตัวเองว่ามันคืองานแนวลอฟท์ที่ถูกดีซายด์ออกมายุคไหน 

มันไม่ต่างกับ น้อยแต่มาก (Less is More) ตามแบบของ มินิมอล (Minimal) หรอกครับ เพียงแต่ลอฟท์มันมีแนวทางของตัวเอง แล้วพัฒนาตัวเองไปเรื่อย ๆ ด้วยความเป็น Contemporary แต่ละยุคตามกาลเวลาของมันเองบนเนื้อผิวที่ดิบของปูนและคอนกรีต และสีสันที่เพิ่มขึ้นตามยุคของมัน

ป้ายนี้ถูกสร้างในยุค คุณอภิรักษ์ โกษะโยธิน ถ้าผมจำไม่ผิด ถ้าผิดก็ขออภัยด้วย มันเรียบง่าย สวยด้วยตัวของมันเอง ฟอนต์สวยงาม ตามแบบของตัวเอง ไม่ใช่ดูทื่อ ๆ แบบฟอนต์ราชการแบบที่สมัยนั้นชอบใช้กัน มีความเป็น Contemporary ของยุคนั้นเป็นเอกลักษณ์ที่ดูสวยข้ามเวลาจนถึงทุกวันนี้

รสนิยมดี ๆ มันซื้อหากันด้วยเงินไม่ได้จริง ๆ มันเกิดจากการบ่มเพาะในความคิดด้วยเวลาชีวิตของคนแต่ละคน 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top