Sunday, 29 June 2025
NewsFeed

‘ศาลจีน’ สั่งประหารชีวิต ‘ไป๋ เทียนฮุย’ อดีตผู้จัดการใหญ่สถาบันการเงิน ฐานรับสินบน 1.1 พันล้านหยวน ตามบรรทัดฐาน รบ.จีน ‘โกง=ประหาร’

ศาลนครเทียนจินได้อ่านคำตัดสิน พิพากษาประหารชีวิต ‘ไป๋ เทียนฮุย’ อดีตผู้จัดการใหญ่บริษัท China Huarong International Holdings หนึ่งในสถาบันการเงินขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของรัฐบาลจีน ด้วยข้อหารับสินบนก้อนโตถึง 1.1 พันล้านหยวน (ประมาณ 5.5 พันล้านบาท) 

‘ไป๋ เทียนฮุย’ เคยดำรงตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปให้กับ Huarong Asset Management ที่เป็นบริษัทจัดการหนี้เสียในเครือ China Huarong และได้ถูกตัดสินว่ากระทำผิดจริงในข้อหารับสินบน โดยใช้ตำแหน่งหน้าที่การงานของเขาในการแอบอ้าง รับผลประโยชน์และข้อเสนอพิเศษจากการซื้อ-ขายโครงการก่อสร้างต่าง ๆ และการจัดหาเงินทุนให้กับองค์กร นับรวมมูลค่าเงินสินบนที่เขาได้รับนั้นสูงถึง 1.1 พันล้านหยวน 

และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการไต่สวนคดีทุจริตของผู้บริหารระดับสูงของสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่อย่าง China Huarong 

ย้อนกลับไปในปี 2018 มีข่าวการจับกุม ‘ไล่ เสี่ยวหมิน’ ประธานใหญ่ของบริษัท Huarong Asset Management ในข้อหารับสินบน ฉ้อโกง และ คบชู้ มาแล้ว

และหลังจากตรวจค้นอพาร์ตเมนต์หรูของ ‘ไล่ เสี่ยวหมิน’ ในกรุงปักกิ่ง ตำรวจจีนพบเงินสดกว่า 200 ล้านหยวนซุกอยู่ในตู้กับข้าว นอกจากนี้ยังพบว่า เขาได้ซุกซ่อนทองคำแท่ง รถหรู สินค้าแบรนด์เนม และเงินสดในธนาคารโดยใช้บัญชีชื่อแม่ของเขามากถึง 100 ล้านหยวน 

และได้กระจายทรัพย์สิน อสังหาริมทรัพย์ให้กับภรรยาเก็บที่เขาเคยมีสัมพันธ์ด้วยถึง 100 คน ที่ทำให้ประธานใหญ่ของสถาบันการเงินฉาวแห่งนี้ถูกตัดสินประหารชีวิต ด้วยข้อหาทุจริต รับสินบนรวมมูลค่าถึง 1.79 พันล้านหยวนในช่วงเวลา 10 ปีที่เขาดำรงตำแหน่ง พ่วงด้วยข้อหาคบชู้กับหญิงสาวจำนวนมาก

ไล่ เสี่ยวหมิน ถูกประหารชีวิตเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2021 หลังจากที่ศาลเทียนจินตัดสินคดีเขาถึงที่สุดเพียง 24 วัน

คดีของ ไล่ เสี่ยวหมิน และ การทุจริต China Huarong เป็นหนึ่งในนโยบายปราบปรามการคอร์รัปชันในแวดวงธุรกิจการเงินของ สี จิ้นผิง ผู้นำจีน ที่มักถูกมองเป็นแวดวงของกลุ่มผู้มีอิทธิพลสูงในรัฐบาลจีน 

ซึ่งแผนการปราบโกงในแวดวงกลุ่มคนธนาคารก็มีทั้งผู้สนับสนุนให้รัฐบาลจีนกวาดล้างการคอร์รัปชันในระบบให้เด็ดขาด และกลุ่มผู้ต่อต้าน ที่มองว่า ‘สี จิ้นผิง’ ใช้นโยบายปราบโกงเป็นเครื่องมือประหารขั้วตรงข้ามทางการเมืองของเขา 

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม พายุในแวดวงสถาบันการเงินจีนยังไม่จบง่าย ๆ เมื่อทางการจีนได้ออกหมายจับกุม ‘ไป๋ เทียนฮุย’ อดีตผู้จัดการใหญ่ของ China Huarong ด้วยข้อหาทุจริต รับสินบนในวงเงินระดับพันล้านหยวนเช่นกัน และได้ถูกตัดสิน ณ ศาลของนครเทียนจินด้วยโทษประหารชีวิต ไม่ต่างจากคดีของประธานบริษัทเมื่อ 3 ปีก่อน 

นอกจากนี้ ยังมีผู้บริหารสถาบันการเงินจีน ที่ถูกดำเนินคดีทุจริตอีกหลายคนในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน อาทิ หลิว เหลียงเก๋อ ประธานธนาคาร Bank of China ที่ออกมารับสารภาพหลังถูกสอบสวนว่าเขาเคยรับสินบน และปล่อยสินเชื่ออย่างผิดกฎหมาย และล่าสุด ‘หลี เสี่ยงเผิง’ ประธานใหญ่บริษัท Everbright Group ก็กำลังถูกสอบสวนดำเนินคดีจากการกระทำผิดกฎหมายอย่างร้ายแรงหลายข้อหาอยู่ในขณะนี้ 

ด้านผู้นำระดับสูงในคณะรัฐบาลจีนได้ประกาศในที่ประชุมโปลิตบูโร เมื่อวันจันทร์ (27 พ.ค. 67) ที่ผ่านมาว่า เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านการเงิน ผู้ที่ไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างซื่อตรง ต้องถูกตรวจสอบ และ ถูกลงโทษอย่างรุนแรง 

และกลายเป็นบรรทัดฐานในระบบยุติธรรมจีนว่า ‘โกง = ประหาร’ ที่ดำเนินการอย่างรวดเร็ว เด็ดขาด และน่าพรั่นพรึงอย่างยิ่งในสายตาคนนอกประเทศ

‘ธพว.’ (SME D Bank) แต่งตั้ง ‘พิชิต มิทราวงศ์’ ดำรงตำแหน่ง ‘กรรมการผู้จัดการ’ มีผล 4 มิ.ย.67

(29 พ.ค.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะกรรมการธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank มีมติเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2567 อนุมัติแต่งตั้งให้ นายพิชิต มิทราวงศ์ เป็น ‘กรรมการผู้จัดการ’ โดยผ่านความเห็นชอบจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และกระทรวงการคลัง เรียบร้อยแล้ว มีผลตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน 2567 เป็นต้นไป

นายพิชิต มิทราวงศ์ ปัจจุบัน อายุ 57 ปี ถือเป็นผู้มีความเหมาะสมในการดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ ด้วยคุณสมบัติและประสบการณ์ด้านบริหารงานสถาบันการเงินอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มต้นจากการทำงานในธนาคารเอกชน กว่า 14 ปี ดูแลด้านการอำนวยสินเชื่อและเงินฝาก ก่อนจะร่วมงานกับ ธพว. ตั้งแต่ปี 2545 จนถึงปัจจุบัน โดยเริ่มต้นในตำแหน่งผู้จัดการกลุ่มสินเชื่อนโยบาย กระทั่ง ปี 2564 ได้รับแต่งตั้งเป็น รองกรรมการผู้จัดการ รับผิดชอบ กลุ่มงานวิเคราะห์สินเชื่อและปฏิบัติการ และกำกับดูแลสำนักกรรมการผู้จัดการ อีกหน่วยงานหนึ่ง ก่อนได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการผู้จัดการ ธพว.

ตลอดระยะเวลา 22 ปี ในการทำงานที่ ธพว. นายพิชิตมีส่วนสำคัญในการผลักดันงานต่าง ๆ ขององค์กรสำเร็จตามเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะด้านพัฒนาผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่เข้าใจผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และเป็นแกนหลักจัดทำและบริหารโครงการสินเชื่อตามนโยบายรัฐบาล เช่น โครงการสินเชื่อกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ของกระทรวงอุตสาหกรรม กรอบวงเงินรวม 20,000 ล้านบาท และกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กรอบวงเงินรวม 5,000 ล้านบาท เป็นต้น

อีกทั้ง ในช่วงดำรงตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการ สามารถบริหารจัดการหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ อีกทั้ง มีบทบาทสำคัญในการผลักดันระบบ Core Banking System (CBS) ของธนาคาร จนประสบความสำเร็จ

สำหรับด้านอบรมโดยสังเขป เช่น
- ปี 2565 หลักสูตรประกาศนียบัตรชั้นสูงการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย สำหรับนักบริหารระดับสูง รุ่นที่ 26 (ปปร.26) ของวิทยาลัยการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า

- ปี 2564 หลักสูตรโครงการสัมมนาผู้บริหารธนาคารและสถาบันการเงิน รุ่นที่ 30 สมาคมสถาบันการศึกษาการธนาคารและการเงินไทย

- ปี 2561 หลักสูตรวิทยาการจัดการสำหรับผู้บริหารระดับสูง คณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ รุ่นที่ 1

‘สาว’ ลาออกงานประจำ พลิกผันมาเพาะ ‘แมลงสาบดูเบีย’ ขาย กระแสตอบรับดี!! จนสร้างรายได้ต่อเดือนมากสุด 40,000 บาท

เมื่อวานนี้ (28 พ.ค. 67) ใครจะไปคิดว่าการเพาะ ‘แมลงสาบดูเบีย’ ขายแล้วจะสามารถขายได้และสร้างรายได้ให้ผู้เลี้ยงได้ถึงเดือนละ 10,000-30,000 บาท พีกสุด 40,000 บาท จากที่ซื้อมาเป็นอาหารให้ปลามังกร ต่อยอดเลี้ยงต่อเพราะปลากินไม่หมด ขยายจนสามารถเป็นฟาร์มขนาดเล็กได้ ลูกค้าสนใจทั้งกลุ่มผู้เลี้ยงสัตว์เอ็กโซติกและพ่อค้าแม่ค้าที่ซื้อต่อไปเพาะเลี้ยงหารายได้เสริม

ด้าน นางสาวภัทราวดี เบ้าจันทึก หรือ จ๋า อายุ 25 ปี ซึ่งเป็นเจ้าของธุรกิจเลี้ยงแมลงสาบดูเบีย ฟาร์มภัทรา เล่าว่า จริง ๆ แล้วเธอเป็นคนที่กลัวแมลงสาบอย่างมาก แต่พอพี่ชายซื้อแมลงสาบดูเบียมาเป็นอาหารให้กับปลามังกรที่เลี้ยงเอง เนื่องจากได้มีการศึกษามาว่าในต่างประเทศนิยมนำเอาแมลงสาบดูเบียมาเป็นอาหารให้กับสัตว์เลี้ยง เพราะตัวแมลงสาบมีโปรตีนสูง ถ้าหากนำมาให้สัตว์เลี้ยงกินจะทำให้สัตว์เลี้ยงโตเร็วมากขึ้น ทำให้พี่ชายของเธอลองซื้อมาให้ปลามังกรของที่บ้านดูบ้าง ซึ่งเมื่อนำมาเป็นอาหารปลาแล้วแมลงสาบได้มีการขยายพันธุ์อย่างต่อเนื่องและมีจำนวนมากขึ้น ทำให้เกิดไอเดียลองขายขึ้นมา ซึ่งเพราะเหตุนี้เองจึงกลายมาเป็นจุดเริ่มต้นธุรกิจเพาะแมลงสาบดูเบียขายจากฟาร์มภัทรานั่นเอง ปัจจุบันเริ่มขายได้ประมาณ 1 ปีครึ่ง

แมลงสาบดูเบียมีถิ่นกำเนิดมาจากทวีปอเมริกาใต้ เป็นแมลงสาบป่าที่ชอบกินผักและผลไม้ บวกกับมีคุณค่าทางโภชนาการที่สูง โปรตีนสูง แคลเซียมสูง ไขมันต่ำ ถ้าหากเปรียบเทียบกับจิ้งหรีดจะมีคุณค่าทางโภชนาการสูงกว่า 3 เท่า เหมาะสำหรับนำมาเป็นอาหารให้กับสัตว์เลี้ยงเอ็กโซติก ในช่วงเริ่มต้นคุณจ๋าซื้อแมลงสาบดูเบียมาประมาณ 1 กิโลกรัม ซึ่งราคาในช่วงนั้นอยู่ที่กิโลกรัมละ 2,000-3,000 บาท เรียกได้ว่าเป็นราคาที่ค่อนข้างสูงเลยทีเดียว

การเลี้ยงแมลงสาบดูเบียมีความคล้ายกับการเลี้ยงจิ้งหรีด แต่ที่แตกต่างคือเวลาเพาะพันธุ์จิ้งหรีดจะต้องแยกไข่ออกจากตัว ซึ่งแมลงสาบดูเบียไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น สามารถเลี้ยงรวมได้เลย โดยภาชนะที่เลี้ยงจะใช้เป็นแผงรังไข่กระดาษทั่วไป ให้น้ำให้อาหารได้ตามปกติ แต่ต้องหลีกเลี่ยงแสงแดดที่จัดเพราะอาจจะทำให้แมลงสาบตายได้ นอกจากนี้คุณจ๋าใช้พื้นที่ข้างบ้านในการเลี้ยง เลี้ยงใส่ในกล่องพลาสติกเจาะรูระบายอากาศ ปัจจุบันมีทั้งหมด 30 ลัง รวมถึงมีเพาะเลี้ยงลังใหญ่อยู่ที่ต่างจังหวัดเพื่อเป็นสต็อกให้กับลูกค้านั่นเอง

จากคนที่กลัวแมลงสาบบ้านแต่ต้องมาเลี้ยงแมลงสาบดูเบีย คุณจ๋าเปิดเผยว่าตอนแรกก็กลัว แต่พอลองเลี้ยงดูแล้วแมลงสาบดูเบียไม่มีกลิ่นเหม็นเหมือนแมลงสาบบ้าน มีปีกแต่ไม่บิน แตกต่างจากแมลงสาบบ้านเป็นอย่างมาก ซึ่งก่อนที่จะตัดสินใจขายออกไปก็ลังเลและกังวลอยู่มากว่าจะขายได้หรือไม่ คุณจ๋าเก็บไปคิดและได้ข้อคิดที่ว่า “ถ้าเราเป็นลูกค้าของคนอื่นได้ แล้วเรามีแมลงอยู่ เราลองขายดีไหม” ซึ่งพอลองขายไปได้ 1 กล่องก็เปิดเพจเฟซบุ๊กและโพสต์ไปว่า “มีแมลงสาบดูเบียขาย ถ้าใครสนใจก็เราแบ่งขายได้นะ” ทำให้ในตอนนั้นมีลูกค้าสนใจและติดต่อเข้ามาขอซื้ออย่างต่อเนื่อง คุณจ๋าจึงคิดได้ว่าถ้าหากมีมากกว่านี้ก็คงขายได้มากขึ้น คุณจ๋าก็เลยตัดสินใจเพาะพันธุ์มาเรื่อย ๆ ขยายจนสามารถเป็นฟาร์มขนาดเล็กในพื้นที่ข้างบ้านได้นั่นเอง

กลุ่มลูกค้าที่เข้ามาสั่งซื้อส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าที่มีสัตว์เลี้ยงเอ็กโซติก เช่น เบียสดราก้อน ตุ๊กแกตาหวาน ตุ๊กแกหางอ้วน แมงมุม กิ้งก่า เป็นต้น รวมถึงลูกค้าที่ต้องการนำไปขยายพันธุ์ต่อเพื่อหารายได้อีกหนึ่งช่องทาง นอกจากนี้ในการทำการตลาดของทางร้านจะเน้นโปรโมตจากรีวิวของลูกค้าเพื่อสร้างความมั่นใจให้ลูกค้าที่ต้องการและสนใจ ปัจจุบันช่องทางการขายมีเพียงช่องทางเดียวคือ เพจเฟซบุ๊ก ‘แมลงสาบดูเบีย ฟาร์มภัทรา’

แมลงสาบดูเบียสามารถขายได้ทุกช่วงวัยตั้งแต่ตัวเล็กจนถึงตัวใหญ่ ซึ่งอายุขัยของแมลงโดยรวมจะมีอายุประมาณ 1 ปีครึ่ง ระยะการเติบโตจะอยู่ที่ประมาณ 1-6 เดือน โตเต็มที่ ซึ่งในระยะเวลา 1-6 เดือน ก็สามารถคัดขนาดและนำไปขายได้ แล้วแต่ว่าลูกค้าต้องการขนาดเท่าไหร่ ปัจจุบันทางร้านจัดส่งแบบสดไม่มีแช่แข็งและจัดส่งให้ลูกค้าแบบเดลิเวอรี่และนัดรับสินค้า

สำหรับราคาแมลงสาบดูเบียของทางร้านจะแบ่งขายตั้งแต่ 50 กรัมไปถึงกิโลกรัม เริ่มต้นที่ราคาหลักร้อยแต่ถ้าหากเป็นตัวขนาดเล็กจะมีราคาสูงกว่าขนาดอื่น ซึ่งถ้าซื้อยกกิโลกรัมจะเริ่มต้นที่กิโลกรัมละ 1,000-1,500 บาท โดยส่วนใหญ่ลูกค้าจะนิยมซื้อเป็นขีดมากกว่า ซึ่งถ้าหากคิดเป็นรายได้สำหรับการเพาะเลี้ยงแมลงสาบดูเบียขาย ทางร้านสามารถสร้างรายได้เดือนละ 1,000-30,000 บาท ถ้าช่วงไหนมีจำนวนเยอะก็สามารถขายได้ถึงเดือนละ 40,000 บาท

นอกจากนี้คุณจ๋าให้ข้อมูลว่าในปีนี้มีการวางแผนต่อยอดธุรกิจให้สามารถขยายไปเพิ่มขึ้นเท่าตัว ถ้าเป็นไปได้จะมีการเพิ่มลังเพาะเลี้ยงถึง 60 ลัง เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้น รวมถึงรองรับสำหรับพ่อค้าแม่ค้าที่สนใจต่อยอดการเลี้ยงแมลงสาบดูเบียเพื่อสร้างรายได้เสริมอีกด้วย ทั้งนี้แมลงสาบดูเบียออกลูกเป็นตัวซึ่งออกลูก 1 ครั้งสามารถได้ลูกประมาณ 20 ตัว ปัจจุบันทางร้านมีการแยกพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ออกเพื่อง่ายต่อการเลี้ยงดูและง่ายต่อการคัดขนาดเพื่อนำไปบรรจุกล่องขาย

ขึ้นชื่อว่า ‘แมลงสาบ’ หลายคนอาจจะมีความกลัวหรือไม่ชอบเพราะแมลงสาบบ้านทั่วไปมีความสกปรกกลิ่นเหม็นต่าง ๆ ซึ่งคุณจ๋าเองก็ไม่ชอบแมลงสาบบ้านแต่ผันตัวมาขาย ‘แมลงสาบดูเบีย’ แทน คนรอบตัวก็จะมองว่าเลี้ยงอะไร ทำไมต้องเลี้ยงแมลงสาบ เนื่องจากมีอีกหลายคนที่ยังไม่รู้จักแมลงสาบดูเบียจึงทำให้เกิดข้อสงสัยว่าจะเลี้ยงแมลงสาบไปทำไม ซึ่งหลังจากที่คุณจ๋าได้รู้จักกับแมลงสาบดูเบียก็ทำให้ความคิดเปลี่ยนเพราะรู้คุณค่าของแมลงมากขึ้น บวกกับการเลี้ยงที่สะอาดเลี้ยงด้วยระบบปิด ให้อาหารที่ดี แมลงสาบดูเบียก็สามารถสร้างรายได้ให้เราได้และขายดีจนปัจจุบันเกือบไม่พอขายแล้วนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม คุณจ๋าเป็นคนรุ่นใหม่ที่ออกจากงานประจำมาช่วยกิจการที่บ้านพลิกผันจนได้มาจับธุรกิจเพาะแมลงสาบดูเบียขาย ทำให้มุมมองการทำงานของคุณจ๋าเปลี่ยนไป การทำงานประจำไม่จำเป็นต้องเป็นพนักงานออฟฟิศเสมอไป ถ้าหากสนใจและลงมือทำไปแล้วรู้สึกว่าเป็นตัวของเองและมีความท้าทาย ซึ่งเมื่อคุณจ๋าได้พูดคุยกับลูกค้าที่ซื้อแมลงสาบดูเบียไปให้สัตว์เลี้ยงเอ็กโซติกกินก็ได้เรียนรู้พฤติกรรมของสัตว์นั้น ๆ ด้วยว่าเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งได้ทั้งความรู้และประสบการณ์หลายมิติจากลูกค้าได้ กลายเป็นว่าการทำงานของคุณจ๋าไม่เพียงแค่สร้างรายได้แต่ยังได้ความสนุกและตื่นเต้นเมื่อได้เรียนรู้เกี่ยวกับสัตว์ต่าง ๆ ด้วยนั่นเอง

'ซูบารุ' เตรียมปิดไลน์ผลิตในไทย 30 ธ.ค.นี้ พร้อมปรับแผนนำเข้ารถจากญี่ปุ่นทั้งคันมาขายแทน

(29 พ.ค.67) นางสาวสุรีทิพย์ ละอองทอง โฉมทองดี ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ทีซี ซูบารุ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้จัดจำหน่ายรถยนต์ซูบารุ (SUBARU) ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เปิดเผยว่า บริษัทแม่ กลุ่มตันจง (TCIL) ซึ่งดูแลกลุ่มธุรกิจในประเทศอาเซียน-จีน ได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง (HKEX) ว่า เตรียมหยุดประกอบรถยนต์ซูบารุจากโรงงานในประเทศไทย ในนามบริษัท ตันจง ซูบารุ ออโตโมทีฟ ประเทศไทย จำกัด หรือ TCSAT ตั้งแต่ 30 ธันวาคม 2567 เป็นต้นไป

เนื่องจากบริษัทต้องเผชิญกับปัญหาสภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจและธุรกิจที่เปลี่ยนไป ทำให้รถยนต์ที่ผลิตออก ไม่สามารถขายได้ในราคาที่เหมาะสม และบริษัทไม่สามารถควบคุมราคาจำหน่ายได้ จึงตัดสินใจหยุดการผลิต และรถยนต์ที่ซูบารุที่ขายใน 4 ประเทศ ได้แก่ ไทย, เวียดนาม, มาเลเซีย และกัมพูชา จะเป็นการนำเข้ามาจำหน่ายทั้งคัน (CBU)

สุรีทิพย์ ละอองทอง โฉมทองดี ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ทีซี ซูบารุ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ตอนนี้เรายังมีรถที่ผลิตออกไปขายอยู่ ซึ่งจะขายไปจนกว่ารถจะหมด จากนั้นก็จะเป็นการนำเข้ามาขายทั้งคัน ส่วนลูกค้าไม่ต้องกังวลใจ เพราะงานบริการหลังการขายซูบารุยังอยู่ และพร้อมดูแลลูกค้าชาวไทยอย่างเต็มที่ ด้วยมาตรฐาน ความพร้อมของอะไหล่ ระยะเวลาการซ่อม การนัดหมายดูแลลูกค้า ซึ่งมั่นใจได้ว่า ซูบารุพร้อมดูแลไม่เปลี่ยนแปลง เพียงโรงงานประกอบในประเทศไทยไม่มีเท่านั้น เราจะกลับไปดำเนินธุรกิจแบบเดิมคือ นำเข้ามาขายทั้งคัน”

นอกจากนี้ นางสาวสุรีทิพย์ ยังย้ำชัดเจนว่า ศูนย์บริการรถยนต์ซูบารุทั้ง 24 แห่งทั่วประเทศ กับดีลเลอร์ 21 รายพร้อมดูแลลูกค้าชาวไทยอย่างต่อเนื่อง

ปัจจุบันซูบารุ มียอดขายเฉลี่ยเดือนละ 70-80 คันต่อเดือน คาดว่ารถยนต์ที่ผลิตออกมานั้น จะเพียงพอต่อความต้องการไปจนถึงสิ้นปีก่อนโรงงานหยุดจะประกอบ ต้องยอมรับว่าราคาจำหน่ายอาจจะต้องมีการปรับเปลี่ยนบ้างตามโครงสร้างภาษีและเพื่อให้ธุรกิจเดินต่อไปได้

ก่อนหน้านี้ กลุ่มตันจง (TCIL) ได้สิทธิการเป็นผู้จำหน่าย อย่างเป็นทางการ รถยนต์แบรนด์ ซูบารุ ใน South East Asia เปิดโรงงานประกอบรถยนต์ ‘บริษัท ตันจง ซูบารุ ออโตโมทีฟ ประเทศไทย จำกัด’ หรือ TCSAT ในนิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง มีพื้นที่รวม 100,000 ตารางเมตร ลงทุนราว 5,000 ล้านบาท เป็นการลงทุนโดยกลุ่มผู้ถือหุ้นจากตันจง กรุ๊ป (TCIL) ในสัดส่วน 74.9% และบริษัทแม่ที่ญี่ปุ่น Subaru Corporation สัดส่วน 25.1%

มีพนักงานชาวไทยและต่างชาติร่วมกันประมาณ 400 คน โรงงานแห่งนี้ตั้งเป้าว่าจะผลิตรถยนต์ 6,000 คัน ต่อปี และมีกำลังการผลิตสูงสุดถึง 100,000 คันต่อปี แต่จากยอดขายของซูบารุในประเทศไทย นั้นมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2562 จาก 3,952 คัน จนล่าสุดในปี 2566 ที่ผ่านมา มียอดขายราว ๆ 1,000 คัน

ประกอบกับตลาดรถยนต์ในประเทศไทยมีการแข่งขันที่รุนแรง โดยเฉพาะค่ายรถจีนที่เข้ามาทำตลาดและสภาพเศรษฐกิจที่ตกต่ำในช่วงที่ผ่านมากลายเป็นปัญหาสะสม

สำหรับโรงงาน TCSAT ในประเทศไทย ถือเป็นโรงงานแห่งที่ 3 นอกประเทศญี่ปุ่น โดยแห่งแรกอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา และแห่งที่สองอยู่ที่ประเทศมาเลเซีย ซึ่งได้ยกเลิกการประกอบรถยนต์ซูบารุไปก่อนหน้านี้เช่นกัน เพื่อไปประกอบรถยนต์แบรนด์อื่นแทน

‘รมว.แรงงาน’ เข้าหารือหน่วยงานรัฐของ ‘อิสราเอล’ ดัน!! เพิ่มโควตาการจ้างงาน-ดึงแรงงานเก่ากลับไปทำงาน

(29 พ.ค. 67) นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.แรงงาน เปิดเผยถึงการหารือร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและพัฒนาชนบท แห่งรัฐอิสราเอล ที่กรุงเทลอาวีฟ รัฐอิสราเอล เมื่อวันที่28พ.ค.ที่ผ่านมาว่า จากความต้องการเดินทางไปทำงานในรัฐอิสราเอลของแรงงานไทย และความต้องการแรงงานไทยของนายจ้างรัฐอิสราเอล ทำให้กระทรวงแรงงานมุ่งมั่นขยายตลาดแรงงานไทย ทั้งการเพิ่มโควตาจัดส่งแรงงาน การเพิ่มประเภทงานที่จัดส่ง และการเพิ่มระยะเวลาการทำงานในรัฐอิสราเอล ตลอดจนเพิ่มการคุ้มครองดูแลแรงงานในด้านสวัสดิการมาโดยตลอด การมาเยือนครั้งนี้ได้มีโอกาสเข้าพบเพื่อหารือร่วมกับ นายโมเช่ อาร์เบล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายยูอาฟ เบน เซอร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และนายอาวี ดิชเตอร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและพัฒนาชนบท แห่งรัฐอิสราเอล ซึ่งรัฐมนตรีทั้ง 3 ท่านมีทัศนคติที่ดีต่อแรงงานไทยอย่างมาก และยอมรับว่านายจ้างในรัฐอิสราเอล มีความผูกพันที่ดีและต้องพึ่งพาแรงงานไทย

นายพิพัฒน์ กล่าวต่อว่า ในการนี้ฝ่ายไทย ได้เสนอประเด็นต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย 3 ประเด็นคือ 1.เพิ่มโควตาจ้างแรงงานภาคเกษตร จากปีละ 6,000 คน เป็น 20,000 คน 2.ขอแรงงานไทยที่ทำงานครบ 5 ปี 3 เดือน กลับมาทำงานอิสราเอลได้อีก 3.เพิ่มการจัดส่งแรงงานภาคก่อสร้าง แบบรัฐต่อรัฐ ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีทุกประเด็น พร้อมแจ้งว่าอิสราเอลมีความต้องการจ้างแรงงานภาคก่อสร้างถึง 25,000 อัตรา ในส่วนการหารือร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและพัฒนาชนบท ได้ขอความร่วมมือช่วยเน้นย้ำนายจ้างให้ดูแลความปลอดภัยแรงงานไทยให้ทำงานในพื้นที่สีเขียวเท่านั้น ไม่อนุญาตแรงงานไทยเปลี่ยนนายจ้าง/สถานที่ทำงาน ไปทำงานในพื้นที่สีเหลือง หรือสีแดง รวมถึงให้นายจ้างจัดทำที่หลบภัยที่แข็งแรงและปลอดภัยอย่างเพียงพอ เนื่องจากรัฐบาลไทยตระหนักถึงความปลอดภัยของแรงงานไทยเป็นสำคัญ นอกจากนี้จากการหารือยังขอเสนอให้พิจารณารับนักศึกษาจากประเทศไทยเข้ามาฝึกงาน แบบรับค่าจ้าง ซึ่งเรื่องนี้ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีเช่นกัน โดยทางการอิสราเอลจะหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการจนสำเร็จต่อไป

‘ยืนยันว่านายจ้างอิสราเอลดูแลแรงงานไทยเปรียบเสมือนเป็นคนอิสราเอลด้วยกัน นอกจากนี้ผมยังได้หารือร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน รัฐอิสราเอล เพื่อเจรจาขยายสาขาการจัดส่งแรงงานไทยในสาขางานอื่นๆ โดยเฉพาะภาคบริการ พนักงานร้านอาหาร โรงแรม และการบริบาลซึ่งเป็นสาขาที่คนไทยมีความเชี่ยวชาญและมีศักยภาพโดดเด่น” นายพิพัฒน์ กล่าว

ด้าน นายวิชิต อินทรเจริญ รองอธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยมีการจัดส่งแรงงานเข้ามาทำงานในอิสราเอลยาวนานมากกว่า 20 ปี พี่น้องแรงงานไทยสามารถทำงานอยู่ในอิสราเอลได้อย่างมีความสุข เพราะนายจ้างมีความเข้าใจวัฒนธรรมของคนไทยอย่างลึกซึ้ง การเยือนอิสราเอลครั้งนี้ฝ่ายไทยได้รับคำยืนยันจากรัฐมนตรีทั้ง 3 กระทรวงว่า “พร้อมดูแลและให้ความช่วยเหลือแรงงานไทยในทุกด้านอย่างเต็มที่เนื่องจากแรงงานไทยมีความขยันขันแข็งและเป็นที่ชื่นชอบของนายจ้างอิสราเอลเป็นอย่างมาก’ ทำให้การหารือร่วมกันตลอดการเยือนรัฐอิสราเอลเป็นไปด้วยความราบรื่น มีไมตรีจิต เพิ่มความเชื่อมั่นด้านความร่วมมือในการจัดส่งแรงงานระหว่าง 2 ประเทศ ทั้งนี้ สำหรับแรงงานไทยที่ต้องการเดินทางไปทำงานในรัฐอิสราเอล สามารถติดตามข่าวสารของกรมการจัดหางาน ผ่านเว็บไซต์ doe.go.th หรือทางเพจ Facebook : กรมการจัดหางาน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 - 10 หรือสายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร. 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร. 1694

‘สธ.’ เตือน!! พบผู้ป่วย ‘ฝีดาษลิง’ พุ่งสูงหลังสงกรานต์ พบมากในเขตกทม. ย้ำ!! ประชาชนอย่าประมาท

(29 พ.ค. 67) ‘นพ.วีรวัฒน์ มโนสุทธิ’ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ โฆษกกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า สถานการณ์โรคฝีดาษวานรในประเทศไทย ตั้งแต่พบผู้ติดเชื้อรายแรกในเดือนก.ค.2565 จนถึงวันที่ 20 พ.ค.2567

มีรายงานผู้ป่วยรวม 787 ราย เป็นเพศชาย 768 ราย คิดเป็นร้อยละ 97 ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล เชียงใหม่ ระยอง และอุดรธานี ตามลำดับ ข้อมูลตั้งแต่ต้นปี 2567 ที่ผ่านมา ตรวจพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็นระยะ และเริ่มมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นตั้งแต่กลางเดือนเม.ย. ช่วงหลังเทศกาลสงกรานต์จนถึงเดือนพ.ค. จึงต้องเฝ้าระวัง พร้อมป้องกัน ลดเสี่ยง ลดโรค

หากประชาชนมีประวัติสัมผัสใกล้ชิดกับผู้สงสัยฝีดาษวานร หรือการสัมผัสใกล้ชิด แนบแน่น กอดจูบ ลูบ คลำ พูดคุยระยะ 1 เมตร โดยไม่สวมหน้ากากอนามัย หรือเคยดูแลผู้ป่วยสงสัยฝีดาษวานร ให้สังเกตอาการตนเองเบื้องต้น

ภายหลังสัมผัสผู้ป่วย หรือมีความเสี่ยงภายใน 21 วัน หากมีผื่น มีตุ่มน้ำ ตุ่มหนองขึ้นบริเวณอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือบริเวณรอบๆ มือ เท้า หน้าอก ใบหน้า ปาก มีไข้ ต่อมน้ำเหลืองโตบริเวณหลังหู คอ ขาหนีบให้เข้ารับการตรวจที่โรงพยาบาล หรือสถานบริการสุขภาพใกล้บ้านทันที เพื่อตรวจหาเชื้อได้ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย จากนั้นจะทราบผลตรวจภายใน 1-5 วัน

ซึ่งระหว่างรอผลตรวจนั้น แนะนำให้แยกของใช้ส่วนตัว และแยกพื้นที่กับผู้ที่อยู่ร่วมบ้าน ที่พัก หรือ สถานที่ทำงาน ไม่ใช้จาน ชาม ช้อน แก้วน้ำ และของใช้ต่างๆ ร่วมกับผู้อื่น และสวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันการส่งต่อเชื้อ เนื่องจากสามารถติดได้จากการสัมผัสใกล้ชิด พร้อมเน้นย้ำถึงผู้ป่วยโรคเรื้อรัง หรือภูมิคุ้มกันต่ำ หากมีอาการให้รีบพบแพทย์ทันที อย่าชะล่าใจเนื่องจากมีอาการรุนแรงได้

นพ.วีรวัฒน์ กล่าวต่อว่า ประชาชนทุกคนไม่ควรประมาท โรคฝีดาษวานรติดได้ทุกคน หากมีพฤติกรรมเสี่ยง สามารถป้องกันโรคฝีดาษวานรได้ ดังนี้ 

1.หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์กับคนไม่รู้จัก 

2.ไม่ใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้ป่วย เช่น เสื้อผ้า ผ้าขนหนู เครื่องนอน เป็นต้น 

3.หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่มีผื่นสงสัยโรคฝีดาษวานร

4.ไม่คลุกคลี หรือ สัมผัส ตุ่ม หนอง หรือบาดแผลของสัตว์ที่ติดเชื้อ ซากสัตว์ป่า และบริโภคเนื้อสัตว์ปรุงสุก โดยเฉพาะกลุ่มสัตว์ฟันแทะที่นำเข้าหรือมีถิ่นกำเนิดในทวีปแอฟริกาตอนกลาง เช่น หนูแกมเบียน กระรอกดิน 

5.หมั่นล้างมือบ่อยๆ

นอกจากนี้ การหลีกเลี่ยงไปในสถานที่ที่มีกิจกรรมการรวมตัว หรือกิจกรรมพบปะสังสรรค์ ที่อาจเสี่ยงติดโรคฝีดาษวานร ก็เป็นอีกวิธีที่สามารถป้องกันฝีดาษวานรได้ กรมควบคุมโรคห่วงใย อยากเห็นคนไทยสุขภาพดี สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร 1422

‘สไปร์ท SPD’ ขอโทษ ปมขับเทสลาลงหาด สร้างความเดือดร้อน รับ!! ประมาทเอง สัญญาจะนำเป็นบทเรียนให้คิดรอบคอบกว่าเดิม

(29 พ.ค.67) จากกรณี ‘สไปร์ท SPD’ พร้อมทีมงาน ได้ขับรถเทสลาลงไปชายหาดปากน้ำหลังสวน อ.หลังสวน จ.ชุมพร เพื่อทำคอนเทนต์ จนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากมาย

ก่อนที่ต่อมา เวลา 21.00 น. วันที่ 28 พ.ค. ‘สไปร์ท SPD’ ที่ขณะนี้อยู่เกาหลี ได้ส่งทีมงานของช่องยูทูบ ‘SpriteDer SPD’ 4 คน เข้าพบ ผกก.สภ.ปากน้ำหลังสวน เพื่อชี้แจงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมกับให้ปากคำต่อพนักงานสอบสวน เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาและถูกปรับคนละ 5,000 บาท ฐานกระทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน รำคาญในที่สาธารณะ

ล่าสุดวันนี้ สไปร์ท ได้โพสต์ขอโทษ โดยระบุว่า “สวัสดีครับ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นความผิดของผมเองครับที่ขับรถลง บริเวณชายหาด และสร้างความเดือดร้อนให้คนในพื้นที่ ผมกราบขอโทษชาวปากน้ำหลังสวน และบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดครับ

ขอชี้แจงว่าในวันที่เกิดเหตุ ผมได้ให้ทีมงานสอบถามคนในพื้นที่บริเวณดังกล่าวแล้ว และได้รับแจ้งว่าสามารถขับรถลงไปถ่ายรูปได้ แต่ด้วยความประมาทของผม ที่ขับออกไปไกลเกินกว่าจุดที่เขาบอก ทำให้รถไปติดหล่มเหมือนในภาพที่ทุกคนเห็นกัน

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผมขอน้อมรับผิดทุกประการ และจะนำเอาบทเรียนนี้กลับมาคิดให้รอบคอบมากกว่าเดิมในอนาคต เพื่อแก้ไขปรับปรุง และไม่ให้เกิดเหตุการณ์ในทำนองนี้อีกในภายภาคหน้า

ส่วนความผิดทางกฎหมายตอนนี้ ทางทีมของผมได้จ่ายค่าปรับไปส่วนนึงแล้ว เหลือค่าปรับของผมที่ตอนนี้ติดภารกิจถ่ายงานที่ต่างประเทศ ที่ได้มีการวางแผนล่วงหน้ามานานแล้ว จึงให้ทนายดำเนินเรื่องค่าปรับให้ในระหว่างที่ผมทำภารกิจอยู่ โดยผมไม่ได้หนีหายไปแต่อย่างใดครับ

ผมขอโทษทุกคนสำหรับเหตุการณ์ทั้งหมดอีกครั้งนึงครับ และขอขอบคุณชาวหลังสวนทุกคน ที่มาช่วยเหลือในเหตุการณ์ดังกล่าวครับ”

ส่วนประเด็นที่คนตั้งขอสังเกตถึงป้ายทะเบียน รถเทสลาคันดังกล่าวของ สไปร์ท SPD หมายเลขทะเบียน 3 ขจ 1496 กรุงเทพมหานคร ว่าทำไมถึงเป็นป้ายแดง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ทางบริษัท Tesla ประเทศไทย เคยออกมาบอกว่า

“รถยนต์จาก Tesla ประเทศไทย จะไม่มีคำว่า ‘รถป้ายแดง’ อย่างแน่นอน เพราะรถทุกคันที่ส่งถึงมือลูกค้า จะทําการจดทะเบียนเป็นป้ายขาวไว้เรียบร้อยหมดแล้ว หมายเลขทะเบียนจะเป็นแบบสุ่ม จากทางกรมขนส่งทางบกเท่านั้น” เรื่องนี้ สไปร์ท ยังไม่ได้ชี้แจงแต่อย่างไร

‘จูราสสิคเวิลด์ ภาค 4’ เตรียมยกกองถ่ายทำในไทย มิ.ย.นี้ พิกัด ‘กระบี่-ตรัง’ คาด!! เงินสะพัดเข้าไทยกว่า 650 ลบ.

(29 พ.ค. 67) นายจาตุรนต์ ภักดีวานิช อธิบดีกรมการท่องเที่ยว เปิดเผยว่า กองถ่ายภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ระดับโลก จากฮอลลีวูด เรื่องจูราสสิคเวิลด์ ภาค 4 เตรียมยกกองมาถ่ายทำภาพยนตร์ในจ.กระบี่ และจ.ตรัง โดยมีระยะเวลาในการถ่ายทำราว 1 เดือน ตั้งแต่วันที่ 13 มิ.ย. – 16 ก.ค. 67 จากการรายงานล่าสุดจากกองกิจการภาพยนตร์และวีดิทัศน์ต่างประเทศระบุว่า กองถ่ายภาพยนตร์จูราสสิคเวิลด์ ยังมีความสนใจที่จะเลือกถ่ายทำในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จ.พังงา จ.ภูเก็ต และจ.เชียงใหม่เพิ่มเติมด้วย

นายจาตุรนต์ กล่าวว่า มีงบลงทุนที่สร้างรายได้เข้าประเทศไทย 650 ล้านบาท โดยเงินเหล่านี้กระจายไปยังภาคส่วนต่าง ๆ ในประเทศไทย เช่น ค่าจ้างทีมงานชาวไทย ค่าเช่าเครื่องมืออุปกรณ์ ค่าเช่าที่พัก ค่าเช่าสถานที่ ค่าเช่ารถ ค่าใช้จ่ายตามมาตรการป้องกันโควิด ค่าอาหารและเครื่องดื่ม เป็นต้น นอกจากนี้ยังยื่นขอรับสิทธิประโยชน์ตามมาตรการ Incentive หรือมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย ในการคืนเงิน 20% หลังมีการลงทุนในประเทศไม่น้อยกว่า 100 ล้านบาท

ส่วนข้อมูลจากกองกิจการภาพยนตร์และวีดิทัศน์ต่างประเทศ กรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พบการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทยในช่วง 5 เดือน (1 ม.ค. - 24 พ.ค 67) มีการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย จำนวน 186 เรื่อง จาก 30 ประเทศทั่วโลก มีรายได้จากการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศ 3,192 ล้านบาท โดยรวบรวมจากสถิติการขออนุญาตถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทยซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง และได้กระจายรายได้ไปสู่ภาคธุรกิจต่าง ๆ ทั้งภาคอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ธุรกิจท่องเที่ยว และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องอื่น ๆ รวมทั้งสามารถประชาสัมพันธ์ประเทศไทยไปสู่สายตาผู้ชมภาพยนตร์ทั่วโลก ส่งผลให้เกิดการท่องเที่ยวตามรอยภาพยนตร์ต่อไป

สำหรับภาพยนตร์ที่ถ่ายทำในช่วง 5 เดือนแรก แยกเป็นโฆษณาประชาสัมพันธ์ 83 เรื่อง สารคดี 27 เรื่อง รายการโทรทัศน์ 25 เรื่อง เกมส์โชว์และเรียลลิตี้ 17 เรื่อง ภาพยนตร์เรื่องยาว 15 เรื่อง มิวสิควิดีโอ 13 เรื่อง

ทั้งนี้ ในปี 67 กรมการท่องเที่ยวคาดการณ์ว่าจะมีรายได้จากกองถ่ายภาพยนตร์ถ่ายประเทศจำนวน 7,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 66 ที่มีรายได้จากการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศ 6,600 ล้านบาท จากที่รัฐบาลได้ส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในไทย ด้วยความพร้อมรองรับการถ่ายทำครบวงจร และศักยภาพของวงการอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย รวมมาตรการในการส่งเสริมสิทธิประโยชน์ที่เป็นแรงจูงใจให้กองถ่ายภาพยนตร์ต่างชาติเลือกไทยเป็นสถานที่ถ่ายทำ

‘เคทีซี’ ปักหมุดผู้นำบัตรเครดิต ออกแคมเปญ ‘บ๊ะจ่างพรีเมี่ยม’ พิชิตใจลูกค้า รับส่วนลดสูดสุง 20% หลังจับมือ ‘6 ห้องอาหารจีน’ จากโรงแรมชื่อดังครั้งแรก

(29 พ.ค.67) ‘เคทีซี’ ปักหมุดผู้นำบัตรเครดิตที่สร้างประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟให้กับสมาชิกอย่างต่อเนื่อง ด้วยกลยุทธ์การตลาดที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของสมาชิก ล่าสุดจับมือห้องอาหารจีนชื่อดังจากโรงแรมชั้นนำ 6 แห่ง ออกแคมเปญ ‘บ๊ะจ่างพรีเมี่ยม’ ครั้งแรกของวงการ เพื่อให้สมาชิกชาวไทยเชื้อสายจีนได้เฉลิมฉลองเทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง หรือ Dragon Boat Festival กับบ๊ะจ่างคุณภาพจากห้องอาหารจีนยอดนิยม ด้วยสิทธิพิเศษสำหรับสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีรับส่วนลดสูงสุดถึง 20% โดยไม่ต้องใช้คะแนน KTC FOREVER ระหว่างวันที่ 20 พฤษภาคม 2567 - 15 มิถุนายน 2567 

ด้าน นางสาว ปริม ปัญญาเสรีพร ผู้บริหารสูงสุดฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต ‘เคทีซี’ หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เคทีซีวางกลยุทธ์การตลาดในหมวดห้องอาหารในโรงแรมด้วยการเน้นความเป็นผู้นำที่นำเสนอความแปลกใหม่ หลากหลายตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของสมาชิกที่มีความแตกต่าง รวมถึงการสร้างความสัมพันธ์กับพันธมิตรโรงแรม เพื่อขยายฐานกลุ่มสมาชิกบัตรเครดิตที่มีกำลังซื้อสูง สำหรับเทศกาล ‘ไหว้บ๊ะจ่าง’ ในวันที่ 5 เดือน 5 ตามปฏิทินจันทรคติของจีน ซึ่งในปีนี้ตรงกับวันที่ 10 มิถุนายน 2567 ถือเป็นอีกช่วงเวลาสำคัญทางวัฒนธรรมและเป็นประเพณีของชาวจีน รวมถึงคนไทยเชื้อสายจีน ซึ่งห้องอาหารจีนจะนำเสนอ ‘บ๊ะจ่าง’ ต้นตำรับของเชฟแต่ละแห่ง

ดังนั้น เคทีซีจึงได้รวบรวม 6 ห้องอาหารจีนยอดนิยมจากพันธมิตรโรงแรมชั้นนำในกรุงเทพมหานครร่วมกันออกแคมเปญ ‘บ๊ะจ่างพรีเมี่ยม’ เพื่อให้สมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีสามารถเลือกสรรบ๊ะจ่างที่มีรสชาติพิเศษ อาทิ ไส้เห็ดและหอยเป๋าฮื้อ ไส้พุทราเชื่อม หรือรสชาติดั้งเดิมที่มีความโดดเด่นของซอสเอ็กซ์ โอ และไส้เผือกแปะก๊วยไข่เค็ม พร้อมแพ็กเกจที่สวยหรูเหมาะกับโอกาสในการซื้อให้เป็นของขวัญแก่ญาติผู้ใหญ่รวมถึงพันธมิตรทางธุรกิจ ด้วยสิทธิพิเศษส่วนลดสูงสุด 20% โดยไม่ต้องใช้คะแนน KTC FOREVER ระหว่างวันที่ 20 พฤษภาคม 2567 - วันที่ 15 มิถุนายน 2567

สำหรับ 6 ห้องอาหารจีนชั้นนำในโรงแรมที่ร่วมรายการ ได้แก่ ห้องอาหารจีนพาโกด้า ไชนีส เรสเตอรองท์  โรงแรมแบงค็อก แมริออท มาร์คีส์ ควีนปาร์ค / ห้องอาหารจีนเอเวอร์การ์เด้น โรงแรมเอเวอร์กรีน ลอเรล กรุงเทพฯ / ห้องอาหารจีนไชน่า พาเลซ โรงแรมปรินซ์พาเลซ กรุงเทพฯ / ห้องอาหารจีนหนานเป่ย โรงแรมโรสวูด กรุงเทพฯ / ห้องอาหารจีนแชงพาเลซ โรงแรมแชงกรี-ลา กรุงเทพฯ และห้องอาหารเดอะ ซิลค์ โร้ด โรงแรม ดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก, อะ ลักซ์ชูรี คอลเล็คชั่น โฮเทล 

‘รมว.ปุ้ย’ ร่วมเปิดบูธ ‘ศูนย์อุตฯ ฮาลาลไทย’ ในงาน THAIFEX 2024 พร้อมส่งเสริม-ผลักดัน ‘อุตฯ ฮาลาลไทย’ สู่ศูนย์กลางของภูมิภาค

(29 พ.ค. 67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีเปิดบูธศูนย์อุตสาหกรรมฮาลาลไทย ในงาน THAIFEX-Anuga Asia 2024 พร้อมเปิดเผยว่ากระทรวงฯ เตรียมขับเคลื่อนอุตสาหกรรมฮาลาลไทย ให้เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมฮาลาลในภูมิภาค ผ่านการจัดตั้งศูนย์อุตสาหกรรมฮาลาลไทย การจัดตั้งคณะกรรมการอุตสาหกรรมฮาลาลแห่งชาติ และยกระดับศักยภาพด้านมาตรฐานของผู้ประกอบการฮาลาลในประเทศ 

โดยในงานวันนี้ กระทรวงฯ นำผู้ประกอบการที่ได้รับการพัฒนาผลิตภัณฑ์และมีศักยภาพพร้อมส่งออก เข้าร่วมออกแสดงสินค้าภายใต้บูธของศูนย์อุตสาหกรรมฮาลาลไทยและกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม โดยมีประมาณการมูลค่าการเจรจาจับคู่ธุรกิจภายในงานกว่า 200 ล้านบาท และหลังจากนี้ กระทรวงฯ จะส่งเสริมให้ขยายการส่งออกไปยังตลาดที่มีศักยภาพทั่วโลก

ตลาดสินค้าฮาลาลมีขนาดใหญ่และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ปัจจุบันตลาดสินค้าฮาลาลโลกมีมูลค่ารวมกว่า 2.3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 2.8 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี 2568 ครอบคลุมสินค้าและบริการที่หลากหลาย ทั้งอาหาร เครื่องสำอาง แฟชั่น การท่องเที่ยว โดยกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มมีสัดส่วนสูงสุดถึงร้อยละ 63 ของมูลค่าตลาดทั้งหมด 

สำหรับตลาดอาหารฮาลาลโลกมีมูลค่าประมาณ 1.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มเป็น 2 เท่าภายใน 5 ปี โดยมีแนวโน้มขยายตัวเร็วตามจำนวนประชากรมุสลิมโลกที่แนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งท่านนายกรัฐมนตรีได้ให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมฮาลาลอย่างมาก และมีนโยบายที่จะยกระดับอุตสาหกรรมฮาลาลให้เป็นอุตสาหกรรมที่สำคัญของประเทศ โดยมอบกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนและประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

กระทรวงอุตสาหกรรม จึงได้เร่งดำเนินการขับเคลื่อนการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมฮาลาลของประเทศไทยให้มีความแข็งแกร่งอย่างรอบด้านและสามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก ผ่านกลไกสำคัญ ดังนี้

1. จัดตั้ง ‘คณะกรรมการอุตสาหกรรมฮาลาลแห่งชาติ (กอฮช.)’ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ลงนามในคำสั่งเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2567 โดยมีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และได้มอบหมาย ดร.นลินี ทวีสิน ผู้แทนการค้าไทย รับผิดชอบภารกิจที่เกี่ยวกับการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมฮาลาล และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นรองประธาน พร้อมผู้แทนจากหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญในแวดวงฮาลาลไทย อีก 21 หน่วยงาน เช่น กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาลจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบันภายใต้การกำกับของกระทรวงอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เพื่อทำหน้าที่กำหนดนโยบายและแนวทางในการพัฒนาสินค้าฮาลาล โดยเชื่อมโยงเอกลักษณ์ Soft Power ของไทย รวมถึงบูรณาการแนวทาง มาตรการ แผนงาน ด้านการขับเคลื่อนนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมฮาลาลของประเทศ ให้เกิดการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ และผลักดันประเทศไทยให้เป็นผู้นำด้านการผลิตและการส่งออกสินค้าฮาลาลในภูมิภาค

2. เสนอ ‘แนวทางการดำเนินงานเพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมฮาลาล เพื่อส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมฮาลาลในภูมิภาค’ ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบ เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2567 และมอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการตามแนวทางดังกล่าว โดยในระยะ 1 ปีแรก หรือ Quick Win กระทรวงอุตสาหกรรมเน้นขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมฮาลาลไทยใน 3 ภารกิจหลัก ได้แก่

(1) จัดตั้ง ‘ศูนย์อุตสาหกรรมฮาลาลไทย’ เพื่อสร้างกลไกสนับสนุน Ecosystem ของอุตสาหกรรมฮาลาลไทย โดยมีภารกิจในการยกระดับเทคโนโลยีและนวัตกรรมการผลิต มุ่งเน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มผลิตภัณฑ์ ควบคู่กับมาตรฐานสินค้าฮาลาลและมาตรฐานอื่นที่เกี่ยวข้อง ส่งเสริมการค้าอุตสาหกรรมฮาลาลทั้งในและระหว่างประเทศ รวมถึงทำหน้าที่เป็น National Focal Point ในการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานทั้งในและต่างประเทศ 

ทั้งนี้ ขณะนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมอยู่ระหว่างการพิจารณายกระดับศูนย์ดังกล่าวเป็น ‘สถาบันอุตสาหกรรมฮาลาลไทย’ หรือ Thai Halal Industry Institute โดยเป็นหน่วยงานภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงฯ ซึ่งจะเร่งดำเนินการนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาโดยเร็วต่อไป

(2) สร้าง ‘การรับรู้ถึงศักยภาพอุตสาหกรรมฮาลาลไทย’ ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ผ่านงานแสดงสินค้าระดับนานาชาติ เช่น Malaysia International Halal Showcase (MIHAS) รวมถึง THAIFEX-Anuga Asia 2024 ในวันนี้ เพื่อประชาสัมพันธ์การส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารฮาลาลไทยของรัฐบาล และสร้างภาพลักษณ์อาหารไทยฮาลาลที่เชื่อมโยง Soft Power เอกลักษณ์อาหารท้องถิ่นให้เกิดเป็นเมนูอาหารฮาลาลไทย ผลักดันไปสู่ภาคบริการ เช่น การให้บริการบนสายการบิน การประชุมและสัมมนานานาชาติ การโรงแรมและท่องเที่ยว นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างเตรียมจัดงาน Kick Off การส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมฮาลาลไทย ในวันที่ 19 มิถุนายน 2567 ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เพื่อแสดงศักยภาพการผลิตและมาตรฐานอุตสาหกรรมฮาลาลไทยไปสู่ผู้บริโภคและคู่ค้าทั้งในและต่างประเทศ ผ่านการจัดกิจกรรม เช่น Business Matching การสัมมนาฮาลาลระดับนานาชาติ การสาธิตการทำอาหารฮาลาลโดยเชฟไทยที่มีชื่อเสียง

(3) ผลักดัน ‘การส่งเสริมการค้าและขยายตลาดการค้าระหว่างประเทศ’ ผ่านการเจรจาและจัดทำกรอบความร่วมมือ หรือ MOU ระหว่างประเทศระดับทวิภาคีและพหุภาคี เพื่อขยายตลาดสินค้าและบริการฮาลาลของไทย โดยประเทศเป้าหมายในระยะแรก ได้แก่ บรูไนดารุสซาราม มาเลเซีย และอินโดนีเซีย เพื่อให้อุตสาหกรรมฮาลาลของประเทศไทยมีความเข้มแข็งตลอดห่วงโซ่อุปทานการผลิต โดยขณะนี้ มีแผน การเจรจาในการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมทวิภาคี ไทย-บรูไน ณ กรุงบันดาร์เสรีเบกาวัน ประเทศบรูไน ช่วงต้นเดือนกรกฎาคม 2567 และในการประชุมระดับรัฐมนตรี แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่ายอินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย ณ ประเทศมาเลเซีย ระหว่างเดือนสิงหาคม-กันยายน 2567

นอกจากนี้ การขับเคลื่อนนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมฮาลาลของประเทศไทย ในระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2567-2571) จะดำเนินอย่างต่อเนื่องในการพัฒนาการผลิตและมาตรฐานอุตสาหกรรมฮาลาลไทย ให้กับผู้ประกอบการทุกกลุ่ม เช่น อาหาร แฟชั่นมุสลิม ยา สมุนไพร และเครื่องสำอาง วิสาหกิจชุมชน ร้านอาหาร โรงแรมและที่พัก รวมถึงการขนส่งและโลจิสติกส์ ส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศและขยายกลุ่มประเทศเป้าหมายไปยังเอเชียกลาง ตะวันออกกลาง แอฟริกาเหนือ ควบคู่การยกระดับ Thai Halal Ecosystem ด้านอื่น ๆ เช่น การพัฒนาห้องปฏิบัติการทดสอบผลิตภัณฑ์ฮาลาลไทย ให้ครอบคลุมผลิตภัณฑ์สินค้าและเพียงพอ การยกระดับฝีมือแรงงานและบุคลากรในอุตสาหกรรมฮาลาลสาขาต่าง ๆ การพัฒนานิคมอุตสาหกรรมฮาลาล การสร้างความเข้มแข็งให้แก่ภาคการส่งออกและเพิ่มส่วนแบ่งตลาดของสินค้าและบริการฮาลาลไทยในตลาดโลก ซึ่งจะเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันและความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้ประเทศไทยต่อไป

สำหรับงานในวันนี้ กระทรวงฯ ได้นำผู้ประกอบการที่ได้รับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ร่วมกับกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมและสถาบันอาหารกว่า 40 รายเข้าร่วมแสดงสินค้า เช่น โรงงานแปรรูปโคเนื้อฮาลาลมาตรฐานสากลที่มีศักยภาพดีที่สุดในอาเซียน ‘Befish’ ข้าวเกรียบปลาเมืองนราธิวาส ทำจากปลาทะเลแท้ มีแคลเซียมสูง และ ‘ท่าทองรังนก’ ที่เลี้ยงอย่างธรรมชาติไม่ใช้สารเคมีวัตถุเจือปนอาหาร เป็นต้น ซึ่งล้วนเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีศักยภาพพร้อมส่งออก และมีการสาธิตการทำอาหารจากเชฟนูรอ โซ๊ะมณี สเต็ปเป้ เชฟอาหารไทยมุสลิม ผู้ก่อตั้งและเจ้าของร้าน ‘Blue Elephant’ ร้านอาหารไทยชื่อดังที่มีสาขาทั่วโลก เพื่อสร้างความรับรู้ถึงศักยภาพของอาหารฮาลาลไทยและนำเสนอผลิตภัณฑ์ฮาลาลจากผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จ 

นอกจากนี้ ยังจัด Business matching เพื่อขยายตลาดให้กับผู้ประกอบการ โดยมีประมาณการมูลค่าการเจรจาจับคู่ธุรกิจภายในงาน 200 ล้านบาท โดยกระทรวงอุตสาหกรรมจะเสริมความเข้มแข็งและผลักดันการส่งออกสู่ตลาดโลกต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top