Friday, 5 July 2024
NewsFeed

'กรุณา บัวคำศรี' ประกาศยุติออกอากาศ ‘รอบโลกเดลี่’ ช่อง PPTV ยืนยัน!! ยังคงทำงานในวงการสื่อ บนหลักการวิชาชีพสื่อมวลชน

(28 พ.ค. 67) วันที่ 28 พฤษภาคม กรุณา บัวคำศรี ผู้ดำเนินรายการ ‘รอบโลก by กรุณา บัวคำศรี’ และ ‘รอบโลกเดลี่’ ทางสถานีโทรทัศน์พีพีทีวี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Karuna Buakamsri ระบุว่า ‘รอบโลก by กรุณา บัวคำศรี’ และ ‘รอบโลกเดลี่’ ทั้ง 2 รายการนี้ เริ่มต้นจากความตั้งใจของ PPTV ที่ต้องการทำรายการสารคดีข่าวและข่าวต่างประเทศแบบจริงจัง จากเดิมที่เป็นเพียงเนื้อหาไม้ประดับ

เรารับทำภารกิจนี้ด้วยความตื่นเต้นกึ่งกังวล เพราะหากทำข่าวต่างประเทศแบบจริงจัง เนื้อหาจะต้องละเอียดและหนัก เราไม่แน่ใจว่า สิ่งที่กำลังจะทำจะได้รับการตอบรับหรือไม่

ผ่านมา 7 ปี เราพอพูดได้ว่า ทั้ง ‘รอบโลก by กรุณา บัวคำศรี’ และ ‘รอบโลกเดลี่’ สามารถลงหลักปักฐานและมีที่มีทางของตนเองในวงการข่าวได้ แม้พื้นที่จะไม่กว้างขวางใหญ่โตหากเปรียบเทียบกับรายการข่าวกระแสหลัก และทั้งหมดเกิดขึ้นได้จากความทุ่มเทของทีมงานและการสนับสนุนอย่างสม่ำเสมอของ PPTV

การรักษาหลักการของวิชาชีพสื่อ การมีเสรีภาพในการคิด สร้างสรรค์ และการรักษาความเป็นตัวของตัวเอง เหล่านี้คือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเรา

ตลอดช่วง 20 ปีที่ผ่านมา เราจึงพยายามอย่างมากที่จะไม่พาตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์ที่เราต้องประนีประนอมหรือสูญเสียสิ่งเหล่านี้ไป

แน่นอนว่าการทำสิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานับตั้งแต่เกิดขึ้นทีวีดิจิตอล

เราไม่เชื่อเรื่องโชคชะตา แต่เราคิดว่าเราโชคดีที่ได้พบกับ PPTV และเป็นความโชคดีอย่างถึงที่สุดที่ได้รู้จักกับคุณหมอปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ

ในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา ในการพบและคุยกันหลายต่อหลายครั้ง คุณหมอมักจะบอกขอบคุณเราที่มาทำงานที่ PPTV ท่านมักจะบอกถึงความฝันและความหวังที่จะเห็นข่าวต่างประเทศได้มีที่ยืนในวงการโทรทัศน์ไทย

สำคัญที่สุดคือ คุณหมอไม่เคยขอให้เราต้องประนีประนอมหรือเปลี่ยนแปลงตัวตน (ที่ค่อนข้างดื้อรั้น) ของเรา

เราเคยถามแตะ ๆ เรื่องผลขาดทุนของช่อง ท่านมักจะบอกยิ้ม ๆ ว่า คุณมีหน้าที่ทำงานก็ทำงานไป

ความสำเร็จของ ‘รอบโลก by กรุณา บัวคำศรี’ และ ‘รอบโลกเดลี่’ จึงมีคุณหมอปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ เป็นผู้ที่มีส่วนสำคัญที่สุด

ยามที่ดำดิ่งจากวิกฤตที่สุดในชีวิตส่วนตัว คุณหมอก็ช่วยประคับประคอง เป็นลมใต้ปีกพยุงไม่ให้เราตกลงมา จนมาถึงวันที่เราแข็งแรงและเดินทางต่อได้เอง

เราจึงขอใช้พื้นที่นี้บอกกล่าวกับทุกคนที่ติดตามรายการว่า นับตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคมนี้เป็นต้นไป ‘รอบโลกเดลี่’ จะยุติการออกอากาศทาง PPTV อย่างเป็นทางการ

แน่นอนว่าไม่ใช่การตัดสินใจที่ง่าย แต่เป็นการตัดสินใจที่จำเป็นอย่างยิ่ง

สุดท้ายสั้น ๆ สำหรับอนาคตต่อจากนี้ของเรา

เรายังคงทำงานในวงการสื่อต่อไป

และที่สำคัญคือ พื้นที่ที่เราตัดสินใจเลือกอยู่ จะคือพื้นที่ที่ทำให้เราสามารถทำงานที่ตั้งอยู่บนหลักการของวิชาชีพสื่อ มีเสรีภาพในการคิด ไม่เสียความเป็นตัวของตัวเอง และเป็นงานที่สามารถตอบแทนสังคมได้

เหมือนกับที่เราได้พยายามทำในช่วงตลอด 20 ปี

โฉมใหม่สติกเกอร์ใหม่จุดเช็กอินสกายวอล์กแยกปทุมวัน คาด!! หลังจากนี้จะทยอยติดที่จุดอื่นๆ ต่อไปด้วย

(29 พ.ค. 67) จากกรณีสติกเกอร์บนคานรางรถไฟฟ้า จุดบริเวณทางเชื่อมเหนือ Sky Walk แยกปทุมวัน ลอกจาง จากคำว่า ‘Bangkok’ เหลือแต่เพียงคำว่า ‘Bang’ จนเกิดกระแสเรียกร้องให้ปรับปรุงด่วน เนื่องจากจุดดังกล่าวกำลังเป็นที่นิยมในกลุ่มนักท่องเที่ยวที่แห่กันมาถ่ายรูป

จากนั้น ทาง กทม. ได้เร่งเข้าแก้ไขเมื่อวานนี้ (28 พ.ค. 2567) โดย นายเอกวรัญญู อัมระปาล โฆษกของกรุงเทพมหานคร ระบุว่า จะเร่งติดสติกเกอร์ที่มีข้อความและดีไซน์ใหม่สะท้อนอัตลักษณ์ กทม. ที่ได้ออกแบบไว้แล้วทันที เพื่อให้เสร็จเรียบร้อยและสวยงาม เตรียมต้อนรับการเข้าสู่งานเทศกาล Pride Month โดย กทม. เป็นจุดหมายปลายทางที่จะต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทุกมุมโลกที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมงานในช่วงเดือนมิถุนายนนี้ ซึ่งจุดนี้ถือเป็นจุดเช็กอินอีกแห่งหนึ่งที่นักท่องเที่ยวนิยมไปถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึกว่าได้มาเยือนกรุงเทพมหานคร ส่วนรูปแบบใหม่จะเป็นอย่างไรนั้น ขอให้ติดตามและเห็นไปพร้อมกันเร็ว ๆ นี้ และหลังจากนี้จะทยอยติดที่จุดอื่น ๆ ต่อไปด้วย

ต่อมาล่าสุดวันนี้ นายพรพรหม วิกิตเศรษฐ์ ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและผู้บริหารด้านความยั่งยืนของกรุงเทพมหานคร (Chief Sustainability Officer) ได้โพสต์ภาพสติกเกอร์ใหม่ ภายหลังติดตั้งเสร็จ แต่ชาวเน็ตจำนวนหนึ่งได้วิจารณ์ว่าแบบเดิมดูสวยและคลาสสิก เหมาะกับเป็นจุดเช็กอินมากกว่า

รอง ผอ.ศรชล./ผบ.ทร. พร้อมคณะตรวจเยี่ยมรับฟังบรรยายสรุปการปฏิบัติงานในพื้นที่ทางทะเลจังหวัดระยอง

เมื่อ 28 พ.ค.67 พล.ร.อ.อะดุง พันธ์เอี่ยม รอง ผอ.ศรชล./ผบ.ทร. และ พล.ร.อ.วรวุธ พฤกษารุ่งเรือง เลขาธิการ ศรชล. /เสธ.ทร. พร้อมคณะตรวจเยี่ยมรับฟังการบรรยายสรุปการปฏิบัติงานในพื้นที่ทางทะเลจังหวัดระยอง โดยมี น.อ.พัฒนศักดิ์ พิมดา รอง ผอ.ศรชล.จังหวัด รย. น.อ.อาทิตย์ สุขบำรุง หน.ศคท.จังหวัด รย. พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่สหวิชาชีพ ร่วมให้การต้อนรับ โดย รอง ผอ.ศรชล.จังหวัด รย. และ หน.ศคท.จังหวัด รย. ได้ บรรยายสรุปการปฏิบัติงานในพื้นที่ทางทะเลจังหวัดระยอง รวมถึงปัญหา อุปสรรค ข้อขัดข้องต่างๆ ในการปฏิบัติราชการ ณ ห้องประชุมชั้น 2 สำนักงาน ศคท.จังหวัด รย. ถนนสุขุมวิท อ.เมืองระยอง จว.ระยอง 

จากนั้น รอง ผอ.ศรชล. และคณะ เดินทางมายังศาลากลางจังหวัดระยอง เพื่อหารือข้อราชการกับ นายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง/ผอ.ศรชล.จังหวัด รย. แต่เนื่องจาก ท่านติดราชการเร่งด่วนจำเป็นที่กระทรวงมหาดไทย กทม. จึงได้มอบให้ นายกัฬชัย เทพวชัย รองผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง ให้การต้อนรับแทน ณ ห้องสุนทรพิพิธ ชั้น 4 ศาลากลางจังหวัดระยอง พร้อมด้วย หัวหน้าส่วนราชการที่ปฎิบัติงานร่วมกับ ศรชล.จังหวัด รย. เช่น ประมงจังหวัดระยอง สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาระยอง แรงงานจังหวัดระยอง ให้การต้อนรับและร่วมปรึกษาหารือข้อราชการร่วมกันพร้อมมอบของที่ระลึกของจังหวัดระยอง แก่ รอง ผอ.ศรชล.และคณะ  ในโอกาสเดียวกันนี้ด้วย

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี รายงาน 0909535645

‘วัชระ’ บอกชาวโลก ‘อัยการ’ ผู้พิจารณาคดี ม.112 ให้ 'ทักษิณ' เป็นคนเดียวกับอธิบดีที่ทำตัวเป็น ‘หมอ’ บอกทักษิณป่วยหนัก

(29 พ.ค. 67) นายวัชระ เพชรทอง อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร นักโทษหมายเลข 6650102668 ผู้ต้องหาคดี 112 ให้ทนายยื่นคำร้องขอเลื่อนการฟังคำสั่งของอัยการสูงสุดว่าเป็นสิทธิของผู้ต้องหา แต่ประเด็นที่น่าสังเกตคือพนักงานอัยการที่เป็นผู้บริหารคดีนี้คือ นายปรีชา สุดสงวน อธิบดีอัยการ ผู้เคยทำตัวเป็นหมอที่ยืนยันว่านายทักษิณป่วยจริงขั้นวิกฤต ขวัญใจชาวเน็ตนั่นเอง

ทั้งนี้เมื่อวันที่นายทักษิณไปรับทราบข้อกล่าวหา นายปรีชา สุดสงวน อธิบดีอัยการ แถลงกับสื่อมวลชนการันตีให้นายทักษิณว่า “จากสภาพที่เห็นนายทักษิณ ซึ่งนั่งวีลแชร์มาพบอัยการ ดูแล้วป่วยขั้นวิกฤติ เดินไม่ไหว และจากการพูดคุย นายทักษิณก็ไม่ค่อยมีเสียง” ซึ่งจากการที่อธิบดีอัยการทำตัวเป็นหมอถูกล้อเลียนจากสังคมชาวเน็ตไปทุกวงการสร้างความเสื่อมเสียให้กับสำนักงานอัยการสูงสุดเป็นอย่างยิ่ง

ผมจึงส่งหนังสือร้องเรียนจริยธรรมของนายปรีชา สุดสงวน ไปที่อัยการสูงสุดและคณะกรรมการอัยการ (ก.อ.) ว่านายปรีชา ประพฤติผิดจริยธรรมอัยการหรือไม่ แต่ยังไม่มีความคืบหน้า เมื่อทนายของนายทักษิณส่งหนังสือมาขอเลื่อนนัดโดยอ้างว่าติดโรคโควิด-19 นายปรีชา สุดสงวน อธิบดีอัยการ สำนักคดีอาญาต้องตรวจสอบใบรับรองแพทย์ว่าเป็นโรคจริงตามที่ใบรับรองแพทย์ส่งมาหรือไม่ หรือว่าป่วยการเมือง เพราะเมื่อวันก่อนนายทักษิณยังสุขภาพแข็งแรงไปยกดาบต่อหน้าย่าโมที่เมืองโคราช เมื่อสายข่าวรายงานว่าอัยการสูงสุดสั่งฟ้อง กลับป่วยการเมืองอ้างว่าเป็นโควิดอย่างกะทันหัน ไม่มีใครในประเทศนี้เชื่อนายทักษิณอีกแล้ว

ทั้งนี้เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ผมเชื่อว่านายปรีชา สุดสงวน อธิบดีอัยการ จะอนุญาตให้นายทักษิณเลื่อนการฟังคำสั่งอย่างแน่นอน ในวันนี้อธิบดีอัยการจะทำตัวเป็นหมออีกครั้งหรือไม่ และ
จะมาแถลงด้วยตนเองหรือไม่ก็ต้องจับตาดู แต่นายปรีชาไม่ควรสั่งคดีอนุญาตให้เลื่อนนานเกินไปตามความต้องการของนายทักษิณ เพราะจะมีเสียงโห่ฮาจากพี่น้องที่รักความยุติธรรมทั้งประเทศ

'อัยการสูงสุด' ยัน!! มีคำสั่งฟ้อง 'ทักษิณ' ม.112-พรบ.คอมพ์  อนุญาตเลื่อนนัดส่งฟ้องไป 18 มิ.ย.นี้ หลังเจ้าตัวติดเชื้อโควิด

จากกรณีที่อัยการสูงสุด นัดฟังคำสั่งฟ้อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ตาม ป.อาญามาตรา 112 จากเหตุให้สัมภาษณ์กับสื่อของเกาหลีใต้ ในวันที่ 29 พฤษภาคมนี้ หลังเลื่อนมาจากเมื่อวันที่ 10 เมษายนที่ผ่านมา เนื่องจากยังสอบสวนไม่แล้วเสร็จ กระทั่ง นายทักษิณส่งให้ทนายผู้รับมอบอำนาจยื่นหนังสือเพื่อขอเลื่อนนัดฟังคำสั่งฟ้อง เนื่องจากติดโควิด-19

ล่าสุด (29 พ.ค.67) ที่ชั้น 4 สำนักงานอัยการสูงสุด ถ.รัชดาภิเษก นายประยุทธ เพชรคุณ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด นายวิพุธ บุญประสาท อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 8 และ นายนาเคนทร์ ทองไพรวัลย์ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ร่วมแถลงคดี นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ถูกกล่าวหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112

โดยระบุว่า สำนักงานอัยการสูงสุดแถลงกรณีอัยการสูงสุดสั่งฟ้อง พันตำรวจโทหรือนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ถูกกล่าวหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112

คดีนี้ เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2559 สำนักงานอัยการสูงสุด ได้รับสำนวนคดีการกระทำความผิดนอกราชอาณาจักร จากพนักงานสอบสวน กองกำกับการ 3 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ต .อ.โอฬาร สุขเกษม ผู้กล่าวหา พันตำรวจโทหรือนายทักษิณ ชินวัตร ข้อหาร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์พระราชินี รัชทายาท และร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง

เหตุเกิดเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2558 ที่กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้ และประเทศไทย เกี่ยวพันกันเนื่องจากคดีนี้เป็นคดีความผิดซึ่งมีโทษตามกฎหมายไทย ได้กระทำลงนอกราชอาณาจักรไทย จึงเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจของอัยการสูงสุดเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินคดี)

โดยในชั้นแรก พันตำรวจโทหรือนายทักษิณ ชินวัตร หลบหนี ยังไม่ได้ตัวมาทำการสอบสวน ร.ต.ต.พงษ์นิวัฒน์ ยุทธภัณฑ์บริภาร อัยการสูงสุด ในขณะนั้น พิจารณาแล้วได้มีคำสั่ง เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2559 เห็นควรสั่งฟ้องนายทักษิณ ชินวัตร ตามข้อกล่าวหา

ต่อมาพันตำรวจโทหรือนายทักษิณ ชินวัตร ได้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร และถูกควบคุมตัวไว้ในคดีอื่น และในวันที่ 17 มกราคม 2567 อธิบดีอัยการ สำนักงานการสอบสวน และคณะ ร่วมกับพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบคดี ได้เข้าแจ้งข้อกล่าวหา พร้อมกับพฤติการณ์และข้อเท็จจริงทางคดี นี้ให้กับพันตำรวจโทหรือนายทักษิณ ชินวัตร ทราบแล้ว

ปรากฏว่า ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ พร้อมกับยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมต่ออัยการสูงสุด และต่อมา นายอำนาจ เจตน์เจริญรักษ์ อัยการสูงสด ได้มีคำสั่งสอบสวนเพิ่มเติมในประเด็นที่ผู้ต้องหาร้องขอความเป็นธรรม และ พนักงานสอบสวนได้ดำเนินการสอบสวนเพิ่มเติมครบถ้วนแล้ว พร้อมได้ส่งบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนเพิ่มเติมให้กับอัยการสูงสุดพิจารณา

บัดนี้ อัยการสูงสุดได้ตรวจพิจารณาสำนวนและมีคำสั่งฟ้อง พันตำรวจโท หรือนายทักษิณ ชินวัตร ฐานร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ อันเป็นความผิดเกี่ยว กับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 112 คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 41 ลงวันที่ 21 ตุลาคม2519 ข้อ 1 พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับ คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 3, 14(3) พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 มาตรา 8

วันนี้ (29 พ.ค. 67) พนักงานอัยการไม่สามารถยื่นฟ้อง พันตำรวจโทหรือนายทักษิณ ชินวัตร ต่อศาลได้ เนื่องจาก พันตำรวจโทหรือนายทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้มาพบพนักงานอัยการตามกำหนดนัด โดยได้มอบอำนาจให้ทนายความมายื่นขอเลื่อนการฟังคำสั่งของพนักงานอัยการ ออกไปเป็นวันที่ 25 มิถุนยายน 2567 เวลา 09.00 น. พร้อมแนบใบรับรองแพทย์ยืนยันว่าป่วย เนื่องจากติดโควิด โดยแพทย์ให้หยุดพักงานและสังเกตอาการเป็นเวลา 7 วัน นับตั้งแต่วันที่ 28 พฤษภาคม - 3 มิถุนายน 2567

ซึ่งนายวิพุธ บุญประสาท อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 8 ในฐานะหัวหน้าพนักงานอัยการที่ได้รับมอบหมายจากอัยการสูงสุดให้เป็นผู้รับผิดชอบคดีนี้ ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า เหตุขอเลื่อนคดีมีการอ้างการป่วยเพราะติดโควิด โดยหมอให้พักเพื่อสังเกตอาการ ถึงวันที่ 3 มิถุนายน 2567 จึงอนุญาตให้เลื่อนไปวันที่ 18 มิถุนายน 2567 เพื่อนัดให้พันตำรวจโทหรือนายทักษิณ ชินวัตร มาพบพนักงานอัยการ เพื่อยื่นฟ้องต่อศาลในวันดังกล่าวต่อไป

ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงาน นายทักษิณ อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่ได้มาร่วมรับฟังคำสั่งฟ้องแต่อย่างใด

ส่วนประเด็นเรื่องการติดโควิดของนายทักษิณ นายประยุทธ เผยว่า ยืนยันว่ามีใบรับรองแพทย์ เป็นแพทย์รับรอง ออกวันที่ 28 พฤษภาคม ซึ่งในรายละเอียดอาจจะต้องไปดูอีกที ซึ่งไม่ได้ดูว่าจากรพ.ไหน แต่ยืนยันว่าตรวจสอบตามหลักการและเหตุ ส่วนการที่เลื่อนไปเรื่องเจ็บป่วยหรือมีเหตุขัดข้อง ถือว่าเป็นระบบงานทางธุรการ แต่หลักใหญ่ใจความคือท่านอัยการสูงสุดมีคำสั่งฟ้องเรียบร้อยแล้ว ซึ่งประเด็นการขอเลื่อนทำนองนี้ที่ดูเหตุขัดข้องมีหลายลักษณะ เช่น ถ้ามีผู้ต้องหาบางรายก็อาจจะมองว่ามีหลักทรัพย์ไม่พร้อมก็จะให้เลื่อนไป

“แน่นอนว่าการให้เลื่อนไปโดยมีคำยืนยันจากคุณหมอ เราก็ต้องเชื่อท่าน แต่อย่างไรก็ตามการที่ขอเลื่อนไป 25 มิ.ย.67 แต่เราก็เอ๊ะ หมอท่านให้แค่ ดูเอาวันที่ 3 เราก็ให้ถึงวันที่ 18 มิ.ย.67 ยังไงก็ยืนยันว่าการเลื่อนทำนองนี้ ไม่เสียหายต่อความยุติธรรม และไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงความเห็น คำสั่งของอสส.” นายประยุทธ กล่าว

เวียนว่าย!! เมื่อ 'บัตรชมพู' ทำให้ 1 ชีวิตมีหลายตัวตน 'ประวัติเสีย-หนีคดี' รอดหมด!! หากคดีไม่จรดมาถึงเมืองไทย

ในบทความครั้งที่แล้ว เอย่า ได้กล่าวถึงการฟอกขาวที่เกิดขึ้นในประเทศไทย แต่ในความเป็นจริงการฟอกขาวแบบนี้เกิดขึ้นมานานแล้วในประเทศไทย

ในอดีตการฟอกขาวทำได้ยาก เนื่องจากคนที่อยากฟอกขาวจริง ๆ คือ เข้ามาสวมบัตรคนตายเป็นส่วนใหญ่ และรัฐบาลไทยเองก็มีการประกาศขึ้นทะเบียนคนต่างด้าวเป็นช่วง ๆ แต่ปัจจุบันการฟอกขาวทำได้ง่ายขึ้น ซึ่งทั้งหมดต้องย้อนกลับไปตั้งแต่ยุคพลเอกประยุทธ์ที่ให้ขึ้นทะเบียนแรงงานคนต่างด้าว 

แม้การขึ้นทะเบียนจะเป็นสิ่งที่ดีต่อประเทศไทย โดยการให้คนต่างด้าวที่แอบพักอาศัยในไทยมาขึ้นทะเบียนซะ เพื่อจะได้จัดเก็บอย่างเป็นระบบ แต่ทว่าในระบบดังกล่าวกลับยังมีช่องโหว่ที่ให้คนลักลอบหาผลประโยชน์ด้วยความที่ฝั่งไทยไม่ได้มีการตรวจเช็กว่าบุคคลนี้เคยทำบัตรชมพูมาหรือไม่

หลายคนพอบัตรหมดอายุ ก็เลือกจะไม่ไปต่ออายุด้วยเหตุผลหลายประการ แต่ประการหนึ่งที่เอย่าทราบคือ พวกเขาไม่ได้เดือดร้อนที่บัตรชมพูจะมีอายุหรือหมดอายุ เพราะว่าสุดท้ายทางไทยก็เปิดทำบัตรใหม่ ซึ่งเขาก็ใช้ชื่อใหม่หรือคำสะกดที่ใกล้เคียงคำเดิมไปออกบัตรใบใหม่ โดยที่เจ้าหน้าที่ฝั่งไทยไม่มีการเช็กประวัติอะไรเลย

นั่นคงไม่ได้มีปัญหาอะไรถ้าปัจจุบันมีชาวต่างชาติที่หลบหนีเข้ามาอาศัยในไทยเป็นจำนวนมาก หลายคนพักพิงในย่านชุมชนเมียนมาในประเทศไทยรอวันที่จะมาทำบัตร เมื่อทำบัตรแล้ว คนเหล่านี้ก็จะมีตัวตนสามารถหางานทำได้อย่างถูกต้อง แม้ว่าเขาจะเคยมีประวัติเสียหรือมีคดีมาจากประเทศต้นทางก็ตาม หากคดีไม่ได้มาถึงไทยก็เท่ากับว่าคนเหล่านี้เป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าพวกเขาจะก่อเรื่องในไทย

ถามว่านี่มันแฟร์กับคนไทยอย่างงั้นหรือ...?

เอย่าเข้าใจภาคแรงงานที่ต้องการแรงงานต้นทุนต่ำมาทำงานเพื่อลดต้นทุน อย่างไรก็ตามมาตรการในการควบคุมผู้เข้ามาอยู่ในไทย ก็ควรมีมาตรฐานด้วยเช่นกัน ไม่ใช่ 1 ชีวิตมีหลายตัวตน จนฟอกขาวกลายเป็นคนไทยได้ในที่สุด

'เจือ ราชสีห์' เสนอจัดกิจกรรมรักษาป่าสนผืนสุดท้ายเมืองสงขลา เนื่องในโอกาสมหามงคลวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดาฯ

'เจือ ราชสีห์' ระดมสมองผู้เชี่ยวชาญด้านป่าไม้ - ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หน่วยงานราชการ/ภาคประชาชน วางแผนฟื้นฟูป่าสน แหลมสนอ่อน อ.เมืองสงขลา อย่างเป็นระบบ หลังทำหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา เสนอให้จัดกิจกรรมรักษาป่าสนผืนสุดท้ายของเมืองสงขลาในโอกาสมหามงคลวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เพื่อให้ประชาชนชาวสงขลาทุกหมู่เหล่าได้แสดงออกถึงสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้

(29 พ.ค.67) นายเจือ ราชสีห์ ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พร้อมด้วยนายไมตรี สรรพสิน โยธาธิการและผังเมือง จ.สงขลา และนางนำจิตร จันทร์หอม ผอ.ส่วนสิ่งแวดล้อม, นายศุภกฤต เพชรย้อย นักวิชาการป่าไม้ชำนาญการ สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จ.สงขลา, นายไพโรจน์ นัครา ผู้อำนวยการส่วนจัดการป่าชุมชน สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 13 (สงขลา), นายสุรัตน์ ลายจันทร์ นายอำเภอเมืองสงขลา และตัวแทนภาคประชาชน กำหนดแผนงานและกิจกรรมฟื้นฟูระบบนิเวศชายฝั่งและป่าชายหาดอย่างเป็นระบบ บริเวณแหลมสนอ่อน ชายหาดสมิหลา ต.บ่อยาง อ.เมืองสงขลา 

ซึ่งเป็นป่าสนผืนสุดท้ายของเมืองสงขลา ก่อนที่สำนักงานโยธาธิการและผังเมือง จ.สงขลา จะทำโครงการพัฒนาพื้นที่แหลมสนอ่อนฯ โดยการปรับปรุงเส้นทางเดินและปั่นจักรยาน สร้างระบบไฟฟ้าส่องสว่างและพื้นที่พักผ่อนสำหรับนักท่องเที่ยว โดยก่อนหน้านี้ นายเจือ ราชสีห์ ได้ทำหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา เสนอให้จัดกิจกรรมรักษาป่าสนผืนสุดท้ายของเมืองสงขลาในโอกาสมหามงคลวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เพื่อให้ประชาชนชาวสงขลาทุกหมู่เหล่าได้แสดงออกถึงสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ห่วงใยผู้ประสบภัยแล้ง ภาวะอากาศร้อน รวมถึงประสบพายุฤดูร้อนในถิ่นทุรกันดาร จัดทีมลงพื้นที่บรรเทาทุกข์ รวม 16 จังหวัด รวมมูลค่ากว่า 6.6 ล้านบาท

ระหว่างวันที่ 14 - 29 พฤษภาคม 2567 มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง โดย นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการมูลนิธิฯ พร้อมด้วยคณะกรรมการมูลนิธิฯ ห่วงใยผู้ประสบภัยแล้ง ภาวะอากาศร้อน รวมถึงประสบพายุฤดูร้อนในถิ่นทุรกันดาร จึงได้มอบหมายให้ นายอรัณย์ โตทวด ผู้จัดการใหญ่มูลนิธิฯ จัดทีมแผนกสาธารณภัย ฝ่ายสังคมสงเคราะห์ นำโดย นางศิริพร กระจ่างหล้า ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ นายรัชพร ประสงค์ทรัพย์ หัวหน้าแผนกสาธารณภัย และ นายชุมพล บุญภักดี ผู้ช่วยหัวหน้าแผนกสาธารณภัย ลงพื้นที่มอบน้ำดื่มพร้อมเครื่องอุปโภคบริโภค ประกอบด้วย ข้าวสาร บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป น้ำมัน น้ำปลา และปลากระป๋อง ให้แก่ผู้ประสบภัยในพื้นที่ภาคเหนือ กลาง และอีสาน รวม 16 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดราชบุรี กาญจนบุรี นครสวรรค์ กำแพงเพชร สุโขทัย อุตรดิตถ์ ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ อำนาจเจริญ ยโสธร นครพนม บึงกาฬ อุดรธานี สระแก้ว บุรีรัมย์ และ สุรินทร์ รวมจำนวนเครื่องอุปโภคบริโภค  12,000 ชุด คิดเป็นมูลค่ากว่า 6.6 ล้านบาท โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานรัฐเป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยมูลนิธิฯ / สมาคมจีนประจำจังหวัดต่างๆ เป็นผู้ประสานงานและร่วมในพิธี

‘นิกร จำนง’ เข้าพบทูตญี่ปุ่น กล่าวขอโทษจากใจแทนคนไทย พร้อมฝากเงินส่วนตัวคืนนทท.ญี่ปุ่น เหตุตุ๊กตุ๊กเรียกเงิน 6 พัน

(29 พ.ค. 67) นายนิกร จำนง ผู้อำนวยการพรรคชาติไทยพัฒนา ในฐานะอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวระบุว่า…

“วันนี้ (เมื่อค่ำวันที่ 28 พ.ค. 67 ที่ผ่านมา) เป็นวันที่ผมรู้สึกดีมาก ๆ ที่ได้มีโอกาสทำหน้าที่ในฐานะเป็นคนไทยคนหนึ่งได้กล่าวคำขอโทษแทนพี่น้องร่วมชาติที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์เรียกรับเงินค่ารถตุ๊ก ๆ มากเกินไปอย่างไม่เป็นธรรมจากแขกของประเทศไทยที่เป็นนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่น โดยผมได้ขอโทษต่อท่านเอกอัครราชทูต นาย OTAKA Masato ในงานเลี้ยงต้อนรับ เนื่องในโอกาสเข้ารับหน้าที่เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยท่านใหม่ในวันอังคารที่ 28 พฤษภาคม ณ โรงแรม ดิ โอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพฯ 

และได้เรียนท่านว่าผมขอฝากมอบเงินส่วนตัวเท่าจำนวนที่ประชาชนของท่านจำเป็นต้องจ่ายไปฝากไว้กับเจ้าหน้าที่สถานทูตญึ่ปุ่นของท่าน โดยผมได้ประสานงานขอให้สืบหาตัวผู้เสียหายชาวญี่ปุ่นมาสัปดาห์กว่าแล้วตอนที่ผมได้ Post กรณีนี้ลงมาเมื่อวันที่ 13 พ.ค. นี้แต่ยังไม่พบต้ว ไม่เป็นไร ยังรอต่อไปได้ 

ซึ่งผมได้แจ้งท่านว่า ได้แจ้งให้กรมขนส่งทางบกที่ผมเคยกำกับดูแลช่วงดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีให้ลงโทษผู้กระทำไปตามสมควรแก่ความผิดเรียบร้อยแล้ว เหลือแต่ขอโทษชาวญี่ปุ่นไปให้ประจักษ์ เมื่อได้กระทำไปแล้วจึงรู้สึกสบายใจในฐานะคนไทยคนหนึ่งที่ต้องรับผิดชอบต่อประเทศไทยอันเป็นแผ่นดินเกิดของพวกเราเองครับ”

‘กระทรวงพาณิชย์’ เผยตัวเลขนำเข้าทุเรียนสดของ ‘จีน’ ‘ไทย’ ครองอันดับ 1 ส่งออกมากถึง 121,398 ตัน

(29 พ.ค.67) โฆษกกระทรวงพาณิชย์ เผยสถิติตัวเลขการนำเข้าทุเรียนสดของประเทศจีน พบไทยครองแชมป์อันดับ 1 ปริมาณ 121,398 ตัน สร้างรายได้ 717 ล้านดอลลาร์ ขณะที่สถิติการส่งออกทุเรียนไทย ช่วง 4 เดือนแรกปี 67 พบว่ามีการส่งออกทุเรียนไปจีน 225,204 ตัน

วันที่ 29 พฤษภาคม 2567 นายวิทยากร มณีเนตร โฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยสถิติการนำเข้าทุเรียนสดของประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนในปี 2024 ล่าสุด (ข้อมูลจาก GTA) พบว่า จีนนำเข้าจากไทยเป็นอันดับที่ 1 ปริมาณ 121,398 ตัน มูลค่า 717 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และนำเข้าจากเวียดนามอันดับที่ 2 ปริมาณ 79,186 ตัน มูลค่า 369 ล้าน เหรียญดอลลาร์สหรัฐ

และข้อมูลสถิติการส่งออกทุเรียนสดของไทยในช่วง 4 เดือนล่าสุด (ม.ค.-เม.ย. 67) พบว่าไทยสามารถส่งออกทุเรียนสดไปจีนได้ถึง 225,204 ตัน (ข้อมูลสถิติจากกรมศุลกากร) และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในเดือนพฤษภาคม ซึ่งสามารถมั่นใจได้ว่าไทยยังคงครองแชมป์การส่งออกทุเรียนสดไปยังประเทศจีน

ขณะที่ราคาทุเรียนไทยในปี 67 ปรับตัวสูงขึ้น เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เนื่องจากความต้องการในตลาดจีนปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉลี่ย ราคาส่งออกกิโลกรัมละ 6 เหรียญดอลลาร์ หรือประมาณ 216 บาทต่อกิโลกรัม

ทั้งนี้ เนื่องจากนโยบายเชิงรุกของ กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยการนำของนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ที่ได้ลงพื้นที่ ด่านโมหาน/บ่อเต็น และมอบหมายให้นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ลงพื้นที่ด่านโหย่วอี้กวาน/หูหงิ ในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งทั้ง 2 ด่านเป็นด่านสำคัญในการส่งออกทุเรียนจากไทยไปจีนโดยเส้นทางรถ บรรทุกและได้ประสานกับหน่วยงานศุลกากรตลอดจนบริษัทขนส่งซึ่งได้รับความมั่นใจว่าไม่มีการเลือกปฏิบัติตามที่มีข้อกังวล


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top