Wednesday, 14 May 2025
NewsFeed

‘Tiktok’ มุ่งเน้น ‘รักษาความปลอดภัย’ ของผู้ใช้งานบนออนไลน์ ครอบคลุมในด้าน ‘ความเป็นส่วนตัวข้อมูล-การกลั่นกรองเนื้อหา’

(11 เม.ย.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ติ๊กต็อก (TikTok) แอปพลิเคชันคลิปวิดีโอขนาดสั้น กล่าวย้ำถึงความทุ่มเทในการรักษาความปลอดภัยของผู้ใช้งานขณะใช้งานทางออนไลน์

ด้าน ฟอร์จูน แมกวิลี-สิบันดา ผู้อำนวยการฝ่ายกำกับดูแลและนโยบายสาธารณะของติ๊กต็อก ประจำภูมิภาคแอฟริกาใต้ทะเลทรายซาฮารา กล่าวว่า ติ๊กต็อกพัฒนาหลักเกณฑ์สำหรับชุมชน นโยบายผู้ใช้งาน และเครื่องมือต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมสภาพแวดล้อมเชิงบวกที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน

แมกวิลี-สิบันดา ระบุว่า เราจะจัดอบรมวิธีการทำงานของติ๊กต็อกสำหรับผู้กำหนดนโยบายและหน่วยงานกำกับดูแล โดยมุ่งเน้นที่ความปลอดภัยบนโลกออนไลน์ ความเป็นส่วนตัวของข้อมูล และวิธีการกลั่นกรองเนื้อหาบนแพลตฟอร์มนี้

แมกวิลี-สิบันดา เน้นย้ำว่า ศูนย์รักษาความปลอดภัยของติ๊กต็อกยังมอบทรัพยากรที่เป็นประโยชน์ให้แก่ผู้ใช้งานเดิมและผู้ใช้งานรายใหม่ ครอบครัว และผู้ดูแล เพื่อช่วยสร้างประสบการณ์บนโลกออนไลน์ที่เหมาะกับผู้ใช้งาน

ปัจจุบันติ๊กต็อกมีผู้เชี่ยวชาญด้านความไว้วางใจและความปลอดภัยมากกว่า 40,000 คนทั่วโลก ที่ทำงานแข่งกับเวลาเพื่อคุ้มครองชุมชนบนโลกออนไลน์ โดยติ๊กต็อกให้ความสำคัญกับความปลอดภัยเป็นลำดับแรก ๆ ในการจัดทำแพลตฟอร์มซึ่งมีส่วนจุดประกายความคิดสร้างสรรค์ และนำความสุขมาสู่ผู้ใช้งานมากกว่า 1 พันล้านคนทั่วโลก

‘สุกฤษฏิ์ชัย-ปชป.’ แนะ!! ลดใช้แคดเมียม พัฒนาวัสดุทดแทน ชี้!! แม้มีประโยชน์มาก แต่โทษมหันต์ต่อมนุษย์ ถ้าคุมได้ไม่ดี

(11 เม.ย. 67) นายสุกฤษฏิ์ชัย ธีระเริงฤทธิ์ ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า…

ปัจจุบันแคดเมียมถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมเป็นจำนวนมาก มีความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ โดยแร่แคดเมียมเป็นโลหะหนัก ได้มาจากการถลุงแร่สังกะสี ตะกั่วและทองแดง แคดเมียมสามารถนำไปทำประโยชน์ได้ อาทิ การชุบโลหะ เพื่อเพิ่มความทนทานต่อการกัดกร่อน การสึกหรอ ป้องกันสนิม เป็นสารเคลือบ ใช้ในชิ้นส่วนยานยนต์ อุปกรณ์ทางทะเล เม็ดสี ทำแบตเตอรี่ ปุ๋ยและอื่นๆ ซึ่งดูเหมือนแคเมียมจะมีประโยชน์ต่อการผลิตสิ่งต่างๆที่พวกเราต้องใช้งานกันชีวิตประจำวันของทุกคน

แต่เมื่อมีประโยชน์มาก โทษก็เยอะตามมาด้วย หากการบริหารจัดการแร่หรือกากแคดเมียมไม่ดีพอ ไม่เป็นไปตามมาตรฐานและตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งในปัจจุบันมักใช้วิธีฝังกลบกากลงดินในการทำลาย ก็เป็นเหตุให้สามารถปนเปื้อนในดิน น้ำ อากาศในบริเวณโดยรอบได้อย่างง่ายดาย มิหนำซ้ำยังเกิดกรณีการลักลอบขุดกากขึ้นมาขายต่ออีกที่กำลังเป็นข่าว และเกิดขึ้นในหลายจังหวัดรวมถึงเขตบางซื่อ กรุงเทพมหานคร ถือเป็นศูนย์กลางของประเทศ การลักลอบดังกล่าว ก็กระทำโดยผิดกฎหมาย ขาดองค์ความรู้และหลักปฏิบัติที่ถูกต้อง ตลอดจนการเก็บในโกดังหรือคลังสินค้าก็ไม่ได้มาตรการ จึงเป็นความอันตรายและเป็นภัยต่อสังคมโดยองค์รวม

ในส่วนของความเสี่ยงต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพจากแคดเมียมนั้น มีหลายผลกระทบมาก ไม่ว่าจะเป็น การปนเปื้อนในดินและน้ำ หากยิ่งใกล้แหล่งน้ำไม่ว่าจะเป็นห้วย หนอง คลอง แม่น้ำ ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในการแพร่กระจาย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ ลดความอุดมสมบูรณ์ของดิน ลดความหลากหลายทางชีวภาพ ปนเปื้อนห่วงโซ่อาหาร ส่งผลต่อระบบสืบพันธุ์ของสัตว์และสุขภาพของประชาชนในบริเวณโดยรอบ มลพิษทางอากาศ ที่อาจเกิดขึ้นจากการขนย้ายกากอย่างไม่ได้มาตรฐานอาจปล่อยฝุ่นละออง เกิดการฟุ้งกระจาย ส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจของประชาชนได้ การสัมผัสหากมีปริมาณเกินไป ร่างกายจะสะสมพิษได้นานหลายปี มีผลร้ายต่อระบบต่างๆ ของร่างกาย เช่น มีปฏิกิริยากับระบบไต ปอด กระดูกพรุน ก่อให้เกิดมะเร็ง ระบบสืบพันธุ์รวมถึงโรคอิไต อิไตด้วย

จากที่กล่าวมาทั้งหมด ควรมีการลดใช้แคดเมียม ด้วยการเร่งพัฒนาวัสดุและเทคโนโลยีใหม่ขึ้นมาทดแทน ภาครัฐควรออกมาตรการควบคุมให้ธุรกิจรับซื้อของเก่า เศษเหล็ก, เศษพลาสติก, พอลิเมอร์ เพื่อนำไปรีไซเคิลหรือผ่านกระบวนการเพื่อนำกับมาใช้ซ้ำใช้ใหม่ รวมถึงโรงงานหลอมโลหะในทุกที่ทั่วราชอาณาจักร มีมาตรฐาน มีความปลอดภัย มีกฎหมายออกมาบังคับเฉพาะ เพื่อเป็นการป้องปรามผู้กระทำความผิดในอนาคต ภาคเอกชนต้องให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม บำบัดน้ำเสียก่อนปล่อยสู่สาธารณะ ส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ภาคประชาชนร่วมกันสอดส่องดูแลความเป็นไปในพื้นที่ และที่สำคัญที่สุดคือให้ความรู้แก่ประชาชน ทางสาธารณสุข สุขอนามัย หลีกเลี่ยงการสัมผัส การอยู่ใกล้ หากมีความจำเป็นต้องเข้าใกล้ ควรใส่หน้ากากป้องกันสารพิษ หลีกเลี่ยงอาหารที่มาจากแหล่งที่มาไม่ชัดเจน เพราะแคดเมียมเป็นโลหะหนักที่ขยับเข้าใกล้ตัวเรามากขึ้นทุกที อาจปนเปื้อนในอาหารที่เรากำลังรับประทาน ในน้ำที่เรากำลังดื่มหรือในอากาศที่เรากำลังหายใจอยู่ก็เป็นได้

'นิชา' ภรรยาพลเอกร่มเกล้า ทำบุญครบ 14 ปี  โพสต์ยอมเป็น 'คนแพ้' เสียสละชีวิตเพื่อแผ่นดินไทย 

(11 เม.ย.67) นางนิชา หิรัญบูรณะ ธุวธรรม ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ภรรยา พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม อดีตรองเสนาธิการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระ องค์ (พล.ร.21 รอ.) ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ความไม่สงบ ระหว่างการชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือ คนเสื้อแดง บริเวณแยกคอกวัว เมื่อคืนวันที่ 10 เม.ย. 2553 โพสต์เฟซบุ๊กว่า….

10 เมษายน 2567 ปีนี้อากาศร้อนเหลือเกิน ต้องพยายามเรียกสติไม่ให้หลงไปกับความร้อน

‘ความพยายามนิ่ง’ ก็เป็นอีกหนทางที่หลายคนเลือกใช้ ในการรักษาจิตให้เย็นใจ

การนิ่ง ไม่ได้แปลว่า ไม่เจ็บ ไม่ร้อน ไม่คิด ไม่รู้สึก หากแต่ไม่ซ้ำเติมเพิ่มอุณหภูมิให้สิ่งต่าง ๆ ยิ่งร้อนไปมากกว่านี้

ตลอด 14 ปี ที่ผ่านมา ชีวิตประสบเรื่องราวมากมาย สิ่งใดพูดแล้วไม่เกิดประโยชน์ ก็ต้องพยายามนิ่ง พยายามอดทนอดกลั้น พยายามอยู่อย่างสงบ ประคับประคองชีวิตให้ก้าวเดินไปได้ จนกว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง

จุดหมายชีวิตของแต่ละคนแตกต่างกัน ฝันของแต่ละคนก็ต่างกัน ไม่มีใครจะคิดแทนกันได้ สำหรับตัวเอง แค่ขอชีวิตไม่สุข-ไม่ทุกข์ ก็เป็นบุญนักหนาแล้ว แค่ขอใช้เวลาที่เหลือน้อยลงทุกวัน ทำหน้าที่อันพึงมี ตราบจนสิ้นชีวิต อาจได้พบความสงบสุขอีกครั้ง ถ้าทำบุญไว้มากพอ ฝันมีแค่นี้เอง

แต่ชีวิตเราก็มิอาจกำหนดได้ดั่งใจปรารถนา ตราบใดยังอยู่ในกระแสสังคมของมนุษย์ปุถุชนที่ให้ค่าการแพ้-ชนะในเกมส์ มากกว่าการให้เกียรติและให้คุณค่าความเป็นคน มนุษย์ที่อ่อนแออย่างเรา ก็จำเป็นต้องมีอาวุธไว้ป้องกันตัว รักษาจิต นับเป็นโชคดีที่พี่ร่มเกล้าให้คาถาป้องกันตัวไว้ว่า
จิตเดิมนั้นใสสว่างสะอาดและสงบ แต่กิเลสที่ห่อหุ้มทำให้มืดมัว

พี่ร่มเกล้าให้คาถาวิเศษนี้ไว้ จนอยากมอบให้กัลยาณมิตรทุกท่านที่อาจมีโอกาสได้ใช้ในยามชีวิตคับขันบ้างไม่มากก็น้อย

ท่ามกลางความทุกข์ยาก มีสิ่งหนึ่งที่เป็นความดีงามที่ดิฉันกับพี่ร่มเกล้าถือว่ามีบุญมหาศาลที่ได้รับ คือ ไมตรีอันบริสุทธิ์จากเพื่อนพี่น้องผู้เป็นกัลยาณมิตรที่เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่ท่านได้ให้กำลังใจยิ่งใหญ่เสมือนญาติ

มีเพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่งเพิ่งบอกกับดิฉันว่า ไม่คิดว่าพี่ร่มเกล้าจากไป 14 ปีแล้ว แต่ยังคงมีพี่น้องที่เดินเข้ามาทักทายให้กำลังใจดิฉันด้วยน้ำตาแห่งความอาลัยคิดถึงพี่ร่มเกล้า พร้อมบอกว่า ยังคงทำบุญ ใส่บาตร อุทิศให้พี่ร่มเกล้าในศาสนาพุทธ หรือบางท่านก็ทำมิสซาในศาสนาคริสต์ หรือ บางท่านก็ขอพระเจ้าในศาสนาอิสลาม ดิฉันมักรำพึงในใจกับพี่ร่มเกล้าว่า พี่ทำให้เห็นว่าความตายไม่น่ากลัว และความตายที่งดงามเป็นอย่างไร

ในภาวะที่โลกเรากำลังแปรปรวน สงครามมีรูปแบบต่าง ๆ ที่มนุษย์เราไม่รู้ว่าจะเผชิญกับภัยใด ๆ อีก

วันที่ 10 เมษา สำหรับดิฉันก็เป็นอีกวันที่นอกจากทำบุญให้กับสามีผู้จากไปแล้ว ในปีนี้อยากขออนุญาตให้รำลึกถึงคำว่า ‘ความเสียสละ’

ในโลกนี้ มีคนอยากชนะ ไม่อยากแพ้ มีคนอยากเป็นฝ่ายได้ ไม่อยากเป็นฝ่ายเสีย แต่ถ้าเราหนึ่งคน ยอมที่จะแพ้ ยอมที่จะเสีย หรือที่เขาเรียกกันว่า เสียสละ อาจทำให้ธรรมชาติปราณีไม่ลงโทษให้อุณหภูมิโลกมนุษย์ร้อนระอุไปกว่านี้

ดิฉันกับพี่ร่มเกล้า เป็นสองคนที่ยกมืออาสายอมเป็นคนแพ้ ยอมเป็นฝ่ายเสีย

ยอมแบกทุกข์ ยอมสละชีวิต ยอมได้ทุกอย่าง เพื่อแผ่นดินไทยของเราร่มเย็นเป็นสุขภายใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารสืบไป

‘แพ้’ ไม่ทำให้เราตายหรอก แต่ต่อให้ต้องตายอย่างพี่ร่มเกล้า ใจเราก็ไม่เคยแพ้
พลเอกร่มเกล้า-นิชา ธุวธรรม

10 เมษายน 2567
ทำบุญครบรอบ 14 ปี
ณ วัดบวรนิเวศฯ

เพชรบูรณ์ เตรียมจัดงาน“ย้อนอดีตเมืองโบราณศรีเทพ สู่อนาคตแหล่งมรดกโลกอย่างยั่งยืน”

วันที่ 10 เมษายน 2567 เวลา 15.00 น. ที่ หอวัฒนธรรมนครบาลเพชรบูรณ์ อำเภอเมืองเพชรบูรณ์  นายจิรวัตร์ มณีโชติ  รองผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นประธานแถลงข่าว  จัดกิจกรรม “ย้อนอดีตเมืองโบราณศรีเทพ สู่อนาคตแหล่งมรดกโลกอย่างยั่งยืน” ภายใต้โครงการส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์และคุ้มครองแหล่งมรดกโลกเมืองโบราณศรีเทพอย่างยั่งยืน จังหวัดเพชรบูรณ์  โดยมี   นายอภินันท์ มุสิกพงษ์ วัฒนธรรมจังหวัดเพชรบูรณ์  นายณรงค์ศักดิ์ หอมมาลัย รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเพชรบูรณ์ นางสาวไอลดา ยาท้วม ผู้อำนวยการส่วนสิ่งแวดล้อม สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเพชรบูรณ์ นางสาวปิยะดา  วัชโรทยางกูร รองผู้อำนวยการสำนักงาน ททท. สำนักงานพิษณุโลก ร่วมแถลงข่าว

สำหรับการจัดงาน “ย้อนอดีตเมืองโบราณศรีเทพ สู่อนาคตแหล่งมรดกโลกอย่างยั่งยืน”  กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26 – 28 เมษายน 2567 ณ โบราณสถานเขาคลังนอก อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ อำเภอศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ เพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์คุณค่าและความสำคัญแหล่งมรดกโลกเมืองโบราณศรีเทพ เสริมสร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์ คุ้มครองแหล่งมรดกโลกอย่างยั่งยืน ตลอดจนส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และเพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์คุณค่าและความสำคัญแหล่งมรดกโลก เมืองโบราณศรีเทพ เสริมสร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์ คุ้มครองแหล่งมรดกโลกอย่างยั่งยืน ตลอดจนส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

กิจกรรมที่สำคัญภายในงานประกอบด้วย ในวันที่ 26 เมษายน 2567 จะมีพิธีรับมอบใบประกาศการขึ้นทะเบียนมรดกโลก โดยรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มอบให้กับกระทรวงวัฒนธรรม นอกจากนี้ยังมีการจัดตลาดสีเขียวเมืองโบราณศรีเทพ ที่เน้นสินค้าของชุมชน ในพื้นที่ สนับสนุนให้ยังคงอนุรักษ์ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรมของชุมชน พร้อมรักษาสิ่งแวดล้อม โดยงดใช้โฟม ลดใช้พลาสติกแบบครั้งเดียวทิ้ง ลดปริมาณขยะ รณรงค์ใช้ถุงผ้าแทนถุงพลาสติก  ชมนิทรรศการ “ย้อนอดีตเมืองโบราณศรีเทพ สู่อนาคตแหล่งมรดกโลกอย่างยั่งยืน”  พร้อมรับชมการแสดงศิลปวัฒนธรรม  ชุด “ย้อนอดีตเมืองโบราณศรีเทพ เมืองมรดกโลก แห่งศรัทธา”

ทั้งนี้ ยูเนสโก ได้ประกาศให้ เมืองโบราณศรีเทพ เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม  ซึ่งถือเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมแห่งที่ 4 และเป็นมรดกโลกแห่งที่ 7 ของประเทศไทย เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2566  จึงขอเชิญชวนนักท่องเที่ยว ร่วมงาน “ย้อนอดีตเมืองโบราณศรีเทพ สู่อนาคตแหล่งมรดกโลกอย่างยั่งยืน” ระหว่างวันที่ 26 – 28 เมษายน 2567  ณ โบราณสถานเขาคลังนอก อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ
 

เชียงใหม่-"มช. เชื่อมพลัง โรงพยาบาลลำพูน บูรณาการงานวิจัยและนวัตกรรม ต่อยอดสร้างสรรค์นวัตกรรมทางการแพทย์ โดยมี รากฐากมาจากงานวิจัยในรั้วมหาวิทยาลัย"

วันพฤหัสบดีที่ 11 เมษายน 2567 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) โดย อุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (STeP) ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับโรงพยาบาลประจำจังหวัดอย่างโรงพยาบาลลำพูน เพื่อร่วมกันสร้างความร่วมมือการวิจัยและพัฒนา โดยมุ่งนำองค์ความรู้ทางวิชาการ เทคโนโลยี งานวิจัยและนวัตกรรมภายใน มช. ไปใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์ ผ่านการถ่ายทอดและบูรณาการความรู้สู่การใช้งานจริง โดยมี รศ.ดร.ปิติวัฒน์ วัฒนชัย ผู้อำนวยการอุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (STeP) เป็นผู้กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมงาน และ แพทย์หญิงภาวิณี เอี่ยมจันทน์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลลำพูน กล่าวรายงาน จากนั้น จึงเป็นการร่วมลงนามฯ ของทั้งสองฝ่ายร่วมกัน พร้อมกันนี้ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ชนม์เจริญ แสวงรัตน์ ผู้ช่วยอธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ให้เกียรติกล่าวแสดงความยินดี และร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามดังกล่าว อีกทั้งผู้บริหารจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมงาน ณ NSP Exhibition Hall อาคารอำนวยการอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคเหนือ (จังหวัดเชียงใหม่)

ผศ.ดร.ชนม์เจริญ แสวงรัตน์ ผู้ช่วยอธิการบดี มช. กล่าวว่า การลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ มุ่งเน้นการเชื่อมโยงองค์ความรู้ทางวิชาการ เทคโนโลยี งานวิจัยและนวัตกรรมของ มช. สู่การประยุกต์ใช้ในระบบการแพทย์และสาธารณสุขในพื้นที่ โดยหวังให้เกิดการบูรณาการและพัฒนานวัตกรรมที่สามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และทรัพยากรระหว่างมหาวิทยาลัยและโรงพยาบาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะเป็นรากฐานในการการสร้างเทคโนโลยีนวัตกรรมใหม่ ๆ อันจะส่งผลกระทบในเชิงบวกต่อวงการทางการแพทย์และยกระดับคุณภาพบริการสาธารณสุข ตลอดจนขยายโอกาสการเข้าถึงเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัยแก่ประชาชนทั่วไปได้อย่างกว้างขวางต่อไป

ด้าน แพทย์หญิงภาวิณี เอี่ยมจันทน์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลลำพูน กล่าวว่า โรงพยาบาลลำพูนให้ความสำคัญกับสิทธิและการเข้าถึงนวัตกรรมการรักษาของประชาชน โดยมุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการแพทย์ เพื่อหาโซลูชั่นที่จะช่วยยกระดับระบบการดูแลรักษาสุขภาพของประชาชนที่ครบวงจร อันสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของโรงพยาบาล คือ "โรงพยาบาลคุณภาพคู่ใจประชาชน" ซึ่งการสร้างความร่วมมือกับมช. ในครั้งนี้ ได้มีการนำองค์ความรู้ทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่มีรากฐานมาจากการวิจัยและการศึกษาในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มาพัฒนาและปรับปรุงการให้บริการของโรงพยาบาล โดยมุ่งเน้นการยกระดับมาตรฐานการรักษาผู้ป่วยให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ ทั้งการประยุกต์ใช้ในการให้บริการ อาทิ การนำนวัตกรรมพลาสมาอากาศรักษาแผลเรื้อรังมาทดลองใช้ โดยเป็นเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพในการรักษาแผล และช่วยกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ ซึ่งการนำนวัตกรรมดังกล่าว มาใช้จะช่วยปรับปรุงการบริการของโรงพยาบาล นอกจากนี้ โรงพยาบาลยังคาดว่าในอนาคตจะสามารถขยายผลการนำเทคโนโลยี นวัตกรรมอื่น ๆ เพื่อพัฒนาการดูแลสุขภาพของประชาชนในพื้นที่จังหวัดลำพูน ได้เข้าถึงเทคโนโลยีการรักษาที่ทันสมัยมากยิ่งขึ้น

รศ.ดร.ปิติวัฒน์ วัฒนชัย ผู้อำนวยการอุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (STeP) เผยว่า การลงนามความร่วมมือกับโรงพยาบาลลำพูนในครั้งนี้ สะท้อนถึงนโยบายของ มช. ในการผลักดันให้เกิดการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่มีอยู่ในมหาวิทยาลัย ไม่ว่าจะเป็นนักวิจัย เครื่องมือวิจัย องค์ความรู้ และงานวิจัยต่าง ๆ ให้ถูกนำไปประยุกต์ใช้ในวงกว้าง ไม่เพียงแค่ในระดับการศึกษา แต่ครอบคลุมถึงการนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์และสาธารณประโยชน์ ทั้งพัฒนาเพื่อใช้ในทางการแพทย์ โดยปัจจุบันได้มีการนำร่องด้วยการนำนวัตกรรมพลาสมาอากาศรักษาแผลเรื้อรัง ผลงงานวิจัยจากคณะวิทยาศาสตร์ มช. ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพในการช่วยทำลายเชื้อแบคทีเรียดื้อยา และกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ อีกทั้งช่วยลดระยะเวลาในการรักษาแผล ผู้ป่วยกลุ่มเรื้อรังและผู้ป่วยติดเตียงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยสามารถช่วยร่นระยะเวลาของแผลปิดได้เร็วขึ้นอย่างน้อย 50 วันเทียบกับค่าเฉลี่ยระยะเวลาแผลปิดด้วยวิธีการโดยทั่วไป ที่ทดลองการใช้งานในโรงพยาบาลลำพูนอีกด้วย

นภาพร/เชียงใหม่

สำนักงานตำรวจแห่งชาติเปิดศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ พร้อมกำชับตำรวจกวดขันวินัยจราจรอย่างเข้มงวด เพื่อลดอุบัติเหตุบนท้องถนน และอำนวยความสะดวกการจราจรให้ประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนาอย่างปลอดภัย

วันนี้ (10 เมษายน 2567) เวลา 13.30 น. พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานการประชุมเปิดศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2567 ณ ห้องประชุมศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยศูนย์ดังกล่าวจะมีการดำเนินการตั้งแต่วันที่ 10 - 18 เมษายน 2567 ในการขับเคลื่อนบูรณาการร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุทางถนนทุกมิติ ตลอดจนการบังคับใช้กฎหมายและสร้างจิตสำนึกด้านความปลอดภัยให้แก่ผู้ใช้รถใช้ถนน โดยกำหนดให้มีการประชุมติดตามสถานการณ์อุบัติเหตุและการจราจรทุกวันในช่วง 7 วันควบคุมเข้มข้น วันที่ 11-17 เมษายน 2567

พล.ต.ท.กรไชยฯ เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีความห่วงใยและได้สั่งกำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจอำนวยความสะดวกการจราจรให้กับประชาชนที่เดินทางกลับภูมิลำเนา ในห้วงเทศกาลสงกรานต์ 2567 พร้อมกำชับมาตรการกวดขันผู้ขับขี่รถที่ฝ่าฝืนกฎจราจรก่อให้เกิดอุบัติเหตุ โดยในที่ประชุมได้มีการเน้นย้ำเรื่องการวางแผนบริหารการจราจร เพื่อทำให้การจราจรเกิดความคล่องตัว พร้อมวางแนวทางป้องกันอุบัติเหตุและบังคับกฎหมายอย่างจริงจังอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งแสวงหาความร่วมมือในการคืนพื้นผิวจราจรก่อนช่วงเทศกาลสงกรานต์ , การตั้งจุดตรวจกวดขันวินัยจราจร จุดตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ , กรณีเกิดอุบัติเหตุสำคัญต้องจัดการบริหารเหตุการณ์ให้เกิดความเรียบร้อย อีกทั้งวางมาตรการห้ามรถบรรทุกวิ่งในช่วงประชาชนเดินทางไป-กลับ แต่หากมีความจำเป็นให้ขออนุญาตกับตำรวจทางหลวง ตลอดจนอำนวยความสะดวกการจราจรในสถานที่จัดงานขนาดใหญ่ที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการจราจร ควบคู่กับการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ข้อมูลการจราจรให้แก่ประชาชน

สำหรับเทศกาลสงกรานต์ปีนี้คาดว่าจะมีประชาชนเดินทางสูงสุดในช่วงวันที่ 11 - 12 เมษายน 2567 แต่เมื่อช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมามีประชาชนบางส่วนเริ่มทยอยเดินทางกันบ้างแล้ว คาดว่าประชาชนจะเดินทางกลับมากที่สุดในวันที่ 16 - 17 เมษายนนี้ เบื้องต้นมีการคาดการณ์ว่าจะมีผู้ใช้รถใช้ถนนเดินทางกลับภูมิลำเนา มากกว่าช่วงสงกรานต์ปี 2566 ประมาณร้อยละ 3.1

นอกจากนี้ ขอให้ผู้ใช้รถใช้ถนนที่ใช้รถยนต์ไฟฟ้า ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าให้พร้อมก่อนออกเดินทาง และตรวจสอบสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าระหว่างเส้นทางก่อนการเดินทาง เพื่อการเดินทางโดยสวัสดิภาพ ปลอดภัย ไร้กังวล ซึ่งตำรวจทางหลวงได้รวบรวมเส้นทางสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า โดยพี่น้องประชาชนสามารถสแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดูและวางแผนการเดินทางได้ และหากรถยนต์ไฟฟ้าของพี่น้องประชาชนเกิดปัญหาระหว่างการเดินทาง สามารถขอความช่วยเหลือกับตำรวจทางหลวง ได้ที่สายด่วน 1193

พล.ต.ท.กรไชยฯ กล่าวด้วยว่า เทศกาลสงกรานต์ปีนี้อยากให้ประชาชนเดินทางกลับอย่างปลอดภัยและเกิดอุบัติเหตุน้อยที่สุด กำชับให้ตำรวจกวดขันวินัยจราจรอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะ 10 ข้อหาหลัก ซึ่งมาตรการทั้งหมดที่ดำเนินการมานั้น เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกการจราจรให้ประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนาอย่างปลอดภัย และเป็นการป้องกันไม่ให้มีการกระทำผิดกฎจราจรจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายบนท้องถนน ทั้งนี้ หากพบอุบัติเหตุ หรือรถเสีย สามารถแจ้งได้ที่สายด่วนตำรวจทางหลวง 1193 หรือ สายด่วนกรมทางหลวง 1586 หรือ สายด่วนกองบังคับการตำรวจจราจร 1197 ตลอด 24 ชั่วโมง

'เผ่าภูมิ' ระบุชัด!! กลุ่มไหนไม่ได้ 'ดิจิทัลวอลเล็ต' มั่นใจ!! 50 ล้านคนเข้าเงื่อนไข ได้ใช้ทุกคน

(12 เม.ย.67) นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล เลขานุการ รมว.กระทรวงการคลัง โพสต์เฟซบุ๊กแจงคุณสมบัติผู้มีสิทธิได้รับและไม่ได้รับเงินดิจิทัล 10,000 แบบชัด ๆ ว่า...

เพื่อให้เกิดความชัดเจนครับ

ผู้มีสิทธิ์ได้เงิน 10,000 บาท ในโครงการ Digital Wallet

>> อายุ 16 ปี ขึ้นไป ทุกคน ทั้งอยู่ในระบบภาษีและไม่อยู่ในระบบภาษี (ทั้งที่ยื่นแบบและไม่ยื่นแบบ)
>> 'ตัด' ผู้ที่มีรายได้พึงประเมินเกิน 840,000 บาท/ปี ออก และ...
>> 'ตัด' ผู้ที่มีเงินฝากในสถาบันการเงินพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐรวมกันทุกบัญชีเกิน 500,000 บาท ออก

ที่เหลือ ได้ทุกคนครับ ซึ่งจะมีคนผ่านเงื่อนไขนี้ราว 50 ล้านคนครับ

“ตำรวจไซเบอร์ เปิดนาทีบุกบ้านทรัพย์มั่งคั่ง รวบเจ้ามือหวยลาวรายใหญ่ ผงะ! ลูกทีมกระจายทั่วประเทศ”

ตำรวจไซเบอร์ นำกำลังบุกรวบเจ้ามือหวยรายใหญ่ “บ้านทรัพย์มั่งคั่ง” ชักชวนเล่นพนันแทงหวยออนไลน์ ทั้งหวยไทย หวยลาว หวยใต้ดิน เบอร์เงิน เบอร์ทอง รับสมัครแม่ทีมลูกทีมไม่อั้น ยอดเงินสะพัดในบัญชีกว่า 10 ล้าน
ตามนโยบายรัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ให้ความสำคัญในการปราบปราบอาชญากรรมทางเทคโนโลยีทุกรูปแบบ โดยเฉพาะการลักลอบเล่นการพนันออนไลน์ในรูปแบบต่างๆ ซึ่งเป็นการมอมเมาประชาชน พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. จึงได้สั่งการให้เร่งรัดสืบสวนดำเนินคดีกับเจ้ามือ นายทุน และผู้เกี่ยวข้องทุกรายอย่างเด็ดขาด

ต่อมาวันนี้ 10 เมษายน 2567 พล.ต.ต.ภูมิพัฒน์ ภัทรศรีวงษ์ชัย ผบก.สอท.5 พ.ต.อ.กฤษดา มานะวงศ์สกุล ผกก. พ.ต.ท.วีระ หอมเย็น พ.ต.ท.ปภาณ บุตรดีขันธ์ พ.ต.ท.สุธี บุดดีคำ สว.สส.ฯ และกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวน ได้นำหมายค้นเข้าตรวจค้นที่บ้านหลังหนึ่งใน ต.บางโฉลง อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ เนื่องจากสืบทราบมาว่าสถานที่แห่งนี้เป็นที่พักของ นางเริ่ม (นามสมมติ) และสามี เจ้ามือหวยออนไลน์รายใหญ่ หรือที่รู้จักกันในชื่อ “บ้านทรัพย์มั่งคั่ง” ซึ่งมีการโพสต์ชักชวนทาง Facebook ให้บุคคลทั่วไปเข้าเล่นการพนันประเภทหวยออนไลน์ หวยลาว เบอร์เงิน เบอร์ทอง โดยใช้ชื่อแอคเคาท์ต่างๆ เช่น “บ้านทรัพย์มั่งคั่ง” “บ้านทรัพย์มั่งคั่ง 915” “บ้านร่ำรวยเงินทอง” พร้อมทั้งประกาศเปิดรับตัวแทน แม่ทีม หรือผู้ที่จะนำใบหวยไปกระจายขายให้กับประชาชนทั่วไปจำนวนมาก โดยจะมีสวัสดิการต่างๆ ให้ตัวแทน เช่น วันเกิดตัวแทน วันเกิดลูก ค่าคลอดบุตร หรือโบนัสสะสม ทั้งนี้เพื่อดึงดูดให้คนเข้ามาสมัครเป็นตัวแทนขายหวยเพื่อเป็นการเพิ่มยอดขาย ตรวจค้นภายในบ้านพบของกลางและทรัพย์สินจำนวนมาก ประกอบด้วย บัตรเบอร์หวย “บ้านทรัพย์มั่งคั่ง 915” งวดวันที่ 16 เมษายน และวันที่ 2 พฤษภาคม 2567 รวมจำนวน 19,500 ใบ , สมุดจดหวย “บ้านร่ำรวยเงินทอง” จำนวน 100 เล่ม , สมุดจดเบอร์ทอง และสมุดจดหวยใต้ดิน จำนวน 2 เล่ม , เงินสดจำนวน 600,000 บาท , โทรศัพท์มือถือและแท็ปเลต จำนวน 4 เครื่อง , คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค จำนวน 2 เครื่อง , กล่องพัสดุและซองกันกระแทกสำหรับส่งเบอร์หวยจำนวนมาก จากการสอบถามนางเริ่มและสามีให้การรับสารภาพว่า ได้ผันตัวมาเป็นเจ้ามือหวยออนไลน์ หวยลาว เบอร์เงิน เบอร์ทอง มาประมาณปีเศษ โดยจะใช้วิธีการชักชวนบุคคลทั่วไปผ่านทาง Facebook ซึ่งในแต่ละงวดจะพิมพ์เบอร์หวยออกมา 10,000 ใบ แจกจ่ายให้กับตัวแทนหรือแม่ทีมทั่วประเทศรับไปจำหน่ายต่อ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้แจ้ง ข้อกล่าวหาให้ทราบว่า “จัดให้มีการเล่นหรือทำอุบายล่อ ช่วยประกาศโฆษณา หรือชักชวนโดยทางตรงหรือทางอ้อม     ให้ผู้อื่นเข้าเล่นหรือเข้าพนันในการเล่น ซึ่งมิได้รับอนุญาตฯ (ขายหวยออนไลน์) พร้อมทั้งควบคุมตัว นางเริ่มและสามี พร้อมทั้งของกลาง นำส่งพนักงานสอบสวน สภ.บางพลี เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย

พล.ต.ต.ภูมิพัฒน์ฯ ผบก.สอท.5 กล่าวว่า สำหรับผู้ต้องหารายนี้ถือได้ว่าเป็นเจ้ามือหวยออนไลน์รายใหญ่ จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบยอดเงินหมุนเวียนในบัญชีกว่า 13,400,000 บาท มีตัวแทนหรือแม่ทีมที่คอยรับเบอร์หวยกระจายส่งขายทั่วประเทศประมาณ 200 คน ซึ่งขณะนี้ตำรวจไซเบอร์ อยู่ระหว่างขยายผลเพื่อดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด และในขณะนี้ยังพบความเคลื่อนไหวในกลุ่มเจ้ามือหวยใต้ดิน หวยออนไลน์ ต่างๆ ได้พากันแจ้งเตือนให้ระวังเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เอาจริงเอาจังในการกวาดล้างจับกุมการพนันออนไลน์ทุกรูปแบบ ตามนโยบายของท่านนายกรัฐมนตรี “ฝากเตือนไปยังผู้ที่ชอบการเสี่ยงโชคทุกรูปแบบ ให้หยุดการกระทำดังกล่าว เนื่องจากเป็นความผิดตามกฎหมาย ซึ่งมีโทษทั้งเจ้ามือและผู้เล่น หากพี่น้องประชาชนทราบแหล่งที่มาหรือต้นตอของหวยลาว หรือหวยใต้ดินทุกรูปแบบ สามารถแจ้งเบาะแสมาได้ที่ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่รับผิดชอบ” พล.ต.ต.ภูมิพัฒน์ฯ กล่าว
 

'ในหลวง ร.๑๐' ทรงรับโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ ๙ แห่ง เป็นโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ดูแลเด็กยากลำบาก สถานภาพด้อยกว่าเด็กปกติทั่วไป ให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

เมื่อไม่นานมานี้ เพจเฟซบุ๊กชื่อ ‘พระลาน’ ได้โพสต์ข้อความพร้อมระบุว่า… “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงรับโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ ๙ แห่ง เป็นโรงเรียนราชประชานุเคราะห์

เมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๖๖ ได้มีประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง การเปลี่ยนชื่อโรงเรียน ซึ่งสืบเนื่องมาจากการที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ขอพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัยให้ทรงรับโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ จำนวน ๙ แห่ง อยู่ในความดูแลของมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ พร้อมตราสัญลักษณ์โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยพระราชทานตามที่ขอพระมหากรุณา ดังนี้

๑. ทรงพระราชทานรับโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ จำนวน ๙ แห่ง เป็นโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ หมายเลข ๕๘-๖๖ ประกอบด้วย

๑) โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์บางกรวย เป็น โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๕๘ จังหวัดนนทบุรี
๒) โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์แม่ฮ่องสอน เป็น โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๕๙ จังหวัดแม่ฮ่องสอน
๓) โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์เชียงใหม่ เป็น โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๖๐ จังหวัดเชียงใหม่
๔) โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์เชียงดาว เป็น โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๖๑ จังหวัดเชียงใหม่
๕) โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์แม่จัน เป็น โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๖๒ จังหวัดเชียงราย
๖) โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ธวัชบุรี เป็น โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๖๓ จังหวัดร้อยเอ็ด
๗) โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์สุราษฎร์ธานี เป็น โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๖๔ จังหวัดสุราษฎร์ธานี
๘) โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์พัทลุง เป็น โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๖๕ จังหวัดพัทลุง
๙) โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์นราธิวาส เป็น โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๖๖ จังหวัดนราธิวาส

๒. ทรงพระราชทานพระบรมราชานุญาตเปลี่ยนตราสัญลักษณ์ประจำโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ทุกแห่ง 

‘โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์’ ทั้ง ๙ แห่ง ที่คัดเลือกมานี้เป็นโรงเรียนที่ดูแลเด็กที่อยู่ในสภาวะยากลำบาก มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ด้อยกว่าเด็กปกติทั่วไป จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือเป็นกรณีพิเศษ เพื่อให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ซึ่งการเปลี่ยนชื่อโรงเรียนและอยู่ในมูลนิธิฯ จะทำให้ผู้เรียนได้รับการสนับสนุนทุนการศึกษา ได้รับโอกาสอย่างทัดเทียม มีประสิทธิภาพทั้งวิชาการและทักษะอาชีพ เช่น เกษตรกรรม ทำอาหาร ฯลฯ มากยิ่งขึ้น รวมถึงส่งเสริมความสามารถด้านดนตรี ศิลปะ และกีฬา ปลูกฝังให้นักเรียนมีจิตสำนึกในความเป็นไทย พัฒนาโรงเรียนให้ก้าวไปสู่การเป็นต้นแบบโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ อันคงไว้ซึ่งความรักและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ และสร้างความภาคภูมิใจให้กับคณะครู บุคลากร และนักเรียน ซึ่งจะช่วยให้โรงเรียนและชุมชนดีขึ้น”

'สุริยะ' สั่งหยุดก่อสร้างชั่วคราว-คืนผิวจราจร ถนนพระราม 2 พร้อมเปิดช่องทางพิเศษรองรับการเดินทางช่วงสงกรานต์

เมื่อวานนี้ (11 เม.ย. 67) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยหลังจากได้ลงพื้นที่บริเวณทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 35 (ถนนพระราม 2) ตรวจสภาพการจราจร และความพร้อมในการอำนวยความสะดวกปลอดภัย รองรับการเดินทางของประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2567 ณ ศูนย์บริหารการจราจรระหว่างการก่อสร้างโครงการก่อสร้างทางยกระดับ ช่วงบางขุนเทียน - เอกชัย - บ้านแพ้ว 

ทั้งนี้ ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2567 ระหว่างวันที่ 11 - 17 เมษายน 2567 นายสุริยะ ได้สั่งการให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม เตรียมความพร้อมอำนวยความสะดวก และปลอดภัยในการเดินทางให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยว ทั้งทางบก ทางน้ำ ทางราง และทางอากาศ

นายสุริยะ กล่าวต่ออีกด้วยว่า ในส่วนของถนนพระราม 2 นับเป็นเส้นทางทางหลวงที่มีการจราจรหนาแน่น เนื่องจากเป็นเส้นทางสายหลักที่ประชาชนใช้ในการเดินทางไปสู่ภาคใต้ ซึ่ง กรมทางหลวง ได้ตระหนักถึงความสะดวกและความปลอดภัยในการเดินทางของประชาชน โดยได้กำหนดแผนบริหารการจราจรในช่วงเทศกาลสงกรานต์อย่างเป็นระบบ และได้บูรณาการร่วมกันกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างความมั่นใจในการเดินทางของพี่น้องประชาชน ที่ใช้เส้นทางบนถนนพระราม 2 

นอกจากนี้ ได้จัดเตรียมเจ้าหน้าที่ เครื่องจักร และอุปกรณ์ต่าง ๆ ในการอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยแก่ประชาชนอย่างเต็มกำลังตลอดเทศกาลสงกรานต์ 2567 อาทิ คืนพื้นผิวจราจรบนถนนพระราม 2 ที่มีการก่อสร้างทั้งหมด พร้อมให้หยุดการก่อสร้างชั่วคราว เพื่ออำนวยความสะดวกประชาชน ขณะเดียวกัน ยังได้ประสานงานร่วมกับตำรวจทางหลวงในการเปิดช่องทางพิเศษ (REVERSIBLE LANE) ในกรณีที่การจราจรคับคั่ง เพื่อระบายการจราจรให้คล่องตัวด้วย

“ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2567 ผมขอให้พี่น้องประชาชนทุกคนมีความสุข และหวังว่าทุก ๆ ท่าน เดินทางกลับภูมิลำเนาโดยสวัสดิภาพ หรือเดินทางท่องเที่ยวไปยังจุดหมายปลายทางต่าง ๆ ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย และไร้อุบัติเหตุ” นายสุริยะ กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top