Friday, 16 May 2025
NewsFeed

เด็ก 11 ติด HIV บอกหมอไม่ต้องตรวจ เพราะเต็มใจติดเป็นเพื่อนแฟนอายุ 18 ปี

(1 เม.ย. 67) เพจไม่ใช่หมอบ่น-aggressivenotdoctor ได้แชร์เรื่องราวของคนไข้ซึ่งมาพบแพทย์ในแผนกผู้ป่วยนอก คนไข้นี้เป็นน้องผู้ชายอายุ 11 ขวบ มาพบแพทย์ด้วยอาการมีหนองที่อวัยวะเพศ หมอจะขอตรวจ HIV ด้วย แต่น้อง 11 ขวบ ตอบอย่างมั่นใจว่า ไม่ต้องตรวจ แฟนผมเป็น ผมติดเป็นเพื่อนแฟน เคสนี้แฟนอายุ 18 ปี มาล่อน้องอายุ 11 ขวบ

โพสต์นี้ พล.อ.ท. นพ.อิทธพร คณะเจริญ เลขาธิการแพทยสภา เข้ามาขอแชร์พร้อมคอมเมนต์ว่า เด็กปัจจุบันโตไวกว่าที่คิด บางโรงพยาบาล เด็กอายุ 12 ปี มาฝากท้องแล้ว คุณพ่อคุณแม่ต้องตามให้ทัน

นอกจากนี้ ยังมีผู้ใช้เฟซบุ๊กเข้ามาแสดงความเห็นอย่างกว้างขวาง พร้อมแสดงความเป็นห่วงในอนาคตของน้อง 11 ขวบ พร้อมแนะนำให้แจ้งความดำเนินคดีกับแฟนที่เป็นผู้ใหญ่กว่า โดยระบุว่า น้องอาจเข้าใจว่ามันติดต่อเหมือนโควิดหรือเปล่า เช่น ทางน้ำลาย กินน้ำต่อ ๆ กัน น้องคงไม่รู้ว่าการต้องกินยาไปตลอดชีวิตไม่ใช่เรื่องสนุก โรคนี้ไม่ใช่หวัดที่กินยาแล้วจะหาย ยาเสพติดก็รับมือยากแล้ว ที่น่าตกใจเป็นเด็ก ม.ต้น

ขณะที่ผู้ใช้เฟซบุ๊กบางคน บอกว่า เคยเจอเด็ก 18 เป็น DCM (กล้ามเนื้อหัวใจบาง) มีประวัติใช้ยาเสพติดตั้งแต่ 11 ขวบ กัญชาและน้ำกระท่อม น่าห่วงว่าจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร

รวมถึงคอมเมนต์แสดงความเป็นห่วงน้อง ๆ เยาวชน ด้วยความไม่รู้ว่าอันตรายถึงชีวิต ในช่วงเยาว์วัยขาดความยั้งคิด อาจจะมีเพศสัมพันธ์และแพร่เชื้อกว้างขวางออกไปอีก โดยผู้ใช้เฟซบุ๊กที่เป็นบุคลากรทางการแพทย์บางท่าน บอกว่า สมัย 10 ปีที่แล้ว เคยตรวจเด็ก ม.ต้น ผลบวก แจ้งน้องว่าเป็น HIV น้องตอบอย่างมั่นใจ “ถ้าผมเป็น ก็เป็นกันทั้งห้อง”

'วุฒิสภา' โหวตไม่เห็นชอบ 'วิษณุ วรัญญู'  ดำรงตำแหน่งประธานศาลปกครองสูงสุด

(1 เม.ย. 67) ที่รัฐสภา ในการประชุมวุฒิสภา มีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม พิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งประธานศาลปกครองสูงสุด ตามที่คณะกรรมาธิการ (กมธ.) สามัญเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติ ความประพฤติ และพฤติกรรมทางจริยธรรมของบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ตำรงตำแหน่งประธานศาลปครองสูงสุด พิจารณาเสร็จแล้ว คือนายวิษณุ วรัญญู อดีตรองประธานศาลปกครองสูงสุด โดยเป็นการประชุมลับและลงคะแนนลับ

จากนั้นนายพรเพชร ประกาศผลการลงคะแนนว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบนายวิษณุ ด้วยคะแนน 45 คะแนน ไม่ให้ความเห็นชอบ 158 คะแนน ไม่ออกเสียง 6 คะแนน

ดังนั้นจากผลการออกเสียงลงคะแนนปรากฏว่า นายวิษณุ ไม่ได้รับความเห็นชอบด้วยคะแนนเสียงข้างมากจากที่ประชุมวุฒิสภา จึงถือว่านายวิษณุไม่ได้รับความเห็นชอบให้ดำรงตำแหน่งประธานศาลปกครองสูงสุด

‘ราชวงศ์ญี่ปุ่น’ เปิดบัญชี IG อย่างเป็นทางการ หวังสื่อสารกับ ‘คนรุ่นใหม่’ ให้เข้าใจสิ่งที่ทำ

(1 เม.ย. 67) สำนักข่าวเอเอฟพีรายงาน บัญชีอินสตาแกรม ‘สำนักพระราชวังอิมพีเรียล’ หรือ The Imperial Household Agency (@kunaicho_jp) ของ ราชวงศ์ญี่ปุ่น เปิดให้สาธารณะเข้ามีส่วนร่วมได้แล้วในวันนี้ (1 เม.ย.) โดยมีผู้ติดตามแล้วกว่า 200,000 คน (ข้อมูล ณ เวลา 14.55 น. วันที่ 1 เม.ย.67) ซึ่งโฆษกสำนักพระราชวังยืนยันว่า การเล่นโซเชียลมีเดียก็ด้วยหวังให้คนรุ่นใหม่ได้เข้าใจถึงสิ่งที่ราชวงศ์ทำ

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่โพสต์มีเพียงข้อความบรรยายง่าย ๆ ว่าสมเด็จพระจักรพรรดิทรงทำอะไรบ้าง อาทิ ให้ทูตานุทูตเข้าเฝ้าไปจนถึงทรงชื่นชมต้นบอนไซ โดยมีการคัดกรองความเห็นไว้แล้ว บัญชีนี้ไม่ได้ติดตามยูสเซอร์รายอื่นและยังไม่เข้าร่วมในอินสตาแกรมสตอรี

อย่างไรก็ตาม ท่าทีดังกล่าวก็สร้างความประหลาดใจให้ผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก อาทิ

“สำนักพระราชวังอิมพีเรียลเล่นอินสตาแกรม! ฉันคิดว่านี่มันมุกวันเมษาหน้าโง่” ผู้ใช้ X คนหนึ่งแสดงความคิดเห็นเมื่อทราบข่าว

“ตอนที่ฉันได้ยินว่าสำนักพระราชวังมีบัญชีอินสตาแกรม ฉันรีบเช็กข้อมูล แต่พระจักรพรรดิคงไม่โพสต์มื้อเที่ยงวันนี้ หรืออะไรทำนองนั้นหรอกนะ” ผู้ใช้อีกคนที่ให้ความคิดเห็น ขณะที่หลายคนแซวว่า ดีแล้วที่ราชวงศ์เลือกเล่นอินสตาแกรมที่มี ‘อารยะ’ มากกว่า X หรืออดีตทวิตเตอร์

ทั้งนี้ ราชวงศ์อื่น ๆ เล่นโซเชียลมีเดียมานานแล้วรวมถึงราชวงศ์อังกฤษ ที่เมื่อเร็ว ๆ นี้เพิ่งเจอข่าวลือและทฤษฎีสมคบคิดเกี่ยวกับแคเธอริน เจ้าหญิงแห่งเวลส์ ที่ทรงตกแต่งภาพทางการที่วังเผยแพร่เนื่องในโอกาสวันแม่ และภายหลังพระองค์ทรงเปิดเผยว่าทรงได้รับการวินิจฉัยประชวรมะเร็ง

'เจ้าของชายสี่' สยายปีก!! ปรับภาพลักษณ์แบรนด์ พัฒนาสินค้าใหม่ พร้อมพูดติดตลก หวังเข้า 'ตลท.' เพื่อป้องกันลูกๆ ทะเลาะกัน

(1 เม.ย.67) นายพันธ์รบ กำลา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ชายสี่ คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า กว่า 30 ปี ของ ชายสี่ บะหมี่เกี๊ยวจนถึงวันนี้เมื่อธุรกิจเติบโตขึ้นอย่างมาก ประกอบกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ถึงเวลาที่จะต้องยกระดับธุรกิจและองค์กรให้สอดรับและเท่าทันกับการเปลี่ยนแปลง จึงเปิดโอกาสให้ผู้บริหารมืออาชีพรุ่นใหม่ เข้ามาเติมไฟให้กับธุรกิจ เดินหน้าสู่การทรานส์ฟอร์มภายใต้ชื่อ 'ชายสี่ คอร์ปอเรชั่น' ส่งมอบอาหารและบริการที่ดียิ่งขึ้นให้กับลูกค้า และพร้อมขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตต่ออย่างมั่นคงและยั่งยืน

โดยปัจจุบัน ชายสี่ คอร์ปอเรชั่น มีแบรนด์สตรีตฟู้ดในเครือ รวม 7 แบรนด์ ได้แก่ ชายสี่บะหมี่เกี๊ยว, ชายสี่พลัส, ชายใหญ่ข้าวมันไก่, พันปีบะหมี่เป็ดย่าง, อาลีหมี่ฮาลาล, ไก่หมุนคุณพัน, ลูกชิ้นทอดโอ้มายก๊อด รวมทุกแบรนด์กว่า 4,500 สาขา และยังมีอาหารสำเร็จรูปพร้อมปรุงและพร้อมทานภายใต้แบรนด์ชายสี่โกลด์ พร้อมด้วยเครื่องปรุงเพื่อจำหน่ายอีกกว่า 200 รายการ ซึ่งทุกแบรนด์สินค้าในเครือต่างได้รับการยอมรับในด้านคุณภาพที่สดใหม่ วัตถุดิบส่งตรงจากศูนย์การผลิตและกระจายสินค้าทั้งหมด 7 แห่งทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ รวมถึงรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ และราคาที่เข้าถึงได้จากทั้งผู้ขายและผู้บริโภค ทำให้ชายสี่เป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่งและเป็นที่รักของคนไทย

ด้านนายอนุชิต สรรพอาษา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชายสี่ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า ชายสี่ คอร์ปอเรชั่น มีพื้นฐานธุรกิจที่แข็งแกร่ง มีศักยภาพสร้างการเติบโต โดยหลังจากผ่านวิกฤต โควิด-19 ที่ผ่านมา เรากลับมาเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2565 เป็นปีที่เราสร้างยอดขายได้สูงสุดในประวัติกาล โดยมีรายได้รวม 1,085 ล้านบาท และยังเติบโตอย่างแข็งแกร่งในปี 2566 เช่นกัน

ล่าสุดในปี 2565-2566 บริษัทฯ ได้เริ่มสู่การทรานส์ฟอร์มธุรกิจ ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี การบริหารต้นทุนอย่างชาญฉลาด รวมถึงการปรับโครงสร้างการบริหารงาน โดยให้โอกาสคนรุ่นใหม่เข้ามาสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ 

"จากทั้งหมดที่ได้ลงมือทำ เราสามารถสร้างยอดขายได้กว่า 1.1 พันล้านบาท และการเติบโตของกำไรได้มากกว่า 100% สะท้อนถึงศักยภาพในการปรับปรุงรากฐานขององค์กรให้แข็งแกร่งทั้งทางด้านการเงิน และการปฏิบัติการเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต โดยเรากำลังเดินหน้าสู่เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม ผ่านการดำเนินธุรกิจภายใต้ 3 กลยุทธ์ ที่มุ่งสนับสนุนให้ชายสี่ คอร์ปอเรชั่น เติบโตได้อย่างยั่งยืน"

1. พัฒนามาตรฐานแฟรนไชส์ ผ่านการปรับปรุงระบบการบริหารแฟรนไชส์และการบริการทั้งหมดให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าและสร้างความภักดีของลูกค้าที่มีต่อแบรนด์ โดยใช้ประโยชน์จากศูนย์การผลิตและจัดส่งที่มีอยู่ทั่วประเทศไทยในการเข้าถึงคู่ค้าและควบคุมคุณภาพแฟรนไชส์

2. พัฒนาผลิตภัณฑ์เพิ่มเติมตามความต้องการของตลาด โดยให้ความสำคัญกับการทำวิจัยและพัฒนา (R&D) เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ ให้เหมาะสมและตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค รวมถึงช่องทางการจัดจำหน่ายที่เปิดโอกาสให้ลูกค้าเข้าถึงผลิตภัณฑ์ได้โดยง่าย ทั้งร้านอร่อยริมทาง ห้างสรรพสินค้า ร้านสะดวกซื้อ และช่องทางออนไลน์ ซึ่งปัจจุบันนอกจากแบรนด์สตรีตฟู้ดทั้ง 7 แบรนด์แล้ว เรายังมีสินค้าพร้อมทานที่จำหน่ายในซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำ

3. พัฒนาพันธมิตรเพื่อขยายธุรกิจร่วมกัน ร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจที่มีความชำนาญเฉพาะทางเพื่อต่อยอดองค์ความรู้ ในการพัฒนาธุรกิจร่วมกัน รวมถึงการการเข้าซื้อกิจการต่างๆ ที่มีศักยภาพ โดยล่าสุดได้มีการเข้าซื้อกิจการร้านก๋วยเตี๋ยวชื่อดังเมืองกรุงเก่า 'เสือร้องไห้' และแบรนด์เบเกอรี่ที่เป็นที่นิยมของกลุ่มนักท่องเที่ยว 'บริกซ์' โดยในการเข้าซื้อกิจการได้ใช้รูปแบบที่จะยังคงสัดส่วนผู้ถือหุ้นเดิม เพื่อให้เจ้าของแบรนด์ยังได้ใช้ความเชี่ยวชาญของตนในการบริหารและพัฒนาแบรนด์ต่อได้ อีกทั้งยังสร้างโอกาสในการขยายธุรกิจไปต่างประเทศ โดยอยู่ระหว่างการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับ Cabalen Group กลุ่มธุรกิจอาหารยักษ์ใหญ่ของประเทศฟิลิปปินส์ เพื่อส่งมอบตำนานความอร่อยสู่สากล

“บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการรีแบรนด์ ปรับภาพลักษณ์ใหม่ให้ทันสมัย สอดรับกับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคยุคปัจจุบัน นอกจากนี้ ยังเปิดโอกาสคนรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพ ขึ้นเป็นผู้นำร่วมขับเคลื่อนองค์กร ผ่านโปรแกรมพัฒนาบุคคลสู่ความสำเร็จ พร้อมจัดสวัสดิการพนักงานให้ทัดเทียมองค์กรชั้นนำ ชายสี่ฯ เชื่อมั่นว่าการทรานส์ฟอร์มครั้งใหญ่ผ่านกลยุทธ์หลักนี้ จะส่งเสริมและยกระดับให้บริษัทฯ ก้าวขึ้นเป็นแบรนด์แถวหน้าในธุรกิจอาหารของไทยและเติบโตได้ไร้ขีดจำกัด” นายอนุชิต กล่าวสรุป

ทั้งนี้ ช่วงหนึ่ง นายพันธ์รบ กำลา ได้เผยถึงอนาคตในการเตรียมพร้อมนำธุรกิจเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ภายใต้ 2-3 ปีข้างหน้าแบบติดตลกในงานแถลงข่าวด้วยว่า...

“ผมกลัวว่า ลูกจะฆ่ากันตายก่อน กลัวเป็นตลาดเลือด แล้วโลโก้ชายสี่มันแบ่งครึ่งกันไม่ได้ ถ้าเอาเข้าตลาดหุ้นฯ ลูกจะได้ไม่ต้องทะเลาะกัน รวมถึงต้องการระดมทุนเพื่อให้ธุรกิจเติบโตต่อไปได้แบบยั่งยืน”

'ธนาธร' ซื้อบ้าน 'นายปรีดี พนมยงค์' ที่เคยใช้อาศัยขณะลี้ภัยฝรั่งเศส หวังให้ผู้คนได้ 'จดจำ-รำลึก' ประวัติศาสตร์การปกครอง 24 มิ.ย. 2475

เมื่อวานนี้ (1 เม.ย.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า เปิดเผยในรายการNEWSROOM ทางยูทูบ Thairath Online Originals เมื่อช่วงค่ำวันที่ 1 เมษายน 2567 ระบุว่าตนและภรรยาได้ซื้อบ้านของนายปรีดี พนมยงค์ ที่ฝรั่งเศส เรียบร้อยแล้ว

“เราอยากให้คนรำลึก อยากให้คนจำประวัติศาสตร์ 2475 เวลาเราไปอเมริกาคนจะเชิดชู 4th of July Independence Day ส่วนฝรั่งเศสเชิดชู คุกบัสตีย์ (Bastille Day) วันที่มันเป็นการเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ของประเทศนั้นๆ ที่เชิดชูสิทธิเสรีภาพ อิสรภาพของประชาชน แต่วันที่ 24 มิถุนา ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นวันชาติที่ถูกหลงลืมไป ประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับ 24 มิถุนา ก็หายไป เราต้องบอกว่า เราต้องต่อสู้กับเรื่องพวกนี้ เพื่อให้คนตระหนัก ให้คนระลึกถึงความสำคัญของคนที่ต่อสู้ผลักดันสิทธิเสรีภาพให้กับประชาชนไทยมาก่อนหน้าเรา”

“เมื่อปีที่แล้ว ทางชาวเวียดนามเจ้าของบ้าน มีความประสงค์อยากจะขาย เพราะคุณยายที่ได้อาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้มานานได้เสียชีวิต เราเลยคิดว่าเป็นโอกาสดีที่จะเก็บบ้านนี้ไว้ เพื่อให้เป็นประวัติศาสตร์ เพื่อจะให้มีการพูดถึงอาจารย์ปรีดี ที่ต่อสู้ทางการเมืองจนต้องลี้ภัยไปใช้ชีวิตช่วงสุดท้ายที่ประเทศฝรั่งเศส แล้วก็เสียชีวิตในบ้านหลังนี้”

หลังจากนั้น นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล อดีต สส. บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ได้โพสต์ข้อความในทวิตเตอร์ (x) ระบุว่า นายธนาธรจึงรุ่งเรืองกิจ ได้ซื้อบ้านของนายปรีดี พนมยงค์ ที่ประเทศฝรั่งเศส ไว้เรียบร้อยแล้ว เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ 24 มิถุนายน 2475 โดยระบุข้อความดังนี้
ธนาธร ได้ซื้อบ้านหลังที่ อ.ปรีดี พนมยงค์ เคยไปอาศัยลี้ภัยและเสียชีวิตที่นั่น ตั้งอยู่ที่เมืองอองโตนี ประเทศฝรั่งเศส ไว้เรียบร้อยแล้ว

โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้คนได้จดจำรำลึกถึงประวัติศาสตร์ช่วงเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิ.ย. 2475 ที่ครั้งหนึ่งเคยมีความสำคัญจัดเป็นวันชาติไทย

แต่ในปัจจุบันนี้ ปวศ.ที่เกี่ยวข้องกับวันเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิ.ย. 2475 ได้มีความพยายามถูกทำให้ลบเลือนและสูญหายไป

โดยจะมีการจัดแถลงข่าวอย่างเป็นทางการในช่วงเดือน พ.ค.-มิ.ย.นี้ ที่ประเทศฝรั่งเศส

'อ.เข็มทอง' แซะแรง!! ปมเชิญ 'พระเกี้ยว' ไว้บนรถกอล์ฟ ลั่น!! ถ้าอยากแบก น่าจะให้ 'ศิษย์เก่า-ผู้หลักผู้ใหญ่' ไปแบกเอง

เมื่อวานนี้ (1 เม.ย. 67) จบลงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับงานกีฬาฟุตบอลสานสัมพันธ์ ‘จุฬาฯ-ธรรมศาสตร์’ เมื่อวันที่ 31 มี.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งนอกจากผลการแข่งขันแล้ว อีกหนึ่งไฮไลต์ของงานที่มักได้รับความสนใจคือ การแปรอักษร การเดินขบวนพาเหรดล้อการเมืองไทยของทั้งสองสถาบัน แต่ปรากฏว่าในการเดินขบวนดังกล่าว กลับเกิดดรามาอย่างร้อนแรง เมื่อพาเหรดของฝั่งจุฬาฯ ได้มีการอัญเชิญ ‘พระเกี้ยว’ ขึ้นตั้งไว้บนหลังคารถกอล์ฟพร้อมแห่ไปในขบวน

โดยหนึ่งในผู้ที่ออกมาแสดงความเห็น ล่าสุดเมื่อวันที่ 1 เม.ย.67 ซึ่งก็คือ ผศ.ดร.เข็มทอง ต้นสกุลรุ่งเรือง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ออกมาโพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า “ถ้าเราให้นิสิตแบกพระเกี้ยว เราก็จะต้องเกณฑ์แรงงานกันทุกปี ถ้าเราเอาศิษย์เก่าและผู้หลักผู้ใหญ่ที่รับไม่ได้มาแบกพระเกี้ยว เราจะมีแรงงานพอแบกจากเบตงไปแม่สอดกลับมาสักห้ารอบก็คงจะได้”

‘บิทคับ’ ดำเนินการว่าจ้างที่ปรึกษาทางการเงิน เตรียมยื่นเข้าเทรดหุ้น IPO ใน SET ปี 2568

สื่อนอกเผย กระดานเทรดบิทคับ มีแผนเสนอขายหุ้น IPO ในตลาดหุ้นไทยภายในปี 2568 หลังกระแสบิทคอยน์ และตลาดคริปโตฟื้นตัวกลับมาสู่ช่วงเฟื่องฟูอีกครั้ง โดยราคาบิทคอยน์ปรับตัวพุ่งสูงขึ้นระดับ $70000 ต่อเหรียญบิทคอยน์ 

เมื่อไม่นานมานี้ นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Bitkub Capital Group กล่าวกับสำนักข่าวบลูมเบิร์กว่า มีแผนที่จะนำ บิทคับ ออนไลน์ ซึ่งเป็นแพล็ตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลของไทย เข้าจดทะเบียนซื้อขายหุ้น IPO ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหรือ ตลท. ภายในปี 2568 โดยขณะนี้อยู่ในช่วงของการว่าจ้างที่ปรึกษาทางการเงิน

ขณะที่ในส่วนของงวดบัญชีผลประกอบการล่าสุด บริษัทมีกำไรประมาณ 80% โดยปี 2564 บิทคับมีรายได้ 5,510 ล้านบาท กำไร 2,545 ล้านบาท ขณะที่ปี 2565 บริษัทมีรายได้ 2,846 ล้านบาท และกำไร 341 ล้านบาท

โดยก่อนหน้านี้ได้ขายหุ้นจำนวน 9.2% ให้กับ Asphere Innovation เป็นมูลค่าประมาณ 600 ล้านบาท เท่ากับมูลค่าทั้งกิจการ 6,500 ล้านบาท (ขณะที่บริษัท Asphere หรือชื่อเดิมคือ Asiasoft หรือ AS ซึ่งประกอบธุรกิจด้านซอต์ฟแวร์และการให้บริการเกมออนไลน์ในตลาดหุ้นไทย

ทั้งนี้จากความต้องการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อเก็งกำไรเพิ่มขึ้น ควบคู่ไปกับการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาบิทคอยน์ ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 57% แล้วในในปี 2567 นี้

ในขณะที่ดัชนี CoinDesk20 ซึ่งเป็นตัวชี้วัดตลาดคริปโตในวงกว้างเพิ่มขึ้น 49% เมื่อเดือนที่แล้ว ทำให้จำนวนบัญชีที่ใช้งานในประเทศพุ่งถึงระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2565 บลูมเบิร์กกล่าว โดยอ้างอิงข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) ของประเทศไทย

อย่างไรก็ตามกระดานเทรดบิทคับ ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่เดือนมกราคม เนื่องจาก ‘ไบแนนซ์ ไทยแลนด์’ ซึ่งเป็นบริษัทแลกเปลี่ยนคริปโตที่ใหญ่ที่สุดในโลกตามปริมาณการซื้อขาย ซึ่งเป็นหนึ่งในส่วนของธุรกิจดิจิทัลครบวงจรของ ‘กัลฟ์ อินโนวา’ ได้เปิดให้บริการอย่างเป้นทางการ

ทั้งนี้หากย้อนกลับไปในปี 2565 ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ยื่นเสนอซื้อกิจการของบิทคับ ออนไลน์ ในสัดส่วน 51% มูลค่ากว่า 17,850 ล้านบาท แต่ท้ายที่สุดแล้วดีลดังกล่าวก็ถูกยกเลิกไป หลังจากที่บิทคับถูกสำนักงาน ก.ล.ต. สั่งปรับจากความผิดในการสร้างออเดอร์ปริมาณการซื้อขายปลอม และทาง SCB ประเมินว่ามูลค่าหุ้นที่จะลงทุนนั้น ไม่คุ้มค่ากับการลงทุน ด้วยมูลค่าที่แพงกว่าความเป็นจริงมากเกินไป 

และต่อมาทาง SCB ได้จัดตั้งศูยน์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลและยื่นขอใบอนุญาติกับทางสำนักงาน ก.ล.ต. ในชื่อบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX Securities Co., Ltd. ชื่อย่อ INVX (เดิมชื่อ บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์​ จำกัด)) บริษัทภายใต้กลุ่ม SCBX ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2538 ปัจจุบันให้บริการการลงทุนทุกรูปแบบ อาทิ หุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ กองทุน ตราสารหนี้ รวมถึงสินทรัพย์ดิจิทัล ผ่านผู้แนะนำการลงทุน และแพลตฟอร์ม ‘InnovestX Super App’

‘จักรภพ’ ประเดิมงานแรก หลังบินกลับไทยมารับใช้ชาติ จัดทริปทัวร์พา ‘คนเสื้อแดง’ ไปเที่ยวต่างประเทศ

(2 เม.ย.67) นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อดีตแกนนำเสื้อแดง ที่เพิ่งกลับจากการลี้ภัยไปต่างประเทศ โดยอ้างว่าต้องการกลับมารับใช้ชาติ อาสาเป็นตัวกลางพาผู้ลี้ภัยกลับบ้านเกิด

ล่าสุดนายจักรภพ ประเดิมบทบาทใหม่ ด้วยการจัดทัวร์พา ‘คนเสื้อแดง’ ไปเที่ยวต่างประเทศ โดยโพสต์ล่าสุดของนายจักรภพ ระบุว่า “สวัสดีครับ ทริปยุโรปตะวันออก​ ฮังการี​ ออสเตรีย​ เช็ค​ สโลวาเกีย 28 พ.ค.-  4​ มิ.ย.​67 เดินทางด้วยกันไหมครับ ใกล้เต็มแล้วครับ​ มีที่ว่าง​ 8 ที่​ ครับ พบกับคุณจักรภพ​ เพ็ญแข ร่วมเดินทางพร้อมคณะทัวร์”

“ทัวร์เสื้อแดง​ ครั้งที่​ 84 ทัวร์ของคุณจักรภพ​ เพ็ญแข ยุโรปตะวันออก​ ฮังการี​ ออสเตรีย​ เช็ค​ สโลวาเกีย 8​ วัน​ 5​ คืน​ สายการบินเอมิเรตส์ 28 พ.ค.- 4​ มิถุนายน​ 2567”

‘นายกฯ’ หนุน!! ผลักดันสินค้าศิลปหัตถกรรมไทย มุ่งสู่สายตานานาชาติ ช่วยกระจายรายได้ให้ ปชช.

(2 เม.ย.67) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้ความสำคัญ มุ่งผลักดันอุตสาหกรรมศักยภาพสาขาศิลปะในฐานะ Soft Power ไทยสู่สายตานานาชาติ เพื่อกระตุ้นกระแสความนิยมชื่นชอบสินค้าไทย และประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศ ซึ่งเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ของรัฐบาลที่จะเพิ่มโอกาสการสร้าง และกระจายรายได้ให้กับประชาชน ควบคู่กับการธำรงรักษาเอกลักษณ์ และพัฒนาต่อยอดศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี และภูมิปัญญาท้องถิ่นไทย ให้ดำรงอยู่ยั่งยืน

ทั้งนี้ ข้อมูลจากสถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (องค์การมหาชน) หรือ The Support Arts and International Centre of Thailand (SACIT) พบว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าศิลปหัตถกรรมไทยในปี 2566 เติบโตถึง 340,820 ล้านบาท โดยสินค้าศิลปหัตถกรรมที่ไทยส่งออกมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ เครื่องประดับแท้ทำด้วยทอง (91,161 ล้านบาท) เครื่องประดับแท้ทำด้วยเงิน (56,060 ล้านบาท) เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน (46,850 ล้านบาท) เครื่องใช้สำหรับเดินทาง (22,982 ล้านบาท) และเสื้อผ้าสำเร็จรูปทำจากฝ้าย (17,719 ล้านบาท) และประเทศ/เขตบริหารพิเศษ ที่มีมูลค่าการส่งออกสินค้าศิลปหัตกรรมไทยมากที่สุด อันดับที่ 1 ได้แก่ สหรัฐอเมริกา (94,203 ล้านบาท) อันดับที่ 2 ฮ่องกง (26,764 ล้านบาท) อันดับที่ 3 ญี่ปุ่น (21,232 ล้านบาท) อันดับที่ 4 เยอรมนี (20,147 ล้านบาท) และอันดับที่ 5 สหราชอาณาจักร (16,357 ล้านบาท)

นายชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า การจำหน่ายสินค้าศิลปหัตกรรมไทยผ่านช่องทางของ SACIT ในปี 2566 มีมูลค่าถึงกว่า 291 ล้านบาท และมีการจำหน่ายสินค้าศิลปหัตถกรรมไทย ประเภทผ้าและเครื่องแต่งกาย และเครื่องใช้และเครื่องประดับตกแต่ง ซึ่งไม่รวมอาหาร เครื่องดื่ม สมุนไพรที่ไม่ใช่อาหารและยา ทั้งในไทยและต่างประเทศทาง online และ offline ตามโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ เป็นมูลค่ารวมกว่า 1.16 แสนล้านบาท

ทั้งนี้ SACIT พร้อมยกระดับสินค้าศิลปหัตกรรมไทยสู่การเติบโตในตลาดโลกอย่างยั่งยืนผ่านการจัดงาน ‘sacit Craft Power: แนวโน้มหัตถกรรมร่วมสมัย’ ที่นำเสนอความรู้และทิศทางในการต่อยอดสินค้าศิลปหัตถกรรมไทยในทุกสาขาแก่ผู้ประกอบกิจการสินค้าทั่วประเทศให้สามารถมองแนวโน้มสินค้าศิลปหัตถกรรมไทยในอนาคตได้อย่างชัดเจน และพัฒนาสินค้าให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดโลกมากยิ่งขึ้น

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า รัฐบาลโดยกระทรวงพาณิชย์ประสงค์ให้ประเทศในยุโรป เป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญในการเผยแพร่ Soft Power ด้านงานศิลปะของไทย โดยสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงปราก สาธารณรัฐเช็ก ได้ร่วมสนับสนุนให้ผู้มีความสามารถด้านภาพวาดที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทย นำผลงานมาจัดแสดงภายใต้ชื่อ ‘Bangkok Series’ และ ‘Muay Thai Series’ ณ Manes Gallery กรุงปราก เมื่อวันที่ 14 - 25 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งนับว่าเป็นการนำเสนอมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมไทยและอัตลักษณ์ความเป็นไทยให้กับนานาชาติผ่านการนำเสนอผลงานศิลปะ

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ยินดีที่กระแสความเป็นไทยเพิ่มมูลค่าสินค้าไทยเป็นความสำเร็จที่ทำให้ มูลค่าส่งออกสินค้าศิลปหัตถกรรมไทยมีปริมาณการเจริญเติบโตสูง พร้อมขอบคุณทุกความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการสนับสนุนกระบวนการ Soft Power ไทยด้านศิลปะที่ร่วมกันสร้างสรรค์จนทำให้สามารถดึงดูดผู้บริโภคจากทั่วโลกได้อย่างต่อเนื่อง พร้อมเน้นย้ำการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอย่างสร้างสรรค์ด้วย Soft Power โดยเชื่อมั่นว่าการบูรณาการร่วมมือการทำงานจากทุกภาคอย่างเข้มแข็ง จะพัฒนาศักยภาพของประเทศไทยให้แข็งแกร่งได้ยิ่งขึ้นในเวทีโลก

'ต่อตระกูล' สลดใจ!! นิสิตจุฬาฯ ด้อยค่าตัวเอง ลบหลู่ 'พระเกี้ยว' สวนทางเจตจำนงอดีตนิสิตจุฬาฯ ที่ขอไว้เพื่อสร้างขวัญกำลังใจ

(2 เม.ย. 67) นายต่อตระกูล ยมนาค อดีตนายกสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า…

นิสิตจุฬาฯ ด้อยค่าตัวเอง พระเกี้ยว ถูกนำออกมาลบหลู่ ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก

หากไม่ใช้ ก็ขอพระเกี้ยว จำลองชิ้นนี้ กลับคืนมาให้นิสิตเก่าจำนวนเป็นหลายแสนคนที่เขาเห็นคุณค่าเอามาเก็บรักษาไว้ในที่เหมาะสมเถิด

หมายเหตุ : เมื่อประมาณปี 2512 นายธีรชัย เชมนะสิริ นายก สโมสรนิสิตจุฬาฯ ( สจม.) ได้ทูลขอพระราชทานพระเกี้ยวจำลอง และได้รับพระราชทานมาจากในหลวง ร.9 นิสิตได้นำมาเก็บรักษาไว้เองที่ตึกจักรพงษ์ เพื่ออัญเชิญไปใช้ในกิจกรรมต่างๆ ของนิสิต รวมทั้งนำออกมาเพื่อเป็นขวัญกำลังใจของนิสิตจุฬาฯ ในงานฟุตบอลประเพณีเป็นประจำ โดยเป็นความปรารถนาของนิสิตในยุคนั้นเองทั้งสิ้น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top