Friday, 16 May 2025
NewsFeed

‘ภูมิธรรม’ ชี้!! ปรับครม.หรือไม่? เป็นอำนาจ ‘นายกฯ’  แง้ม!! ดึง ปชป.ร่วม เป็นเรื่องโคมลอย อย่าเพิ่งไปคิดไกล

(2 เม.ย.67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิยช์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี ปรับครม. โดยดึงเสียงพรรคประชาธิปัตย์ เข้ามาเติมว่า ไม่มีใครรู้ เพราะเป็นอำนาจนายกฯ จะปรับหรือไม่ ความเหมาะสมเมื่อไหร่อย่างไร ข่าวต่าง ๆ ที่ได้ยินจากสื่อ แต่ตนไม่ได้ยินจากนายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ และรมว.คลัง ตนคิดว่าในความเป็นจริงก็ต้องดูนายกฯ มองหรือพิจารณาอย่างไร เสียงออกมาจากตรงไหนก็เป็นข่าวลือเต็มไปหมด อาจจะมีทั้งตั้งใจพูด ไม่แน่ใจพูด หรือพูดคาดการณ์อะไรต่าง ๆ ก็ยังไม่เห็น

"คุยกับท่านนายกฯ มาล่าสุดเมื่อวาน ก็ยังไม่ได้พูดเรื่องนี้" นายภูมิธรรม กล่าว

เมื่อถามว่า เสียงรัฐบาล 314 เสียง ยังไม่พอใช่หรือไม่? นายภูมิธรรม กล่าวว่า “ทำไมยังไม่พอ มันก็เป็นหน้าที่ของมันอยู่แล้ว ส่วนจะปรับครม.หรือไม่ก็เป็นคนละเรื่องกัน”

เมื่อถามว่า หากปรับครม.ก็จะมีเสียงเพิ่มขึ้น? นายภูมิธรรม กล่าวว่า “ยังไม่รู้ว่าจะปรับหรือไม่ อย่าเพิ่งไปคิดอะไร”

เมื่อถามว่า ปัญหาพรรคร่วมฯ ก็ยังแย่งกันเยอะ? นายภูมิธรรม ถามกลับว่า “พรรคร่วมฯ ไหนแย่งกันเยอะ พรรคร่วมฝ่ายค้านหรือ ผู้สื่อข่าวจึงได้ตอบกลับว่า พรรคร่วมรัฐบาล อยากจะเป็นเยอะแยะ จากนั้นนายภูมิธรรม กล่าวว่า ไม่มี ยังไม่มีอะไร ทุกคนก็ยังทำงานดี พูดคุยกันได้ดี”

เมื่อถามว่า หากพรรคประชาธิปัตย์มาจะต้องพูดคุยกับพรรคร่วมรัฐบาลด้วยหรือไม่? นายภูมิธรรม กล่าวว่า “ยังไม่ได้มีเริ่มต้นแบบนี้ อย่าเพิ่งไปคิดไกล ยังไม่ได้มีจุดตั้งใจ อันนี้ยังเป็นเรื่องโคมลอย ถ้ามันเป็นเรื่องชัดเจน ค่อยมาว่ากันว่า จะคิดอย่างไร ถึงได้ตัดสินใจอย่างนั้น ค่อยมาว่ากันอีกที” 

ย้อนบทสัมภาษณ์ ‘กรมสมเด็จพระเทพฯ’ เมื่อ 40 ปีก่อน ครั้งหนึ่งทรงรับเลี้ยงเด็กไว้ในพระบรมราชินูปถัมภ์

ย้อนบทสัมภาษณ์เมื่อ 40 ปีที่แล้ว ครั้งหนึ่ง ‘สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี’ ทรงพระราชทานสัมภาษณ์แก่เดวิด โลแมกซ์ ผู้สื่อข่าวบีบีซี ถึงเรื่องสถานะของพระองค์ และส่วนหนึ่งของโครงการความช่วยเหลือในพระบรมราชินูปถัมภ์ ออกอากาศไปเมื่อปี พ.ศ. 2523

โดย ‘กรมสมเด็จพระเทพฯ’ ทรงเล่าเรื่องของหนูน้อยฝาแฝดที่ ‘พระราชินี’ ทรงรับเลี้ยงในพระบรมราชินูปถัมภ์ ว่า…

“พระราชินี (พระพันปีหลวง) ทรงเห็นในหมู่พสกนิกรที่มาเข้าเฝ้าเมื่อครั้งเสด็จไปที่จังหวัดหนองคาย และพระองค์ทรงพบว่า แม่ของเด็กมีลูก 9 คน และยากจนมาก ทั้งตัวแม่และลูกตัวซีดและผ่ายผอม พระองค์ตรัสถามว่าขอฝาแฝดคู่นี้ได้ไหม”

ผู้สื่อข่าวของบีบีซีถามพระองค์ว่า เพราะอะไรถึงรับฝาแฝดสองคนนี้ ทั้ง ๆ ที่ทั่วประเทศมีเด็กที่ลำบากและยากจนมากมาย กรมสมเด็จพระเทพฯ ตรัสว่า “บางทีอาจจะเป็นรักแรกพบ”

ผู้สื่อข่าวของบีบีซีถามพระองค์ต่อว่า มีเด็กคนอื่น ๆ ที่อยู่ภายใต้พระบรมราชินูปถัมภ์อีกหรือไม่? กรมสมเด็จพระเทพฯ ตรัสว่า “มี ชื่อฉายฉาน เด็กคนนี้มาจากหุบกะพง ที่สหกรณ์ใกล้ ๆ กรุงเทพ เรามักไปเยี่ยมสหกรณ์ และพ่อกับแม่ของเด็กคนนี้ก็เป็นสมาชิกสหกรณ์ วันหนึ่งพ่อของเธอได้ถวายพี่สาวของเด็กคนนี้ ซึ่งหูหนวก เราส่งเธอไปเรียนที่โรงเรียนสำหรับคนหูหนวก ส่วนเด็กคนนี้ (ฉายฉาน) พ่อของเธอถวายให้เรา เพราะแม่ของเด็กคนนี้เสียชีวิตจากโรคมะเร็ง เขาไม่สามารถดูแลลูกหลายคนได้ ตัวเขา (พ่อ) ก็ป่วยด้วยเหมือนกัน”

ผู้สื่อข่าวของบีบีซีถามพระองค์ต่อว่า เป็นเรื่องปกติหรือไม่ที่พ่อแม่ถวายลูกให้อยู่ในพระบรมราชินูปถัมภ์ กรมสมเด็จพระเทพฯ ตรัสว่า “สิ่งนี้ไม่ได้ทำกันเป็นธรรมเนียม แต่ก็มีบ้างบางครั้ง”

สรุปดรามา!! เลื่อนงานฟุตบอลประเพณีธรรมศาสตร์-จุฬาฯ ครั้งที่ 75 งานที่ดูไม่พร้อม-ควรใช้ชื่ออื่น หากอยากจัดเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์

(2 เม.ย.67) จากผู้ใช้แพลตฟอร์ม X (ทวิตเตอร์) ได้สรุปดรามา เลื่อนงานฟุตบอลประเพณี 'จุฬาฯ-ธรรมศาสตร์' ครั้งที่ 75 ไว้ว่า...

สืบเนื่องจากเฟซบุ๊ก Ajarin Pattanapanchai ของ น.ส.อัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โพสต์ข้อความ โดยสรุปได้ดังนี้...

งานบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ ซึ่งจัดโดยสมาคมนิสิตเก่าจุฬาฯ (สนจ.) และสมาคมธรรมศาสตร์ฯ (สมธ.) ครั้งที่ 75  มี สมธ.เป็นเจ้าภาพจัดงาน ซึ่งได้แจ้งเลื่อนการจัดงานมาตั้งแต่ปี 2564-2566 และยังแจ้งโดยวาจาว่า "จะไม่จัดงานในต้นปี  2567"

แต่ สมธ. กลับมีจดหมายแจ้ง สนจ. ว่าจะจัดงานในวันที่ 30 มี.ค. 2567 ขอไปร่วมประชุมและแถลงข่าวการจัดงาน ซึ่งบอกล่วงหน้าแค่ 10 วัน ซึ่ง สนจ. ได้ประชุมและตอบกลับไปว่าไม่พร้อมร่วมจัดงาน เนื่องจาก จะชนกับงานประจำปีของ สนจ. คืองานวันสถาปนาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที่ 26 มี.ค. 2567

อีกทั้ง ชุมนุมเชียร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งไม่ใช่ผู้รับผิดชอบในการจัดงานบอลประเพณี ได้ออกมาออกประกาศในสื่อ Social Media ว่า สนจ. เป็นต้นเหตุที่ทำให้งานเลื่อนออกไป จึงอยากให้ สมธ.ออกมาชี้แจงให้ชัดเจน  

ทั้งนี้ หากนิสิต นักศึกษาทั้งสองสถาบัน อยากจะจัดเตะบอลเชื่อมความสัมพันธ์กัน ก็ทำได้ ไม่ต้องใช้ชื่องานบอลประเพณี ธรรมศาสตร์-จุฬาฯ ครั้งที่ 75 หรอก (แต่อาจหาสปอนเซอร์ได้ไม่มาก)

#งานบอลจุฬาธรรมศาสตร์

‘เรือเหาะแคปซูล’ แบบมีคนขับ ‘ฝีมือจีน’ บินเที่ยวแรกสำเร็จ หลังพัฒนาขึ้นมาเอง ชี้!! สมรรถนะครบครัน พร้อมลุยต่อยอด

เมื่อวานนี้ (1 เม.ย.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า บริษัทอุตสาหกรรมการบินแห่งประเทศจีน (AVIC) ระบุว่า เรือเหาะพลเรือนแบบมีมนุษย์ควบคุม เอเอส700 (AS700) ซึ่งพัฒนาขึ้นเองของจีน ประสบความสำเร็จในการขึ้นบินเที่ยวแรกจากสนามบินจิงเหมิน จางเหอในมณฑลหูเป่ยทางตอนกลางของจีน ก่อนลงจอดที่สนามบินแห่งหนึ่งในเมืองจิงโจวในเวลา 1 ชั่วโมง 46 นาที โดยมีกำหนดส่งมอบลำแรกภายในสิ้นปีนี้

ด้าน หลินหง นักบินผู้ควบคุม กล่าวว่า เที่ยวบินแรกดำเนินไปอย่างราบรื่นตามแผน เอเอส700 มีความคล่องตัวที่ดี มีศักยภาพการขึ้นบิน-ลงจอดในแนวดิ่งในพื้นที่แคบ อีกทั้งคล่องตัวและยืดหยุ่นมากกว่าเรือเหาะประเภทอื่น ๆ

ด้าน โจวเหลย หัวหน้าผู้ออกแบบโครงการเรือเหาะลำนี้ เผยว่า เที่ยวบินดังกล่าวตรวจสอบการสื่อสารบนเที่ยวบิน การบรรทุกอุปกรณ์ ตลอดจนศักยภาพการขึ้นบิน-ลงจอดของเอเอส700 อย่างครบถ้วน ซึ่งวางรากฐานสำหรับเที่ยวบินระยะไกลและยาวนานขึ้นในอนาคต

บริษัทฯ ได้รับคำสั่งซื้อเรือเหาะรุ่นนี้จำนวน 18 ลำแล้ว หลังจากเอเอส700 ได้รับใบรับรองแบบในจีนเมื่อปี 2023 โดยลูกค้าส่วนใหญ่อยู่ในแวดวงภาคการท่องเที่ยวชมวิวในระดับต่ำ

ทีมพัฒนาเรือเหาะเอเอส700 วางแผนปรับปรุงอากาศยานลำนี้เพิ่มเติมเพื่อขยายสถานการณ์การใช้งานให้ครอบคลุมการช่วยเหลือฉุกเฉิน บริการสาธารณะในเมือง และด้านอื่น ๆ

เรือเหาะแบบมีมนุษย์ควบคุมประเภทแคปซูลเดี่ยว มีน้ำหนักขึ้นบินสูงสุด 4,150 กิโลกรัม พิสัยการบินสูงสุด 700 กิโลเมตร ระยะเวลาการบินสูงสุด 10 ชั่วโมง และความจุสูงสุด 10 คน (รวมนักบิน)

มูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ จับมือ หน่วยงานกระทรวงแรงงาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ภาคเอกชน และกลุ่มไทยสมายล์ สถานีประชาชน ไทยพีบีเอส ร่วมกิจกรรมถวายความจงรักภักดี แด่ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพ

วันที่ 2 เมษายน 2567 นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ ประธานมูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ พร้อมด้วยหน่วยงานสังกัดกระทรวงแรงงาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ภาคเอกชน รวมถึงทีมงานมวลชนสัมพันธ์ (CSR) กลุ่มไทยสมายล์ และรายการสถานีประชาชน สถานีข่าวไทยพีบีเอส ร่วมกิจกรรมถวายความจงรักภักดี ลงพื้นที่มอบรถเข็นวีลแชร์ และอุปกรณ์เพื่อช่วยเหลือ ตลอดจนเครื่องอุปโภคบริโภค แก่ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ยากไร้ จำนวน 9 ราย ณ วิสาหกิจชุมชน กลุ่มผลิตน้ำมันมะพร้าว บ้านประดู่ลาย อ.ทับสะแก จ.ประจวบคีรีขันธ์ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพ (วันที่ 2 เมษายน) แด่ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี 

นางเธียรรัตน์ กล่าวว่า ในวันนี้ดิฉันในนามมูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ นำอุปกรณ์เพื่อช่วยเหลือผู้พิการและผู้ยากไร้ ประกอบไปด้วย รถเข็นวีลแชร์ จำนวน 4 คัน ไม้เท้าพยุงสามขา จำนวน 1 ตัว และวอล์คเกอร์ช่วยเดิน จำนวน 2 ตัว ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก กลุ่มไทยสมายล์ (รถและเรือโดยสารสาธารณะพลังงานไฟฟ้า) มามอบให้กับ ผู้สูงอายุและผู้พิการ ตามที่ได้รับการประสานจาก นางแสงรุ้ง พึ่งสีใส แรงงานจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ณ ต.ไชยราช อ.บางสะพานน้อย จ.ประจวบคีรีขันธ์ จำนวน 2 ราย ได้แก่ นางสาวจิ๋ม พานทอง และ นายจำนงค์ วรสุทธ์ ต.นาหูกวาง อ.ทับสะแก จ.ประจวบคีรีขันธ์ จำนวน 4 ราย ได้แก่ นางอุษา ชมอินทร์ นายกำพล เพชรนิล นายมานิตย์ แซ่จิว และนายสิทธิ์ เจริญรัตน์ และ ต.ไร่เก่า อ.สามร้อยยอด จ.ประจวบคีรีขันธ์ จำนวน 1 ราย ได้แก่ นายสมพงษ์ โพธิ์น้อย นอกจากนี้ยังมีภาคเอกชนนำเครื่องอุปโภคบริโภค ขนมขบเคี้ยว มามอบให้กับน้องๆนักเรียน ใน ต.นาหูกวาง อ.ทับสะแก จ.ประจวบคีรีขันธ์ จำนวน 2 ราย ได้แก่ นางสาวกัญญาภัค รักบุญ (มัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนทับสะแกวิทยา) และเด็กหญิงพรฤดี เคลือบอาบ (ประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านมะเดื่อทอง) 

ซึ่งทั้งเก้าราย เป็นกลุ่มเปราะบาง มีฐานะยากจน และประสบปัญหาความเดือดร้อนทางสังคม การที่มูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ได้นำอุปกรณ์เพื่อช่วยเหลือผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ยากไร้ มามอบในครั้งนี้ เพื่อต้องการเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือ บรรเทาความเดือดร้อน มอบกำลังใจ ให้แก่ผู้ป่วย ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ยากไร้ ซึ่งถือเป็นกิจกรรมหนึ่งซึ่งสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของมูลนิธิในด้านการสร้างสาธารณประโยชน์ต่อชุมชน สังคม และที่สำคัญจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ยากไร้ ซึ่งมีความยากลำบากในการดำเนินชีวิต ต้องการอุปกรณ์ช่วยเหลือดังกล่าวมากกว่าบุคคลทั่วไป

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เป็นตัวแทนบุตรหลาน ประกอบพิธีเซ่นไหว้ดวงวิญญาณไร้ญาติ เนื่องในเทศกาลเช็งเม้ง ประจำปี 2567 ณ สุสานมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง จ.สมุทรสาคร และ สุสานวัดดอนกุศล (สุสานเก่าของมูลนิธิ) เขตสาทร กรุงเทพฯ

วันนี้ (วันอังคารที่ 2 เมษายน 2567) และเมื่อวันพุธที่ 27 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายวิชิต ชินวงศ์วรกุล รองประธานกรรมการ นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ ที่ปรึกษาประธานกรรมการ นายจารุรัตน์ คุณัตถานนท์ กรรมการและเหรัญญิก และนายสุหัทย์ ไพรสานฑ์กุล กรรมการ พร้อมด้วย นางชุติมา ตันติศิริวัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการ  นำทีมเจ้าหน้าที่บริหาร และพนักงาน เป็นตัวแทนบุตรหลาน ประกอบพิธีเซ่นไหว้ดวงวิญญาณไร้ญาติ เนื่องในเทศกาลเช็งเม้ง ประจำปี 2567 โดยเครื่องเซ่นไหว้ประกอบไปด้วย เครื่องคาวหวาน กระดาษเงิน-กระดาษทอง และดอกไม้หอม ณ สุสานมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง อ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร และ สุสานวัดดอนกุศล (สุสานเก่าของมูลนิธิ) เขตสาทร กรุงเทพฯ

เทศกาลเช็งเม้ง กำหนดจัดขึ้นในระหว่างเดือน 2-3 ของจีน ซึ่งจะอยู่ในช่วงประมาณต้นเดือนเมษายนของทุกปี เป็นเทศกาลที่แสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษ โดยมีอิทธิพลมาจากลัทธิขงจื้อ ที่สืบทอดมายาวนานกว่าพันปี ก่อนวันพิธี จะมีการทำความสะอาดหลุมฝังศพของบรรพบุรุษ หลังจากนั้นในวันพิธีจะมีการเซ่นไหว้อาหารคาวหวาน เพื่อเป็นการรำลึกถึงคุณงามความดีของบรรพบุรุษ เมื่อไปอยู่อีกภพหนึ่ง

ตลอดระยะเวลากว่า 114 ปี ที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ  ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลายทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป ดังปณิธาน “มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung

'อัครเดช' เผยวิปฝ่ายค้าน เทประชุมวิปสองฝ่าย ปมเงื่อนเวลาอภิปราย เรียกร้องใช้เวทีวิปร่วมสภาฯ เจรจาหาทางออก ไม่ใช่ตอบโต้ผ่านสื่อ

(2 เม.ย. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ในฐานะ คณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาลหรือวิปรัฐบาล ให้สัมภาษณ์ว่า เมื่อวานนี้ (1 เม.ย.) นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎรได้นัดวิปฝ่ายค้านและวิปรัฐบาลมาร่วมประชุมหารือเพื่อกำหนดรายละเอียดในการเปิดอภิปรายทั่วไปตามมาตรา 152 โดยการไม่ลงประชามติในวันที่ 3-4 เมษายนนี้ แต่ปรากฏว่า พรรคร่วมฝ่ายค้านเทไม่ยอมเข้าร่วมประชุมตามที่นัดหมาย นายพิเชษฐ์ในฐานะประธานการประชุมและวิปรัฐบาลก็ได้มานั่งรอเก้อในห้องประชุม

นายอัครเดช กล่าวว่า เดิมเท่าที่ทราบวิป 2 ฝ่ายได้มีการหารือกันไว้คร่าว ๆ คือ ฝ่ายค้านได้เวลา 22 ชั่วโมงในการอภิปราย ทางรัฐบาลโดยรัฐมนตรีได้เวลาชี้แจง 6 ชั่วโมง แต่เมื่อดูจากการอภิปรายทั่วไปของวุฒิสภาตามมาตรา 153 ทางประธานวิปรัฐบาลได้รับทราบปัญหาจากครม.ว่า รัฐมนตรีมีเวลาชี้แจงแค่ 3 ชั่วโมงต่อ 1 วันนั้น ไม่เพียงพอต่อการชี้แจงข้อซักถามของสมาชิกวุฒิสภา ทางคณะรัฐมนตรีจึงแจ้งมาทางประธานวิปรัฐบาลว่า การประชุมที่ผ่านมาทางสว.ใช้เวลาอภิปรายมากรัฐมนตรีมีเวลาชี้แจงน้อย ไม่สมดุลกัน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการรับรู้ของพี่น้องประชาชนที่รับฟังการอภิปรายและมีผลต่อภาพลักษณ์ของรัฐบาลได้

ดังนั้นการอภิปรายของสภาผู้แทนราษฎรใช้เวลา 2 วันแล้วจัดสรรให้ ครม.ชี้แจง 6 ชม. ก็จะมีเวลาไม่เพียงพอก็จะเกิดปัญหาเหมือนการประชุมอภิปรายวุฒิสภาที่ผ่านมาคือรัฐมนตรีไม่มีเวลาเพียงพอในการชี้แจงข้อสงสัยหรือข้อกล่าวหา ของสมาชิกที่อภิปราย แม้แต่นายภูมิธรรม เวชชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ มีเวลาชี้แจงเมื่อการอภิปรายของวุฒิสภาเพียงแค่ 2 นาทีในบางครั้ง ถ้าเป็นเช่นนี้จะเป็นผลเสียต่อรัฐบาล อาจทำให้ประชาชนเข้าใจผิดเพราะไม่มีเวลาชี้แจง ทางรัฐบาลจึงมาหารือในวิปรัฐบาลว่ารัฐบาลควรมีเวลามากขึ้นจาก 6 ชั่วโมงเป็น 10 ชั่วโมง ฝ่ายค้านเดิมจาก 22 ชั่วโมงเหลือ 18 ชั่วโมง เพื่อให้ทางรัฐมนตรีมีเวลาชี้แจงมากขึ้น ไม่เช่นนั้นจะเป็นการอภิปรายฝ่ายเดียว จะเป็นผลเสียต่อตัวรัฐมนตรีและรัฐบาลด้วย

“เป็นเหตุผลที่ฟังขึ้น จึงได้นัดประชุมวิปฝ่ายค้านและวิปรัฐบาลเพื่อมาพูดคุยให้เกิดความเข้าใจ แต่ปรากฏว่าฝ่ายค้านไม่มาร่วมประชุม แต่ไปตอบโต้ผ่านสื่อมวลชน ทำให้ผมและเพื่อนสมาชิกที่เป็นวิปรัฐบาลไม่สบายใจ กลายเป็นภาพพจน์ที่ไม่ดีต่อสภาฯ ทางประธานสภาฯ จึงขอประธานสภาฯ นัดหมายมาประชุมใหม่ในวันพรุ่งนี้ (3 เม.ย.) ในเวลา 08.00 น. ถ้ายังพูดคุยไม่รู้เรื่องก็ต้องมีการเสนอให้โหวตในที่ประชุมสภาฯ ซึ่งจะไม่เป็นผลดีต่อการประชุมร่วมกันของทั้งสองฝ่าย ผมจึงขอเรียกร้องให้ฝ่ายค้านได้เข้าร่วมประชุมวิป 2 ฝ่ายในวันพรุ่งนี้เช้าก่อนมีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรด้วย” นายอัครเดชกล่าว

ทั้งนี้ การอภิปรายตามมาตรา 152 เป็นการอภิปรายทั่วไปโดยไม่มีการลงมติ เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงและเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีสส.รัฐบาลก็มีความต้องการอภิปรายด้วย เพื่อเสนอแนะปัญหาที่ได้ไปพบมาในการลงพื้นที่ เพื่อนำปัญหามาเสนอต่อครม. สส.รัฐบาลได้ท้วงติงมาว่าทำไมไม่ให้พวกเขาอภิปรายด้วย ดังนั้นในการประชุมช่วงเช้าวันพรุ่งนี้ก็ต้องหารือกันถ้าตกลงกันไม่ได้ก็ต้องมีการโหวตกันในสภาฯ เพื่อขอเวลาให้สส.ฝ่ายรัฐบาลอภิปรายด้วย ถ้าตกลงไม่ได้แล้วมีการโหวตจะเป็นผลเสียต่อการทำงานร่วมกันของทั้ง 2 ฝ่ายในอนาคต

นายอัครเดช กล่าวว่า ในที่ประชุมวิปรัฐบาลได้มีวิป บางท่านเสนอว่าเวลาอภิปราย 28 ชั่วโมงควรจะแบ่งกันฝ่ายละ 14 ชั่วโมงไปเลย เพื่อให้โอกาส สส.ฝ่ายรัฐบาลได้อภิปรายนำปัญหาของประชาชนมาหารือซักถามชี้แนะ คณะรัฐมนตรีด้วย ซึ่งก็เป็นสิทธิ์ของสมาชิก ถ้าเป็นเเบบนั้นจะทำให้ฝ่ายค้านเวลาลดลงไปอีก 

ดังนั้นในวันพรุ่งนี้ช่วงเช้าจึงขอให้ฝ่ายค้านได้เข้ามาร่วมประชุม ใจเย็นมาพูดคุยกันด้วยเหตุด้วยผล โดยไม่ต้องลงมติในสภาฯ จะดีกว่า ซึ่งถ้าถึงขั้นลงมติเพื่อแบ่งเวลากันจะทำให้การทำงานร่วมกันในอนาคตไม่ราบรื่น ฉะนั้นจากนี้ไปจึงอยากให้สองฝ่ายเคารพเหตุผลซึ่งกันและกัน ไม่อยากเห็นการตอบโต้ไปมาผ่านสื่อ 

อย่างไรก็ตามฝ่ายรัฐบาลไม่อยากให้ฝ่ายค้านเอาประเด็นนี้มาเล่นเกม รัฐบาลไม่ขอเล่นเกมด้วย เพราะเราคำนึงถึงเหตุผล ทำอย่างไรให้การอภิปรายตามมาตรา 152 ราบรื่นเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน

‘เรือด่วนเจ้าพระยา’ เปิดตัวเรือโดยสาร 'ธงทอง' เส้นทางนนทบุรี-สาทร 25 บาทตลอดสาย ให้บริการแล้ว

เรือด่วนเจ้าพระยา เปิดตัวเรือด่วนเจ้าพระยา 301 และ 302 โดยจะให้บริการเป็นเรือโดยสาร 'ธงทอง' เส้นทางนนทบุรี-สาทร จอดรับ-ส่งทั้งหมด 12 ท่าเรือหลัก เชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้า ราคา 25 บาทตลอดสาย พร้อมให้บริการแล้ววันนี้

(2 เม.ย. 67) นาวาตรีเจริญพร เจริญธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เรือด่วนเจ้าพระยา จำกัด ผู้ให้บริการเรือโดยสารในแม่น้ำเจ้าพระยา เส้นทางปากเกร็ด-วัดราชสิงขร ได้เปิดเผยว่า เรือด่วนเจ้าพระยารูปแบบใหม่ ซึ่งก็คือ เรือด่วนเจ้าพระยา 301 และ 302 จะให้บริการเป็นเรือโดยสาร ‘ธงทอง’ เส้นทางนนทบุรี-สาทร สำหรับช่วงเช้าและเย็น และเส้นทางพรานนก-สาทร สำหรับช่วงกลางวัน เพื่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่งให้กับผู้โดยสารที่ต้องการเดินทางอย่างสะดวกและรวดเร็ว

สำหรับเส้นทางนนทบุรี-สาทร ในช่วงเช้าและเย็น เรือด่วนเจ้าพระยาธงทองจะจอดรับ-ส่งที่ท่าเรือหลักเพียง 12 ท่า และเชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้า ได้แก่ นนทบุรี, พระราม 7, บางโพ (เชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้า MRT บางโพ), เกียกกาย, เทเวศร์, พรานนก, ท่าช้าง, ท่าเตียน, ราชินี (เชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้า MRT สนามไชย), ราชวงศ์, สี่พระยา และสาทร (เชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้า BTS สะพานตากสิน)

ส่วนเส้นทางพรานนก-สาทร ในช่วงกลางวัน เรือด่วนเจ้าพระยาธงทองจะจอดรับ-ส่งที่ท่าเรือหลักเพียง 7 ท่า และเชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้า ได้แก่ พรานนก, ท่าช้าง, ท่าเตียน, ราชินี (เชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้า MRT สนามไชย), ราชวงศ์, ไอคอนสยาม และสาทร (เชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้า BTS สะพานตากสิน)

ตารางเวลาให้บริการเรือด่วนเจ้าพระยาธงทอง

>> จันทร์-ศุกร์ (เช้า-เย็น)
- นนทบุรี-สาทร 06.30 | 07.30 น.
- สาทร-นนทบุรี 17.30 | 17.55 น.

>> จันทร์-ศุกร์ (กลางวัน)
- พรานนก-สาทร 13.10-16.40 น.
- สาทร-พรานนก 12.40-15.40 น.

สำหรับเรือด่วนเจ้าพระยา 301 และ 302 เป็นเรือโดยสารชั้นเดียว มีความยาว 28 เมตร ความกว้าง 3.80 เมตร รองรับผู้โดยสารได้ 150 คน ใช้เหล็กเป็นวัสดุตัวเรือ มีความแข็งแรงทนทาน ง่ายต่อการบำรุงรักษา ตัวเรือได้รับการออกแบบถูกต้องตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัยของกรมเจ้าท่าและใช้หลักนาวาสถาปัตย์ร่วมกับแบบจำลองในคอมพิวเตอร์ รูปทรงเรือถูกออกแบบมาเพื่อลดการเกิดคลื่นโดยเฉพาะ ทั้งยังประหยัดพลังงานมากกว่าเดิม

ทั้งนี้ ค่าโดยสารเรือธงทอง ราคา 25 บาทตลอดสาย หากชำระค่าโดยสารด้วยบัตรแรบบิท จะได้รับส่วนลดทันที 2 บาทต่อเที่ยว เหลือเพียง 23 บาทเท่านั้น ซึ่งเป็นโปรโมชั่นพิเศษสำหรับผู้ที่ใช้บัตรแรบบิทจ่ายค่าโดยสาร โดยโปรโมชั่นนี้ขยายเวลาไปจนถึงวันที่ 30 มิ.ย.67 อีกทั้งยังสามารถใช้สิทธิ์ได้กับเรือด่วนเจ้าพระยาทุกธง ทุกเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นธงส้ม ธงเหลือง ธงเขียวเหลืองและธงแดง

ติดตามข้อมูลข่าวสารตารางเวลาให้บริการและเส้นทางที่อัปเดตจากทางเรือด่วนเจ้าพระยาผ่านช่องทางเพจเฟซบุ๊ก Chao Phraya Express Boat - เรือด่วนเจ้าพระยา หรือที่ LINE: @cpxcare

'อัษฎางค์' อึ้ง!! ชาวต่างชาติยังไม่เห็นด้วยกับการกระทำของตะวันต่อขบวนเสด็จฯ พร้อมย้ำ!! ขนบธรรมเนียมที่เป็นของตนเอง ต้องยึดมั่นเอาไว้ อย่าหลงตามฝรั่ง

(2 เม.ย. 67) อัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์เฟซบุ๊กหัวข้อ ชาวต่างชาติทราบข่าวตะวันบีบแตรไล่ขบวนเสด็จ โดยระบุรายละเอียดว่า เมื่อสักครู่เรียก Uber กลับบ้าน วันนี้ไม่ได้ขับรถเข้าเมืองเพราะหาที่จอดรถยาก

น้องอิงลูกชายถามว่า ไม่กลัวเหรอที่เรียก Uber ตอนค่ำ ๆ

ผมตอบว่า กลัวทำไม

น้องอิงบอกว่า อิงกับม่ามี๋ไม่กล้าเรียก Uber ตอนมืด ๆ

ผมตอบว่า ปกติพ่อก็ขับรถเอง โดยเฉพาะมืด ๆ ค่ำ ๆ ไม่เคยนั่ง Uber เหมือนกัน

พอเรียก Uber ปรากฏว่าได้คนขับเป็นคนแอฟริกันผิวดำ เลยนึกถึงการทักเรื่องปลอดภัยของลูกชาย ซึ่งคนดำก็มีภาพพจน์ที่ดูน่ากลัวเป็นปกติ ก็เลยชวนคนขับรถคุย จะได้รู้ว่าเขาเป็นคนยังไง

คนดำคนนี้ขับรถคัมรี่ใหม่เอี่ยม ถามได้ความว่า เขาเป็นเจ้าของภัตตาคารอาหารไนจีเรียอยู่ใน New Town เพิ่งเลิกกิจการมาขับ Uber ได้ 3 วันเท่านั้น เพราะกิจการไม่ค่อยดี นอกจากมาขับ Uber แล้วยังทำธุรกิจนำเข้าสินค้าจากจีนด้วย

พอพูดถึงเมืองจีน เขาเลยถามผมว่า เป็นคนจีนรึเปล่า

ผมตอบว่า ผมเป็นคนไทย

เขาก็พูดขึ้นทันทีว่า I love Thailand ฉันรักเมืองไทย ผู้หญิงไทยสวย

ผมเลยแซวว่า ตกลงรักเมืองไทยหรือสาวไทย

เขาตอบว่า ทั้งคู่ แล้วหัวเราะใหญ่

ผมถามว่า เคยไปที่ไหนของเมืองไทย

เขาตอบว่า บางกอก

เขาเรียกกรุงเทพว่า บางกอก แบบคนไทยชัด ๆ เลย โดยไม่ได้เรียกว่า Bangkok (ผมเจอคนต่างชาติที่เรียกกรุงเทพฯ ว่าบางกอก อยู่เนือง ๆ )

แล้วเขาก็พูดขึ้นว่า

ฉันเห็นข่าว ที่มีเด็กผู้หญิงบีบแตรไล่ขบวนเสด็จของ King (เขาเข้าใจผิดไปนิดนึงว่า ขบวนเสด็จของกรมสมเด็จพระเทพฯ เป็นขบวนเสด็จของ King)

ผมเลยพูดว่า คุณรู้ใช่มั้ยว่า ทุกประเทศในโลก ก็มีการรักษาความปลอดภัยเป็นพิเศษสำหรับประมุขของชาติหรือบุคคลสำคัญ เช่น บุคคลในราชวงศ์

เขาตอบว่า ใช่ เป็นแบบนั้น

แล้วเขาก็พูดขึ้นว่า เด็กรุ่นใหม่พวกนี้ โดนชาติตะวันตกล้างสมองละมั้ง

เขายังพูดต่อไปว่า…

ทุกประเทศต่างมีขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมของตนเอง เราต้องยึดมั่นในวัฒนธรรมของเรา ไม่ใช่เลียนแบบฝรั่งไปเสียทุกอย่าง

ฝรั่งพวกนั้นคิดแต่จะแผ่อิทธิพลไปแทรกแซงชาติต่าง ๆ เราไม่ควรหลงกล

โอโห้ พี่ไนจีเรีย อดีตเจ้าของภัตตาคารหมาด ๆ และกำลังเริ่มธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ ที่อาศัยขับ Uber เป็นอาชีพเสริมในช่วงที่กำลังตั้งหลักใหม่ พูดถูกใจผมจริง ๆ

พี่ไนจีเรีย พูดย้ำ ๆ อยู่หลายครั้ง เรื่องการที่พวกเรามีขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมเป็นของตนเอง เราต้องยึดมั่นเอาไว้ อย่าหลงทางไปกับฝรั่งจนลืมความเป็นตัวเรา

ผมเคยมีเพื่อนร่วมงานที่เป็นคนดำจากประเทศแอฟริกาใต้หลายคนมาก่อน คนดำในแอฟริกามีวัฒนธรรมคล้าย ๆ คนเอเชีย คล้าย ๆ คนไทยหลายอย่าง เช่น การมีนิสัยสนุกสนานและอ่อนโยน มีวัฒนธรรมการเคารพนับถือผู้ใหญ่ เพื่อนผิวดำแอฟริกัน เรียกผมว่า กูรู ซึ่งเป็นคำที่ใช้เรียกผู้ใหญ่ที่เขานับถือ

ส่วนคนดำที่เราเข้าใจว่าเป็นคนอันตรายนั้น ไม่ใช่คนดำจากแอฟริกา แต่เป็นคนอเมริกันแอฟริกัน คือคนผิวดำที่เป็นคนอเมริกัน ซึ่งในอเมริกาจะมีคนดำเป็นคนอันตรายที่มักก่อเหตุร้าย

ตอนที่รถวิ่งมาถึงบ้านแล้ว พี่ไนจีเรียก็ยังคุยไม่จบ พอลงรถแล้วผมเลยกดเงินให้ทิปไปหลายตังค์ด้วยความประทับใจในทัศนคติดี ๆ ที่มีต่อเมืองไทย รวมทั้งคำพูดที่ว่า คนไทยควรรักษาความเป็นไทยเอาไว้ (ที่ออสเตรเลีย เราจ่ายเงินค่าสินค้าทุกอย่าง รวมทั้งค่ารถเมล์ รถแท็กซี่หรือ Uber ได้จากมือถือ จากบัตรเครดิตหรือเดบิตของธนาคาร ที่ลิงก์ผ่าน Apple Pay หรือ Google pay)

เล่าสู่กันฟัง ว่าขนาดชาวต่างชาติยังไม่เห็นด้วยกับการกระทำของตะวันต่อขบวนเสด็จ ซึ่งเป็นคำที่เขาพูดซ้ำ ๆ อยู่หลายครั้ง

คนแอฟริกันทั้งหลายเข้าใจเรื่องพวกนี้ดี และมักแสดงความเห็นอกเห็นใจต่อคนที่โดนกระทำจากฝรั่งผิวขาว เพราะชาติของพวกเขาถูกเอารัดเอาเปรียบ หรือการทำตัวเป็นผู้ร้ายในคราบผู้ดีของฝรั่งผิวขาวมาก่อนอย่างยาวนาน

เริ่มต้นจากความไม่ไว้ใจ กลายเป็นความประทับใจในที่สุด

‘หนุ่ม’ แชร์อุทาหรณ์ ‘จอดรถตากแดด’ ไฟลุกพรึ่บ หวิดไหม้ทั้งคัน ชี้จุดฉนวนต้นเพลิง ‘ทิชชู-กล่องไม้จิ้มฟัน’ เตือน!! ถ้ามีในรถรีบเคลียร์ออก

(2 เม.ย. 67) จากกรณีหนุ่มรายหนึ่ง ได้โพสต์คลิปลงบนติ๊กต็อกช่อง @tawan_pick เป็นสภาพรถยนต์ไฟไหม้เบาะคนนั่งข้างหลัง ประกอบกับแดดร้อนจัด ทำให้กล่องพลาสติกไม้จิ้มฟันละลายไปกับเบาะ ซึ่งเป็นเหตุให้ไฟลุกไหม้

เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 2 เม.ย.67 เจ้าของโพสต์ ได้เผยว่า หลังจากจอดรถเอาไว้กลางแดด แต่รถไหม้เกือบทั้งคัน เพียงเพราะว่ามีทิชชูแห้งและไม้จิ้มฟัน โชคดีเจ้าหน้าที่กู้ภัยช่วยดับไฟสำเร็จ

โดยเจ้าของโพสต์ กล่าวว่า จอดรถไว้ในซอยบ้าน ซึ่งจอดเอาไว้ตั้งแต่เช้าและก็ขับรถจักรยานยนต์ไปทำงาน ซึ่งบริเวณดังกล่าวจอดไว้มานานมากแล้ว จากนั้นตนเลิกงานตอนเที่ยงตรง แม่ก็โทรมาบอกว่า “ให้รีบกลับบ้านเพราะไฟไหม้”

ตอนนั้นตกใจมาก จึงรีบขับรถกลับบ้านโดยด่วน เมื่อมาถึงก็ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ดับเพลิงของราษฎร์บูรณะ ได้ดับเพลิงเสร็จเรียบร้อยแล้ว เมื่อเปิดรถเข้าไปดูปรากฏว่า จุดที่เกิดไฟมันคือด้านเบาะหลัง เป็นที่ที่วางกระดาษทิชชูและไม้จิ้มฟันเอาไว้ จึงคิดว่าเกิดจากความร้อน

เนื่องจากเมื่อวานอากาศร้อนมาก ประกอบกับเป็นตอนเที่ยง และแสงมันลงมากระทบกับกระจกรถด้านหลังตรงคนนั่งฝั่งซ้าย มันก็อาจจะทำให้อากาศแห้งแล้วเกิดไฟไหม้ โชคดีที่จอดรถใกล้กับสถานีดับเพลิง พี่เจ้าหน้าที่ดับเพลิงจึงรีบช่วยกันดับเอาไว้ก่อน ทำให้ไฟไหม้ไม่บานปลาย เชื่อว่าถ้าหากเจ้าหน้าที่ไม่มาเห็น รถคงไม่ทั้งคันไปแล้ว

ตอนนี้จะต้องนำรถไปตรวจสภาพและเปลี่ยนเบาะทั้งหมด ทำความสะอาดรถใหม่ด้วย ซึ่งมูลค่าความเสียหายน่าจะ 20,000 บาท ทั้งนี้ อยากเตือนภัยสำหรับทุกคน ที่จำเป็นต้องจอดรถกลางแดด ให้เคลียร์ของในรถ พวกของแห้งที่เป็นทิชชู ไม้จิ้มฟัน หรืออะไรที่มันไวต่อไฟ ก็ให้หลีกเลี่ยงจะดีที่สุด


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top