Tuesday, 14 May 2024
NewsFeed

อดีตผู้สมัคร สส.รทสช. โพสต์ ถ้าจะแก้ รธน. ให้แก้เป็นรายมาตรา ชี้ ร่างใหม่ทั้งฉบับ สิ้นเปลือง ชวนปชช. จับตา อย่าให้ใครเข้ามา หาประโยชน์

เมื่อวานนี้ (30 มี.ค.67) นายณัฐนันท์ กัลยาศิริ หรือ ทนายบอน อดีตผู้สมัคร สส.กทม. พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กว่า …

"รัฐธรรมนูญถ้าจะแก้เพื่อประชาชน แก้เป็นรายมาตราครับ เอาให้ชัดเลยจะแก้ตรงไหน เพื่ออะไร

ร่างใหม่ทั้งฉบับสิ้นเปลือง และไม่เห็นความจำเป็นอะไร นอกจากเพื่อหา สสร. เป็นพวกตัวเอง หาเสียงให้ตัวเอง หรือเพื่อหาช่องทางแสวงหาอำนาจให้ตัวเอง ... โดยอ้างประชาชน

จะแก้อะไรว่ากันให้ชัด ๆ เป็นจุด ๆ ประชาชนจะได้จับตาดู อย่าอาศัยลูกชุลมุนแสวงหาประโยชน์ให้ตัวเองครับ"

สามเณร 17 ปี สอบผ่านเปรียญ 9 สำเร็จ ทำสถิติ อายุน้อยที่สุด ในประวัติศาสตร์ ของคณะสงฆ์ไทย

(30 มี.ค.67) ที่วัดสามพระยา กองบาลีสนามหลวง ประกาศผลสอบบาลีสนามหลวง ประจำปี 2567 ในชั้นเปรียญเอก ได้แก่ ประโยค ป.ธ.9 สอบผ่าน 76 รูป ประโยค ป.ธ.8 สอบผ่าน 165 รูป และประโยค ป.ธ.7 สอบผ่าน 226 รูป

สำนักเรียนที่มีผู้สอบผ่านในรับเปรียญ 9 มากที่สุดได้แก่สำนักเรียนวัดโมลีโลกยาราม มีพระภิกษุและสามเณรสอบได้มากที่สุดรวม 25 รูป

ในจำนวนนี้มีสามเณรภานุวัฒน์ กองทุ่งมน อายุ 17 ปี สอบผ่านได้ด้วย นับเป็นสามเณรอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์การศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกบาลีชั้นสูงสุด

'เปอร์-โอลอฟ คินด์เกรน' มือกีตาร์คลาสสิก ผู้ชื่นชมเพลงพระราชนิพนธ์ ในหลวง ร.9 ขอตัดใจไม่เล่นเพลงพระราชนิพนธ์อีก เหตุเพราะถูกบางกลุ่ม 'ยัดเยียดความรัก'

(30 มี.ค.67) ผู้ใช้เฟซบุ๊ก 'ดำรงค์ นาวิกไพบูลย์' อินฟลูเอนเซอร์ทางการเมืองชื่อดัง ได้โพสต์ข้อความชวนคิด ระบุว่า...

เห็นภาพนี้แล้วคุณอาจจะงง ตาฝรั่งนี่ใครวะ

เขาคือ เปอร์-โอลอฟ คินด์เกรน (Per-Olov Kindgren) มือกีตาร์คลาสสิกชาวสวีเดน ที่มีชื่อเสียงมากในยูทูบยุคแรกเริ่ม และก็มีคนติดตามแกมากถึง 2.23 คนเลยทีเดียว

เมื่อ 16 ปีที่แล้ว แกเลือกหยิบเพลงพระราชนิพนธ์ H.M. Blue (ชะตาชีวิต) ของในหลวงรัชกาลที่ 9 มาบรรเลง ซึ่งเขาก็ให้เครดิตในหลวงในฐานะผู้พระราชนิพนธ์ และเมื่อเผยแพร่ออกไปแล้ว ก็มีฝรั่งหลายคนเขามาแสดงความชื่นชม ทั้งตัวเขาและบทเพลง

บางคนถึงกับอุทานว่า "กษัตริย์ไทยต้องเป็นกษัตริย์ที่เจ๋งที่สุดในโลกแน่ๆ"

เสียงตอบรับโคตรดีย์

ดี 

ดีมาก 

ดีสุด ๆ

จนกระทั่ง #มีสลิ่มมาปักเข่า

----

คือ คินด์เกรน เขาก็บอกนะฮะว่า เขานั้นไม่รู้จักในหลวงของเราเลย เพียงบังเอิญได้รับฟังเพลง HM Blue แล้วชอบ ถึงได้เพิ่งรู้ว่าผู้แต่งเป็นกษัตริย์

แต่เขานั้นเป็นนักดนตรี เขาสนใจเฉพาะดนตรี

แต่สลิ่ม ก็ยังคงความเป็นสลิ่ม คลั่งใคล้เจ้าแบบไม่ลืมหูลืมตา ไปพยายาม "ยัดเยียดความรัก" ในในหลวงให้คนต่างชาติที่ไม่ได้รู้เรื่อง หรือเกี่ยวข้องอะไรด้วยเลย

พูดกันแบบแฟร์ๆ ตา คินด์เกรน เขาเป็นคนสวีเดน ที่ประเทศของเขาก็มีสถาบันพระมหากษัตริย์ของเขา ซึ่งมันก็ไม่มีเหตุผลที่เขาจะมาจงรักภักดีกับกษัตริย์ชาติอื่น ที่ไม่ใช่ราชวงศ์สวีเดนอยู่แล้ว

แต่สิ่งที่เราทำได้ คือการให้ความรู้กับคนต่างชาติว่า ในหลวงของเรานั้น ทรงเป็นผู้ประเสริฐ เพียรพยายามให้ความช่วยเหลือพสกนิกรผู้ยากจนและทุกข์ยากของพระองค์ ให้สามารถลืมตาอ้าปาก นำมาซึ่งความผาสุขและความเจริญให้แก่ประชาชน ผู้คน และมวลมนุษยชาติมากเพียงไหน 

ซึ่งการเป็นคนดี สร้างคุณูประการให้แก่ผู้อื่น ให้แก่เพื่อนมนุษย์ เป็นสิ่งที่ผู้คนทุกผู้นาม ทุกเชื้อชาติ ต่างก็ให้การยอมรับโดยดุษฎี อยู่แล้ว

ผมเองเมื่อครั้งอยู่ที่ออสเตรเลีย เพื่อนจากหลายชาติที่ไม่มีสถาบันพระมหากษัตริย์ก็ชอบถามว่า “ทำไมคนไทยรักในหลวงของคุณจัง ?” ผมตอบว่า “ถ้ามีใครสักคนที่อุทิศตนทำงานเพื่อสังคมส่วนรวมมาตลอดระยะเวลากว่า 50 ปี คุณจะรักและเทิดทูนเค้ามั้ย? นั่นแหละเหตุผลว่าทำไมคนไทยรักในหลวงของพวกเรา”

คำตอบแบบนี้ ไม่ว่าใครก็ต่างให้การยอมรับ และเห็นว่าชอบด้วยเหตุผล

---

แต่สิ่งที่สลิ่มไปทำต่อ ตาคินด์เกรน นั้นไม่ใช่แบบผม 

พอเขาไม่รู้จักในหลวง ก็ไปด่าเค้าว่าทำไมคุณไม่รู้ - ไม่รู้ได้ไง – ทำไมคุณไม่รักในหลวง

มารุมถล่มเยอะๆ เข้า โดยที่ไม่มีการให้ความรู้อะไรกับเค้าเลย (เพราะสลิ่มไม่มีความรู้ ผิดกับคนรักสถาบันที่มีสติสัมปชัญญะ)

ตาคินด์เกรนเลยประกาศว่า “จากนี้ไปกูจะไม่เล่นเพลงพระราชนิพนธ์แล้ว (โว้ย)” ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้เขาเขียนคอมเมนต์บอกแฟนคลับของเขา (ก่อนที่สลิ่มจะมา) ว่ายังมีเพลงพระราชนิพนธ์เจ๋ง ๆ อีกนะ เดี๋ยวจะทยอยเล่นให้ฟัง

Chief หายเลยทีนี้

และ 16 ปีนับจากนั้น คินด์เกรน ก็ไม่เล่นเพลงพระราชนิพนธ์อีกเลย (เนื่องจากรำคาญสลิ่ม)

----

นี่คือตัวอย่างของภัยร้ายจาก “#สันดานสลิ่ม” และเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงควรจะแยกสลิ่มออกจากคนรักสถาบัน

ไม่ต้องกลัวเลยว่าจะแพ้ก้าวไกล เพราะยังไงสลิ่มก็ไม่มีทางชนะ

เด็กรุ่นใหม่ เป็นรุ่นที่เกิดมาไม่ทันเห็นในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงงานอย่างหนัก เพราะเวลานั้นทรงชราภาพมากแล้ว ดังนั้นเด็กรุ่นใหม่จะไม่อิน

แต่ถ้าได้รับการถ่ายทอดเรื่องราวที่ดีจากคนรักสถาบันที่มีความรู้ คนรุ่นใหม่ก็พร้อมจะเข้าใจ และรักในสถาบันและราชวงศ์จักรี

ในขณะที่ สันดานแบบสลิ่ม ไปบังคับขู่เข็ญให้เขารัก จะมีแต่ทำให้คนรุ่นใหม่นั้นถอยห่าง วิ่งเข้าไปหาก้าวไกล

สุดท้ายแล้ว กลุ่มคนที่จะเอาชนะกระแสพรรคก้าวไกลได้ ก็คือ กลุ่มคนรักสถาบัน ที่ไม่มีพวกสลิ่มไปปนอยู่ในนั้น และเราควรปล่อยให้พวกสลิ่มนั้น ตายไปพร้อมกับความแก่ชราของพวกเขาได้แล้ว

ส่อง 'ประเทศ-เมือง' ที่มีเศรษฐีพันล้านเหรียญมากที่สุดในโลก ไทยติดอันดับ 12 ส่วน 'กรุงเทพฯ' ติดอันดับ 11

(30 มี.ค.67) Business Tomorrow รายงานว่า ศูนย์วิจัยหูรุ่น (Hurun Research) เปิดเผยรายชื่อเมืองเศรษฐีโลก โดยเมืองมุมไบของประเทศอินเดียกลายเป็นเมืองหลวงของเหล่าเศรษฐีพันล้านแห่งเอเชีย แซงเมืองปักกิ่งของจีนเป็นที่เรียบร้อย เป็นครั้งแรกที่อินเดียสามารถขึ้นไปสู่อันดับหนึ่งเอเชียได้

📌อันดับโลกเมืองที่มีเศรษฐีพันล้านมากที่สุด
อันดับ 1 นิวยอร์ก สหรัฐฯ (119 คน)
อันดับ 2 ลอนดอน อังกฤษ (97 คน)
อันดับ 3 มุมไบ อินเดีย (92 คน)
อันดับ 4 ปักกิ่ง จีน (91 คน)
อันดับ 5 เซี่ยงไฮ้ จีน (87 คน)

📌อันดับโลกประเทศ
อันดับ 1 จีน 814 คน
อันดับ 2 สหรัฐอเมริกา 800 คน
อันดับ 3 อินเดีย 271คน
อันดับ 4 สหราชอาณาจักร 146 คน
อันดับ 5 เยอรมนี 140 คน

รายงานนี้บอกถึงภาพรวมของโลกว่า ในช่วง 1 ปีล่าสุด (จาก 16 มกราคม 2023 ถึง 15 มกราคม 2024) โลกมีมหาเศรษฐีที่มีความมั่งคั่ง 1 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 36,400 ล้านบาท) ขึ้นไป เพิ่มขึ้น 167 คน รวมเป็นจำนวน 3,279 คน

รายงานนี้รวมรายชื่อมหาเศรษฐีที่มีความมั่งคั่ง 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (Billionaire) ขึ้นไปจากทั่วโลก โดยการคำนวณความมั่งคั่งอัปเดตถึงวันที่ 15 มกราคม 2024

ในส่วนของไทย กรุงเทพมหานครติดอันดับที่ 11 ของโลกในเมืองที่มีเศรษฐีพันล้านมากที่สุดที่ 49 คน ส่วนอันดับประเทศ ไทยติดที่อันดับ 12 ที่ 49 คนเช่นเดียวกับกรุงเทพมหานคร

นายจ้างเยียวยาให้ญาติผู้เสียชีวิต 7 ราย กรณีโรงงานหลอมเหล็กเครนถล่ม  ด้าน ตร.เร่งสอบต่อ ปมแอบฝังศพนับร้อย ด้านหลังโรงงานสะพัด

(31 มี.ค.67) จากกรณีโรงงานเครนถล่ม ตำรวจเตรียมตรวจสอบกรณีมีข้อมูลว่า มีการแอบฝังศพแรงงานต่างด้าวที่เสียชีวิตจากการทำงาน บริเวณเนินเขาหลังโรงงาน

แรงงานเมียนมา ลุกฮืออีกรอบ หลังยอมรับข้อเสนอการเยียวยาไปแล้ว แต่ยังไปพังรถนักข่าว ก่อนจะรวมตัวกดดันนายจ้างเพื่อขอความเป็นธรรมเรื่องหักเงินประกันสังคมแต่ไม่เข้ากองทุน โดยมีการปักหลักชุมนุมเรียกร้องกันภายในโรงงาน จนกระทั่ง รองผู้ว่าราชการจังหวัด ต้องเข้ามาร่วมรับฟังด้วย จนได้ข้อยุติ

เหตุการณ์สงบลง โดยแรงงานชาวเมียนมาหลายพันคน ยอมยุติการชุมชน หลังนายกำธร เวหน รองผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง เปิดแถลงที่หน้าสำนักงาน ไซต์ก่อสร้าง โรงหลอมเหล็ก ซินเคอหยวน ต.ตาสิทธิ์ อ.ปลวกแดง จ.ระยอง

ต่อหน้าแรงงานเมียนมาที่ปักหลักชุมนุมมาตั้งแต่เช้า หลังได้ให้ตัวแทน แรงงานเมียนมา ฝ่ายนายจ้าง และภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เข้าหารือร่วมกัน เพื่อหาข้อสรุปจากข้อเรียกร้องทั้งหมด โดยใช้เวลากว่า 3 ชั่วโมง

ได้ไปเจรจากับกลุ่มแรงงานชาวเมียนมาโรงงานหลอมเหล็กเครนถล่ม ที่ลุกฮือประท้วงรอบสอง   นานกว่า 3 ชั่วโมง จนได้รับความพอใจตามความประสงค์ ทั้ง 3 ฝ่าย คือ ฝ่ายผู้แทนบริษัท ฝ่ายหน่วยงาน และฝ่ายแรงงานญาติผู้เสียชีวิตโดยผลการหารือได้ข้อสรุป 8 ข้อ ดังนี้

1.เยียวยาให้ญาติผู้เสียชีวิต จำนวน 7 ราย รายละ 1.6 ล้านบาท โดยวันที่ 29 มีนาคม 2567 ได้มอบเงินสดให้กับญาติของผู้เสียชีวิตไปแล้วราย ๆ ละ 5 แสนบาท คงเหลือ 1,100,000 บาท

2.นายจ้าง รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการจัดการศพ ให้กับลูกจ้างผู้เสียชีวิตทั้ง 7 ราย

3. กรณีฝ่ายลูกจ้างมีข้อเรียกร้องว่าเงินสมทบประกันสังคมที่นายจ้างหักจากลูกจ้างแต่ไม่ได้นำส่งเข้ากองทุนประกันสังคมสำนักงานประกันสังคมจะติดตามให้เป็นรายบุคคลใน 2 สัปดาห์ 

4.กรณีฝ่ายลูกจ้างมีข้อเรียกร้องว่าลูกจ้างประสบอันตรายสูญเสียอวัยวะและยังไม่ได้รับการช่วยเหลือสำนักงานประกันสังคมจะติดตามให้นายจ้างนำส่งเอกสารเกี่ยวกับข้อเท็จจริงและรายละเอียดภายใน 2 สัปดาห์

5. กรณีฝ่ายลูกจ้างส่งเอกสารค่ารักษาพยาบาลเบิกกับนายจ้างแต่ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือสำนักงานประกันสังคมจะดำเนินการตรวจสอบ ภายใน 2 สัปดาห์ 

6.กรณีหนังสือเดินทางของลูกจ้างทั้งสองฝ่ายประสงค์ตรงกันจะเก็บเอาไว้ที่บริษัทและจะถ่ายเอกสารให้กับลูกจ้าง แต่จะให้คือ เมื่อลาออก 

7. กรณีลูกจ้าง 3 คนซึ่งมีข้อสงสัยว่านายจ้างจะเลิกจ้างสำนักงานสวัสดิการแรงงานและคุ้มครองแรงงานจังหวัดระยองจะตรวจสอบให้ได้รับสิทธิประโยชน์ตามที่กฎหมายกำหนด 

8.นายจ้างรับว่าจะปฏิบัติต่อลูกจ้างชาวเมียนมาให้ได้รับสิทธิตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน

ทั้งนี้ หลังการแถลงข้อสรุป นายทูลิน เจ้าหน้าที่สหภาพแรงงานเมียนมา ได้สื่อสารภาษาเมียนมาในข้อสรุปทั้งหมด ต่อหน้าแรงงานที่ปักหลักชุมนุม หลังจากกล่าวจบ ทุกคนต่างปรบมือ และ พอใจกับข้อสรุป และ เลิกชุมนุม

ด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจ เตรียมตรวจสอบกรณีที่มีข้อมูลว่ามีการแอบฝังศพแรงงานต่างด้าวที่เสียชีวิตจากการทำงาน บริเวณเนินเขาหลังโรงงาน โดยนายชินอ่อง แรงงานเมียนมาที่มาจาก กทม.เพื่อช่วยเพื่อนร่วมชาติ กล่าวถึงกรณีมีศพถูกฝังว่า ก็เคยได้ยินมาเหมือนกัน แต่ก็ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้

ขณะที่นายอัง โก ลิน หนึ่งในตัวแทนแรงงานเมียนมา และเป็นล่าม ได้ยกมือไหว้ขอโทษเจ้าหน้าที่กู้ภัยและนักข่าวที่ถูกพังรถ 

สำหรับพิธีศพของผู้เสียชีวิตทั้ง7ราย เตรียมติดต่อรับศพหลังการชันสูตร ไปบำเพ็ญกุศลตามประเพณีที่วัดภายใน อ.ปลวกแดง ต่อไป

‘ดร.เอ้’ เห็นต่าง ‘กาสิโนเสรี’ ชี้ ประเทศไทยยังไม่พร้อม ย้ำ!! ต้องศึกษาให้ละเอียด ‘ไม่ฉาบฉวย-ไม่เร่งร้อน’ เกรงกระทบต่อสังคม

(31 มี.ค.67) ศาสตราจารย์ ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กทม. ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวแสดงความเห็นในฐานะ พลเมืองไทยและพ่อคนหนึ่ง ที่ในขณะนี้นายกรัฐมนตรี พูดเรื่อง "กาสิโนเสรี" 

ดร.เอ้ สุชัชวีร์ กล่าวว่า ไทยเรายังไม่พร้อม ทั้งเรื่องโครงสร้างกฎหมาย และการบังคับใช้จากเจ้าหน้าที่รัฐ อีกทั้งเรายังไม่มีภูมิคุ้มกันให้แก่เยาวชน สุดท้ายจะกลายเป็น "ปัญหาร้ายแรง" ที่แก้ไขยาก เช่นเดียวกับ "กัญชาเสรี" และอาจรุนแรงกว่าด้วยซ้ำ! 

อีกทั้งไม่ได้การันตีว่า "บ่อนออนไลน์" และ "บ่อนเถื่อน" จะหมดไปแต่อย่างใด อาจเฟื่องฟูกว่าเดิมก็เป็นไปได้ โดยสุดท้าย ส่งผลให้ "คุมผลกระทบไม่ได้" เกิดการบานปลาย และสังคมพัง

ขณะเดียวกัน ยกตัวอย่างจาก “ผู้นำสิงคโปร์” เตรียมความพร้อม "ด้านการศึกษา" มาเป็นอันดับแรก เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันแก่พลเมือง และ มุ่งสร้างรายได้ประชาชาติจาก "เศรษฐกิจมูลค่าเพิ่ม" ที่แท้จริง ก่อนจะทำเรื่องอื่น

หากจะเลียนแบบสิงคโปร์ ที่มีกาสิโน ก็ควร "ศึกษาปัญหาอย่างละเอียดถี่ถ้วน" ไม่ฉาบฉวย ไม่เร่งร้อน รับฟังประชาชนรอบด้าน ทั้งสิงคโปร์เป็นประเทศเล็ก พลเมืองน้อย เจ้าหน้าที่รัฐเข้มแข็ง ทำหน้าที่ตรงไปตรงมา ปกป้องลูกหลาน ได้อย่างเต็มที่ เราทำแบบเขาได้ไหม? 

ซึ่งให้ความคิดเห็นต่อ “นายกรัฐมนตรีไทย”  ที่เน้นแต่จะสร้าง "รายได้เฉพาะหน้า" โดยไม่คำนึงถึง “การพัฒนาคน” และจะส่งผลกระทบ ต่อเด็ก ครอบครัว สังคม และประเทศชาติ ซึ่งจุดนี้ตนอดห่วงในลูกหลานเสียไม่ได้

ดร.เอ้ สุชัชวีร์ ขอพูดในฐานะ พลเมืองไทยและพ่อคนหนึ่ง ที่ไม่ต้องการให้ประเทศไทย เดินทางแบบมั่วซั่ว ลองผิดลองถูก สุดท้ายลูกๆหลานๆ ต้องมาเสียคน อะไรก็ทดแทนกันไม่ได้

‘อัครเดช’ เอาจริง เตรียมลุยระยอง บุกตรวจสอบ โรงงานจีน หลังพบ ฝ่าฝืนกฎหมาย ‘การก่อสร้าง-ก่อมลภาวะ-ใช้นอมินีสวมสิทธิ์’

(31 มี.ค.67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.) การอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยถึงกรณีโรงงานถลุงเหล็กของนักลงทุนจีน ที่จังหวัดระยองถล่มว่า ได้ขอให้ สส.ระยองที่เป็น กมธ.อุตสาหกรรมลงพื้นที่ไปเก็บข้อมูลมาเสนอ กรรมาธิการอุตสาหกรรมพิจารณา เพราะมีข้อมูลว่ามีนักลงทุนจากประเทศจีนมาลงทุนก่อสร้างโรงงานกระทำการผิดกฎหมายจำนวนมาก กมธ.กำลังติดตามพฤติกรรมของนักลงทุนจีนเหล่านี้ที่ฝ่าฝืนกฎหมาย มีข้อมูลว่ามีอยู่หลายราย ไม่ว่าจะเป็นการก่อสร้างโดยไม่ได้รับอนุญาต การประกอบกิจการผิดประเภท การก่อมลภาวะให้ชุมชน และการใช้นอมินีมาสวมสิทธิ์การประกอบกิจการ รวมถึงการทำผิดกฎหมายอื่นๆอีกหลายอย่าง

นายอัครเดช กล่าวว่า ล่าสุดพบว่ามีโรงงานของนักลงทุนจีนแห่งหนึ่งมีการขนย้ายและดำเนินการเรื่องกากแร่ที่เป็นวัตถุอันตรายที่ผิดกฎหมาย อาจส่งผลกระทบรุนแรงต่อสุขภาพของประชาชนอย่างมาก ซึ่งกรรมาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังตรวจสอบอยู่ ซึ่งกมธ.กำลังไล่ตรวจสอบโรงงานลักษณะนี้ทั่วประเทศ โดยตรวจสอบร่วมกับเจ้าหน้าที่กระทรวงอุตสาหกรรม ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีการจับกุมนักลงทุนจีนรายหนึ่งที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่จังหวัดชลบุรี และกำลังตรวจสอบอีก 2 แห่งในจังหวัดสมุทรสาคร และจังหวัดฉะเชิงเทรา

“เราพบว่ามีนักลงทุนจากประเทศจีนกระทำผิดกฎหมายอยู่หลายแห่ง ทำธุรกิจที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและประชาชน กรณีที่เกิดขึ้นกมธ.ได้เร่งเก็บข้อมูลเพื่อประชุมพิจารณาดำเนินการโดยประสานเจ้าหน้าที่ภาครัฐ ทั้งกรมโรงงานอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการคดีและดำเนินการจับกุมต่อไป” นายอัครเดชกล่าว

เมื่อถามว่า การทำผิดลักษณะนี้ กมธ.ได้รับแจ้งข้อมูลจำนวนมากหรือไม่ นายอัครเดช กล่าวว่า กมธ.ได้รับแจ้งข้อมูลจำนวนมากมีทั้งอยู่ระหว่างตรวจสอบข้อเท็จจริงของกมธ. อยู่ระหว่างการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ และที่ตำรวจจับกุมไปแล้วก็มี ล่าสุดที่จังหวัดสมุทรสาครทางกรมโรงงานอุตสาหกรรมคำสั่งให้หยุดประกอบกิจการชั่วคราวและมีอยู่อีกหลายรายที่กมธ.ได้ติดตามอยู่ กรณีจังหวัดฉะเชิงเทรา กมธ.อุตสาหกรรมได้ลงไปตรวจสอบอย่างจริงจังแล้ว

เมื่อถามว่า การที่เราเข้มงวดจะทำให้กระทบต่อการลงทุนของนักลงทุนจีนหรือไม่ นายอัครเดช กล่าวว่า ในระยะยาวเราต้องการนักลงทุนที่มีคุณภาพมาลงทุน ประเทศไทยไม่ต้องการนักลงทุนที่มาเอาเปรียบและทำร้ายคนไทยเป็นภัยต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ และเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศในหลายๆด้านกมธ.กำลังตรวจสอบนักลงทุนจากจีนที่ทำผิดกฎหมายมีอยู่จำนวนมาก ที่ดำเนินการอยู่มี 5-6 รายแล้ว

เมื่อถามย้ำว่า คิดว่าทางการจีนเข้าใจการดำเนินการของไทยหรือไม่ ประธานกมธ.อุตสาหกรรม กล่าวว่า ในอนาคตคงต้องหารือกับทางการจีนว่า ต้องคัดเลือกนักลงทุนที่มีคุณภาพ และให้ทางการจีนพิจารณาดำเนินการลงโทษคนที่ทำผิด ล่าสุดกมธ.ได้ประชุมร่วมกับบีโอไอ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า คณะกรรมการแข่งขันทางการค้า ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง และอีกหลายหน่วยงาน โดยได้กำหนดแนวทางเบื้องต้นแก่นักลงทุนที่เข้ามาลงทุนแล้วทำผิดกฎหมายทำร้ายสุขภาพคนไทย ทำลายสิ่งแวดล้อมของไทยไม่ให้เข้ามาประกอบธุรกิจในไทย โดยเสนอให้ภาครัฐยกเลิกวีซ่า และดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

‘นิด้าโพล’ เปิดมุมมอง สะท้อนความคิดเห็น ‘ขรก.-จนท.รัฐ’ เบื่อขั้นตอนมากมาย-เบื่อเจ้านาย แต่ ‘ไม่อยากย้าย-ไม่อยากออก’

(31 มี.ค.67) ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง “ข้าราชการ เจ้าหน้าที่รัฐ เบื่ออะไร?” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 14-18 มีนาคม 2567 จากข้าราชการ ลูกจ้าง พนักงานรัฐวิสาหกิจทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับความรู้สึกเบื่อของข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐต่อระบบราชการไทย เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0

เมื่อถามถึงความคิดเห็นของข้าราชการ ลูกจ้าง พนักงานรัฐวิสาหกิจเกี่ยวกับสาเหตุที่ทำให้รู้สึกเบื่อในระบบ หรืองานราชการ พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 39.47 ระบุว่า ขั้นตอนการปฏิบัติราชการที่มากมายและยุ่งยากซับซ้อน , รองลงมา ร้อยละ 31.53 ระบุว่า ระบบอุปถัมภ์ในระบบราชการ , ร้อยละ 28.24 ระบุว่า เงินเดือนน้อย , ร้อยละ 22.44 ระบุว่า ตัวชี้วัดทั้งหลาย , ร้อยละ 20.38 ระบุว่า โครงสร้าง การปกครองหรือสั่งการตามลำดับชั้น

ร้อยละ 18.93 ระบุว่า การประสานงานที่ไม่เป็นระบบ , ร้อยละ 17.02 ระบุว่า การแข่งขันกันเพื่อแย่งชิง ความดีความชอบและตำแหน่งที่สำคัญ , ร้อยละ 16.49 ระบุว่า การคอร์รัปชันในระบบราชการ , ร้อยละ 16.18 ระบุว่า เจ้านาย , ร้อยละ 15.73 ระบุว่า ไม่เบื่ออะไรเลย , ร้อยละ 14.05 ระบุว่า เพื่อนร่วมงาน , ร้อยละ 11.07 ระบุว่า การทำงานแบบผักชีโรยหน้า , ร้อยละ 10.23 ระบุว่า การแทรกแซง ของนักการเมือง ผู้มีอิทธิพล , ร้อยละ 8.47 ระบุว่า ลูกน้อง , ร้อยละ 7.25 ระบุว่า งานที่มีความเสี่ยงจะผิดกฎระเบียบ และร้อยละ 6.41 ระบุว่า ประชาชนที่ไม่เข้าใจในระบบงาน กฎระเบียบของราชการ

ด้านความศรัทธาต่อระบบราชการไทย พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 49.47 ระบุว่า ค่อนข้างศรัทธา , รองลงมา ร้อยละ 22.52 ระบุว่า ศรัทธามาก , ร้อยละ 21.53 ระบุว่า ไม่ค่อยศรัทธา , ร้อยละ 6.34 ระบุว่า ไม่ศรัทธาเลย และร้อยละ 0.14 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

ท้ายที่สุดเมื่อถามความคิดเห็นเกี่ยวกับการลาออก หรือการย้ายไปอยู่หน่วยงานอื่นของรัฐ พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 63.04 ระบุว่า ไม่อยากลาออกและไม่อยากย้ายหน่วยงาน , รองลงมา ร้อยละ 14.89 ระบุว่า อยากลาออกจากหน่วยงานของรัฐ , ร้อยละ 13.44 ระบุว่า อยากย้ายไปอยู่หน่วยงานอื่นของรัฐ , ร้อยละ 8.32 ระบุว่า ลาออกหรือย้ายหน่วยงานก็ได้ และร้อยละ 0.31 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

‘มิสแกรนด์นครราชสีมา’ แต่งเป็น ‘อนุสาวรีย์ย่าโม’ ชาวโซเชียลแห่ชม ‘บอสณวัฒน์’ ยกให้ สุดจริงทุกมิติ

(31 มี.ค.67) กำลังเป็นไวรัลถูกพูดถึงไปทั่วโลกโซเชียลขณะนี้ สำหรับเวทีการประกวด มิสแกรนด์ไทยแลนด์ 2024 ในรอบ ชุดประจำจังหวัด เพื่อค้นหาที่สุดแห่งชุดประจำชาติ (Miss Grand Thailand 2024 : National Costume Competition)

งานนี้สาวงามจากทั่วประเทศ ก็งัดของดีของเด็ด มาประชันกัน ซึ่งสาวงามที่ถูกจับตามองในค่ำคืนนี้ คือ พลอย-นันทิชา ยังวัฒนา มิสแกรนด์นครราชสีมา 2024 มาในชุด “ย่าโม”

งานนี้ก็ทำเอาโลกโซเชียลฮือฮา คอมเมนต์ชื่นชมกันยกใหญ่ อาทิ
• คิดว่ายกรูปปั้นอนุสาวรีย์มาจากโคราช ทำถึงมาก
• เราคนโคราชไม่ดราม่านะคะ คุณย่าใจดีไม่ใช่การล้อเลียนแต่เป็นการสื่อให้รู้ในสิ่งที่คนโคราชนับถือคู่บ้านเมืองค่ะ
• ขนลุกเลยค่ะ ทำถึงมาก จากใจคนโคราช
• คิดว่าย่ามาจริง
• สวยขลัง มีพลังความเป็นแม่ย่ามากค่ะ
• ชุดหน้าเหมือนมากค่ะ เป๊ะปังเวอร์ งดงาม ขนลุกเลยค่ะ
แถมงานนี้ไม่ธรรมดา เพราะความปังก็เตะตา บอส ณวัฒน์ อิสรไกรศีล สุด ๆ เจ้าตัวถึงขั้นเอ่ยปากชมผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุข้อความว่า “ชุดประจำชาติของจังหวัดนครราชสีมาเมื่อคืนนี้บอกได้คำเดียวว่าสุดจริงทุกมิติ”

นครพนม​ -ผู้บัญชาการทหารบก/ผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการปฏิบัติภารกิจของกำลังป้องกันชายแดนไทย-ลาว 

เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2567 พลเอกเจริญชัย  หินเธาว์  ผู้บัญชาการทหารบก/ผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก พร้อมคณะ  ด้วยพลโท อดุลย์ บุญธรรมเจริญ แม่ทัพภาคที่ 2/ผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 มอบหมายให้ พลโท บุญสิน   พาดกลาง   แม่ทัพน้อยที่ 2 /รองผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 เป็นผู้แทนพร้อมด้วย พลตรี พรชัย    มาหลิน  รองแม่ทัพภาคที่ 2, และพลตรี นรธิป  โพยนอก ผู้บัญชาการกองกำลังสุรศักดิ์มนตรี/ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 2 ส่วนแยก 1 ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการปฏิบัติภารกิจและให้กำลังใจหน่วยกองกำลังป้องกันชายแดน ไทย-ลาว ในพื้นที่จังหวัดนครพนม โดยได้รับฟังการบรรยายสรุปผลการดำเนินงานด้านยาเสพติด ของหน่วยบัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด สารตั้งตัน และเคมีภัณฑ์ชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (นบ.ยส.24) เพื่อรับทราบข้อมูล สถานการณ์ในพื้นที่ ปัญหาข้อขัดข้องต่างๆ ของหน่วย พร้อมทั้งได้มอบแนวทางการปฏิบัติ การแก้ไขปัญหายาเสพติด

โดยเน้นการบูรณาการขับเคลื่อนการดำเนินงาน ในการแก้ไขปัญหายาเสพติด ร่วมกับทุกภาคส่วนในพื้นที่เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์และเป็นรูปธรรม เพื่อสนองนโยบายของรัฐบาล ภายใต้การนำของนายเศรษฐา  ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่ต้องการลดความเดือดร้อน จากปัญหายาเสพติดให้เห็นผลเป็นรูปธรรมภายใน 1 ปี จึงกำหนดปฏิบัติการ Quick Win ประกาศพื้นที่พิเศษที่มีความจำเป็นเร่งด่วน ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด กำหนดให้จังหวัดนครพนม ในพื้นที่ 4 อำเภอชายแดน ได้แก่ อำเภอท่าอุเทน ธาตุพนม บ้านแพงและอำเภอเมืองนครพนม  เป็นพื้นที่พิเศษ เร่งด่วนในการแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยมีการจัดตั้งหน่วยบัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด เคมีภัณฑ์และสารตั้งต้นชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อให้เกิดการดำเนินการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด เคมีภัณฑ์และสารตั้งต้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่บัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด สารตั้งตัน และเคมีภัณฑ์ชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ค่ายพระยอดเมืองขวาง ตำบลกุรุคุ อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม 

จากนั้น ผู้บัญชาการทหารบก/ผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบกและคณะ ได้เดินทางไปตรวจพื้นที่หาดบ้านหนาด ตำบลบ้านกลาง อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม โดยรับฟังการบรรยายสรุปผลการปฏิบัติภารกิจในห้วงที่ผ่านมา ประกอบภูมิประเทศ ( Board walk ) จากหน่วยกองบังคับการควบคุมที่ 1 กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี เพื่อรับทราบข้อมูลการปฏิบัติงาน ปัญหาข้อขัดข้องต่างๆ ของหน่วย พร้อมทั้งมอบนโยบาย ข้อเน้นย้ำ และมอบแนวทางการปฏิบัติภารกิจ ให้ยกระดับเข้มงวด เพิ่มการคุมเข้ม ช่องทางผ่านเข้า – ออกชายแดนแม่น้ำโขง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันชายแดน ในพื้นที่รับผิดชอบของหน่วย เช่น การกระทำผิดกฎหมาย การลักลอบนำเข้ายาเสพติด การหลบหนีเข้าออกนอกราชอาณาจักร เพิ่มมาตรการในการปฏิบัติจุดเฝ้าระวังช่องทางธรรมชาติ ตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งทางบกและทางน้ำ
จากนั้นผู้บัญชาการทหารบก/ผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก และคณะ ได้เดินทางไปตรวจพื้นที่อำเภอบ้านแพง จังหวัดนครพนม รับฟังการบรรยายสรุปผลการปฏิบัติภารกิจในห้วงที่ผ่านมา ประกอบภูมิประเทศ ( Board walk ) โดยพันเอก สุริวัชร์  อัครพรเดชาพงษ์  ผู้บังคับการกรมทหารพรานที่ 21/ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 21 มอบหมายให้ ร้อยโท วันชาติ  เหมือนปืน ผู้บังคับกองร้อยเฉพาะกิจทหารพรานที่ 2101 หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 21 บรรยายสรุปผลการปฏิบัติภารกิจในห้วงที่ผ่านมา จากนั้นผู้บัญชาการทหารบก/ผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบกและคณะ ได้พบปะให้โอวาท มอบนโยบาย ข้อเน้นย้ำ และมอบแนวทางการปฏิบัติภารกิจ ให้กับกำลังป้องกันชายแดนที่ปฏิบัติภารกิจในพื้นที่ชายแดนไทย - ลาว ตามลำแม่น้ำโขง ให้ยกระดับเข้มงวด เพิ่มการคุมเข้ม ช่องทางผ่านเข้า – ออกชายแดนแม่น้ำโขง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันชายแดน ในพื้นที่รับผิดชอบของหน่วย เช่น การกระทำผิดกฎหมาย การลักลอบนำเข้ายาเสพติด การหลบหนีเข้าออกนอกราชอาณาจักร เพิ่มมาตรการในการปฏิบัติจุดเฝ้าระวังช่องทางธรรมชาติ ตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งทางบกและทางน้ำ และเน้นการบูรณาการด้านการข่าวร่วมกับทุกภาคส่วน ที่ฐานปฏิบัติการกองร้อยเฉพาะกิจทหารพรานที่ 2101 หน่วยเฉพาะกิจทหารพรานที่ 21 อำเภอบ้านแพง จังหวัดนครพนม  ซึ่งในห้วงที่ผ่านจังหวัดนครพนม ได้ประกาศพื้นที่พิเศษ ใน 4 อำเภอชายแดน เป็นพื้นที่พิเศษเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหายาเสพติด

โดยมีการจัดตั้งหน่วยบัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด เคมีภัณฑ์และสารตั้งต้นชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเป็นการบูรณาการกำลังทั้งทหาร ตำรวจภูธรจังหวัด สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ภาค 4 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่จังหวัดนครพนม เสริมความเข้มแข็งตามแนวชายแดนมากยิ่งขึ้น ซึ่งตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 จนถึงปัจจุบัน  ในโอกาสนี้ผู้บัญชาการทหารบก/ผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก ได้มอบสิ่งของบำรุงขวัญ ให้กับกำลังป้องกันชายแดนที่ปฏิบัติภารกิจในพื้นที่ชายแดนรับผิดชอบของ กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี เพื่อเป็นขวัญกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ และกล่าวขอบคุณกำลังพลที่ปฏิบัติภารกิจสำคัญในการดูแลแนวชายแดนไทย- ลาว ซึ่งมีความทุ่มเท เสียสละ ปกป้องประเทศชาติจากภัยคุกคาม ยาเสพติด หรือสิ่งผิดกฎหมาย ซึ่งแสดงถึงการปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ รวมทั้งการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือนร้อน ตามแนวชายแดนไทย-ลาว ในทุกสถานการณ์ 

เดวิท​ โชคขัย​ รายงาน​092-5259777


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top