Tuesday, 14 May 2024
NewsFeed

‘Mazda’ เปิดบูธภายใต้ธีม ‘Love of Cars’ ในงาน Motor Show พร้อมอวดโฉม ‘MX-30 e-SKYACTIV R-EV’ ที่ ‘สะดวกสบาย-ไปได้ไกลว่า’

เมื่อเร็วๆ นี้ มาสด้าเนรมิตบูธจัดแสดงรถยนต์ ภายใต้ธีม Love of Cars เพื่อถ่ายทอดความมุ่งมั่นของมาสด้าในการพัฒนาเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์แห่งอนาคตที่กำลังดำเนินไปตามกรอบระยะเวลา ตอบสนองความต้องการของลูกค้าผู้ที่หลงใหลในการขับขี่และรักในรถยนต์ โดยแบ่งโซนจัดแสดงบอกเล่าเรื่องราวที่มีลูกค้าอยู่ในทุกช่วงเวลา และมีรถยนต์มาสด้าเป็นพาร์ตเนอร์ในทุกประสบการณ์ ตอกย้ำการให้ความสำคัญที่มีลูกค้าเป็นหนึ่งในทุกการเติบโต สื่อสารอารมณ์ความรู้สึก ความสนุกสนานในการขับขี่ ความสุขในการใช้ชีวิต และอนาคตที่รถยนต์มีส่วนช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน รวมถึงเปิดโอกาสให้ผู้ที่ชื่นชอบรถยนต์ได้แบ่งปันความทรงจำที่มีต่อรถยนต์ร่วมกัน เพื่อพัฒนาความสัมพันธ์อันดีระหว่างลูกค้าและแบรนด์มาสด้าให้แนบแน่นยิ่งขึ้น พร้อมปลุกตำนานโรตารี่ด้วยการจัดแสดงเทคโนโลยีแห่งอนาคต Mazda MX-30 e-SKYACTIV R-EV ที่ผสานการทำงานร่วมกันระหว่างระบบไฟฟ้ากับเครื่องยนต์โรตารี่ กลายเป็น Plug-in Hybrid ที่ให้ทุกการเดินทางสะดวกสบายและไปได้ไกลกว่า มาให้คนไทยได้สัมผัสกันอย่างใกล้ชิด

มร. ทาดาชิ มิอุระ ประธานบริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ปีนี้มาสด้าออกแบบบูธใหม่ทั้งหมด ภายใต้ธีม Love of Cars ได้แรงบันดาลใจจากการมีลูกค้าเป็นส่วนหนึ่งในทุกประสบการณ์ของการเดินทาง เป็นศูนย์รวมความสุขของผู้ที่รักในรถยนต์ โดยแบ่งโซนการจัดแสดงออกเป็น โซนแกลเลอรี่วอลล์ ที่ลูกค้าส่งภาพความประทับใจกับรถยนต์คันโปรด You and Mazda Moments ถ่ายทอดประสบการณ์ความสุขในทุกช่วงเวลาของลูกค้า ซึ่งเป็นปณิธานที่เรามุ่งหวังและตั้งใจที่จะส่งมอบให้กับลูกค้าทุกคน และยังได้รับการสนับสนุนจากผู้ที่รักในรถยนต์ 'The Memorable Love of Cars' เสียสละรถโมเดลผ่านทางมาสด้า เพื่อส่งต่อให้กับเด็กๆ เยาวชนที่ขาดแคลน ซึ่งมีผู้สละเข้ามามากกว่า 500 คัน และมาสด้าเพิ่มเติมอีก 1,000 คัน โดยจะเร่งส่งต่อรถโมเดลเหล่านี้ให้ถึงมือเด็กๆ โดยเร็วที่สุด

ส่วนไฮไลต์สำคัญ คือ การจัดแสดงเทคโนโลยี Multi-Solution มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ส่งมอบเทคโนโลยีที่มีความหลากหลายและมีความเหมาะสมในแต่ละภูมิภาค เพิ่มทางเลือกให้กับผู้ที่กำลังมองหารถยนต์ไฟฟ้า ในยุคที่กำลังเปลี่ยนผ่านจากพลังงานเชื้อเพลิงไปสู่พลังงานไฟฟ้า หลายคนคงจดจำเครื่องยนต์โรตารี่ สัญลักษณ์แห่งการไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค และความคิดสร้างสรรค์ นี่คือหนึ่งใน Multi-Solution เทคโนโลยีแห่งอนาคตจากมาสด้า การนำเทคโนโลยี e-SKYACTIV R-EV มาใช้กับรถยนต์รุ่นใหม่ล่าสุดนี้ เป็นการปลุกฟื้นคืนชีพตำนานเครื่องยนต์โรตารี่ ต้นกำเนิดรถสปอร์ตมาสด้าหลากหลายรุ่นในอดีต ที่ถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นมาจนถึงปัจจุบันกลายเป็นดีเอ็นเอสายพันธุ์สปอร์ตที่ทั่วโลกให้การยอมรับ

หัวใจหลักสำคัญของการพัฒนา MAZDA MX-30 e-SKYACTIV R-EV คือเครื่องยนต์โรตารี่ทำหน้าที่ปั่นกระแสไฟกลับเข้าสู่แบตเตอรี่ เครื่องยนต์ขนาด 830 ซีซี เล็กกว่าเครื่องยนต์ลูกสูบทั่วไปที่ให้กำลังใกล้เคียงกัน ให้พละกำลังสูงสุดถึง 170 แรงม้า ที่ 9,000 รอบต่อนาที ลูกสูบหมุน 1 โรเตอร์ ทำจากวัสดุอะลูมิเนียม น้ำหนักเบาเพียง 15 กก. ประกอบกับแบตเตอรี่ลิเที่ยมไอออนขนาด 17.8 กิโลวัตต์ชั่วโมง เมื่อวิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่เพียงอย่างเดียวได้ระยะไกลถึง 85 กิโลเมตร ที่เกิดจากจากการชาร์จเพียงครั้งเดียว ซึ่งเพียงพอต่อการใช้งานในเมือง และเมื่อได้รับการปั่นเป็นพลังงานไฟฟ้ากลับเข้ามาจากเครื่องยนต์โรตารี่จะทำให้เพิ่มระยะทางในการขับขี่ได้ไกลกว่า 600 กิโลเมตร ทำให้ลูกค้าไม่ต้องกังวลกับการเดินทางไกลเพื่อออกไปหาประสบการณ์ใหม่ในการดำเนินชีวิต ซึ่งเกิดจากประสิทธิภาพของเครื่องยนต์โรตารี่ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงขนาดถัง 50 ลิตร มาผสานการทำงานของระบบมอเตอร์ไฟฟ้าเป็นตัวขยายระยะทางในการขับขี่ กลายเป็นเทคโนโลยี ปลั๊ก-อิน ไฮบริด ที่สมบูรณ์แบบที่มีต้นกำเนิดจากการทำงานของเครื่องยนต์โรตารี่ อันเกิดจาก 'จิตวิญญาณแห่งความท้าทาย' หรือ 'Challenger Spirit' อันมีเอกลักษณ์เฉพาะของมาสด้า

นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ รองประธานบริหารอาวุโส บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า รถยนต์มาสด้าทุกรุ่นที่นำมาจัดแสดงภายในงานฯ ล้วนเป็นยนตรกรรมได้รับการถ่ายทอดปรัชญาของมาสด้า เพื่อยกระดับประสบการณ์ความสุขในทุกการขับขี่ และการใช้ชีวิตประจำวันในทุกๆ ด้านให้กับลูกค้าทุกคน ซึ่งรวมถึง การนำ NEW MAZDA MX-5 รถสปอร์ตโรดสเตอร์แบรนด์ไอคอนยอดนิยม ที่ได้รับการพัฒนาปรับปรุงใหม่ด้วยการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีความปลอดภัยที่ล้ำสมัย กับเทคโนโลยีที่ช่วยอำนวยความสะดวกในด้านการเชื่อมต่อ และเทคโนโลยีในการขับขี่ เพื่อถ่ายทอดปรัชญา จินบะ-อิตไต (Jinba-Ittai) ให้โดดเด่นสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น ซึ่งผู้ขับขี่จะสามารถสัมผัสได้ถึงอัตราเร่ง และการควบคุมพวงมาลัยที่ตอบสนองได้อย่างดีเยี่ยม ฉับไว ไม่ว่าจะขับรถในเมือง ทางโค้ง หรือขับในสนามแข่ง

โดยเฉพาะในระบบเกียร์แมนนวลที่มาพร้อม DSC-TRACK ซึ่งเป็นระบบควบคุมเสถียรภาพและการทรงตัวของรถ (Dynamic Stability Control: DSC) ใหม่ ที่ใส่เพิ่มเติมเข้าในรถรุ่นนี้ เพื่อช่วยให้ผู้ขับขี่ควบคุมรถได้เหมือนกับการขับรถแข่งในสนามแข่ง โดยระบบจะยอมให้เกิด Understeer หรือ Oversteer เพียงเล็กน้อย และระบบจะเข้ามาช่วยเหลือในกรณีที่ผู้ขับขี่ไม่สามารถควบคุมรถได้ หรือก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์รถหมุนเท่านั้น เพื่อช่วยควบคุมรถเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน จึงสามารถมอบความปลอดภัยให้กับผู้ขับขี่ได้ดียิ่งขึ้น และขับขี่ได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น ตอกย้ำถึงแนวทางในการพัฒนารถยนต์ของมาสด้าได้เป็นอย่างดี ในด้านการยกระดับคุณค่าประสบการณ์ของลูกค้าให้ครบทุกมิติ วางราคาจำหน่าย 3,029,000 บาท ดอกเบี้ย 2.49%1 ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี2 ฟรี โปรแกรมคุ้มครองและดูแลรถ 5 ปี Mazda Ultimate Service (MUS)3 ขยายการรับประกันคุณภาพเป็น 5 ปี และฟรีบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง 5 ปี

ทั้งนี้ มาสด้าจะยังคงเดินหน้าในการส่งมอบ ความสุขในการขับขี่ Joy of Driving ต่อไป ภายใต้คุณค่าหลัก ที่ให้ความสำคัญกับการมุ่งเน้น 'มนุษย์เป็นศูนย์กลาง' และมุ่งมั่นที่จะส่งมอบ 'ความสุขในการดำเนินชีวิต' ด้วยการสร้างสรรค์ประสบการณ์ความสุขให้กับชีวิตประจำวันของทุกคน

‘จอย ศิริลักษณ์’ ทำบุญให้ ‘ตั้ว ศรัณยู-ผู้เสียชีวิต’ ระหว่างชุมนุมพันธมิตร ย้ำ!! ศาลฯ ‘ยกฟ้อง’ ให้กับทุกท่าน ที่ทำความดี เพื่อประเทศชาติ

(30 มี.ค.67) หลังจากศาลพิพากษา 'ยกฟ้อง' คดีที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ชุมนุมปิดล้อมสนามบิน ช่วงปี 2551 โดยยกฟ้องจำเลยทั้ง 67 คนทุกข้อหา

ล่าสุดนักแสดงสาว 'จอย ศิริลักษณ์ ผ่องโชค' หนึ่งในผู้ต้องหาคดีดังกล่าว ได้ออกมาโพสต์ภาพทำบุญตักบาตรพระ เพื่อเป็นสิริมงคลและอุทิศส่วนบุญ ส่วนกุศลให้ผู้ล่วงลับจากการชุมนุมผ่านอินสตาแกรมส่วนตัว ด้วยแคปชันว่า

“ข้าพเจ้าขออุทิศบุญกุศลนี้ให้ พี่ตั้ว ศรัณยู น้องโบว์ สารวัตรจ๊าบ 'ผู้เสียชีวิตระหว่างชุมนุมพันธมิตร' และ 'ผู้เสียชีวิตระหว่างต่อสู้คดี' ขอให้ทุกท่านโปรดรับรู้ว่า ศาลพิพากษา 'ยกฟ้อง' ท่านได้กระทำคุณงามความดีเพื่อประเทศชาติโดยแท้ ขอให้กุศลที่ท่านทั้งหลายได้เสียสละจนวาระสุดท้ายนั้น จงเป็นบารมีหนุนนำทุกท่านตลอดไป ทุกภพชาติ สาธุ”

ม่วนคัก! 'ระเบียบวาทะศิลป์-รัตนศิลป์อินตาไทยราษฎร์' เข้าร่วมคณะซอฟต์พาวเวอร์

เสริมทัพคณะซอฟต์พาวเวอร์ ให้แข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม มีการอัพเดตจากทางคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านดนตรี โดยเพจเฟสบุ๊ก THACCA บอกข่าวว่า 'ทีมหมอลำ' เข้าร่วมเป็นหนึ่งของการขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์ประเทศไทย เพราะนี่คือส่วนผสมสำคัญที่ทำให้คนรู้จัก 'ไทย' ผ่านดนตรีในอีกมุมมอง สำหรับรายชื่อคณะอนุกรรมการฯ ชุดใหม่ ที่เข้ามาเสริมทีม ประกอบด้วย 

- สุมิตรศักดิ์ พลล้ำ ประธานภาคีหมอลำ และเจ้าของวงหมอลำ 'ระเบียบวาทะศิลป์' 
- ปราณี พระจันทร์ ผู้บริหารวงหมอลำ 'รัตนศิลป์อินตาไทยราษฎร์' 

สำหรับ 'ระเบียบวาทะศิลป์' และ 'รัตนศิลป์อินตาไทยราษฎร์' เป็นวงหมอลำที่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง ได้รับการยอมรับว่าเป็นสุดยอดวงหมอลำแห่งยุคสมัย รวมถึงเป็นทีมเครือข่ายภาคีหมอลำประเทศไทยด้วย

โดยรายชื่อ คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรม “ด้านดนตรี” ประกอบด้วย

1. วิเชียร ฤกษ์ไพศาล (ประธาน) - ประธานและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทเวย์-ที ครีเอชั่น จำกัด, ผู้ก่อตั้ง จีนี่ เร็คคอร์ดส์ และอดีตผู้บริหารบริษัทจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน)
2. ชลากรณ์ ปัญญาโฉม - ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานดิจิทัล บริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) และ ผู้บริหาร บริษัท ทีป๊อป อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด
3. ภาวิต จิตรกร - ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จีเอ็มเอ็ม มิวสิค จำกัด (มหาชน) และ กรรมการบริหาร บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน)
4. พรพรรณ เตชรุ่งชัยกุล - ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาร์เอส มิวสิค จำกัด
5. ณฐพล ศรีจอมขวัญ - ประธานกรรมการ บริษัทลิขสิทธิ์ดนตรี ประเทศไทย จำกัด และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทสไปร์ซซี่ดิสก์ จำกัด

6. พงศ์นรินทร์ อุลิศ - ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แคทเรดิโอ จำกัด
7. สามขวัญ ตัมสมพงษ์ - กรรมการผู้จัดการ บริษัท วอท เดอะ ดั้ก มิวสิค จำกัด
8. คาล คงขำ – กรรมการผู้จัดการ บริษัท วอร์นเนอร์ มิวสิค (ประเทศไทย) จำกัด
9. สุมิตรศักดิ์ พลล้ำ - ประธานภาคีหมอลำ ผู้บริหารวงหมอลำระเบียบวาทะศิลป์
10. ปราณี พระจันทร์ - ผู้บริหารวงหมอลำรัตนศิลป์อินตาไทยราษฎร์

11. พลกฤต ศรีสมุทร - กรรมการผู้จัดการ บริษัท วายยูพีพี เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด และ บริษัท แร็พอิสนาว จำกัด
12. พิเศษ จียาศักดิ์ - กรรมการเครื่องหมายการค้า และ ที่ปรึกษา บจ.ลิขสิทธิ์ดนตรี (ประเทศไทย) จำกัด
13. อนุชา โอเจริญ – ผู้ก่อตั้งค่ายเพลง Rats Records
14. อรศิริ ประวัติยากูร - หัวหน้าฝ่ายโปรเจ็กต์ต่างประเทศ ค่ายสมอลล์รูม และ อดีตผู้อำนวยการฝ่ายคอนเทนต์, เทนเซ็นต์ ไทยแลนด์ (สื่อ, บันเทิง)
15. พงศ์สิริ เหตระกูล - ผู้บริหารค่ายเพลง NO1R และสื่อ Nylon Bangkok
16. นัดส์ เจดีย์ - ผู้ก่อตั้ง Loudly Prefer
17. อนันต์ ลือประดิษฐ์ - ผู้ก่อตั้งและบรรณาธิการอำนวยการสื่อ The People
18. ปิยะพงษ์ หมื่นประเสริฐดี - ผู้ร่วมก่อตั้งและกรรมการบริษัท ฟังใจ จำกัด 
19. ลลิส วรพชิรากูร (เลขานุการ) - ที่ปรึกษาและนักวางแผนกลยุทธ์เชิงพาณิชย์และการมีส่วนร่วมด้วยนวัตกรรม (ธุรกิจสร้างสรรค์และบันเทิง)

‘ดีอี - สธ.’ จับมือพัฒนาระบบคลาวด์กลางด้านสาธารณสุข เชื่อมต่อข้อมูลสุขภาพประชาชนไว้บนระบบเดียวกัน ยกระดับ 30 บาท

เมื่อวานนี้ (29 มี.ค.67) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) และนายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ร่วมกันเปิดโครงการ ‘พัฒนาระบบคลาวด์กลางด้านสาธารณสุขของประเทศไทย’ ภายใต้กิจกรรมที่ 1 ‘การพัฒนาบริหารจัดการการแลกเปลี่ยนข้อมูลสุขภาพทั่วประเทศ’ โดยมีนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดีอี พร้อมด้วยนายภุชพงค์ โนดไธสง เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และนายธีรวุฒิ ธงภักดิ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตลอดจนคณะผู้บริหาร เจ้าหน้าที่กระทรวงดีอีและกระทรวงสาธารณสุข พร้อมผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมงาน ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว กรุงเทพฯ โดยภายในงานได้มีการเสวนา ในหัวข้อ ‘ความเป็นมาของโครงการ เป้าหมาย การใช้บริการ Cloud การ Exchange ข้อมูล’ ซึ่งมีผู้ร่วมเสวนา ได้แก่ นายธีรวุฒิ ธงภักดิ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และนายแพทย์สุรัคเมธ มหาศิริมงคล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศ กระทรวงสาธารณสุข

นายประเสริฐ กล่าวว่า กระทรวงดีอี โดยสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) มุ่งมั่นที่จะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีสมัยใหม่ ซึ่งระบบคลาวด์กลางด้านสาธารณสุขเป็นสิ่งสำคัญและมุ่งมั่นให้บริการแก่ประชาชน โดยจัดให้มีระบบคลาวด์กลาง GDCC เพื่อให้บริการด้านการประมวลผลและจัดเก็บข้อมูลที่ปลอดภัยสำหรับหน่วยงานภาครัฐ สนับสนุนบริการภาครัฐตามยุทธศาสตร์ชาติ ทั้งนี้ การพัฒนาระบบสารสนเทศแพลตฟอร์มกลางบนคลาวด์มีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับ รพ.สต.ทั่วประเทศ ที่ขาดแคลนบุคลากรด้านคอมพิวเตอร์และงบประมาณ ซึ่งระบบนี้จะได้รับการดูแล ปรับปรุงและพัฒนาจากหน่วยงานส่วนกลางแบบออนไลน์ เป็นการลงทุน สำหรับการพัฒนาและดูแลระบบที่มีต้นทุนต่ำ แต่สามารถเชื่อมโยงการดูแลสุขภาพทุกระดับ ระบบสารสนเทศจะมีระบบประมวลผลแบบกลุ่มเมฆ (Cloud Computing) ในรูปแบบ Private Cloud ที่มีความยืดหยุ่นในการใช้งาน มีการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ ช่วยลดงบประมาณให้กับภาครัฐ ในระยะยาวได้ โดยกระทรวงดีอีจะดำเนินการจัดหา พัฒนา ดูแลระบบคลาวด์กลางสำหรับข้อมูลสุขภาพที่มีความปลอดภัย พร้อมกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

“สดช. และ สธ. ในฐานะหน่วยงานรัฐผู้ดำเนินงานให้บริการโครงการคลาวด์กลาง เชื่อมั่นว่าระบบนี้จะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการดูแลสุขภาพของประชาชน และเป็นการขับเคลื่อนสู่ Health 4.0 อย่างเป็นระบบ ซึ่งโครงการนี้ไม่เพียงแค่เป็นการปรับปรุงการบริหารจัดการข้อมูลสุขภาพเท่านั้น แต่ยังเป็นการลงทุนที่สำคัญในการเดินหน้าของประเทศไทยสู่ Health 4.0 ที่จะช่วยสร้างพื้นที่ในการพัฒนาและส่งเสริมนวัตกรรมในด้านสุขภาพอย่างยั่งยืน” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวย้ำ 

ขณะที่ นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีนโยบายเร่งผลักดันการพัฒนาระบบสุขภาพระดับชาติ เพิ่มขีดความสามารถด้านสาธารณสุข สร้างบทบาทของนวัตกรรมด้านสุขภาพ รวมถึงสร้างสภาพแวดล้อมและโครงสร้างพื้นฐานด้านสุขภาพดิจิทัล เพื่อให้ประชาชนทุกคน ทุกพื้นที่ มีโอกาสเข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้อย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขมีการพัฒนาระบบสุขภาพดิจิทัลมาอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญคือ ‘แอปพลิเคชันหมอพร้อม’ แพลตฟอร์มสุขภาพดิจิทัลที่มีผู้ใช้งานกว่า 25.4 ล้านคน รวมถึงการพัฒนาโรงพยาบาลในสังกัดให้เป็นโรงพยาบาลอัจฉริยะ นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการให้บริการ มีการเชื่อมต่อข้อมูลสุขภาพของประชาชนบนฐานข้อมูลที่มีความปลอดภัย ช่วยให้ประชาชนเข้ารับบริการได้อย่างสะดวก รวดเร็วลดการรอคอยและลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางได้

“สำหรับโครงการพัฒนาระบบคลาวด์กลางฯ ซึ่งเป็นความร่วมมือของกระทรวงสาธารณสุข โดยศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และ กระทรวงดีอี โดยสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ริเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2565 เป้าหมายสำคัญคือ การพัฒนาระบบบริหารจัดการข้อมูลสุขภาพของโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขทั้งปฐมภูมิ ทุติยภูมิ ตติยภูมิ และส่วนกลาง ให้อยู่บนระบบเดียวกัน รวมทั้งยกระดับการทำงานหน่วยงานรัฐด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลที่ทันสมัย พร้อมระบบรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ตามมาตรฐานสากล ISO 27001 ช่วยป้องกันไม่ให้ข้อมูลรั่วไหลหรือถูกโจรกรรม และสามารถนำข้อมูลสำคัญมาวิเคราะห์เพื่อวางแผนในการบริหารจัดการด้านการแพทย์และสาธารณสุขของประเทศไทยได้อย่างเหมาะสม รวมทั้งยังรองรับการขับเคลื่อนนโยบายยกระดับ 30 บาท รักษาทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว ที่ต้องมีการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพจากโรงพยาบาลภาครัฐ โรงพยาบาลเอกชน คลินิก ร้านยา ร้านแล็บที่เข้าร่วมโครงการ ทำให้ผู้ให้บริการทางการแพทย์ทราบข้อมูลสุขภาพชุดเดียวกัน เช่น ประวัติการแพ้ยา แพ้อาหาร การรักษาที่ผ่านมา ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ สามารถให้การรักษาผู้ป่วยได้อย่างเหมาะสม” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าว

อนุชุมชนฯ ลงพื้นที่ฉะเชิงเทรา ขับเคลื่อนการเชื่อมโยงประโยชน์จากการลงทุนสู่ประชาชนและชุมชนในพื้นที่ อีอีซี

เมื่อวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2567 คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการเชื่อมโยงประโยชน์จากการลงทุนสู่การพัฒนาพื้นที่และชุมชน นำโดย รองศาสตราจารย์มณฑล แก่นมณี ประธานอนุกรรมการ พร้อมด้วย นายธนาคม จงจิระ รองประธานฯ และอนุกรรมการ รวมทั้งผู้บริหาร สกพอ. นางธัญรัตน์ อินทร รองเลขาธิการฯ สายงานพื้นที่และชุมชน และเจ้าหน้าที่ สกพอ. นายอาทร เสริมศักดิ์ศศิธร ประธาน YEC และผู้ผแทน YEC ได้เดินทางลงพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา เพื่อเรียนรู้แนวทางการช่วยเหลือเกื้อกูลกันของนิคมอุตสาหกรรม ฯ และชุมชนรอบโครงการอย่างเป็นรูปธรรม และการยกระดับผลิตภัณฑ์จากภูมิปัญญาท้องถิ่นให้มีมูลค่าสูงขึ้นของวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่ รวมถึงร่วมประชุมหารือกับหน่วยงานในพื้นที่และผู้นำท้องถิ่นเกี่ยวกับแนวทางการสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกผ่านโครงการ EEC Tambon Mobile Team คณะอนุกรรมการฯ ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ของ สกพอ. ได้ลงพื้นที่ประชุมหารือและศึกษาแนวทาง การดำเนินงาน 'เขาดิน โมเดล' 

ซึ่งเป็นตัวอย่างความสำเร็จของการช่วยเหลือเกื้อกูลและสนับสนุนส่งเสริมกันของนิคมอุตสาหกรรมฉะเชิงเทรา บลูเทค ซิตี้ และชุมชนรอบโครงการทั้งด้านที่ดิน ด้านอาชีพ และด้านสิ่งแวดล้อม ณ ศูนย์เรียนรู้ “ทุ่งสมุนไพรป่าชายเลน” แห่งแรกของประเทศไทย โดยมีนางสาวกุลพรภัสร์ วงค์มาจารภิญญาประธานผู้บริหารนิคมอุตสาหกรรมฉะเชิงเทรา บลูเทคซิตี้ ให้การต้อนรับ ทั้งนี้ ได้มีการหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางส่งเสริมผลิตภัณฑ์สมุนไพรในชุมชนให้มีมูลค่าสูงขึ้น และสามารถขยายช่องทางการตลาดได้มากขึ้น ซึ่งจะนำไปขยายผลในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมอื่น ๆ ต่อไป จากนั้น ได้เข้าเยี่ยมชมโรงงานผลิตแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนและระบบกักเก็บพลังงานแบบครบวงจร ของบริษัท บริษัท อมิตา เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นโรงงานที่ทันสมัยและใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน เกิดจากการร่วมลงทุนระหว่างกลุ่มบริษัทพลังงานบริสุทธิ์ กับ บริษัท อมิตา เทคโนโลยี (ไต้หวัน) ผลผลิตของโรงงานแห่งนี้ถือเป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญในการขับเคลื่อนการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายในพื้นที่ อีอีซี  

นอกจากนี้ คณะอนุกรรมการฯ ได้ร่วมประชุมหารือร่วมกับนายศักรินทร์ ศรีสมวงศ์ นายอำเภอบ้านโพธิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา และผู้นำท้องถิ่น ประกอบด้วย นายหิรัญ หริ่มเจริญ กำนันตำบลหนองตีนนก นายสมศักดิ์ ไหลไผ่ทอง ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 4 และนายเมืองแมน มนจ้อย ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 5 ตำบลหนองตีนนก และนายวิลาศ สุวินัย นายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองตีนนก เป็นต้น เกี่ยวกับแนวทางการทำงานร่วมกันในการสร้างการรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการพัฒนาพื้นที่ อีอีซี รวมทั้งการเตรียมพื้นที่และชุมชนให้มีความพร้อมและศักยภาพที่จะรองรับการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ผ่านโครงการ EEC Tambon Mobile Team จากนั้น ได้เข้าเยี่ยมวิสาหกิจชุมชนเกษตรผสมผสานและการแปรรูปตำบลหนองตีนนก ซึ่งได้รับรางวัลชมเชยจากการประกวดวิสาหกิจชุมชนดีเด่น ระดับจังหวัด ประจำปี 2567 วิสาหกิจชุมชนแห่งนี้เกิดขึ้นจากการรวมกลุ่มกันของประชาชนในชุมชนเพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารให้แก่สมาชิก ด้วยการปลูกผักและเลี้ยงสัตว์ด้วยวิธีการธรรมชาติ ให้สมาชิกมีอาหารที่ปลอดภัยอย่างเพียงพอ ส่วนรายได้ที่เกิดจาการจำหน่ายผลผลิตทางการเกษตรจะนำมาปันผลให้แก่สมาชิก และช่วยเหลือสมาชิกยามเจ็บป่วย มีการนำวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดเพื่อลดต้นทุนการผลิตและรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งสอดคล้องกับการประกอบธุรกิจแบบ BCG โดยคณะอนุกรรมการฯ จะนำข้อมูลและบทเรียนแห่งความสำเร็จไปเป็นแนวทางในการขับเคลื่อนการเชื่อมโยงจากการลงทุนสู่พื้นที่และชุมชน ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญของคณะอนุกรรมการฯ ต่อไป

ตำรวจภาค 4 ตรวจเข้มสถานบริการทั่วอีสานเหนือ สร้างความเชื่อมั่นนักท่องเที่ยวก่อนเทศกาลสงกรานต์

พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ภ.4 ได้สั่งการให้ตำรวจภาค 4 ตรวจสอบสถานบริการ และแหล่งอบายมุข ต่างๆในพื้นที่ 12 จังหวัดภาคอีสานตอนบน โดยนำกำลังตำรวจประกอบด้วย ตำรวจภูธรจังหวัดกาฬสินธุ์, ขอนแก่น, นครพนม, บึงกาฬ, มหาสารคาม, มุกดาหาร, ร้อยเอ็ด, เลย, สกลนคร, หนองคาย, หนองบัวลำภู, อุดรธานี และตำรวจจาก บก.สส.ภ.4 ทั้งในและนอกเครื่องแบบ รวมทั้งฝ่ายปกครอง เข้าร่วมปฏิบัติการด้วย เน้นตรวจสอบจับกุมสถานบริการที่ผิดกฎหมาย ยาเสพติด เด็กและเยาวชนที่เข้ามาเที่ยวสถานบริการ อาวุธปืน และแหล่งอบายมุข รวมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติการประมาณ 1,000 นาย ร่วมกันตรวจสถานบริการในพื้นที่รับผิดชอบ ตั้งแต่กลางดึก ของคืนวันที่ 29 มี.ค.67 ถึงเวลาประมาณ 02.00 น.ของวันที่ 30 มี.ค.67  

ผลการปฏิบัติ ได้ทำการตรวจสอบใบอนุญาตสถานบริการ 32 แห่ง พบว่ามีใบอนุญาต ตรวจสอบสารเสพติดผู้มาใช้บริการกว่า 1,000 คน ตรวจสอบอายุนักเที่ยวในสถานบริการกว่า 2,700 คน  นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ตรวจตราดูแลความปลอดภัยประชาชนที่ไปเที่ยว และประชาสัมพันธ์ กำชับผู้ประกอบการทุกแห่ง มิให้จัดให้มีการมั่วสุม จำหน่ายหรือมีการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด, ระมัดระวัง มิให้มีการพกพาอาวุธ โดยเฉพาะอาวุธปืน มีด หรือสิ่งที่จะเป็นอันตรายแก่ผู้อื่น เข้าไปในสถานบริการ, มิให้บุคคลอายุต่ำกว่า 20 ปี เข้าใช้บริการและปิดสถานบริการตามเวลาที่กฎหมายกำหนด

พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ภ.4 กล่าวว่า ปฏิบัติการครั้งนี้เป็นไปตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี และ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร. ที่ให้กวดขันปราบปราม จับกุมสถานบริการผิดกฎหมาย อีกทั้งยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยว ที่จะมาเที่ยวภาคอีสานในช่วงเทศกาลสงกรานต์อีกด้วย สำหรับในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ใกล้จะถึงนี้ ตนได้สั่งกำชับให้ตำรวจทุกพื้นที่เข้มงวดในการตรวจตราสถานบริการ จับกุมแหล่งอบายมุข ยาเสพติด อาวุธปืน และดูแลความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนให้ดีที่สุด พล.ต.ท.สรายุทธ กล่าวทิ้งท้าย

‘กรมควบคุมโรค’ ชี้ ‘แบคทีเรียกินเนื้อ’ ระบาดใน ‘ญี่ปุ่น’ แต่ที่ไทย ยังไม่รุนแรง เน้น มาตรการป้องกัน เหมือนโรคโควิด ‘สวมหน้ากาก-ล้างมือ’ สงสัยให้โทร.1422

(30 มี.ค.67) กรมควบคุมโรค ออกแถลงการณ์ชี้แจงข้อเท็จจริงเรื่อง การเพิ่มขึ้นของโรคแบคทีเรียกินเนื้อที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย 'สเตรปโตคอคคัส ชนิดเอ' ในประเทศญี่ปุ่น ว่า

กรณีที่ในขณะนี้ ข่าวการเพิ่มขึ้นของโรคแบคทีเรียกินเนื้อที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย 'สเตรปโตคอคคัส ชนิดเอ' ในประเทศญี่ปุ่น ที่ทางการญี่ปุ่นกำลังสืบค้นหาสาเหตุของการเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าส่วนหนึ่งอาจเป็นผลจากการผ่อนคลายมาตรการป้องกัน โควิด 19 ร่วมกับอาจมีสาเหตุอื่นๆ ร่วมด้วยนั้น

กรมควบคุมโรค ขอเรียนชี้แจงเบื้องต้นว่า เชื้อแบคทีเรีย 'สเตรปโตคอคคัส ชนิดเอ' นี้ เป็นเชื้อก่อโรคที่มีมานานแล้ว และมีมากกว่า 200 สายพันธุ์ ก่อให้เกิดอาการแสดงของโรคได้หลายรูปแบบ ตั้งแต่อาการน้อยหรือปานกลาง ได้แก่ การติดเชื้อของคอหอย ต่อมทอนซิล และระบบทางเดินหายใจ หรืออาจก่อให้เกิดการติดเชื้อที่ผิวหนังและเนื้อเยื่อชั้นใต้ผิวหนัง ส่วนหนึ่งของผู้ป่วยอาจมีอาการรุนแรง (ซึ่งพบเป็นส่วนน้อย) ได้แก่

มีการอักเสบอย่างรุนแรงของผิวหนังชั้นลึก หรือเกิดภาวะช็อกที่อาจมีอาการรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ โดยหนึ่งในอาการแสดงของโรคและอยู่ในระบบเฝ้าระวังของประเทศไทยคือ 'โรคไข้อีดำอีแดง หรือ Scarlet fever' ซึ่งเป็นโรคติดต่อที่ต้อง เฝ้าระวังตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 เกิดได้ทุกช่วงอายุแต่มักเป็นในเด็กวัยเรียน ติดต่อจากคนสู่คนโดยการใกล้ชิดและหายใจรับละอองฝอยของเสมหะ น้ำมูก น้ำลาย ที่มีเชื้อ หรือละอองเชื้อโรคสัมผัสกับตา จมูก ปาก หรือสัมผัสผ่านมือ สิ่งของเครื่องใช้ เช่น จาน ชาม แก้วน้ำ เป็นต้น อาการที่พบ คือ เจ็บคอ ปวดศีรษะ ไข้ และอาจมีผื่นนูนสากๆ ตามร่างกาย (จากเชื้อสร้างสารพิษ) สัมผัสแล้ว มีลักษณะคล้ายกระดาษทราย

กลุ่มเสี่ยงของโรคจะเป็นเด็กวัยเรียน อายุ 5 - 15 ปี ที่อยู่รวมกัน จำนวนมาก เช่น เด็กนักเรียนในโรงเรียน หรือศูนย์เด็กเล็ก ฯลฯ จากข้อมูลการเฝ้าระวังโรคของกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 ถึงวันที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2567 พบผู้ป่วย 4,989 ราย ไม่พบรายงานผู้เสียชีวิต สำหรับปี พ.ศ. 2567 ยังไม่พบรายงาน

ส่วนในกรณีอาการรุนแรงนั้น จากระบบโครงสร้างฐานข้อมูลด้านการแพทย์และสุขภาพ (43 แฟ้ม) ของประเทศไทย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 - 2566 กรณี Toxic Shock Syndrome พบว่า มีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาเป็นผู้ป่วยในโรงพยาบาล จำนวน 204 ราย เฉลี่ยปีละ 41 ราย และมีแนวโน้มลดต่ำลงในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด 19 โดยในปี พ.ศ. 2566 พบผู้ป่วย จำนวน 29 ราย

ส่วนกรณีโรคแบคทีเรียกินเนื้อหรือโรคเนื้อเน่า (Necrotizing fasciitis) ซึ่งอาจเกิดได้จากแบคทีเรียหลายชนิด (โดย 1 ในเชื้อสาเหตุคือ 'สเตรปโตคอคคัส ชนิดเอ') จากการติดตามใน พ.ศ. 2562 - 2566 มีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลทั้งสิ้น 106,021 ราย มีจำนวนผู้เสียชีวิตด้วยภาวะดังกล่าว 1,048 ราย คิดเป็นอัตราป่วยตายประมาณร้อยละ 1.0 แนวโน้มการรายงานผู้ป่วยคงที่และลดลงในปี พ.ศ. 2566 โดยมีอัตราป่วย 27.35 ต่อแสนประชากร (จากเดิมร้อยละ 32.5 ต่อแสนประชากร) พบรายงานผู้ป่วยตลอดทั้งปีแต่สูงสุดในเดือนมิถุนายน - กรกฎาคมของทุกปี

จากการติดตามข้อมูลดังกล่าว ยังไม่พบว่าอุบัติการณ์การติดเชื้อนี้มีการเพิ่มขึ้น หรือรุนแรงขึ้นในประเทศไทย

การติดเชื้อนี้สามารถรักษาได้ด้วยยาปฏิชีวนะ ดังนั้นการไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาแต่เนิ่น ๆ การได้รับยาปฏิชีวนะที่ถูกต้อง รวดเร็ว เหมาะสม จะช่วยให้ลดความรุนแรงของโรค และช่วยลดการแพร่เชื้อสู่คนรอบข้างได้ ในรายที่อาการเป็นมากอาจต้องร่วมกับการผ่าตัดเนื้อตายออก กลุ่มเสี่ยงที่อาจจะมีอาการรุนแรง คือ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือเป็นผู้ที่มีรอยโรคที่ผิวหนังมาก่อน

เนื่องจากการแพร่ระบาดหลักของเชื้อนี้เป็นทางระบบทางเดินหายใจ (โดยอาจร่วมกับการสัมผัสกับสิ่งคัดหลั่งหรือหนองจากแผล ในกรณีมีการติดเชื้อที่ผิวหนัง) และการติดเชื้อนี้พบได้ทุกช่วงอายุ

ดังนั้นมาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด 19 จึงสามารถช่วยลดการแพร่ระบาดของเชื้อนี้เช่นกัน การสวมหน้ากากอนามัย การล้างมือบ่อยๆ การรักษาสุขอนามัยส่วนบุคคล ยังคงเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะในสถานที่ที่มีคนอยู่รวมกันจำนวนมาก หรือเมื่อต้องเดินทางไปต่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ที่มีโรคประจำตัว ควรต้องระมัดระวังควรสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อย ๆ ไม่ใช้ภาชนะ เช่น แก้วน้ำ ช้อน ร่วมกับผู้อื่น และรักษาสุขอนามัยส่วนบุคคลอย่างเคร่งครัด

โดยกรมควบคุมโรคยังคงติดตามสถานการณ์โรคติดเชื้อ 'สเตรปโตคอคคัส ชนิดเอ' ในญี่ปุ่นนี้อย่างต่อเนื่อง ขอประชาชนอย่าตื่นตระหนก แนะนำประชาชน ถ้ามีไข้ เจ็บคอ ร่วมกับมีผื่นสากนูน หรือตุ่มหนองที่ผิวหนัง หรือปวดเมื่อยกล้ามเนื้อมาก ควรรีบไปพบแพทย์ (โดยเฉพาะถ้าหลังกลับจากต่างประเทศ ภายในช่วง 1 สัปดาห์แรก) เพื่อรับการวินิจฉัย รักษา และแยกโรคอย่างถูกต้อง การเดินทางไปต่างประเทศ ยังคงต้องรักษาสุขอนามัยส่วนบุคคลอย่างสม่ำเสมอ หากมีข้อสงสัยประชาชนสามารถสอบถามข้อมูลได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422

‘ธนกร’ ย้ำ รธน. มาจากเสียงส่วนใหญ่ หากจะยกร่าง ต้องถามปชช. ยืนยัน ไม่แก้ ‘หมวดความมั่นคง-พระมหากษัตริย์’

(30 มี.ค.67) นายธนกร วังบุญคงชนะ สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวภายหลังรัฐสภาร่วมลงมติเห็นชอบให้รัฐสภา ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภา ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 (2) ที่นายชูศักดิ์ ศิรินิล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และคณะ เป็นผู้เสนอ ว่า ตนเห็นด้วยที่ให้รัฐสภาสอบถามศาลรัฐธรรมนูญก่อน เพื่อให้เกิดความรอบคอบ จะได้ไม่ขัดหรือแย้งกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 4 / 2564 ถึงอำนาจหน้าที่ของรัฐสภา ว่าสามารถจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ หรือมีอำนาจแค่แก้ไขเพิ่มเติมเท่านั้น ตามมาตรา 256 หรือไม่ ซึ่งตนและพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) น้อมรับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเพราะมีผลผูกพันทุกองค์กร

นายธนกร กล่าวว่า ทั้งนี้ ส่วนตัวเห็นว่า ปัญหาของประชาชนขณะนี้คือปัญหาเศรษฐกิจปากท้องและรายได้ไม่เพียงพอ หนี้สินล้นพ้นตัว สภาผู้แทนราษฎร รวมถึงรัฐบาล ควรมุ่งให้ความช่วยเหลือประชาชนในเรื่องนี้ก่อน ตามที่นายกฯและรัฐบาลกำลังหาแนวทางดำเนินการแก้วิกฤตเศรษฐกิจด้วยมาตรการลดภาระค่าครองชีพในด้านต่าง ๆ และเตรียมกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ หากมีการผลักดันให้มีการแก้ไขหรือร่างรัฐธรรมนูญก่อน ซึ่งจำเป็นจะต้องทำประชามติในช่วงปีนี้ อาจต้องใช้งบประมาณจำนวนมหาศาล เพราะการทำประชามติ 1 ครั้งใช้งบฯ กว่า 3,200 ล้านบาทแล้ว หากต้องทำ 2-3 ครั้ง จะเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณมากกว่า 9,600 ล้านบาท มองว่าควรเอางบประมาณในส่วนนี้ ลงไปอุดหนุนอุ้มค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าน้ำมัน จึงจะเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน ซึ่งการแก้ไขรัฐธรรมนูญสามารถดำเนินการภายหลังได้

“การจะยกร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ จำเป็นต้องถามประชาชนก่อน เนื่องจากรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันพ.ศ.2560 มาจากความเห็นชอบเสียงส่วนใหญ่กว่า 15 ล้านเสียง ที่ประชาชนไปออกเสียงประชามติมา

หากจำเป็นต้องยกร่างรัฐธรรมนูญทำประชามติกันจริง ๆ ตนและสส.รทสช. ก็ขอย้ำชัดในจุดยืนเดิม ว่า ต้องเขียนคำถามพ่วงให้ชัดเจน ว่าจะไม่มีการแก้ไข ไม่ไปแตะหมวด 1 และหมวด 2 เกี่ยวกับความมั่นคงของชาติ การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และในเนื้อหา ต้องไม่แก้ไขกฎหมายเกี่ยวการทุจริต ประพฤติมิชอบ ที่เขียนไว้อย่างดีรอบคอบแล้ว“ นายธนกร ย้ำ

ตำรวจ - กสทช. - กรมสอบสวนคดีพิเศษ เปิดปฏิบัติการ TAKE DOWN SCAMMER ทลายฐานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติ ครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ ค้น 3 จุด นครศรีธรรมราช รวบ 63 ต่างชาติ - ไทย ซุกโรงแรม โกดังของมือ 2 ยึดซิมผีนับพัน

จากนโยบายของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มอบหมายให้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กวดขัน ปราบปรามอย่างเด็ดขาดกับอาชญากรรมออนไลน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งสร้างความเดือนร้อนให้กับประชาชนเป็นอย่างมาก พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ( รอง ผบ.ตร. ) รักษาราชการแทน ผบ.ตร. จึงได้สั่งการให้ทุกหน่วยตำรวจในพื้นที่บูรณาการหาข่าว ปราบปรามขยายผลให้ถึงผู้บงการ ยึดทรัพย์ และนำตัวมาดำเนินคดีอย่างเคร่งครัด ซึ่งได้ปรากฏทางการสืบสวนพบว่า มีกลุ่มแก๊งอาชญากรรมข้ามชาติมาตั้งฐานอยู่ทางภาคใต้ จึงได้สั่งการให้ พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. บูรณการกำลังเข้าปฏิบัติการ

วันนี้ ( 29 มีนาคม 2567 ) เวลา 16.30 น. ที่ สภ.ฉวาง จว.นครศรีธรรมราช พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. ดูแลงานด้านอาชญากรรมเทคโนโลยี ร่วมกับ พล.ต.อ.ณัฐธร เพราะสุนทร กรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช. ) ด้านกฎหมาย ในฐานะประธานอนุกรรมการบูรณาการบังคับใช้กฎหมายความผิดทางเทคโนโลยีฯ นายไตรรัตน์ วิริยะศิรติกุล รักษาการ เลขาธิการ กสทช. พ.ต.ต. ยุทธนา แพรดำ รักษาราชการแทน อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ แถลงผลการปฏิบัติการจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ขบวนการหลอกลวงประชาชนทางออนไลน์เครือข่ายใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยมี พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บัญชาการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี( ผบช.สอท. ) , พล.ต.ท.สุรพงษ์ ถนอมจิตร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8, พล.ต.ต.อรรถสิทธิ์ สุดสงวน รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.ภูมิพัฒน์ ภัทรศรีวงษ์ชัย ผบก.สอท.5, พล.ต.ต.สมชาย ซื่อต่อตระกูล ผบก.ภ.จว.นครศรีธรรมราช และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมแถลง

พล.ต.ท.ธัชชัยฯ เปิดเผยว่า จากการสืบสวนสอบสวนเชิงรุกของตำรวจ ร่วมกับ กสทช.และ กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ พบความเคลื่อนไหวของกลุ่มคนร้ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ผนวกกับการตรวจสอบแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน ตำรวจ สอท. 5 จึงได้รวบรวมพยานหลักฐาน ขออนุมัติหมายค้นจากศาล เข้าตรวจค้น 3 จุด จุดแรกโรงแรมแห่งหนึ่งในตำบลจันดี อำเภอฉวาง จังหวัดนครศรีธรรรมราช และอีก 2 จุด คือ บ้านพัก ใน อ.ฉวาง ขยายผลไปยัง โกดังจำหน่ายสินค้าญี่ปุ่นมือสอง ในพื้นที่ อ.นาบอน จ.นครศรีธธรมราช พบผู้ต้องหา และของกลางจำนวนมาก โดยพบความเชื่อมโยงกัน สถานที่ดังกล่าวถูกใช้เป็นฐานของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติ ที่ทำเป็นขบวนการแบ่งหน้าที่กันทำอย่างชัดเจน โดยจับกุมผู้ร่วมขบวนการได้ 63 ราย สัญชาติไทย 12 ราย สัญชาติอื่น 51 ราย พร้อมของกลางประกอบด้วย

1. คอมพิวเตอร์ 223 เครื่อง
2. โทรศัพท์มือถือ และซิมการ์ดผี 1,300 รายการ
3. เราเตอร์กระจายสัญญาณ 12 เครื่อง
4 .สมุดบัญชีธนาคาร ( บัญชีม้า )  80 เล่ม

ผู้ช่วย ผบ.ตร. กล่าวว่า ดำเนินคดีกลุ่มผู้ต้องหา ในความผิด ตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมืองฯ, พ.ร.บ.การทำงานของคนต่างด้าวฯ, พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี, พ.ร.บ.โทรคมนาคมฯ, พ.ร.บ.ศุลกากรฯ และ ประกาศ กสทช. เรื่อง การยืนยันตัวตนและข้อมูลเกี่ยวกับการใช้บริการฯ และจะมีการขยายผลการกระทำผิดไปถึงทุกคนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งดำเนินการยึดทรัพย์อย่างเด็ดขาด

“แก๊งนี้ถือเป็นองค์กรอาชญากรรมขนาดใหญ่ โดยในครั้งนี้ทางทูตตำรวจจีน และญี่ปุ่น ได้เข้าร่วมตรวจสอบการกระทำผิดเพื่อนำไปสู่การขยายผลการกระทำผิดในประเทศจีนและญี่ปุ่นต่อไป ซึ่งการจับกุมในครั้งนี้เป็นการตอบสนองนโยบายของนายกรัฐมนตรี ซึ่ง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ ให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง” พล.ต.ท.ธัชชัยฯ กล่าว 

ด้าน พล.ต.อ.ณัฐธรฯ กล่าวว่า จากการตรวจสอบการสื่อสารข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลที่บันทึกไว้ในระบบคอมพิวเตอร์  และซักถามกลุ่มผู้ต้องหาพบว่าแก๊งหลอกลวงทางออนไลน์แก๊งนี้มีพฤติการณ์ดังนี้

• หาเหยื่อผ่านทางช่องทางโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะแอปพลิเคชันเทเลแกรม
• ชักชวนเหยื่อให้ช่วยแนะนำรีวิวโรงแรม รีสอร์ท ที่พัก ต่าง ๆ โดยล่อลวงว่าจะได้รับรางวัลตอบแทนเป็นที่พัก หรือตั๋วเครื่องบินฟรี
• หลอกให้เหยื่อกรอกข้อมูลส่วนบุคคลต่าง ๆ
• เมื่อเหยื่อหลงกลจะส่งข้อความแนบลิงก์เพื่อยืนยันการรับรางวัล ทั้งที่ความจริงเป็นลิงก์อันตราย ติดตั้งแอปฯ ควบคุมโทรศัพท์มือถือจากระยะไกล ( รีโมท )
• จากนั้นคนร้ายจะใช้ข้อมูลส่วนตัวที่เหยื่อให้ไว้เข้าถึงบัญชีธนาคารผ่านโมบายแบงก์กิ้ง ดูดเงินออกจากบัญชีของเหยื่อ นอกจากนี้ยังมีกลอุบายหลอกให้ลงทุนด้วยวิธีต่าง ๆ ด้วย
 
พล.ต.อ.ณัฐธรฯ กล่าวด้วยว่า ในการจับกุมครั้งนี้ ตำรวจ กสทช. และกรมสอบสวนคดีพิเศษ  ได้ทำการรื้อถอน และตรวจยึดอุปกรณ์ทางเทคโนโลยี, คอมพิวเตอร์, โทรศัพท์มือถือ, รวมทั้งซิมการ์ด ซึ่งเป็น ซิมผี ไม่ได้ลงทะเบียนหรือลงทะเบียนไม่ถูกต้องตามกฎหมายและประกาศ กสทช.กำหนด ไปตรวจสอบทางเทคนิคเพื่อขยายผลไปยังผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไป

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความมุ่งมั่นในการป้องกัน และปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ทุกรูปแบบอย่างจริงจัง เด็ดขาด

ทั้งนี้ขอย้ำเตือนภัยแก่พี่น้องประชาชนขอให้ระมัดระวังไม่หลงเชื่อกลลวงของมิจฉาชีพออนไลน์ ที่ใช้อุบายต่าง ๆ ในการล่อลวง และหากตกเป็นเหยื่อสามารถแจ้งเหตุ อายัดเงินด่วน ได้ทางสายด่วน โทร.1441 ศูนย์ AOC โดยไม่มีช่องทางไลน์ หรือเพจเฟซบุ๊กใด ๆ และสามารถแจ้งความออนไลน์ได้ทางเว็บไซต์ www.thaipoliceonline.go.th ช่องทางเดียวเท่านั้น โดยไม่มีช่องทางไลน์ หรือเพจเฟซบุ๊ก

ทหารเรือ ทำ pcr ช่วยเหลือชาวต่างชาติหยุดหายใจ รอดชีวิตหวุดหวิด

น้ำใจทหารเรือ ใช้วิชาที่กองทัพเรือ ฝึกสอนการทำ pcr (ปั๊มห้วใจ) ช่วยเหลือชาวเนเธอร์แลนด์ หมดสติรอดชีวิตหวุดหวิด

เหตุการณ์ รายนี้ถูกเปิดเผยขึ้นเมื่อ วันที่ 29 มี.ค.67 ระหว่างเวลา 16.00 น. - 17.000 น.  ในขณะที่ พ.จ.ท.นิวัฒน์ กังหัน กำลังพลในสังกัด ร.ล.บางปะกง กองเรือฟริเกตุที่ 2 กองเรือยุทธการ กองทัพเรือ (กฟก.2 กร.)  ได้พบเห็นเหตุการณ์ชาวต่างชาติหมดสติในรถยนต์ บริเวณลานจอดรถห้างแมคโคร สาขาสัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรีโดยมีภรรยาชาวไทย ของชาวต่างชาติคนดังกล่าวเข้ามาขอความช่วยเหลือ พ.จ.ท.นิวัฒน์ฯ และภรรยา จึงเข้าไปทำการช่วยเหลือ 

จากการสังเกตอาการในเบื้องต้น พบชายชาวต่างชาติ ทราบชื่อภายหลัง นายซาคาเรียส ครกเค่ สัญชาติเนเธอร์แลนด์ นอนหมดสติอยู่ภายในรถยนต์ลักษณะนอนหงาย ไม่รู้สึกตัว พ.จ.ท.นิวัฒน์ฯ และภรรยา จึงได้ขอความช่วยเหลือจากคนรอบข้าง ในการนำ นายซาคาเรียส ลงจากรถมาในพื้นที่โล่งแจ้ง อาการเบื้องต้นไม่หายใจ ไม่มีชีพจร 

พ.จ.ท.นิวัฒน์ฯ เริ่มทำการ cpr และรีบโทร. แจ้ง 1669 เพื่อขอความช่วยเหลือ หลังจากการทำ cpr นายซาคาเรียส เริ่มหายใจได้เอง เริ่มมีชีพจร แต่ยังไม่ได้สติ จึงจับนอนตะแคง แต่นายซาคาเรียส หยุดหายใจอีกครั้ง จึงได้ทำการ cpr ต่อในครั้งที่ 2 หลังจากนั้น มีพยาบาลมาช่วยสังเกตอาการ 2 คน พบว่ามีชีพจรได้สักพักก็หยุดหายใจอีกครั้ง ต่อมามีกำลังพลของกองทัพเรือ ในบริเวณนั้น เข้ามาช่วยทำ cpr อีกครั้ง จนกระทั่งรถพยาบาลฯ มาถึงและรีบนำตัวส่ง รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ อย่างเร่งด่วน

ปัจจุบัน นายซาคาเรียส ครกเค่ รักษาตัวอยู่ในหอผู้ป่วยวิกฤติโรคหัวใจ (CCU) รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ ซึ่งทางญาตไม่สะดวกที่จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาตัวและบันทึกภาพ

จากการสอบถามทราบว่า พ.จ.ท.นิวัฒน์ ฯ เป็นอาสาสมัครกู้ชีพของ กฟก.2 รุ่นที่ 2 ตามโครงการอาสาสมัครกู้ชีพ กฟก.2 ที่จัดอบรมที่ รพ.อาภากรเกียรติวงษ์ ฐานทัพเรือสัตหีบ เดือนละ 60 นาย จึงมีความมั่นใจในการช่วยเหลือชีวิตผู้ประสบเหตุดังกล่าว 

ซึ่งการปฏิบัติดังกล่าว นับเป็นกำลังพลของกองทัพเรือ ที่ใช้ความรู้ความสามารถที่ได้รับการฝึกอบรมมา ก่อให้เกิดประโยชน์อย่างสูงยิ่งในการช่วยเหลือชีวิตเพื่อนมนุษย์ สมควรได้รับการยกย่องและเป็นแบบอย่างที่ดีต่อกำลังพลของกองทัพเรือ ตามนโยบายของผู้บัญชาการทหารเรือ ที่มอบไว้ แก่หน่วยขึ้นตรงกองทัพเรือ มุ่งสู่เป้าหมาย “กองทัพเรือที่ประชาชนเชื่อมั่น และภาคภูมิใจ – The Trusted Navy”


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top