Monday, 20 May 2024
NewsFeed

รรท.ผบ.ตร. เยี่ยมข้าราชการตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บจากการปฎิบัติหน้าที่ พร้อมส่งกำลังใจให้ข้าราชการตำรวจที่บาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ทั่วประเทศหายจากอาการป่วย และกลับมาปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือประชาชนโดยเร็ว

พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ตรวจเยี่ยมเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บจากการปฎิบัติหน้าที่ พักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจจำนวน 5 นาย โดยมี พล.ต.ท.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ นายแพทย์ใหญ่ (สบ 8)พล.ต.ท.ไพบูลย์ เจียมอนุกูลกิจ นายแพทย์ (สบ 8)โรงพยาบาลตำรวจ พ.ต.อ.หญิง ศิริกุล ศรีสง่า โฆษกโรงพยาบาลตำรวจ พร้อมทีมแพทย์พยาบาล ให้การต้อนรับ

โดยพูดคุย ซักถามอาการเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บจากทีมแพทย์ และญาติ ให้กำลังใจ พร้อมมอบเงินให้จำนวนหนึ่งกับครอบครัว นอกจากนี้ยังถือโอกาสเยี่ยมตำรวจหญิงที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า โดยพูดคุยซักถามอาการ ให้กำลังใจกับตำรวจหญิง และครอบครัว หลังพบโพสต์น่าเป็นห่วงในโซเชียลของตำรวจหญิง ที่ระบุว่ารับราชการตำรวจ 1 ปี หลังรับการฝึกพบเป็นผู้ป่วยซึมเศร้า มีการแชร์โพสต์จำนวนมาก ซึ่งทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีความห่วงใยเร่งตรวจสอบให้ความช่วยเหลือด่วน

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวขอบคุณ ทีมแพทย์ พยาบาล ของโรงพยาบาลตำรวจ ที่ไม่เคยทอดทิ้งข้าราชการตำรวจ ที่เจ็บป่วย และได้รับบาดเจ็บ ให้การดูแลรักษาเป็นอย่างดี ขอส่งกำลังใจให้ข้าราชการตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บรักษาตัวอยู่ทั่วประเทศ ให้หายจากอาการบาดเจ็บโดยเร็ว กลับมาปฎิบัติหน้าที่ข้าราชการตำรวจที่ดีให้กับประชาชน

พล.ต.ท.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ นายแพทย์ใหญ่ (สบ 8)กล่าวว่า ที่ผ่านมาโรงพยาบาลตำรวจให้ทีมแพทย์ พยาบาลดูแลเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บจากการปฎิบัติหน้าที่ รวมไปถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เจ็บป่วยอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เจ็บป่วย ด้วยภาวะซึมเศร้า โรงพยาบาลตำรวจ มีเพจ "Depress We Care "ซึมเศร้าเราใส่ใจ  และเพจ  "Because We Care" ซึ่งทีมแพทย์ พยาบาล ทีมจิตแพทย์  กลุ่มงานจิตเวชและยาเสพติด พร้อมสหวิชาชีพ จะให้คำปรึกษาดูแลอย่างใกล้ชิด 

จากสถิติการตรวจสุขภาพจิตประจำปีของข้าราชการตำรวจ ปีงบประมาณ 2565-2566 สำรวจ ณ วันที่ 13 ก.พ. 2567 พบว่า ในปีงบประมาณ 65 พบเจ้าหน้าที่ตำรวจ มีภาวะซึมเศร้า รุนแรง 301 คน  ภาวะเครียด 1108  คน  ปีงบประมาณ 66 พบเจ้าหน้าที่ตำรวจ มีภาวะซึมเศร้ารุนแรง 196 คน ภาวะเครียดรุนแรง 1,552คน และภาวะเสี่ยงต่อการทำร้ายตนเอง ในปีงบประมาณ 65 จำนวน 150 คน ปีงบประมาณ 66 จำนวน 315 คน

หากโรงพยาบาลตำรวจพบข้าราชการตำรวจมีความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพจิตนักจิตวิทยา โรงพยาบาลตำรวจจะโทรศัพท์ พูดคุยให้คำปรึกษา รวมถึงติดตามอาการ และส่งต่อเข้าสู่กระบวนการบำบัด โดยในปีงบประมาณ 66 มีการให้คำปรึกษาจำนวน 1,366 คน เหลือติดตามต่อเนื่อง 219 คน อีกทัังได้จัดทำคู่มือการดูแลสุขภาวะทางจิตใจของข้าราชการตำรวจ รวมไปถึงอบรมโครงการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตข้าราชการตำรวจ และครอบครัว และอบรม “โครงการครูแม่ไก่”( จิตแพทย์น้อย)  โดยอบรมเชิงบรรยายและเชิงปฏิบัติการแก่ข้าราชการตำรวจ ในการดูแลรักษาสุขภาพจิต ไม่ให้เกิดภาวะเครียดหรือซึมเศร้า และให้ความรู้เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพจิต ตรวจประเมินสุขภาพจิตให้กับข้าราชการตำรวจอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังมีโครงการปรับปรุงห้องตรวจจิตเวชและยาเสพติด เพื่ออำนวยความสะดวกให้ทีมแพทย์และผู้ป่วยด้วย

หากข้าราชการตำรวจหรือครอบครัวรวมไปถึงประชาชนประสบภาวะเครียดหรือซึมเศร้าหรือ สามารถติดต่อ โรงพยาบาลตำรวจได้หลายช่องทาง ผ่านทางเพจ “Depress We Care” และเพจ “Because We Care“ อีกทั้งสายด่วน 081 932 0000 ที่พร้อมจะให้คำปรึกษา รวมถึงการป้องกันและรักษาในเบื้องต้นตลอด 24 ชั่วโมง

ศูนย์ประชาสัมพันธ์ สื่อสารองค์กร และโฆษกโรงพยาบาลตำรวจ ขออนุญาตเผยแพร่ภาพและข่าวประชาสัมพันธ์ที่มีภาพบุคคลในกิจกรรมดังกล่าว

"ศูนย์กลางข่าวสาร ประสานฉับไว ใส่ใจบริการ เพื่อตำรวจและประชาชน"

#PGH
#โรงพยาบาลตำรวจ
#ศูนย์ประชาสัมพันธ์สื่อสารองค์กรและโฆษกโรงพยาบาลตำรวจ

'รมว.ปุ้ย' ชวนคนไทยซื้อหาสินค้ามาตรฐาน 'สมอ.' รับประกันราคาถูกกว่าท้องตลาด 25-29 มี.ค. ณ สมอ.

เมื่อวานนี้ (25 มี.ค. 67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานในพิธีเปิดงาน ‘มหกรรมสินค้าคุณภาพได้มาตรฐานราคาโรงงาน เนื่องในโอกาสครบรอบ 55 ปี การสถาปนาสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม’ ว่า ตลอดระยะเวลา 55 ปี ที่สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หรือ สมอ. ดำเนินงานด้านการมาตรฐานของประเทศ เพื่อผลักดันให้ภาคอุตสาหกรรมเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยการส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนนำการมาตรฐานไปใช้ประโยชน์ เพื่อพัฒนาสินค้าและบริการให้มีคุณภาพเป็นไปตามมาตรฐาน และเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันทางการค้า ขณะเดียวกันก็คุ้มครองผู้บริโภคให้มีความปลอดภัยจากการใช้สินค้าด้วยการกำกับ ดูแล คุณภาพของสินค้าที่จำหน่ายในท้องตลาด และทางออนไลน์อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนได้ใช้สินค้าที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน และมีความปลอดภัย

นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กล่าวเพิ่มเติมว่า สมอ. มุ่งมั่นดำเนินงานด้านการมาตรฐานเพื่อยกระดับภาคอุตสาหกรรม และขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศมาอย่างต่อเนื่อง ตามภารกิจที่สำคัญทั้งการกำหนดมาตรฐานที่ตรงความต้องการของภาคอุตสาหกรรม การตรวจสอบและรับรองคุณภาพผลิตภัณฑ์และบริการให้มีคุณภาพเป็นไปตามมาตรฐาน เพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค รวมถึงการส่งเสริมและพัฒนาด้านการมาตรฐานของประเทศให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล 

ตลอดระยะเวลา 55 ปี สมอ. ได้สร้างความแข็งแกร่งให้กับภาคอุตสาหกรรม และคุ้มครองประชาชนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีด้วยการมาตรฐาน ซึ่งปัจจุบัน สมอ.ได้พัฒนาการให้บริการผู้ประกอบการและประชาชนด้วยการนำระบบอิเล็กทรอนิกส์มาใช้ในกระบวนการทำงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ ตลอดจนอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการและประชาชนให้เกิดประโยชน์สูงสุด

โดยในปีนี้ถือเป็นโอกาสพิเศษที่ สมอ. มีการดำเนินงานมาครบรอบ 55 ปี ในวันที่ 25 มีนาคม 2567 จึงได้จัดงาน ‘มหกรรมสินค้าคุณภาพได้มาตรฐานราคาโรงงาน เนื่องในโอกาสครบรอบ 55 ปี การสถาปนาสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์ อุตสาหกรรม’ ขึ้น เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสที่ สมอ. ครบรอบ 55 ปี และสืบทอดเจตนารมณ์ในการคุ้มครองผู้บริโภคให้ได้รับความปลอดภัยจากการใช้สินค้าที่มีมาตรฐาน ตลอดจนกระตุ้นเศรษฐกิจ และลดค่าครองชีพให้ประชาชน โดยนำผู้ประกอบการกว่า 50 ราย 92 บูธ ที่ผลิตและจำหน่ายสินค้าที่ได้มาตรฐาน มอก. มาร่วมออกร้านจำหน่ายสินค้าคุณภาพดี มีมาตรฐาน ในราคาโรงงาน ซึ่งถูกกว่าท้องตลาด 20 - 50% ได้แก่ รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ยางรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เช่น เครื่องปรับอากาศ เครื่องฟอกอากาศ เครื่องซักผ้า พัดลม ทีวี ตู้เย็น เครื่องดูดฝุ่น เตาไมโครเวฟ เตาปิ้งย่าง กระทะไฟฟ้า ไดร์เป่าผม เครื่องม้วนผม ลำโพง เครื่องเสียง หลอดไฟ โคมไฟ ปลั๊กพ่วง พาวเวอร์แบงค์ และคอมพิวเตอร์ เป็นต้น 

นอกจากนี้ยังมี รองเท้า อุปกรณ์กีฬา ภาชนะเมลามีน ภาชนะพลาสติก ภาชนะเทฟลอน ของเล่น หมวกกันน็อก หน้ากากอนามัย เครื่องกรองน้ำดื่ม น้ำตาลทราย รวมถึงสินค้าอุปโภคบริโภคอื่นๆ และสินค้า OTOP ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) และงานบริการที่ได้รับการรับรอง มอก. S จึงขอเชิญชวนประชาชนมาเลือกซื้อสินค้าคุณภาพมาตรฐานภายในงาน รับประกันราคาถูกกว่าท้องตลาด ตั้งแต่วันที่ 25 - 29 มีนาคม 2567 เวลา 08.30 - 18.00 น. ณ บริเวณโดยรอบอาคาร สมอ. ถนนพระรามที่ 6 เขตราชเทวี กรุงเทพฯ (เยื้องกับโรงพยาบาลรามาธิบดี)

ขอนแก่น - 'ก.ธ.จ.' ลุยสอดส่อง ทำถนน ทต.โพธิ์ไชย-ทต.นาข่า

คณะก.ธ.จ.ขอนแก่น ได้ให้ข้อเสนอแนะในการดำเนินการให้เป็นตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ใช้หลักธรรมาภิบาล ให้เกิดความคุ้มค่าเกิดประโยชน์สูงสุดกับเงินงบประมาณแผ่นดิน เพื่อพี่น้องประชาชน ตามบทบาทหน้าของธรรมาภิบาล 

เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2567 ในเวลา 10.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ ห้องประชุมเทศบาลตำบลโพธิ์ไชย อำเภอโคกโพธิ์ไชย จังหวัดขอนแก่น ดร.สมยงค์ แก้วสุพรรณ รองประธาน ก.ธ.จ.ขอนแก่น พร้อมด้วย นายประณต มิ่งขวัญ ก.ธ.จ. ผู้ประสานงานโซนตะวันตก,ดร.ชำนาญ ศรีวงษ์ ก.ธ.จ.,นายโกมิฬ ขอดคำ ก.ธ.จ.,นายดวงเด่น ลีลรัตนปัญญา ก.ธ.จ.,นายถวิลกานต์ ชาวกะตาก.ธ.จ.,ดร.เรืองยศ แวดล้อม ที่ปรึกษา ก.ธ.จ. ฝ่ายวิชาการ และนายหมวดตรีชูไทย วงศ์บุญมี ที่ปรึกษา ก.ธ.จ.(ฝ่ายปชส.) ร่วมลงพื้นที่สอดส่องโซนใต้ โครงการก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก รหัสทางหลวงท้องถิ่น ขก.ถ.44-035 สายแยกหนองแปน-กุดเฒ่าราด หมู่ที่ 8 บ้านกุดลอบ ตำบลโพธิ์ไชย กว้าง 5 เมตร ยาว 2,950 เมตร หนา 0.15เมตร หรือมีพื้นที่คอนกรีตไม่น้อยกว่า 14,750ตารางเมตร  มีไหล่ทาง ของเทศบาลตำบลโพธิ์ไชย อำเภอโคกโพธิ์ไชย จังหวัดขอนแก่นงบประมาณ 9,830,000 บาท โดยมีนายเสาวฤทธิ์ คามกะสก นายกเทศมนตรีตำบลโพธิ์ชัย,นายทองดี สอนนำ รองนายกเทศมนตรีฯ ,นางสาวสุจิตรา ปรีชา เลขานุการนายกเทศมนตรีณ นายธีรนันท์ เหล่าคนค้า ปลัดเทศบาลตำบลโคกโพธิ์ไชย, นายเปรมกมล ผางแพ่ง ผอ.กองช่าง และนางละเอียด มูลแก่น ผอ.กองคลัง ร่วมชี้แจงโครงการฯ และนำลงพื้นที่สอดส่อง

ต่อจากนั้นในเวลา 13.30 น. ดร.สมยงค์ แก้วสุพรรณ รองประธาน ก.ธ.จ.ขอนแก่น พร้อมคณะ ร่วมลงพื้นที่สอดส่องโครงการก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก รหัสทางหลวงท้องถิ่น ขก.ถ.18-014 สายทางบ้านขามป้อม หมู่ที่ 1ถึงบ้านหนองไม้ตายหมู่ที่ 6 ตำบลนาข่า กว้าง 6 เมตร ยาว 2,380 เมตรหนา 0.15 เมตร หรือมีพื้นที่ไม่น้อยกว่า 8,280 ตารางเมตร ของเทศบาลตำบลนาข่า อำเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น งบประมาณ 5,978,300 บาท โดยมี นายสุเนตร เรือนทิพย์ นายกเทศมนตรีตำบลนาข่า, นายประวัติ ผงษา รองนายกเทศมนตรีตำบลนาข่า, นายประดิษฐ์ พิสันเทียะ รองนายกเทศมนตรีตำบลนาข่า, นายธนายุทธ รูปหล่อ ปลัดเทศบาลตำบลนาคา, นางศุภาณีย์ ก้านอิน นักวิชาการพัสดุ,นางปาณิสา แก้วกัลยา หัวหน้าสำนักงานปลัด และนายกมล แสงกงพลี  นายช่างโยธา ร่วมชี้แจงการโครงการฯ และนำลงพื้นที่สอดส่อง

ดร.สมยงค์ แก้วสุพรรณ รองประธาน ก.ธ.จ.ขอนแก่น กล่าวว่า คณะก.ธ.จ.ขอนแก่น ได้ให้ข้อเสนอแนะในการดำเนินการให้เป็นตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ใช้หลักธรรมาภิบาลให้เกิดความคุ้มค่าเกิดประโยชน์สูงสุดกับเงินงบประมาณแผ่นดิน เพื่อพี่น้องประชาชน ตามบทบาทหน้าของธรรมาภิบาล ขอขอบคุณก.ธ.จ.ขอนแก่น ตลอดจนที่ปรึกษา ทุกท่านที่ร่วมลงพื้นที่สอดส่องโซนใต้วันนี้ขอบคุณ คุณครูประณต มิ่งขวัญ ผู้ประสานงานโซนใต้ที่ประสานหน่วยงานได้เป็นอย่างดี พร้อมทั้งทีมงานบริหารเทศบาลตำบลโพธิ์ไชย อำเภอโคกโพธิ์ไชย,เทศบาลตำบลนาข่า อำเภอมัญจาคีรีที่ให้ความร่วมมือในการลงพื้นที่สอดส่องครั้งนี้

2 รองนายกฯ ลั่น!! ไม่มีวันเอาเขตแดนไปแลกผลประโยชน์ อาณาเขตของประเทศไทยเป็นอย่างไร ก็ต้องเป็นอย่างนั้น

เมื่อวานนี้ (25 มี.ค.67) ที่รัฐสภา ในการประชุมวุฒิสภา เพื่อพิจารณาการอภิปรายทั่วไป เพื่อให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) แถลงข้อเท็จจริง หรือชี้แจงปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินโดยไม่มีการลงมติ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 153 นั้น

ต่อมา เวลา 20.10 น. นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกฯ และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ชี้แจงว่า ปัญหาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลเกิดขึ้นมาช้านานแล้ว มีการแบ่งเขตไหล่ทวีประหว่างไทยและกัมพูชาเริ่มมาตั้งแต่ปี 2513 จนกระทั่งทั้งสองประเทศไม่สามารถตกลงเรื่องไล่ทวีปได้ เพราะต่างคนต่างไปกำหนดเขตไหล่ทวีปกันเอง โดยกัมพูชาเริ่มก่อน โดยกำหนดเมื่อ พ.ศ. 2515 ส่วนประเทศไทยได้กำหนดในปี 2516 ต่อมาในปี 2544 ได้มีการลงนามบันทึกความตกลง (เอ็มโอยู) ระหว่างรัฐบาลไทย และกัมพูชา และได้มีการตั้งคณะกรรมการร่วมระหว่างไทยกัมพูชาด้านเทคนิคหรือเจทีซี ในปี 2557 รัฐบาลได้อนุมัติการเจรจาบนพื้นฐานเอ็มโอยู 2544 ซึ่งเอ็มโอยูยังคงดำรงต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้ และทำไมการเจรจาไม่เสร็จสิ้นใช้เวลายาวนานมาก ซึ่งนายคำนูณพูดว่าตรงนี้เป็นขุมทรัพย์ทางทะเลที่มีมูลค่ามหาศาล อาจจะเป็นเพราะเนื้อหาในการเจรจามีประเด็นที่ละเอียดอ่อนซับซ้อน และอ่อนไหวทั้งทางการเมืองภายในและระหว่างประเทศ โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องดินแดนและผลประโยชน์ของชาติ

นายปานปรีย์ กล่าวต่อว่า ตนทราบมาว่า ภายหลังปี 2544 มีการเจรจาที่เป็นทางการเพียง 4 ครั้ง และไม่เป็นทางการอีก 8 ครั้ง แต่ก็ยังไม่มีความคืบหน้าแต่ประการใด และเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2567 เป็นโอกาสที่นายกฯ กัมพูชา มาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ และได้มีการหารือเจรจาในเรื่องของทวิภาคีหลายเรื่องระหว่างประเทศ ในเรื่องโอซีเอ ก็ได้มีการพูดคุยกันและสองฝ่ายก็มีการตกลงกันว่าเห็นพ้องที่จะประสานการหารือเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรใต้ทะเล ในพื้นที่ทับซ้อน โดยหารือควบคู่กับการแบ่งเขตทะเล ซึ่งคิดว่า มีความชัดเจนในระดับหนึ่ง แต่เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีการตั้งคณะกรรมการด้านเทคนิคที่จะต้องพิจารณาว่าการเดินต่อตามเอ็มโอยูจะเดินต่อหรือไม่ ส่วนเรื่องแบ่งเขตแดน จะต้องเจรจาควบคู่กับการแบ่งผลประโยชน์หรือไม่ ตนคิดว่าควรจะเจรจาควบคู่กันไป ซึ่งเวลานี้กระทรวงการต่างประเทศไม่มีอำนาจในการที่จะเข้าไปตัดสินใจหรือจะให้ความเห็นใด ๆ เนื่องจากคณะกรรมการเจรจายังไม่ได้รับการแต่งตั้งเพราะต้องผ่าน ครม.

รมว.ต่างประเทศ กล่าวต่อว่า ส่วนเขตหลักทะเลเส้นลาดผ่านทับเกาะกูดนั้น ไม่มีข้อสงสัยอยู่แล้ว เนื่องจากหนังสือยืนยันระหว่างกรุงสยามกับฝรั่งเศส ค.ศ.​1907 ข้อ 2 ระบุชัดเจนว่ารัฐบาลฝรั่งเศสยอมยกดินแดนด้านซ้ายและเมืองตราด เกาะทั้งหลาย ซึ่งอยู่ภายใต้แหลมสิงห์ไปจนถึงเกาะกูดนั้น ตนคิดว่าจึงไม่มีประเด็นโต้แย้งใด ๆ เหนือเกาะกูดของไทย ดังนั้นเกาะกูดเป็นของไทยแน่นอน และคงต้องแบ่งเขตไล่ทวีปให้ชัดแน่นอน เพราะถ้าแบ่งไม่ชัดก็จะไม่มีใครทราบว่า พื้นที่ของของกัมพูชาหรือของไทย ส่วนที่เป็นห่วงว่า จะมีขายชาติ เสียดินแดน ละเมิดอธิปไตย สิ่งเหล่านี้ตนเชื่อว่าจะไม่เกิดขึ้นแน่นอน รักชาติเท่ากันหมด ไม่มีใครคิดที่จะเอาชาติไทย หรือดินแดนของไทยไปยกให้ใครทั้งสิ้น และการที่เราจะใช้พลังงานที่อยู่ใต้ทะเลนำขึ้นมาใช้คงต้องใช้เวลาอีกประมาณ 10 ปี ในเวลานี้เรื่องพลังงานเราก็กำลังมีปัญหาอยู่ เพราะฉะนั้นการเจรจาจะต้องเร่งดำเนินการภายใต้ความรอบคอบ ไม่ให้เราเสียผลประโยชน์ของชาติต่อไป

ด้าน นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ชี้แจงว่า ขอยืนยันไม่ว่าจะเป็นตนหรือนายกฯ รองนายกฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ เราทุกคนรักประเทศไทยและเราก็หวงดินแดนไทย โดยเฉพาะตน วันนี้ตนเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ไม่ต้องห่วงตน จะไม่มีวันเอาทรัพยากรของชาติมาแลกกับเส้นเขตแดน ผลประโยชน์ของชาติ ความเป็นไทย เขตแดน อาณาเขตของประเทศไทยเป็นอย่างไรต้องเป็นอย่างนั้น ตนทราบว่า ปัญหาเรื่องพลังงานเป็นเรื่องสำคัญ สำหรับประเทศ การต้องเตรียมพร้อมเรื่องความพร้อมของพลังงาน แก๊ส เป็นเรื่องสำคัญ แต่ไม่ว่าจะสำคัญอย่างไร ขอให้ท่านมั่นใจว่า ไม่มีอะไรสำคัญกว่าความเป็นไทย เอกราชและอาณาเขตของประเทศไทย 

ตชด. จัดอุปสมบทหมู่ น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณและถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี

วันนี้ (26 มีนาคม 2567) เวลา 08.00 น. ที่วัดบวรนิเวศวิหาร แขวงวัดบวรนิเวศ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร พลตำรวจเอก กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชทานแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เดินทางมาเป็นประธานในพิธีอุปสมบทหมู่ข้าราชการตำรวจตระเวนชายแดน เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ 2 เมษายน 2567 ในโอกาสนี้ พลตำรวจโท ยงเกียรติ มนปราณีต ผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ได้เข้าร่วมอุปสมบทพร้อมข้าราชการตำรวจตระเวนชายแดน รวม 28 นาย ภายในงานประกอบด้วยพิธีมอบผ้าไตรและบาตร หลังจากนั้นได้มีพิธีบรรพชาและอุปสมบท โดยมีพระธรรมวชิรญาณ เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหารเป็นพระอุปัชฌาย์ และมีผู้บังคับบัญชา ข้าราชการตำรวจและครอบครัวเข้าร่วมพิธี

สำหรับกิจกรรมดังกล่าว กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนได้จัดทำขึ้นเพื่อเทิดพระเกียรติและถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระกนิฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ (2 เมษายน ) อย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี นับตั้งแต่ปี 2541 เพื่อเป็นการส่งเสริมให้กำลังพลได้แสดงออกถึงความจงรักภักดีและน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อตำรวจตระเวนชายแดนและพสกนิกรชาวไทย อีกทั้งยังเป็นการปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม ให้แก่กำลังพลผู้เข้ารับการบรรพชาอุปสมบท มีโอกาสให้ศึกษาหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนาเพื่อพัฒนาจิตใจของตนเอง โดยตลอดระยะเวลาที่บรรพชาจะได้ฝึกปฏิบัติธรรม วิปัสสนาและเจริญภาวนา ณ ศูนย์ปฏิบัติธรรมวชิรญาณ 200 ปี เขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร และลาสิกขาในวันที่ 9 เมษายน 2567 โดยวันที่ 2 เมษายน 2567 พระภิกษุ ตชด. ทั้ง 28 รูป จะเข้าร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ณ กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน อีกด้วย

พลตำรวจโท ยงเกียรติ มนปราณีต ผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ได้เปิดเผยว่า “ได้มีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะร่วมอุปสมบทหมู่ในครั้งนี้ ด้วยน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามราชกุมารี อย่างหาที่สุดมิได้ ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมากว่า 40 ปี ได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการ เพื่อพสกนิกรชาวไทยและตำรวจตระเวนชายแดน โดยเฉพาะงานโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน เพื่อให้เด็กและเยาวชน ได้รับการศึกษาอย่างเท่าเทียมและทั่วถึง สามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตของตนเองและคนในชุมชนชายแดนได้อย่างยั่งยืน”  ซึ่งในการอุปสมบทในครั้งนี้ พลตำรวจโท ยงเกียรติ มนปราณีต  ได้รับฉายา “ปิยกิตติโก” (ปิ-ยะ-กิต-ติ-โก) แปลว่า ผู้มีชื่อเสียงอันเป็นที่รักของคนทั้งหลาย

เปิดข้อบ่งชี้สำคัญ!! เหตุใดหลังโควิด GDP ไทยเพิ่มไม่สูงเหมือนเพื่อนบ้าน ตอบ : ฝ่ายค้านในสมัยนั้นอาจจะเป็นตัวถ่วงความเจริญตัวสำคัญ

(26 มี.ค.67) ผู้ใช้เฟซบุ๊ก 'LVanicha Liz' ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า...

พฤติกรรมพร่ำบ่นคำว่าทศวรรษที่สูญหาย (the lost decade) กรอกหูประชาชนในทำนองที่น่าจะเป็นการดิสเครดิตการบริหารสองสมัยสองระบบของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อาจเกิดจากการไม่มีความรู้เทคนิคการประเมินผล (รวบยอดประเมิน vs แยกประเมิน) หรืออาจเกิดจากความจงใจใช้ผลกระทบเสียหายจากวิกฤติโควิด (รวมทั้งการเข้ามามีบทบาทของฝ่ายค้าน) มาบิดเบือนหลอกลวงประชาชนให้เข้าใจผิดในผลงานของ พล.อ.ประยุทธ์ เพื่อให้พรรคฝ่ายค้านชนะเลือกตั้ง ฯลฯ

สำหรับนายเศรษฐา ทวีสิน นอกจากจะวิจารณ์ ‘8-9 ปีที่ผ่านมา’ อย่างเผ็ดร้อนแล้ว ก็ยังได้แสดงอาการวิตกห่วงใยอย่างมาก ว่าอัตราการเพิ่ม GDP ของไทยไม่สูงเหมือนเพื่อนบ้าน แล้วเลยทำท่าคล้ายจะพาลพาโลว่าเศรษฐกิจวิกฤตจนต้องสร้างหนี้เพิ่มให้ประเทศถึงห้าแสนล้านบาท เอามาให้คนกินๆใช้ๆ โดยหวังว่าจะทำให้ตัวเลข GDP กระโดดขึ้นสู่เป้าหมาย 5% จนบุคลากรระดับสูงด้านเศรษฐกิจการเงินของชาติจำนวนมากต้องออกโรงคัดค้านกันจ้าละหวั่น 

ในความเป็นจริง เพียงดูตัวเลข GDP growth บนแกนเวลา ก็พบข้อบ่งชี้สำคัญสำหรับประเด็น #เหตุใดหลังวิกฤติโควิด GDP ไทยเพิ่มไม่สูงเหมือนเพื่อนบ้าน (อ้างอิงภาพ ‘ข้อบ่งชี้สำคัญ !! …’ และภาพขยาย)
https://www.macrotrends.net/global-metrics/countries/THA/thailand/gdp-per-capita 
หมายเหตุ : GDP ในโพสต์นี้ ใช้ตัวเลข per capita (ต่อจำนวนประชากร) เพื่อตัดผลกระทบจากอัตรา

การเพิ่มจำนวนประชากรที่แต่ละประเทศมีไม่เท่ากัน (อ้างอิงภาพอัตราการเติบโตของประชากร)        

ข้อบ่งชี้สำคัญที่แสดงในกราฟของ macrotrends.net แสดงว่า อัตราการเติบโตของ GDP ไทย 8-9 ปีหรือทศวรรษที่ผ่านมา แบ่งออกได้เป็นสองช่วง คือช่วงรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ (คสช.) และช่วงรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ (เลือกตั้ง) โดยมีการบริหารประเทศคนละระบบ มีปัจจัยที่เป็นผลกระทบต่างกัน และมีผลการดำเนินงานแตกต่างกันอย่างชัดเจน ตามหลักการจึงควรต้องแยกประเมิน

ช่วงรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ (คสช.) เป็นระบบที่บริหารโดยคณะรัฐประหาร ไม่มีฝ่ายค้าน การเติบโตของ GDP สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง (contrast กับผลงานรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์-พรรคเพื่อไทย ที่การเติบโตลดลงอย่างต่อเนื่องมาจนติดลบ)

ส่วนช่วงรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ (เลือกตั้ง) เป็นระบบที่บริหารโดยมีฝ่ายค้านเข้ามามีบทบาททั้งในและนอกสภาฯ (หลักๆ ประกอบด้วยพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกล) การเติบโตของ GDP ก็ตกต่ำลงอย่างชัดเจน (อ้างอิงส่วนขยายของภาพ ‘ข้อบ่งชี้สำคัญ !! …’) จะเห็นได้ว่าการเปลี่ยนแปลงการเติบโตของ GDP จากสูงขึ้นกลายเป็นต่ำลงนั้น เกิดพร้อมกับการเข้ามามีบทบาทของฝ่ายค้าน และคงความตกต่ำอยู่ตลอดช่วงการคงอยู่ของฝ่ายค้าน

เมื่อพิจารณาลักษณะการเปลี่ยนปลง GDP ของไทยเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน (ยกตัวอย่าง อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม) จากกราฟเปรียบเทียบ (อ้างอิงภาพ GDP per capita ของ ID, PH, TH, VN) สังเกตได้ว่า

1. วิกฤติโควิดทำให้ GDP ของทั้งสี่ประเทศตกลงในปี 2020 เหมือนกันหมด

2. ช่วงก่อนโควิด ซึ่งเป็นช่วงการบริหารของ พล.อ.ประยุทธ์ (คสช.) นอกจากไทยจะมี GDP per capita สูงที่สุดใน 4 ประเทศแล้ว ตัวเลขของไทยยังไต่สูงขึ้นโดยมีความชันมากกว่าทั้งสามประเทศอีกด้วย แสดงถึง #ศักยภาพในการบริหารที่สูงกว่าเพื่อนบ้านอย่างชัดเจน

3. หลังจาก GDP ตกต่ำลงในปี 2020 ประเทศเพื่อนบ้านสามารถฟื้นฟูยอด GDP กลับขึ้นสู่ระดับก่อนโควิดได้ทั้ง 3 ประเทศ แต่ประเทศไทยไม่สามารถกลับสู่ระดับก่อนโควิดที่ คสช. ทำไว้ได้ ข้อแตกต่างของการดำเนินงานจากช่วงก่อนหน้าโควิด หลักๆคือการเปลี่ยนระบบการบริหารประเทศไปเป็นแบบเลือกตั้ง ทำให้ฝ่ายค้านเข้ามามีบทบาททั้งในและนอกสภาฯ

การมีฝ่ายค้าน มีจุดประสงค์เพื่อตรวจสอบถ่วงดุลฝ่ายบริหาร เห็นชอบ/ไม่เห็นชอบงบประมาณ ฯลฯ แต่หากฝ่ายค้านใช้อำนาจหน้าที่ไม่เป็นไปตามจุดประสงค์ (เช่น แทนที่จะสนับสนุนระบอบการปกครอง กลับมาตั้งหน้าตั้งตาล้มระบอบการปกครอง แทนที่จะเปิดเผยความจริงต่อประชาชน กลับบิดเบือนหลอกหลวงประชาชน ฯลฯ) หรือศักยภาพไม่เพียงพอ (ดังที่ปรากฏภายหลังเลือกตั้งครั้งล่าสุด ว่ามีพรรคฝ่ายค้านที่กำหนดนโยบายหาเสียงแล้วต้องยอมรับหรือถูกตรวจพบในทันทีหรือไม่นานหลังจากได้รับเลือกตั้ง ว่าทำไม่ได้) ฝ่ายค้านก็จะกลายเป็นตัวถ่วงความเจริญขนาดใหญ่ ทำให้ประเทศเจริญก้าวหน้าไม่ได้เท่าที่ควรแม้ฝ่ายบริหารจะมีศักยภาพก็ตาม

สรุปว่า macrotrends.net ได้ช่วยแสดงข้อบ่งชี้สำคัญสำหรับประเด็น #เหตุใดหลังวิกฤติโควิด GDP ไทยเพิ่มไม่สูงเหมือนเพื่อนบ้าน ในสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ (เลือกตั้ง) โดยชี้ให้เห็นได้ว่า ... ฝ่ายค้านในสมัยนั้นอาจจะเป็นตัวถ่วงความเจริญตัวสำคัญ

ณ เวลานี้ ฝ่ายค้านดังกล่าว 1 พรรค (เพื่อไทย) ได้เข้ามาจัดตั้งรัฐบาลตั้งแต่ปี 2023 เราจึงจะได้เห็นต่อไป ว่าอัตราการเพิ่ม GDP ของรัฐบาลใหม่นี้ แม้เพียงทำให้ได้เท่าที่ คสช. เคยทำไว้ จะทำได้หรือไม่ และเมื่อใด

อย่าให้สรุปได้ว่าทศวรรษที่สูญหายเริ่มต้นปี 2023 ก็แล้วกัน       

ผลสำรวจความพึงพอใจผู้ใช้บริการ ‘รถไฟฟ้าสายสีแดง’ 1/2567 ‘บริการ-ตรงเวลา-คุณภาพ-สะดวก’ อยู่ในเกณฑ์ ‘พึงพอใจมาก’

(26 มี.ค. 67) นายสุเทพ พันธุ์เพ็ง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด (รฟฟท.) หรือผู้ให้บริการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้สำรวจความพึงพอใจผู้โดยสารในการใช้บริการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง ประจำปี 2567 ครั้งที่ 1 เพื่อให้สามารถรวบรวมข้อมูล และเข้าถึงความต้องการของผู้โดยสาร สำหรับนำข้อมูลมาประยุกต์ใช้ในการยกระดับการให้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยได้สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้าโพล) ซึ่งเป็นสถาบันที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการสำรวจและวิจัย เป็นผู้ออกแบบ และลงพื้นที่สำรวจความพึงพอใจจากผู้ใช้บริการทั้ง 13 สถานี 

โดยผลปรากฏว่าจากคะแนนเต็ม 5 ผู้โดยสารมีความพึงพอใจด้านการให้บริการ 4.48, ด้านความปลอดภัย 4.46, ด้านความน่าเชื่อถือต่อความตรงต่อเวลา ความถี่ และคุณภาพในการเดินรถไฟฟ้า 4.38, ด้านการประชาสัมพันธ์และให้ข้อมูล 4.45, ด้านคุณภาพและสิ่งอำนวยความสะดวกบนสถานีและในขบวนรถ 4.36, ด้านเหรียญโดยสาร/บัตรโดยสาร และกิจกรรมส่งเสริมการตลาด 4.38 ซึ่งผลสำรวจดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าผู้โดยสารมีความเชื่อมั่นต่อการให้บริการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงเป็นอย่างมาก

การที่ผลสำรวจความพึงพอใจของผู้โดยสารที่มีต่อรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงในด้านต่าง ๆ อยู่ในระดับพึงพอใจมาก แสดงให้เห็นว่าผู้โดยสารมีความเชื่อมั่นต่อการให้บริการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงมากยิ่งขึ้น อีกทั้งในปัจจุบัน หลังจากได้ดำเนินนโยบายอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุดไม่เกิน 20 บาท ส่งผลให้มีจำนวนผู้โดยสารเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และบริษัทฯ ได้ดำเนินนโยบาย มาตรการต่าง ๆ ที่เป็นการยกระดับการให้บริการ รวมถึงการรักษาความปลอดภัยมาโดยตลอด โดยเฉพาะมาตรฐานการให้บริการที่บริษัทฯ ได้ผ่านการรับรองมาตรฐาน ISO 9001 : 2015 ขอบเขตการปฏิบัติการเดินรถไฟฟ้า ความปลอดภัย และวิศวกรรมซ่อมบำรุง จากหน่วยรับรอง Bureau Veritas (BV) ซึ่งเป็นองค์กรที่ให้บริการด้านการตรวจประเมินและออกใบรับรองในด้านคุณภาพ อาชีวอนามัยและความปลอดภัยในระดับโลก

ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่น พัฒนาองค์กรสู่การเป็นผู้นำในการให้บริการเดินรถไฟฟ้าด้วยมาตรฐานระดับสากล มุ่งเน้นการสร้างความพึงพอใจสูงสุดแก่ผู้ใช้บริการอย่างเต็มความสามารถ

โดยท่านสามารถติดตามรายละเอียดได้ทางโซเชียลมีเดียทุกแพลตฟอร์ม Facebook Fan Page, Twitter, Instagram, Youtube, Tiktok พิมพ์ชื่อ ‘RED Line SRTET’

เชียงใหม่-การประชุมกลไกความร่วมมือชายแดนไทย-ลาว เพื่อบูรณาการการป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดน”

วันที่ ๒๖ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ พลโท ณัฐพงษ์  เพราแก้ว เจ้ากรมกิจการชายแดนทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย  พร้อมด้วย พ.อ. ดาวไก  เลิดลิวัน รองหัวหน้ากรมทหารชายแดน กรมใหญ่เสนาธิการ กองทัพประชาชนลาว ร่วมเป็นประธานเปิด การประชุมกลไกความร่วมมือชายแดนไทย-ลาว เพื่อบูรณาการการป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดน” ระหว่างวันที่ ๒๖-๒๗ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ ณ โรงแรมเซ็นทารา ริเวอร์ไซด์ จังหวัดเชียงใหม่

ระหว่างวันที่ ๒๖-๒๗ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ กระทรวงกลาโหม โดย กรมกิจการชายแดนทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย ร่วมกับกรมทหารชายแดน กรมใหญ่เสนาธิการ  กองทัพประชาชนลาว ในการจัดการประชุมกลไกความร่วมมือชายแดนไทย-ลาว เพื่อบูรณาการการป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดน ณ โรงแรมเซ็นทารา ริเวอร์ไซด์ จังหวัดเชียงใหม่
 
คณะที่ประชุมฝ่ายไทยประกอบด้วยผู้แทนทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และ ภาคประชาสังคม อาทิ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ และ สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย ส่วน คณะที่ประชุมฝ่ายลาว ประกอบด้วย ผู้แทนจาก กระทรวงป้องกันประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ เจ้าหน้าที่จากแขวงบ่อแก้ว แขวงไชยะบุรี และ สถานเอกอัครราชทูต สปป.ลาว ประจำประเทศไทย  นอกจากนี้ยังมีผู้แทนจาก ประเทศกัมพูชาและประเทศ เมียนมา เข้าร่วมสังเกตการณ์ประชุมอีกด้วย

​ปัญหาหมอกควัน เป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมที่สำคัญมากเนื่องจาก มีผลกระทบโดยตรงกับสุขภาพของประชาชน และนับวันยิ่งจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ซึ่งทุกภาคส่วนได้ตระหนักและร่วมมือกันในแก้ไขปัญหานี้ อย่างจริงจังอยู่แล้ว  แต่อย่างไรก็ตามปัญหาหมอกควัน ไม่ได้เกิดขึ้นแต่เพียงในประเทศไทยเท่านั้น ยังเกิดขึ้นในประเทศเพื่อนบ้านเช่นเดียวกัน กลายเป็นปัญหาหมอกควันข้ามแดน  ซึ่งเป็นปัญหาในระดับภูมิภาคที่ทุกประเทศ ต้องร่วมมือกัน

​สำหรับภูมิภาคASEAN มีความร่วมมือในการป้องกันและแก้ไขปัญหานี้ภายใต้กรอบความร่วมมือข้อตกลง ASEAN ว่าด้วยเรื่องมลพิษจากหมอกควันข้ามแดน (ASEAN AGREEMENT ON TRANBOUNDARY HAZE POLLUTION) โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทย ลาว และเมียนมา ได้เห็นชอบร่วมกันในบันทึกความตกลงสามฝ่ายเรื่องยุทธศาสตร์ฟ้าใส (CLEAR SKY STRATEGY) โดยมีเป้าหมายให้ปัญหาหมอกควันข้ามแดนลดลง และหมดไปโดยเร็ว 

นอกจากนี้ ยังมีกลไกทวิภาคี ได้แก่ กลไกความร่วมมือคณะกรรมการร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยตามชายแดนทั่วไปไทย-ลาว คณะกรรมการชายแดนทั่วไป ไทย-กัมพูชา และ กลไกความร่วมมือคณะกรรมการระดับสูงไทย-เมียนมา ซึ่งบันทึกความร่วมมือของคณะกรรมการทุกคณะที่กล่าวมานั้น ได้กำหนดให้ปัญหาหมอกควันข้ามแดนเป็นปัญหาเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการให้เป็นรูปธรรม
 
​ผลการประชุมกลไกความร่วมมือชายแดนไทย-ลาวเพื่อบูรณาการการป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดน ในวันนี้ ทั้งสองฝ่าย ได้กำหนดแนวทางดังนี้

​๑. ฝ่ายไทยยินดีสนับสนุนจัดการฝึกอบรมด้านการควบคุมไฟป่า ให้แก่เจ้าหน้าที่ของฝ่ายลาว จำนวนไม่เกิน ๓๐ คน ณ ศูนย์ฝึกอบรมและพัฒนาการควบคุมไฟป่าภาคเหนือ จังหวัดเชียงใหม่ ราชอาณาจักรไทย ในปีงบประมาณ ๒๕๖๗ โดยฝ่ายลาวจะพิจารณาและแจ้งให้ฝ่ายไทยทราบ ผ่านช่องทางการทูต

​๒. ฝ่ายไทยยินดีให้การสนับสนุนการจัดตั้งห้องปฏิบัติการ เพื่อการบริหารจัดการไฟป่าและหมอกควันข้ามแดน ณ แขวงบ่อแก้ว และแขวงไซยะบุรี โดยฝ่ายลาวจะพิจารณาและแจ้งให้ ฝ่ายไทยทราบผ่านช่องทางการทูต

​๓. ทั้งสองฝ่ายมีความยินดีแลกเปลี่ยนข้อมูล ประสบการณ์ องค์ความรู้และแนวปฏิบัติที่ดีเพื่อการป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดนระหว่างกัน

​๔. ทั้งสองฝ่ายจะรายงานตามลำดับชั้นในฝ่ายตน เพื่อพิจารณาให้กลไกคณะกรรมการชายแดนไทย - ลาว , ลาว - ไทย ประสานงานเพื่อขับเคลื่อนการปฏิบัติให้เกิดความเรียบร้อย  และมีประสิทธิภาพ

ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบให้จัดการประชุมหารือร่วมกัน เพื่อพิจารณากิจกรรมความร่วมมือ  ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดนที่เป็นประโยชน์เพิ่มเติม ในโอกาสต่อไป

นภาพร/เชียงใหม่

'ทนายตั้ม' โพสต์!! หลายปีมานี้ หลงแสงสี-ชื่อเสียง จนลืมบทบาทหลัก ลั่น!! ขอกลับมาเป็นทนายประชาชน กลับมาเป็นไอ้ตั้มคนเดิม

(26 มี.ค. 67) นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

ผมรู้สึกว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผมหลงแสงสีและชื่อเสียง จนหลงลืมว่า ผมเกิดมาจากการเป็นทนายประชาชน ผมเลือกที่จะใส่เสื้อผ้าราคาแพง ใช้ของราคาสูง เพราะรู้สึกว่ามันก็แค่เรื่องของรสนิยม จนทำให้หลายคนรู้สึกต่อต้านและเกิดคำถามมากมาย

วันนี้ผมคิดได้แล้วครับ และจะกลับมาเป็นไอ้ตั้มคนเดิม ใส่เสื้อยืดทนายประชาชนตัวเดิม ด้วยความภาคภูมิใจ ไม่ได้ใช้ชีวิตแบบบ้ายี่ห้อจนหลงลืม ปากท้องและชาวบ้าน 

วันนี้ผมเลยเลือกที่จะเปิดโปงส่วยตำรวจ ที่มีความเสี่ยงกับชีวิตตนเองและครอบครัว เพื่อพิสูจน์ว่าผมเปลี่ยนไป และผมไม่ใช่เด็กใคร 

ไม่ต้องเชื่อผมวันนี้ แต่ดูกันไปนานๆ ขอโทษที่ทำให้ผิดหวังและเสียความรู้สึกนะครับ

‘รัสเซีย’ แฉ!! 30 แล็บลับสหรัฐฯ ในยูเครน มุ่งพัฒนา 'อาวุธเชื้อโรค' ด้าน สหรัฐฯ ยัน!! มีจริง แต่ถูกกฎหมาย และไม่ได้พัฒนาเพื่อรบ

สหรัฐฯ ยังคงปฏิบัติการห้องปฏิบัติการทางชีวภาพ 30 แห่งในดินแดนยูเครน ส่วนหนึ่งในโครงการชีวภาพทางทหารที่ผิดกฎหมาย จากการเปิดเผยของ ‘เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำเนเธอร์แลนด์’ เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

“เป็นที่ทราบกันดีมานานแล้วว่ามีห้องปฏิบัติการของอเมริกาจำนวนหนึ่งในดินแดนยูเครน” วลาดิมีร์ ทาราบริน ซึ่งเป็นผู้แทนถาวรของรัสเซีย ประจำองค์การห้ามอาวุธเคมี (Organisation for the Prohibition of Chemical Weapons) อีกตำแหน่ง ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์อิซเวสเตียเมื่อวันอาทิตย์ (24 มี.ค.)

นักการทูตรายนี้ยังได้เท้าความถึงคำพูดของ พล.ท.อิกอร์ คิริลลอฟ ผู้บัญชาการกองกำลังป้องกันนิวเคลียร์ เคมีและชีวภาพของรัสเซีย ที่เคยอ้างในเดือนมีนาคม 2022 ว่ามีห้องแล็บดังกล่าวอยู่ราว 30 แห่ง 

“กองกำลังของเราพบเอกสารต่าง ๆ ที่ยืนยันว่ามีโครงการชีวภาพทางทหารอย่างกว้างขวางของสหรัฐฯ และบรรดาประเทศสมาชิกนาโต ในดินแดนของยูเครน และสาธารณรัฐต่างๆ ที่เป็นอดีตสหภาพโซเวียต” ทาราบริน กล่าว

แม้ รัฐบาลเคียฟ จะกล่าวว่า พวกเขาเริ่มทำลายเชื้อโรคอันตรายในห้องปฏิบัติการต่าง ๆ และระงับการวิจัยในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2022 ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่รัสเซียเปิดปฏิบัติการทางทหารรุกรานยูเครน แต่ทาง ทาราบริน กล่าวอ้างว่า โครงการต่างๆ เหล่านั้นได้กลับมาปฏิบัติการอีกรอบ เพียงแต่มีการเปลี่ยนชื่อเท่านั้น

เมื่อถูกถามว่า ห้องปฏิบัติการชีวภาพของสหรัฐฯ ในยูเครน ยังมีจำนวนที่ 30 แห่งใช่หรือไม่? ทางเอกอัครราชทูตรายนี้ตอบว่า “จากข้อมูลของเรา คือ ใช่” พร้อมกล่าวเสริมด้วยว่า...

“มันไม่น่าประหลาดใจเลยที่ตลอด 20 ปีที่ผ่านมานั้น ทำไมวอชิงตันถึงพยายามขัดขวางความคิดริเริ่มของรัสเซีย กับเป้าหมายเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบอนุสัญญาว่าด้วยอาวุธชีวภาพ (Biological Weapons Convention-BWC) และสร้างกลไกที่มีประสิทธิภาพสำหรับตรวจสอบประเทศผู้เข้าร่วมทั้งหมด ว่าได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติต่าง ๆ ของอนุสัญญานี้หรือไม่”

ทั้งนี้ ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา มอสโกได้หยิบยกความกังวลขึ้นมาซ้ำ ๆ ในเรื่องคำกล่าวหาเกี่ยวกับโครงข่ายห้องปฏิบัติการลับในยูเครน ที่ได้รับเงินทุนจากสหรัฐฯ โดยมอสโกได้เผยแพร่เอกสารต่าง ๆ ที่ยึดมาได้จากเจ้าหน้าที่เคียฟ ซึ่งกล่าวอ้างว่ามีความเชื่อมโยงกับปฏิบัติการของห้องปฏิบัติการเหล่านั้น

เมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้ว พล.ท.อิกอร์ คิริลลอฟ บอกว่า “รัสเซียไม่มีข้อสงสัยเลยว่า สหรัฐฯ ได้สวมหน้ากากในการรับประกันความมั่นคงทางชีวภาพโลกไว้ให้ชาวโลกเห็น แต่กลับกันพวกเขาได้ทำการวิจัย 2 ทาง (เพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์) ซึ่งในนั้นได้รวมถึง การสร้างองค์ประกอบของอาวุธชีวภาพใกล้ชายแดนรัสเซีย”

เกี่ยวกับเรื่องนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ยืนยันเกี่ยวกับการมีอยู่ของห้องปฏิบัติการวิจัยทางชีวภาพในยูเครนจริง แต่ยืนยันว่ามันถูกกฎหมายทั้งหมด และไม่มีเจตนาสำหรับจุดประสงค์ด้านการทหาร แม้ส่วนใหญ่แล้วมันได้เงินทุนผ่านกระทรวงกลาโหม (เพนตากอน) ขณะที่วอชิงตันปฏิเสธคำกล่าวอ้างของมอสโก ที่ว่าห้องปฏิบัติการเหล่านี้ถูกใช้ทำงานสร้างอาวุธชีวภาพ โดยบอกว่ามันเป็นยุทธการบิดเบือนข้อมูลของฝ่ายรัสเซีย


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top