Sunday, 18 May 2025
NewsFeed

‘ท่านอ้น’ ย้ำชัด!! ไม่คิดเล่นการเมือง-การเมืองน่ากลัว แจงเหตุกลับไทยบ่อย เพราะไม่ได้กลับไทยมานาน

(22 มี.ค. 67) จากเพจเฟซบุ๊ก VOA Thai ได้โพสต์คลิปวิดีโอ ‘ท่านอ้น วัชรเรศร วิวัชรวงศ์’ โอรสในรัชกาลที่ 10 หลังให้สัมภาษณ์เมื่อถูกถามว่าเหตุใดจึงกลับไทยเป็นระยะเวลาในช่วงไม่ถึงปีมานี้ ซึ่งท่านอ้นระบุว่า ตนเพียงต้องการกลับบ้านเกิดเป็นการส่วนตัว หลังไม่ได้กลับมานานกว่า 27 ปี และไม่ได้มาในฐานะตัวแทนของใคร ไม่อยากแข่งขันเพื่ออะไร เพราะไม่มีทรัพยากรและอํานาจใดๆ และไม่มีแรงขับเคลื่อนใดนอกเหนือไปจากสิ่งที่ทําได้ในตอนนี้

นอกจากนี้ ท่านอ้น ยังยืนยันอีกว่า ไม่มีแผนเล่นการเมืองอย่างแน่นอน เพราะการเมืองเป็นสิ่งน่ากลัว และจะไม่พบกับนักการเมืองคนใด เพราะไม่อยากถูกมองว่าเลือกข้าง หรือเป็นเครื่องมือของใคร โดยท่านอ้นยังอธิบายต่อว่า ตนเกิดมาพร้อมกับยศอื่น ไม่ได้เกิดมาเป็นนายวัชรเรศร แต่ทั้งนี้ได้ใช้เวลาหลาย 10 ปี เพื่อสร้างตัวตนนี้ขึ้นมา และตอนนี้ภูมิใจต่อความเป็นนายวัชรเรศรในตอนนี้มาก 

ทั้งนี้ ท่านอ้น มีพระยศแรกเกิดว่า ‘หม่อมเจ้า’ ก่อนจะถูกถอดยศอย่างไม่เป็นทางการ เมื่อราวปี 2540 หลังเหตุการณ์ของครอบครัวทําให้มารดา ‘สุจาริณี วิวัชรวงศ์’ และบุตรชายทั้ง 4 คน ต้องเดินทางออกไปอาศัยในต่างประเทศเป็นการถาวร

'อัครเดช' ยัน!! 'รทสช.' พร้อมใจหนุนร่างกฎหมายงบประมาณฯ ซัดผู้ไม่หวังดี ปล่อยข่าวคว่ำงบฯ เพียงเพื่อหวังผลทางการเมือง

(22 มี.ค. 67) ที่รัฐสภา นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์กรณีมีข่าวจะมีการคว่ำร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 วงเงิน 3.48 ล้านล้านบาท ว่า เป็นการปล่อยข่าวจากผู้ไม่หวังดี ต้องการสร้างความปั่นป่วนและหวังผลทางการเมือง หวังให้เกิดผลกระทบต่อรัฐบาล ในส่วนของพรรครวมไทยสร้างชาติ ขอยืนยันว่าจะลงมติผ่านร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ อย่างพร้อมเพรียงกัน เนื่องจากเป็นมติพรรคออกมาแล้ว เพราะเห็นว่างบประมาณมีความจำเป็นต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและขับเคลื่อนประเทศ

นายอัครเดช กล่าวว่า อยากให้คนที่ปล่อยข่าวออกมาหยุดพฤติกรรมลักษณะนี้ได้แล้ว เพราะไม่เป็นผลดีต่อประเทศชาติโดยรวม การเมืองควรจะพักเอาไว้ก่อนเวลานี้ประเทศชาติต้องเดินไปข้างหน้า ที่ผ่านมาประเทศและประชาชนรอคอยงบประมาณเพื่อนำงบประมาณออกมาใช้มาพัฒนาประเทศ และขับเคลื่อนภาคส่วนต่าง ๆ แต่กลับมีการปล่อยข่าวในวันที่จะลงมติ จึงขอย้ำว่าให้หยุดการกระทำเพราะไม่มีประโยชน์อะไร

“พรรครวมไทยสร้างชาติขอยืนยันอีกครั้งจะสนับสนุนร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ อย่างเต็มที่ และพรรคร่วมรัฐบาลพร้อมสนับสนุน คนที่ปล่อยข่าวคงจะหวังผลทางการเมืองหวังสร้างความปั่นป่วนและสร้างความแตกแยกในรัฐบาล แต่จะไม่เป็นผล เพราะถึงอย่างไรงบประมาณก็จะผ่านสภาฯ อยู่แล้ว ขอให้ประชาชนมั่นใจได้” โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าว

‘ลุง-ป้า’ สุดขยัน!! ตัดต้นกระถินยักษ์เผาเป็นถ่านเลี้ยงชีพ ไม่รอเงินหมื่นจากภาครัฐ บอก!! “จะได้รึเปล่ายังไม่รู้”

(22 มี.ค. 67) ผู้ใช้เฟซบุ๊ก 'Pat Sangtum' ได้โพสต์ข้อความในหัวข้อ ‘CHARCOAL MAKER-WOODCUTTER คนตัดฟืนเผาถ่าน’ โดยระบุว่า…

“ทางเข้าบ้านเราด้านหนึ่งเป็นหุบเหว ซึ่งเกิดจากการขุดดินขึ้นไปทำถนน (ไปทะลุที่ตลาดปากช่อง) หุบเขานี้ เวลาผ่านมากว่า 35 ปี ก็กลายที่อยู่อาศัยของสัตว์ต่างๆ ทั้งกระต่าย ไก่ป่า และมีพันธุ์ไม้แปลก ๆ ขึ้นเอง ในช่วงฤดูฝน จะเป็นป่าในหุบเหว ป่านี้เต็มไปด้วยต้นกระถินยักษ์ เพราะแถวดงพญาเย็น ที่เคยถูกถางป่าจนกลายเป็นเขาหัวโล้นทั้งหมด ทางการได้เอาเมล็ดพันธุ์กระถินยักษ์ มาปลูก โดยคิดแต่เพียงว่าเป็นต้นไม้โตเร็ว กระถินยักษ์จึงกระจายไปทั่วบริเวณทั่วทั้งอำเภอ เมื่อเมล็ดกระถินร่วงแล้วขึ้นเป็นต้นใหม่อย่างรวดเร็ว ต้นไม้ป่าธรรมชาติ ก็สู้ไม่ไหว ตายสี่ตายห้ากันหมด แม้เวลาผ่านมาครึ่งศตวรรษ มองไปทางไหนก็เป็นภูเขากระถินยักษ์ มีไม่กี่ลูก ที่ยังเป็นป่าเบญจพรรณ”

ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายนี้ ระบุเพิ่มว่า “ลุงป้า มาตัดกระถินในหุบเหวหน้าบ้านทุกวัน เอาไปเผาถ่าน ลุงอายุ 69 ปี ป้า 60 ทั้งคู่ได้รับเงินประกันสังคม ได้รับเบี้ย สว. และลูก ๆ ซึ่งโตกันแล้ว มีหลานแล้ว ก็ให้เดือนละ 3,000 บาท ทั้งสองอยู่ในหมู่บ้านห่างไป 3 กม. มีรถปิคอัพ มีบ้าน แต่ขยันหาเงินตลอดเวลา ไม่นั่ง ๆ นอน ๆ ดูทีวี ลุงวัย 69 แข็งแรงมาก เพราะท่อนไม้ที่ลุงต้องขนขึ้นมาจากเหวนั้น หนักมาก ๆ เราลองยกดู ยกได้แป๊บเดียว ก็หายใจไม่ทันแล้ว แต่ทั้งคู่ ขนขึ้นมาเพื่อเอามาบรรทุกท้ายรถ ทำอย่างนี้วันละ 2 เที่ยว 

และเสริมต่อว่า “ลุงบอกว่า เผาถ่านแล้ว มีคนมารับที่เตา ไม่ต้องไปเร่ขาย เราจึงบอกว่าถ้าแวะมาขนไม้ ก็เอาถ่านมาให้ด้วย ลุงขายถุงละ 30 ก็เลย สั่งไป 10 ถุง ด้วยคิดว่าขนาดถุงจะเหมือนที่ร้านหมูกระทะ หรือร้านขายถ่านในตลาด ทำไว้ขาย ปรากฏว่ามาถึง ขนาดถุงเท่ากับถังแก๊ส ตกใจมากจึงถามว่าทำไมขายถูก ลุงบอกว่าถ้าไปขายต่อให้ขาย 50 บาท”

นอกจากนี้ ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายนี้ยังเล่าต่อว่า ตอนนี้ถ้าเราต้องจากไป ไม่ต้องไปวัดเลย ไม่ต้องพึ่งดอกไม้จันทน์ เราถามลุงว่า เงินก็พอใช้แล้ว เดี๋ยวก็ได้จากรัฐบาลอีกหมื่นบาท 

ลุงตอบว่า "ไม่รอหรอก จะได้รึเปล่ายังไม่รู้"

‘แดนผู้ดี’ อ่วม!! คนอังกฤษ ‘ยากจนข้นแค้น’ สูงสุดในรอบ 30 ปี รัฐบาลเร่งใช้มาตรการช่วยพยุง หลังรัสเซียทำสงครามกับยูเครน

(22 มี.ค.67) สำนักข่าวบีบีซีรายงานอ้างอิงข้อมูลใหม่ของทางการอังกฤษที่เปิดเผยเมื่อวันที่ 21 มีนาคม ระบุว่า วิกฤตราคาพลังงานที่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังจากรัสเซียทำสงครามรุกรานยูเครน ได้ส่งผลให้ความยากจนสัมบูรณ์ (absolute poverty) หรือความยากจนข้นแค้นในอังกฤษเพิ่มขึ้นรุนแรงที่สุดในรอบ 30 ปี โดยชาวอังกฤษที่ตกอยู่ในภาวะยากจนสัมบูรณ์มีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 12 ล้านคนในปี 2022-2023 หรือเพิ่มขึ้น 600,000 คน นั่นหมายความว่าอัตราความยากจนสัมบูรณ์ในอังกฤษขณะนี้อยู่ที่ 18% เพิ่มขึ้นมา 0.78 จุด

ทั้งนี้ความยากจนสัมบูรณ์เป็นมาตรการที่นายกรัฐมนตรีอังกฤษจะนำมาใช้เมื่อมีการอธิบายถึงรายงานของรัฐบาล โดยระบุว่าจะมีครอบครัวจำนวนมากตกอยู่ในความยากจนข้นแค้นอย่างแท้จริงมากกว่านี้ หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล เช่น มาตรการอุดหนุนค่าครองชีพ

นายเมล สไตรด์ รัฐมนตรีกระทรวงการทำงานและบำนาญของอังกฤษ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รวบรวมตัวเลขดังกล่าว ชี้ถึงมาตรการช่วยเหลือด้านค่าครองชีพของรัฐบาลอังกฤษซึ่งมากที่สุดในยุโรป มีมูลค่าเฉลี่ย 3,800 ปอนด์ต่อครัวเรือน ว่าหากปราศจากมาตรการเหล่านี้ การเพิ่มขึ้นของความยากจนสัมบูรณ์ในประเทศจะแย่ลงมากกว่านี้ถึง 3 เท่า

นายเมล สไตรด์ กล่าวอีกว่า การสนับสนุนที่ไม่เคยมีมาก่อนของรัฐบาลได้ช่วยป้องกันประชาชนในประเทศราว 1.3 ล้านคน จากการตกอยู่ในความยากจนได้ในปี 2022-2023 นอกจากนี้เขายังชี้ถึงการเพิ่มระดับบำนาญและสวัสดิการในปีนี้อีก 10% นั้นมีผลบังคับใช้หลังจากมีการรวบรวมตัวเลขข้อมูลความยากจนนี้แล้ว

รายงานยังระบุอีกว่า เด็กและผู้ใหญ่ในวัยทำงานที่ตกอยู่ในความยากจนในอังกฤษ เพิ่มขึ้นราว 300,000 คน จากตัวเลขนี้มีเด็กในอังกฤษ 1 ใน 4 ที่ตกอยู่ในความยากจนสัมบูรณ์ ซึ่งเพิ่มขึ้น 2% ถือว่าสูงที่สุดนับตั้งแต่ช่วงกลางทศวรรษ 1990 เป็นอย่างน้อย

เปิดใจ 'วิชัย ทองแตง' ลั่น!! ขอใช้ทั้งชีวิตจากนี้ตามรอย 'ศาสตร์พระราชา' พร้อมผุด 'หยุดเผา-เรารับซื้อ' แก้โลกเดือด แถมช่วยเกษตรกรมีรายได้ยั่งยืน

รายการ THE TOMORROW มหาชนต้องรู้ ออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ คุณวิชัย ทองแตง ทนายคนดังสู่มหาเศรษฐีของไทย ที่ให้ความสำคัญกับปัญหาโลกร้อน และการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศในปัจจุบัน ในหัวข้อ 'บุกตลาดคาร์บอนเครดิต แก้ปัญหาโลกเดือด'

คุณวิชัย กล่าวว่า ในเรื่องสิ่งแวดล้อมจำเป็นต้องกระตุ้นเตือนในทุกส่วนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเดิมครอบครัวของตนเป็นครอบครัวที่ปลูกฝังเรื่องรักษาสิ่งแวดล้อมมายาวนาน โดยหลักง่ายๆ ที่วิชัยใช้สอนลูกหลาน คือ 4R ได้แก่ Rethink, Recycle, Reuse และ Reduce 

- Rethink ต้องคิดใหม่ว่าโลกใบนี้ห้อมล้อมเรา เราต้องอยู่กับโลกใบนี้ให้ได้ 
- Recycle การนำเอาวัสดุสิ้นเปลืองที่ใช้งานแล้วมา 'แปรรูป' กลับเอามาใช้ใหม่ได้ 
- Reuse ง่ายกว่าเรื่องใดๆ เพียงแค่นำมาใช้ซ้ำอีกครั้งโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการอะไร 
- ส่วน Reduce พยายามใช้ทรัพยากรให้น้อยหรือลดการใช้ เมื่อมาถึงเวลานี้ไม่ใช่เรื่องโลกร้อนธรรมดาแล้วแต่เป็นโลกเดือด

เมื่อถามว่า อะไรเป็นแรงผลักดันทำให้คุณวิชัยสนใจในเรื่องสิ่งแวดล้อม? คุณวิชัยตอบว่า "ผมจะไม่เพิกเฉยกับเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อมนี้ ปัจจุบันครอบครัวเราได้ตั้งมูลนิธิหนึ่งน้ำใจขึ้นมา เพื่อช่วยเหลือเด็กผู้ด้อยโอกาสตามชายแดน โดยปัจจุบันได้สร้างโรงเรียน 19 แห่ง ซึ่งล้วนเดินทางยากลำบากมาก 

"ขณะเดียวกัน ในช่วงตลอดระยะเวลา 19 ปี ที่ทีมงานของเราได้ขึ้นลงไปสำรวจในพื้นที่ต่างๆ อย่างต่อเนื่องนั้น ก็ทำให้ได้รับรู้ปัญหาอื่นที่ควบคู่ ผ่านความรู้สึกของชาวบ้านที่พูดถึงมหันตภัยสิ่งแวดล้อมของโลกใบนี้ ซึ่งเราก็ช่วยเท่าที่ช่วยได้ แต่พอจังหวัดเชียงใหม่เกิดปัญหามีค่าฝุ่น PM 2.5 ขึ้นอันดับหนึ่งของโลก ผมรับไม่ได้ เลยพูดคุยถึงแนวคิด 'โครงการหยุดเผา เรารับซื้อ' ซึ่งโครงการนี้เกิดขึ้นเนื่องจากมองเห็นว่าอะไรเป็นปัจจัยสำคัญที่ชาวบ้านเผาป่า เราก็เลยคิดว่าทำอย่างไรให้ชาวบ้านหยุดเผา"

คุณวิชัย เผยว่า "วิธีที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหานี้ คือ แปลงเป็นเงิน เพื่อช่วยให้เกษตรกรมีเงินในกระเป๋าเพิ่มขึ้นไปในตัว โดยนำสิ่งที่จะเผา เช่น วัสดุทางการเกษตรทั้งต้นทั้งซังมาขายให้กับเรา ด้วยการให้นักธุรกิจในพื้นที่รวบรวมจากชาวบ้านแล้วส่งมาที่โรงงาน จากนั้นทางโรงงานก็จะแปรรูปเป็นชีวมวลอัดเม็ด (Biomass Pallets) ส่งออกไปยังประเทศญี่ปุ่น"

คุณวิชัย มองว่า ตรงนี้ถือเป็นการสร้างวิกฤตให้เป็นโอกาส โดยมองไปที่ตลาดต่างประเทศ ซึ่งมีตลาดขนาดใหญ่และมีความต้องการสูงในเรื่องนี้ เช่น ประเทศญี่ปุ่นประเทศเดียวก็มีความต้องการ 10 ล้านตันต่อปีแล้ว และต้องการเซ็นสัญญายาวล่วงหน้า 20 ปี 

"หัวใจของธุรกิจนี้คือ ต้องมีวัสดุเหลือใช้มากพอเข้ามาป้อนโรงงาน จึงอยากให้นักธุรกิจในท้องถิ่นได้มีส่วนช่วยในการรวบรวมเศษวัสดุมาให้เรา ส่วนความคืบหน้าของโครงการฯ ตอนนี้เรามีหนึ่งโรงงานที่ อำเภอจอมทอง ส่วนโรงงานที่สองน่าจะเกิดขึ้นที่ อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่"

คุณวิชัย เล่าอีกว่า "รู้สึกเสียดายที่โครงการนี้เกิดขึ้นได้ช้า เพราะหลักๆ เราใช้โมเดลที่ไม่ได้พึ่งพางบประมาณของรัฐบาลเลย โดยระดมทุนสร้างโรงงานมูลค่า 300 ล้านบาท รับซื้อแบบไม่จำกัด ซึ่งการรับซื้อก็ช่วยสร้างความยั่งยืนในระดับหนึ่ง แต่เราต้องเติมความยั่งยืนให้กับชาวบ้านอีกว่า เงินของชาวบ้านจะสามารถเพิ่มพูนงอกเงยขึ้นได้อีกอย่างไร...

"อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ผมได้คุยกับทาง กฟผ. แล้ว ถ้าเราสามารถสร้างโรงงานพร้อมกันได้ 10 แห่ง ภายในปี พ.ศ. 2568 ปัญหาเรื่อง PM 2.5 ก็น่าจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งนอกจากทางภาคเหนือแล้ว ตอนนี้เรามีการขยายไปทางภาคใต้ด้วย เช่น การพัฒนาสนามกอล์ฟรูปแบบ Carbon Neutral ที่จังหวัดกระบี่ ซึ่งเป็นสนามกอล์ฟ Carbon Neutral อันดับที่ 2 ของเอเชียรองจากประเทศสิงคโปร์ และทีมงานยังได้ศึกษาต้นปาล์มด้วยว่าสามารถนำมาทำ Pallets ได้ไหมสรุปว่าสามารถทำได้ก็จะขยายความร่วมมือและต่อยอดต่อไป"

เมื่อถามถึงภาพรวมของตลาดคาร์บอนเครดิตในไทย? คุณวิชัยกล่าวว่า "องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ภายใต้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีการเดินหน้าเป็นอย่างดี และมีการสร้างแพลตฟอร์มซื้อขายตลาดคาร์บอนเครดิตขึ้นเช่นกัน ผมได้เจอนักธุรกิจสิงคโปร์กลุ่มหนึ่ง ซึ่งได้รับการสนับสนุนอย่างมากจากกองทุน 'เทมาเส็ก' หรือกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของสิงคโปร์ โดยกำลังทำแพลตฟอร์มด้านคาร์บอนเครดิตระดับเอเชีย จึงอยากขอให้ไทยมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของแพลตฟอร์มนี้ ซึ่งเขาก็ตอบรับและเข้ามาประชุมแล้ว เรียกว่ามีโอกาสสูงที่จะได้ร่วมมือกัน เพราะทางสิงคโปร์เองก็ต้องการคาร์บอนเครดิตอีกมาก ถือเป็นโอกาสของประเทศไทย"

เมื่อถามถึงทิศทางการเติบโตคาร์บอนเครดิตในอนาคตว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป? คุณวิชัยกล่าวว่า "ผมมองเห็นการเติบโต เราสามารถแปลงวิกฤตเป็นโอกาสและสร้างความยั่งยืนให้เกิดขึ้นกับเกษตรกรไทยทั่วประเทศได้ วัตถุดิบทางการเกษตรที่เหลือใช้หลายอย่างสามารถแปลงเป็นภาชนะที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมได้ ยกตัวอย่าง บริษัท บรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม จำกัด (มหาชน) ภายใต้ชื่อแบรนด์ 'เกรซ' สามารถนำวัสดุทางการเกษตรที่เหลือใช้ เช่น ซังข้าว, ข้าวโพด, อ้อย และอื่นๆ มาแปลงเป็น ถ้วยชาม หลอด รักษ์โลก เราจึงพยายามเชื่อมโยงบริษัทฯ นี้กับพื้นถิ่นที่เรากำลังจะสนับสนุนด้านคาร์บอนเครดิต...

"เมื่อก่อนเราผลิตเพื่อทดแทนพลาสติก แต่ไม่สามารถทดแทนได้หมดเนื่องจากราคาสูง ปัจจุบันสามารถทำราคาได้ใกล้เคียงกับพลาสติกแล้ว ต่างกันแค่ 20-30% และสามารถเคลมคาร์บอนเครดิตได้ สร้างความยั่งยืนได้ เมื่อย่อยสลายสามารถกลายเป็นปุ๋ยได้ และยังฝังเมล็ดพันธุ์พืชท้องถิ่นไว้ในผลิตภัณฑ์ทำให้กลายเป็นต้นไม้ได้อีก สามารถเพิ่มพื้นที่สีเขียวได้ ซึ่งเป็นความคิดของคนไทยที่น่าภาคภูมิใจ...

"ส่วนการขยายไปยัง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น เกิดจากได้ทราบแนวคิดของโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (SEC) ซึ่งจะเชื่อมโยงเศรษฐกิจไทยกับมาเลเซีย เลยมีแนวคิดนำคาร์บอนเครดิตลงไปแนะนำในท้องถิ่น ซึ่งถ้า SEC เกิดขึ้นจริง พื้นที่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ก็มีศักยภาพสูงพอที่จะสามารถลงทุนพัฒนาได้ในอนาคต"

เมื่อถามถึงเรื่อง BCG? คุณวิชัย เผยว่า "เราสนใจมานานแล้ว นักธุรกิจควรเน้นเรื่อง ESG (Environmental, Social, Governance) เป็นหลักโดยเฉพาะกองทุน ESG ต้องเชื่อมโยงกับกองทุนเหล่านี้ให้เร็วที่สุด ซึ่งเราก็พึ่งเริ่มทำ โดยพยายามถ่ายทอดความรู้ในเรื่องนี้ในการบรรยายให้กับธุรกิจในตลาดหลักทรัพย์และนอกตลาดหลักทรัพย์ให้สนใจเรื่องนี้ เพื่อให้ธุรกิจนั้นเป็น ESG ด้วยหลักคิดง่ายๆ 4 ประการ ได้แก่ Net Zeo, Go Green, Lean เหลื่อมล้ำ, ย้ำร่วมมือ เป็นการสร้างคุณค่าใหม่ให้กับประเทศตาม Passion ของผม เกษตรกรต้องไม่จน"

เมื่อถามถึงความคืบหน้าจากโครงการ 'กวี คีตา อัมพวาเฟส' ที่ผ่านมา? คุณวิชัย กล่าวว่า โครงการนี้เกิดจากแรงบันดาลใจเนื่องจากตนเป็นเขยสมุทรสงคราม มีความผูกพันกับแม่น้ำแม่กลอง ชอบธรรมชาติและใส่ใจในสิ่งแวดล้อม โดยมีวัตถุประสงค์สร้างโมเดล Cultural Carbon Neutral Event แห่งแรกของไทยและของโลก ด้วยการจัด Event วัฒนธรรมและสอดแทรกเรื่องสิ่งแวดล้อมเข้าไปด้วย 

"ผมอยากให้เกิดโมเดลแบบนี้ไปทั่วประเทศ จึงเกิดการต่อยอดโดยหลานทั้งสองของผม อายุ 16 ปีและอายุ 14 ปี ที่มีความคิดอยากทำตาม Passion ของปู่ ในเรื่องสิ่งแวดล้อม Carbon Neutral ให้ยั่งยืนต่อเนื่องกับอัมพวาจริงๆ ก็เลยมีแนวคิดเปลี่ยนเรือในคลองอัมพวา จากเรือสันดาปใช้พลังงานน้ำมัน เป็นเรือใช้พลังงานไฟฟ้า โดยจะเริ่มจากคลองเฉลิมพระเกียรติ หรือคลองบางจาก ใน Concept Net Zero อัมพวา อย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งหลานๆ เกิดความสำนึกต่อการรักษ์โลกใบนี้ก็ถือว่าเป็นความภูมิใจอย่างหนึ่งแล้ว...

"ขณะเดียวกัน ก็มี 'สวนสมดุล' ที่เกิดจากลูกชายคนเล็กของผม ที่ขอไปเป็นเกษตรกรตามรอยศาสตร์พระราชา ทุกตารางนิ้วในสวนเป็น Organic ทั้งหมด ไม่ใช้สารเคมีเลย โดยมุ่งหวังสร้างผลิตภัณฑ์มาตรฐานไทยขึ้นมาซึ่งคุณภาพไม่ได้ด้อยกว่าออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เช่น ครีมอาบน้ำ น้ำยาล้างจาน เป็นต้น รวมถึงยังเลี้ยงผึ้งชันโรง และตั้งรัฐวิสาหกิจชุมชนอย่างแท้จริง"

เมื่อพูดถึงศาสตร์พระราชาถูกมาใช้ในการบริหารธุรกิจอย่างไร? คุณวิชัยกล่าวว่า "หลังจากผมประกาศว่าเมื่อผมอายุครบ 70 ปี อยากทำตาม Passion ตัวเอง 3 เรื่องด้วยกัน ได้แก่ 1.เกษตร 2.การศึกษา 3.ร้านค้าปลีกโชห่วยที่ได้รับความเดือดร้อน ผมก็ได้เดินสายบรรยายไปทั่วประเทศ แต่ทุกครั้งที่เดินสาย ถ้ามีโอกาสผมจะพูดถึงปรัชญาของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่มีความลึกซึ้งถ้าเรียนรู้และนำไปปรับใช้อย่างแท้จริงแล้ว เราจะไม่ได้เพียงการดำรงชีวิตที่อยู่ได้ แต่เรายังสามารถสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจที่ตัวเองทำ...

"ในหลวงท่านไม่ได้ปฏิเสธเรื่องเทคโนโลยี แต่แนวคิดท่านทำให้คนเริ่มบาลานซ์เทคโนโลยีกับวิถีชีวิตจริง วิถีเกษตรกรรมที่สามารถสร้างผลตอบแทนมาที่ตัวเราได้โดยไม่ต้องต่อต้านเทคโนโลยี แต่ใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือ อย่างเด็กเกษตรที่ผมเคยบรรยายก็ได้ตระหนักถึงปรัชญานี้ ผมจึงมีโครงการมาตรฐานการเกษตรที่ชลบุรีบ้านเกิดผม โดยจะแนะนำเทรนด์เรื่องการบริหารฟาร์มและสร้างหลักสูตรที่เรียกว่า 'เกษตรหัวขบวน' เพื่อสร้างคนรุ่นใหม่ขึ้นมาให้เข้าใจเรื่องการบริหารจัดการฟาร์ม เข้าใจแผนงานการตลาดและความต้องการของตลาดในปัจจุบัน"

เมื่อถามถึงเป้าหมายสำคัญของ คุณวิชัย ที่สอดคล้องไปกับฉายา Godfather of Startup ว่าคืออะไร? คุณวิชัย เผยว่า ปัจจุบันนี้ต้องยอมรับว่าเด็กไทยเก่งมาก แต่ขาดเวทีในการแสดงความสามารถ ซึ่งตนประกาศว่ากำลังตามหายูนิคอร์นตัวใหม่ วันนี้จึงขอฝากถึงทุกภาคส่วน เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่มากขึ้น เพื่อที่จะทำให้ไทยพบช้างเผือกในป่าลึก กล้าคิด กล้าทำ กล้านำเสนอ ซึ่งจะสร้างความภาคภูมิใจให้ประเทศไทยได้ในอนาคต ขณะเดียวกันก็ฝากถึงนักธุรกิจที่อยากประสบความ ก็ต้องยึดหลัก กล้าคิด กล้าทำ กล้ารับผิดชอบ ด้วย

"สิ่งหนึ่งที่เด็กไทยมักจะขาดก็คือความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในกระบวนการต่างๆ เช่น Collaboration, Connectivity, M&A ในการเริ่มต้นอย่าคิดว่าเก่งคนเดียวต้อง Collaboration ถ้าเก่งบวกเก่ง กลายเป็นซุปเปอร์เก่งเลย เราต้องทำให้สินค้าบริการให้ครบวงจร อย่ามอง Hedge Fund อย่างเดียว อาจไม่ยั่งยืน และต้องมีเป้าหมายยิ่งใหญ่ อย่าทำผ่านๆ ไป เป้าหมายจะไปที่ไหน ต้องเขียน Roadmap อย่างไร ถามว่าคุณวิชัยเคยล้มเหลวไหม คุณวิชัยตอบว่า เยอะมาก จำไว้เลยนะครับว่าไม่มีใครสำเร็จอย่างเดียว และไม่มีใครล้มเหลวอย่างเดียว ความล้มเหลว คือ บทเรียนที่คุ้มค่าให้เราเรียนรู้ได้เสมอ อย่ากลัวความล้มเหลว"

คุณวิชัย ฝากทิ้งท้ายบทสัมภาษณ์นี้อีกด้วยว่า "ประเทศนี้ให้ผมมาเยอะแล้ว ผมต้องสร้างคน สร้างธุรกิจใหม่ๆ พร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้า เพื่อคืนให้กับสังคม คืนให้กับประเทศชาติจนกว่าชีวิตผมจะหาไม่ ซึ่งเวลาผมไปบรรยายต้องให้ผู้ฟังช่วยปฏิญาณไปกับผมด้วยเสมอ คือ 1.เราจะไม่ใช้เทคโนโลยีเพื่อโกงหรือหลอกลวงผู้อื่น 2.เราจะเรียนรู้เพื่อสร้างสรรค์สังคมที่ดีมีคุณธรรม 3.เราจะแบ่งปันความรู้และโอกาสให้แก่ผู้ที่ด้อยกว่า เป็นสิ่งที่ผมอยากปลูกฝังระบบคุณธรรมให้กับคนรุ่นใหม่ต่อไป"

‘จีน’ ทดสอบ 'รถไฟในเมืองพลังงานไฮโดรเจน' ผลิตเองขบวนแรก วิ่งฉิว!! 160 กม./ชั่วโมง - เติมเชื้อเพลิงครั้งเดียววิ่งไกล 1,000 กม.

(22 มี.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า รถไฟในเขตเมือง ที่ขับเคลื่อนด้วยไฮโดรเจนซึ่งจีนพัฒนาขึ้นขบวนแรก วิ่งทดสอบเสร็จสิ้นด้วยความเร็ว 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เมื่อวานนี้ 21 มี.ค. ถือเป็นความคืบหน้าครั้งสำคัญในการประยุกต์ใช้พลังงานไฮโดรเจนในการขนส่งทางรถไฟ

โดยรถไฟดังกล่าวพัฒนาโดยซีอาร์อาร์ซี ฉางชุน เรลเวย์ วีฮีเคิลส์ จำกัด (CRRC Changchun Railway Vehicles) ในเมืองฉางชุน มณฑลจี๋หลินทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีน โดยวิ่งทดสอบบนรางทดสอบของบริษัทฯ และผ่านกระบวนการตรวจสอบประสิทธิภาพการทำงานแบบเต็มระบบ ครอบคลุมครบฉากสถานการณ์ และหลากหลายระดับ

เมื่อเทียบกับรถไฟแบบดั้งเดิมที่อาศัยพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิลหรือระบบจ่ายไฟฟ้าแบบสายส่งเหนือหัว รถไฟในเขตเมืองขบวนนี้มีระบบพลังงานไฮโดรเจนในตัวซึ่งสามารถให้แหล่งพลังงานที่เข้มข้นและยาวนาน โดยมีระยะการเดินทางสูงสุดแบบเติมเชื้อเพลิงครั้งเดียวมากกว่า 1,000 กิโลเมตร

ทั้งนี้ ข้อมูลจากการทดสอบยังแสดงให้เห็นว่ารถไฟพลังงานไฮโดรเจนดังกล่าว ใช้พลังงานเฉลี่ย 5 กิโลวัตต์ชั่วโมงต่อกิโลเมตร ซึ่งเทียบเท่ากับรถไฟชั้นนำระดับโลก

สวัสดิการโรงงาน นครสวรรค์ เด่น "อารี" เลขาฯก.แรงงาน ยกเป็นต้นแบบ พร้อมแนะแรงงานอิสระ ลดหนี้ รับงานเพิ่ม ให้กองทุนผู้รับงาน 0% สูงสุดไม่เกิน 300,000 บาท

วันที่ 22 มีนาคม 2567 นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นายอารี ไกรนรา เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่จังหวัดนครสวรรค์ เปิดมหกรรมสุขภาพอนามัย และความปลอดภัยในการทำงานของแรงงานนอกระบบเชิงรุก พร้อมตรวจเยี่ยมการดำเนินงานด้านการจัดสวัสดิการต่างๆ ให้แก่ลูกจ้างในสถานประกอบกิจการของบริษัท เอ็นไวรอนเม็นท์พัลพ์ แอนด์ เปเปอร์ จำกัด โดยมี นายบดินทร์ เกษมศานติ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครสวรรค์ กล่าวต้อนรับ ดร.ดารัตน์ ศิริวิริยะกุล วิภาตะกลัศ รองประธานฯ กลุ่มบริษัท KTIS และรองประธานสภาอุตฯ แนะนำบริษัทฯ นางโสภา เกียรตินิรชา อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน  นางมารศรี ใจรังษี ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน ร่วมเป็นเกียรติ และหัวหน้าส่วนราชการหน่วยงานสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดนครสวรรค์ ร่วมให้การต้อนรับ  ณ สมาคมชาวไร่อ้อย เขต 11 นครสวรรค์ ต.หัวหวาย อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์

นายอารี  กล่าวว่า กระทรวงแรงงานมีภารกิจที่ดูแลแรงงานอย่างครบถ้วนในทุกมิติ การเดินทางมาจังหวัดนครสวรรค์ในวันนี้ ได้หารือและเยี่ยมชมสถานประกอบการบริษัท เอ็นไวรอนเม็นท์พัลพ์ แอนด์ เปเปอร์ จำกัด ประกอบกิจการผลิตเยื่อกระดาษฟอกขาวจากชานอ้อย ซึ่งได้เปิดให้เยี่ยมชมการจัดสวัสดิการในสถานประกอบกิจการนอกเหนือที่กฎหมายกำหนด รวมถึงโครงการที่เป็นประโยชน์ทั้งด้านความปลอดภัยในการทำงาน ด้านสวัสดิการของแรงงาน ผมขอชื่นชมกรรมการบริหารบริษัท และทีมผู้บริหาร คณะกรรมการสวัสดิการที่เล็งเห็นถึงความสำคัญของการดูแลสิทธิแรงงาน

และการพัฒนาคุณภาพชีวิตลูกจ้าง โดยการดำเนินโครงการด้านต่าง ๆ อย่างเช่นโครงการแรงงานพันธุ์ดี ตามวิถีเศรษฐกิจพอเพียง โครงการมุมนมแม่ในสถานประกอบกิจการ โครงการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานประกอบกิจการ โครงการด้านความปลอดภัยในการทำงาน การจัดสวัสดิการด้านการเงิน เช่น สหกรณ์ออมทรัพย์ในสถานประกอบกิจการ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ การจัดสวัสดิการด้านบริการและสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น สวัสดิการบ้านพักพนักงาน ชุดยูนิฟอร์มพนักงาน ซึ่งนับเป็นต้นแบบเรื่องสวัสดิการในการทำงาน รวมถึงเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องแรงงานและทุกภาคส่วนในการดำเนินงานด้านต่าง ๆ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตพนักงานที่ดีขึ้น 

นอกจากนั้น ในวันนี้ ผมยังได้เปิดงาน “มหกรรมสุขภาพอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานของแรงงานนอกระบบเชิงรุก” จังหวัดนครสวรรค์   โดยมี นางโสภา เกียรตินิรชา อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวรายงาน  ซึ่งเกิดขึ้นด้วยความร่วมมือของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งกระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย ภาคเอกชน ภายใต้การนำของผู้ว่าราชการจังหวัดนครสวรรค์ เพื่อให้แรงงานนอกระบบได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย มีสวัสดิการและสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ปลอดภัย มีสุขภาพร่างกาย และสุขภาพใจที่เข้มแข็ง ส่งเสริมให้ประชาชนมีงานทำ มีรายได้ และเพื่อให้ประชาชนในจังหวัดนครสวรรค์ ได้เข้าถึงบริการในภารกิจทุกด้านของกระทรวง ด้วยความสะดวกรวดเร็วมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของท่านพิพัฒน์  รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ที่มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงานภายใต้แนวคิด“ทักษะดี มีงานทำ หลักประกันทางสังคมเด่น เน้นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ”

นอกจากนี้ นายอารี ยังเยี่ยมชมบูธหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน  หน่วยงานที่ให้บริการตรวจสุขภาพแรงงานนอกระบบเชิงรุก และการสาธิตการใช้งานอุปกรณ์ป้องกันตนเองจากสารเคมี  และเยี่ยมชมบูธผลิตภัณฑ์ของกลุ่มแรงงานนอกระบบ โดยมี กลุ่มแรงงานนอกระบบ และภาคีเครือข่ายด้านแรงงานจังหวัดนครสวรรค์ร่วมให้การต้อนรับ ทั้งนี้ จ.นครสวรรค์ มีแรงงานนอกระบบทั้งสิ้น 346,436 คน ส่วนใหญ่ อยู่ในด้านการเกษตรและประมง รองลงมาเป็น พนักงานบริการ ด้านความสามารถ อาชีพพื้นฐานต่างๆ และผู้ปฏิบัติงานโรงงาน ตามลำดับ

'กัน จอมพลัง' ร่วมถกแนวทาง-แก้ปัญหา ‘เด็กก่อเหตุรุนแรงทางเพศ’ แนะ!! ‘ควรปรับแก้ กม.-ฉีดให้ฝ่อ’ ป้องกันพ้นโทษออกมาก่อเหตุอีก

(22 มี.ค. 67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการเร่งรัดการเสนอร่างพระราชบัญญัติเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล (ครน.) โดยมีนายชัยเกษม นิติสิริ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี นายสมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง นายกิตติกร โล่ห์สุนทร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง นายวิชัย ไชยมงคล ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี นายกองตรี ธนกฤต จิตรอารีย์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำรองนายกรัฐมนตรี และคณะกรรมการ ครน. เข้าร่วม ที่ทำเนียบรัฐบาล 

โดยนายสมศักดิ์ กล่าวว่า การประชุม ครน.วันนี้ ได้พิจารณาทบทวนกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเด็กที่ก่อเหตุความรุนแรงเกี่ยวกับเพศและด้านต่างๆ โดยมี พ.ต.ท.ประวุธ วงศ์สีนิล อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน พ.ต.ท.พงษ์ธร ธัญญสิริ ผู้อำนวยการสำนักงานกิจการยุติธรรม ผู้แทนกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้แทนกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และนายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ หรือ กัน จอมพลัง มาร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางการแก้ปัญหาเด็กก่อเหตุความรุนแรง เพราะจากข้อมูลของกรมพินิจฯ มีเยาวชนที่กระทำความผิดคดีอาญา ฐานข่มขืนกระทำชำเรา ปี 65 จำนวน 670 คน ปี 66 จำนวน 881 คน และปี 67 มีแล้วจำนวน 198 คน ซึ่งจะเห็นได้ว่า มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น 

ขณะที่ กัน จอมพลัง กล่าวว่า ตนได้รับฟังความคิดเห็นในโซเชียลมีเดียส่วนตัว เกี่ยวกับเด็กที่ก่อความรุนแรง ควรมีแนวทางแก้ปัญหาอย่างไร ซึ่งมีผู้มาแสดงความคิดเห็นกว่า 5 พันคน ส่วนใหญ่ อยากให้ภาครัฐปรับแก้กฎหมาย หรือวิธีการป้องกันให้ดีกว่านี้ เพราะจากประสบการณ์ที่ตนลงพื้นที่ พบว่า ผู้ก่อเหตุจำนวนไม่น้อย เมื่อพ้นโทษออกมา ก็จะก่อเหตุซ้ำ รวมถึงมีพฤติกรรมก่อกวนเหยื่อ ทำให้เหยื่อต้องตกอยู่ในความหวาดระแวงตลอดเวลา

นอกจากนี้ ปัญหาเด็กก่อเหตุความรุนแรง ยังพบผู้นำท้องถิ่น เข้ามาเกี่ยวข้องในการช่วยเหลือด้วย ตนจึงมีแนวคิดว่า ผู้ก่อเหตุที่มีพฤติกรรมกระทำความผิดซ้ำ ควรบังคับฉีดให้ฝ่อ เพื่อป้องกันพ้นโทษออกมาก่อเหตุอีก เพราะหลายกรณีได้รับโทษเบา เพียงไม่กี่ปี ก็พ้นโทษ รวมถึงที่ผ่านมา เหยื่อไม่ค่อยได้รับการเยียวยา จึงอยากให้มีการปรับแก้ให้เข้มงวดขึ้น 

ด้าน พ.ต.ท.ประวุธ กล่าวว่า กฎหมายเด็กอายุไม่เกิน 12 กระทำผิด จะไม่ต้องรับโทษนั้น เป็นไปตามหลักสากล ไม่สามารถส่งสถานพินิจได้ ส่วนเด็กช่วงอายุ 12-15 ปี กระทำผิด ไม่ต้องรับโทษเหมือนกัน แต่ศาลมีอำนาจว่ากล่าวตักเตือน หรือ ส่งตัวเด็กไปสถานฝึกอบรม แต่ไม่ให้เกินกว่าวันที่เด็กมีอายุครบ 18 ปี ซึ่งกลุ่มช่วงอายุ 12-15 ปี เป็นช่วงที่กระทำความผิดสูง ส่วนเด็ก 15-18 ปี ศาลสามารถสั่งลงโทษได้ ส่วนการแก้ช่วงอายุไม่ต้องรับโทษ ต้องเกี่ยวข้องกับหลักสากลด้วย จึงควรมีการรับฟังความเห็นอย่างรอบด้าน แต่ที่สามารถทำได้ คือ ส่งเข้าสถานฝึกอบรม จากไม่เกินอายุ 18 ปี ขยายเป็น 24 ปี เพื่อเพิ่มการดูแลให้มากยิ่งขึ้น 

โดยนายสมศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมา ตนเคยออกกฎหมายป้องกันการกระทำความผิดซ้ำ เพื่อเฝ้าระวังบุคคลอันตรายก่อเหตุซ้ำ ซึ่งกฎหมายนี้ จะสามารถช่วยแก้ปัญหาเด็กก่อเหตุความรุนแรงได้ แต่แนวทางการแก้ปัญหาแบบรูปธรรม ที่ประชุม ครน.ได้มีมติ มอบหมายให้สำนักงานกิจการยุติธรรม ไปรับฟังความคิดเห็นเพิ่มเติมว่า ควรมีการปรับแก้กฎหมายเพิ่มเติมหรือไม่ เพื่อช่วยแก้ปัญหาเด็กก่อเหตุความรุนแรง พร้อมมอบหมาย ให้สร้างการรับรู้ และทำให้สังคมตระหนักรู้ มีความรับผิดชอบต่อสังคม โดยตนขอให้ทุกหน่วยงานช่วยกันขับเคลื่อนแก้ปัญหานี้อย่างจริงจัง

‘สรวุฒิ’ อัด!! ‘สส.ก้าวไกล’ หลังเสนอตัดงบสร้างบ้านพักศาล ซัด!! โจมตีผิดๆ ถูกๆ แถมไม่เข้าใจโลกความเป็นจริง

(22 มี.ค. 67) นายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในฐานะกมธ. ชี้แจงว่าบางทีการไปโจมตีการครองตนของข้าราชการตุลาการต้องระวัง เพราะเขาไม่เหมือนคนอื่น เขาใช้ชีวิตอิสระแบบคนอื่นไม่ได้ บ้านพักต้องอยู่แบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ บางคนไม่เข้าใจวิธีการเป็นไปของโลกก็จะโจมตีผิด ๆ ถูก ๆ ข้าราชการตุลาการ ผู้พิพากษาต้องผดุงความยุติธรรมสูงสุด เราเองคงหาความยุติธรรมเหนือกว่านี้ไม่ได้ 

นายสรวุฒิ กล่าวต่อว่า ในระบบทั่วโลกก็เป็นเช่นกัน ถ้าหากไม่ให้เขาสันโดษ ให้มีเพื่อนจำนวนมาก จะทำให้ไม่มีความอิสระเพราะต้องเกรงใจไปทั่ว เพราะฉะนั้นต้องพิจารณาสิทธิที่เขาพึงมี มีอะไรบ้าง เช่นเดียวกับ สส. ถ้าไม่มีผู้ช่วย สส. 7-8 คน ถามว่าจะดูแลประชาชนอย่างไร ถ้าจะแก้ต้องแก้หลักใหญ่ อย่าโจมตีจุดเล็ก จะได้เป็นธรรมกับทุกฝ่าย ดังนั้น ยืนยันขอให้ตั้งงบตามที่คณะกมธ.แก้ไข

ด้านน.ส.ธิษะณา ชุณหะวัณ สส.กทม. พรรคก้าวไกล โต้กลับว่าเห็นด้วยที่อาชีพผู้พิพากษามีเกียรติศักดิ์ศรี แต่สส.ก็มีความอันตราย มีศัตรูทางการเมืองไม่แพ้กัน แต่ไม่มีบ้านพักอาศัยที่ภาษีประชาชน และยืนยันงบประมาณสร้างบ้านพักศาลควรตัดออก เพราะไม่จำเป็น

🔎10 ชาติในเอเชียที่เก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) มากกว่าไทย

‘ภาษีมูลค่าเพิ่ม’ หรือ value-added tax (VAT) เป็นภาษีที่เก็บบนมูลค่าเพิ่มของสินค้า/บริการในแต่ละขั้นของห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งในปัจจุบันประเทศไทย เก็บ VAT อยู่ที่ 7% ถือว่าน้อยกว่าประเทศในเอเชียหลาย ๆ ประเทศ เช่น อินเดีย เก็บอยู่ที่ 18% รองลงมาคือซาอุดีอาระเบียเก็บอยู่ที่ 15%

วันนี้ THE STATES TIMES ได้รวบรวมรายชื่อ 10 ประเทศในเอเชียที่เก็บ VAT มากกว่าไทย จะมีประเทศไหนบ้าง มาดูกัน!!


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top