Sunday, 18 May 2025
NewsFeed

‘อ.พงษ์ภาณุ’ ซัด!! หน่วยงานไร้จิตสำนึก  ยึดความอิสระ พาเศรษฐกิจไทยถดถอย

(21 มี.ค.67) อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ เผยคำกล่าวของท่านนายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับจิตสำนึกของหน่วยงาน ภายหลังการประชุมติดตามการแก้ไขปัญหาหนี้สินภาคประชาชน ร่วมกับ 3 เหล่าทัพ และสถาบันการเงิน ที่เชื่อว่าจะช่วยให้ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ตั้งสติและพิจารณาทบทวนการทำงานของตนเองได้อยู่บ้างไม่มากก็น้อย ไว้ว่า...

คำว่าจิตสำนึกอาจมีหลายความหมาย แต่หากเดาใจท่านนายกฯ น่าจะหมายถึงความรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งในภาษาอังกฤษเรียกว่า Accountability ความรับผิดชอบต่อสังคมนี้ ไม่ใช่ความรับผิดชอบในทางการงาน (Responsibility) เท่านั้น แต่รวมถึงความรับผิดชอบต่อความเดือดร้อนของประชาชน ซึ่งสำคัญกว่ามากด้วย

Accountability มีความสำคัญอย่างยิ่ง แต่มักจะหาได้ยากยิ่งในหน่วยงานภาครัฐที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง หน่วยงานเหล่านี้มักทำหน้าที่ในด้านนโยบายสาธารณะ ไม่มีเจ้าของที่ต้องรายงาน และมีความเป็นอิสระจากฝ่ายการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง

เป็นที่ยอมรับในสากลว่าธนาคารกลางควรมีอิสระในการดำเนินนโยบายการเงิน ทั้งนี้ต้องอยู่ภายใต้เป้าหมายเงินเฟ้อ (Inflation Targets) ที่ตกลงกับรัฐบาล ก่อนปี 2566 ทว่าแบงก์ชาติไม่ทำหน้าที่ธนาคารกลางที่ดี แต่กลับทำตัวเป็นตู้ ATM ให้รัฐบาลสมัยนั้นมาตลอด 10 ปี อัตราดอกเบี้ยนโยบายต่ำติดศูนย์มาเป็นระยะเวลายาวนาน แม้ในปี 2565 ธนาคารกลางทั่วโลกจะเริ่มขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพื่อต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อ แต่ธนาคารแห่งประเทศไทยกลับรีรอไม่ยอมขึ้นดอกเบี้ยจนเงินเฟ้อในไทยพุ่งสูงขึ้นสู่ระดับสูงที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง และเป็นระดับที่สูงกว่ากรอบเงินเฟ้อที่ตกลงไว้กับรัฐบาลกว่า 2 เท่า

กว่าจะรู้ตัวว่าไม่ได้เป็นตู้ ATM ก็จนหลังการเลือกตั้ง ซึ่งสายไปเสียแล้ว ธนาคารแห่งประเทศไทยเร่งขึ้นดอกเบี้ยหลังมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจไทยอ่อนแอและเงินเฟ้อเริ่มต่ำกว่ากรอบและเข้าสู่ภาวะเงินฝืด จนขณะนี้เงินเฟ้อติดลบต่อเนื่องติดต่อกัน 5 เดือน และเศรษฐกิจไทยกำลังจะหดตัวเป็นไตรมาสที่ 2 ติดต่อกัน ซึ่งถือเป็นภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) อย่างเป็นทางการ

ความเป็นอิสระของธนาคารกลางจะมีได้ขึ้นอยู่กับความประพฤติของธนาคารกลางเอง ที่สำคัญที่สุดคือการมีบทบาทที่ชัดเจน (Clear Mandate) ที่จะต้องรักษาเสถียรภาพของราคาเป็นที่ตั้ง ไม่ใช่ทำเก่งทุกอย่าง (ยกเว้นเรื่องนโยบายการเงิน) เหมือนกับที่ธนาคารแห่งประเทศไทยทำอยู่ทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นการกำกับดูแลสถาบันการเงิน การแก้ไขปัญหาโลกร้อน การอุ้มตลาดหุ้นกู้ การแก้ไขปัญหาโควิด เป็นต้น ตราบใดที่ยังไม่มี Clear Mandate คงจะเป็นการยากที่จะหวังว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะมีจิตสำนึก

‘สนพ.’ เผยการปล่อยก๊าซ CO2 ภาคพลังงานของไทยปี 2566 น่าปลื้ม!! ลดลง 2.4% จากปีก่อน ผลจากการใช้พลังงานสะอาดทดแทน

(21 มี.ค. 67) นายวีรพัฒน์ เกียรติเฟื่องฟู ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เปิดเผยถึงการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) จากการใช้พลังงาน ปี 2566 พบว่า การปล่อยก๊าซ CO2 จากการใช้พลังงาน อยู่ที่ระดับ 243.6 ล้านตัน CO2 ลดลงร้อยละ 2.4 เมื่อเทียบกับปีก่อน ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจของประเทศจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชน ภาคการท่องเที่ยวและบริการที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตามจากเศรษฐกิจโลกที่ยังมีความเปราะบาง อุปสงค์ในตลาดโลกมีความต้องการสินค้าลดลง ส่งผลให้การผลิตในภาคอุตสาหกรรมและการส่งออกชะลอตัวทำให้การใช้พลังงานในภาคอุตสาหกรรมลดลง ซึ่งสอดคล้องกับการใช้พลังงานของประเทศไทยที่ลดลงเล็กน้อย 

สำหรับการปล่อยก๊าซ CO2 จากการใช้พลังงานแยกรายชนิดเชื้อเพลิงในปี 2566 พบว่า มีสัดส่วนการปล่อยก๊าซ CO2 อยู่ที่ 243.6 ล้านตัน CO2 ลดลงร้อยละ 2.4 โดยการปล่อยก๊าซ CO2 จากน้ำมันสำเร็จรูปมีสัดส่วนการปล่อยสูงที่สุดอยู่ที่ร้อยละ 43 รองลงมาคือ ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน/ลิกไนต์ มีสัดส่วนร้อยละ 33 และ 24 ตามลำดับ 

ทั้งนี้ การปล่อยก๊าซ CO2 จากการใช้ถ่านหิน/ลิกไนต์ และน้ำมันสำเร็จรูป ในปี 2566 เมื่อเทียบกับปีก่อน ลดลงร้อยละ 15.0 และ 1.1 ตามลำดับ ในขณะที่การปล่อยก๊าซ CO2 จากการใช้ก๊าซธรรมชาติ เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.5 ซึ่งสอดคล้องกับปริมาณการใช้ถ่านหิน/ลิกไนต์ ในปี 2566 ที่ลดลง ในขณะที่การใช้ก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน

สำหรับการปล่อยก๊าซ CO2 จากการใช้พลังงานแยกรายภาคเศรษฐกิจในปี 2566 พบว่า  มีสัดส่วนการปล่อยก๊าซ CO2 อยู่ที่ 243.6 ล้านตัน CO2 ลดลงร้อยละ 2.4 โดยภาคการขนส่ง มีสัดส่วนการปล่อยก๊าซ CO2 อยู่ที่ 81.6 ล้านตัน CO2 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ร้อยละ 0.1 ภาคอุตสาหกรรม มีสัดส่วนการปล่อยก๊าซ CO2 อยู่ที่ 95.2 ล้านตัน CO2 ลดลงร้อยละ 9.7 ภาคการผลิตไฟฟ้า มีสัดส่วนการปล่อยก๊าซ CO2 อยู่ที่ 89.6 ล้านตัน CO2 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.8 และภาคเศรษฐกิจอื่น ๆ ได้แก่ ภาคครัวเรือน เกษตรกรรม พาณิชยกรรม และกิจกรรมอื่น ๆ มาจากการใช้น้ำมันสำเร็จรูปเพียงอย่างเดียว มีสัดส่วนการปล่อยก๊าซ CO2 รวม 13.2 ล้านตัน CO2 ลดลงร้อยละ 3.5

“หากเปรียบเทียบการปล่อยก๊าซ CO2 ต่อการใช้พลังงานของประเทศไทยเทียบกับต่างประเทศ จากข้อมูลของ International Energy Agency (IEA) ประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่า ในปี 2564 ประเทศไทยมีการปล่อยก๊าซ CO2 ต่อการใช้พลังงานเฉลี่ย อยู่ที่ 2.05 พันตัน CO2 ต่อการใช้พลังงาน 1 KTOE ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของโลก ภูมิภาคเอเชีย ประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศจีน ซึ่งอยู่ที่ 2.27 / 2.28 / 2.13 และ 2.85 พันตัน CO2 ต่อการใช้พลังงาน 1 KTOE ตามลำดับ 

ซึ่งประเทศไทยมีนโยบายด้านพลังงานที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการสนับสนุนการใช้พลังงานหมุนเวียนในรูปแบบต่าง ๆ ที่เป็นพลังงานสะอาดเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จึงทำให้มีการปล่อย ก๊าซ CO2 ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของโลก ซึ่งจะช่วยทำให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายการลดปลดปล่อยก๊าซ CO2 ตามเป้าหมายของการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศได้” นายวีรพัฒน์ กล่าวว่า

'หมอดื้อ' เตือน!! หยุด 'มัน' เดี๋ยวนี้ ต้องเปิดโปงผู้ได้รับผลประโยชน์จาก 'มัน'

(21 มี.ค.67) นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

หยุด 'มัน' เดี๋ยวนี้และเปิดโปงผู้ได้รับผลประโยชน์จาก 'มัน'

1- มันไม่ได้อยู่ที่ต้นแขนเท่านั้น
2- มันเลื้อยเข้ากระแสเลือด
3- มันซึมเข้าไปในเซลล์ทุกแห่งในเนื้อเยื่อและทุกอวัยวะ
4- มันบังคับให้เราสร้างโปรตีนหนามในเซลล์
5- โปรตีนหนามเป็นพิษต่อเซลล์
6- โปรตีนหนามยังเป็นเป้าล่อให้ร่างกายพยายามทำลายเลยเกิดการอักเสบในร่างกาย
7- สิ่งที่หลุดรั่วออกมาจากผนังเซลล์และเนื้อเยื่อมีปฏิกิริยาเหนี่ยวนำ ทำให้เกิดโปรตีนชนิดใหม่เป็นอะไมลอยด์โปรตีน เข้าไปในหลอดเลือด ทำลายไม่ได้ เป็นสารวัตถุคงทนยืดเหนียวเหมือนหนังสติ๊ก
8- มันยังมีสิ่งแปลกปลอมเพราะกระบวนการผลิตมีดีเอ็นเอปนเปื้อนและยังมียีนส์ที่ทำให้มันเข้าไปเสียบในโครโมโซมของมนุษย์
9- คุณสมบัติของอนุภาคนาโนไขมันที่มีขยะอยู่มากและพร้อมที่จะเข้าไปเสียบในโครโมโซมของมนุษย์โดยเฉพาะที่พิสูจน์แล้วคือโครโมโซมที่เก้าและ 12
10- สิ่งที่ควรทำและต้องทำคือต้องหยุดการฉีดมันเข้าร่างกายมนุษย์

สมควรแล้วหรือไม่ที่มีเทคโนโลยีนี้นำมาใช้ในโรคชนิดต่างๆ ที่ทยอยกันออกมา 

สมควรหรือไม่ที่ต้องออกมารับผิดชอบเยียวยาผู้ที่เสียชีวิตและพิการตลอดชีวิต 

หยุด 'มัน' เดี๋ยวนี้และเปิดโปงผู้ได้รับผลประโยชน์จาก 'มัน' 

DSI ตรวจค้น 5 เป้าหมาย เครือข่ายส่งออกน้ำมันโกฟุก พื้ยที่ชลบุรีหลังทางการพม่ายืนยันไม่มีบริษัทฯ รับซื้อน้ำมันในพม่า

ตามที่กรมสอบสวนคดีพิเศษได้ทำการสืบสวน ขยายผลจากคดีพิเศษที่ 10/2567 กรณีเครือข่าย "โกฟุก" นำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จในระบบคอมพิวเตอร์หลอกลวงให้ประชาชนเข้าซื้อรางวัลเลขท้ายของรางวัลที่ 1 และรางวัลเลขท้าย 2 ตัว โดยอ้างอิงผลการออกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล รวมทั้งนำผลการออกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาลของประเทศต่าง ๆ มาประกอบในการเชิญชวนให้มีการเล่นการพนันภายใต้หลายเว็บไซต์ เช่น ร่ำรวย  ร้อยล้าน นพเก้า นาคราช ชอบหวย ล้อตโต้เอ็มเอ็ม ดีเอ็นเอ เยเย่ และอื่นๆ เบื้องต้นพบเงินหมุนเวียนในระบบกว่า 1,000 ล้านบาท พบว่ากลุ่มเครือข่ายดังกล่าวเกี่ยวข้องกับกรณีที่คณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและยาเสพติด สภาผู้แทนราษฎรได้ส่งเรื่องขอให้ดำเนินการตรวจสอบเรื่องร้องเรียนกรณี กลุ่มผู้บริหารและผู้ประกอบกิจการปิโตรเลียมกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียมโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายมีพฤติการณ์เป็นขบวนการลักลอบจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทในทั้งในและต่างประเทศ และเป็นผู้ซื้อน้ำมันเพื่อการส่งออกแต่ไม่มีการส่งออกอย่างแท้จริงโดยนำกลับมาจำหน่ายในประเทศ ส่งผลกระทบรุนแรงต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ และเป็นมีการฟอกเงินรายได้จากบ่อนคาสิโนแนวชายแดน หวยใต้ดินและสินค้าหนีภาษี อันอาจเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 พระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ 2560 ประมวลกฎหมายรัษฎากร และกฎหมายฟอกเงิน เป็นคดีพิเศษที่ 116/2563 ที่สอบสวนอยู่ ซึ่งจากการสอบสวนขยายผล พบพฤติการณ์ต้องสงสัยว่า บริษัท Chindwin สัญชาติเมียนมา ที่แต่งตั้งนายสง่า หรือโกฟุก เป็นตัวแทนดำเนินการซื้อขายน้ำมันเชื้อเพลิงจากประเทศไทยเพื่อส่งออกไปยังสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาโดยได้รับการยกเว้นทางภาษีมีตัวตนหรือไม่ คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษจึงดำเนินการขอความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา (MLAT) ตรวจสอบสถานะของบริษัท ชินด์วิน จำกัด (Chindwin Company Limited) ผลการตรวจสอบพบว่าไม่มีการจดทะเบียนในนามบริษัท Chinwind จำกัด ในสารบบนิติบุคคลของสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา อีกทั้ง บริษัท Chinwind ไม่ได้เปิดดำเนินการหรือมีสถานประกอบการตามที่ได้ระบุไว้ในเอกสารใบสั่งสินค้า (Purchase Order) บัญชีราคาสินค้า (Invoice) และเอกสารใบรับสินค้า (RECEIVING OF MERCHANDISE) ที่นำมาแสดงต่อบริษัทผู้ขายน้ำมัน จึงมีเหตุจำเป็นต้องตรวจสอบต้นทางคือนิติบุคคลและสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการส่งออกน้ำมันไปยังต่างประเทศ คณะพนักงานสอบสวนจึงมีมติร่วมกับพนักงานอัยการที่ร่วมสอบสวน ยื่นคำร้องขอหมายค้นต่อศาลเพื่อรวบรวมพยานหลักฐานเข้าตรวจค้นสถานที่ต่างๆ ในพื้นที่จังหวัดชลบุรี จังหวัดชุมพร และจังหวัดระนอง รวม 5 จุด ในวันนี้ ประกอบด้วย

จุดที่ 1 บริษัท ทีพีทีเอ็ม โลจิสติกส์ จำกัด และ บริษัท น้ำโขง โลจิสติกส์ จำกัด  อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี

จุดที่ 2 บริษัท ศิธา โลจิสติกส์ จำกัด อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี

จุดที่ 3 บริษัท โชคชัยพัฒนาออยล์ จำกัด อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี

จุดที่ 4 บริษัท จิดาภา ทรานสปอร์ต จำกัด และ บริษัท สกลพัฒน์ ทรานสปอร์ต จำกัด  อำเภอเมืองชุมพร จังหวัดชุมพร

จุดที่ 5 ท่าเรือสินพารา (ท่าเรือโกกวด) หรือ ห้างหุ้นจำกัด สินพาราค้าไม้ อำเภอเมืองระนอง จังหวัดระนอง

โดย พันตำรวจตรี ยุทธนา แพรดำ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมด้วย พันตำรวจตรี วรณัน ศรีล้ำ ผู้อำนวยการกองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบ/โฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้ลงพื้นที่ติดตามการปฏิบัติงานของคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่บูรณาการ การทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่จากสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ที่ทำการตรวจค้นในพื้นที่จังหวัดชลบุรี ส่วนในการปฏิบัติการตรวจค้นในพื้นที่จังหวัดระนองและชุมพร นำโดย ร้อยตำรวจเอก วิษณุ ฉิมตระกูล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ นายอังศุเกติ์  วิสุทธิ์วัฒนศักดิ์ ผู้อำนวยการกองกิจการอำนวยความยุติธรรม และ คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่บูรณาการการทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่จากสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ผลการตรวจค้นสามารถพบและยึดสิ่งของเป็นพยานหลักฐานในรูปแบบเอกสารและไฟล์ดิจิทัลเพื่อประกอบสำนวนการสอบสวนต่อไป “พฤติการณ์ของคดีนี้มีเหตุอันควรสงสัยว่านายสง่าฯ กับพวก ได้ร่วมกันหลอกลวงใช้ชื่อบริษัทผู้ซื้อคือ บริษัท Chindwin สัญชาติเมียนมา ในสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียน ซึ่งไม่มีอยู่จริง มาสร้าง   นิติกรรมอำพรางโดยแสดงเอกสารเท็จเป็นหนังสือแต่งตั้งเป็นตัวแทนผู้ซื้อ เพื่อใช้เป็นคู่ค้าหรือคู่สัญญาในการทำธุรกรรมซื้อน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อจะได้รับสิทธิเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ ๐ ทำให้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำไปขายให้กับนายสง่าฯ กับพวกเป็นราคาที่ถูกกว่าราคาตลาด นายสง่าฯ กับพวก จึงอาศัยช่องทางนี้ในการซื้อน้ำมันราคาถูก และยังมีพฤติการณ์อันควรสงสัยในการลักลอบหนีศุลกากรนำน้ำมันเชื้อเพลิงดังกล่าวเข้ามาจำหน่ายเอากำไรภายในประเทศ ทำให้รัฐสูญเสียรายได้กว่า 28,000 ล้านบาท”

‘อินเตอร์ลิ้งค์ฯ’ เปิดศึกแห่งปี 'Cabling Contest' ปีที่ 12  ค้นหาสุดยอดเยาวชนที่มีทักษะชั้นเลิศด้านสายสัญญาณ

ใครจะเป็นแชมป์คนที่ 12 บนเวทีแข่งขันสุดยิ่งใหญ่แห่งปี 2567 ชิงถ้วยพระราชทานฯ ใน ‘โครงการแข่งขันสุดยอดทักษะสายสัญญาณ ปีที่ 12 (Cabling Contest#12)’ เพื่อค้นหาผู้ชนะเลิศเยาวชนคนเก่งที่มีทักษะเฉพาะด้านเพียงหนึ่งเดียว จากทั่วประเทศไทย พร้อมชิงเงินรางวัลมูลค่ารวมกว่า 400,000 บาท โดยได้ประกาศแผนการแข่งขัน และเปิดรับสมัครผู้ที่มีความสามารถจากทั่วทุกภูมิภาคแล้วตั้งแต่วันนี้ เตรียมตัวมาปะทะกันทางความรู้ สู้ศึกด้วยทักษะกันให้พร้อม เพื่อชิงชัยคว้ารางวัลสู่ความสำเร็จ

(21 มี.ค. 67) บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ILINK  ผู้นำเข้า และจัดจำหน่ายสายสัญญาณที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน และผู้นำเข้าค้าส่งอุปกรณ์เครือข่ายส่งสัญญาณ ผลิตภัณฑ์ LINK จากสหรัฐอเมริกา พร้อมกับเป็นผู้ผลิต และจัดจำหน่ายตู้ RACK ผลิตภัณฑ์ 19” GERMANY EXPORT RACK แถลงข่าวงานจัดการแข่งขันใน ‘โครงการแข่งขันสุดยอดทักษะสายสัญญาณ ปีที่ 12 (Cabling Contest#12)’ ภายใต้ความร่วมมือ และสนับสนุนโดย สำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงแรงงาน พร้อมผู้ชนะเลิศจะได้รับถ้วยพระราชทานจาก สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และถ้วยรางวัลเกียรติยศ และเงินรางวัลมูลค่ารวมกว่า 400,000 บาท

สมบัติ อนันตรัมพร ประธานกรรมการ กลุ่มบริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) ร่วมกล่าววัตถุประสงค์ของการจัดการแข่งขัน พร้อมกล่าวเปิดงานอย่างเป็นทางการว่า “โครงการฯ นี้ ดำเนินการจัดการแข่งขันมาอย่างต่อเนื่อง และก้าวเข้าสู่ปีที่ 12 จากความตั้งมั่นพร้อมอุดมการณ์ที่จะนำเทคโนโลยีมาพัฒนาประเทศไทย อีกทั้งเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาศักยภาพเยาวชนในทุกระดับ และทุกภาคส่วน เพื่อเป็นการผลักดัน ส่งเสริมการเรียนรู้ที่เป็นประโยชน์ ตอบโจทย์แห่งวงการระบบโครงข่ายพื้นฐาน นำสู่การต่อยอด พัฒนา ฝึกฝน ผู้ที่มีทักษะ และมีฝีมือทางความรู้ ความสามารถเฉพาะด้านนี้ ตลอดจนเพื่อเป็นการส่งเสริม ช่วยยกระดับคุณภาพทางการศึกษา ให้ไปสู่การต่อยอดทางอาชีพ เพิ่มพูนประสบการณ์ให้แก่เยาวชนได้อย่างมีคุณภาพ ไปพร้อมกับสามารถต่อยอดองค์ความรู้ได้อย่างดีเยี่ยม เพื่อสอดรับการเติบโตในอนาคตอย่างมีมาตรฐาน ก้าวไปสู่การพัฒนาให้ทัดเทียมเท่ากับนานาชาติได้อีกด้วย”

สำหรับการแข่งขัน Cabling Contest ปีที่ 12 จัดขึ้นเพื่อเสริมสร้างให้ผู้เข้าแข่งขันได้เรียนรู้ถึงระบบโครงข่ายพื้นฐานที่เป็นปัจจัยหลัก และสำคัญอย่างยิ่งในยุคเทคโนโลยีดิจิทัลนี้ เพื่อก้าวให้ทันเทรนด์เทคโนโลยีแห่งยุคที่มีการพัฒนา และปรับเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว โดยตลอดทั้งโครงการฯ แข่งขัน จะได้เรียนรู้ถึงระบบการติดตั้ง และเข้าใจถึงการต้องเลือกอุปกรณ์ที่มีมาตรฐานจาก LINK AMERICAN & GERMAN RACK EVERYWHERE เพื่อตอบโจทย์แก่การใช้งานในทุกระบบอย่างมีเสถียรภาพ และมีประสิทธิภาพสูงสุด นับเป็นเวทีการแข่งขันที่เปิดโอกาสให้เยาวชน มาร่วมประลองความรู้ ความสามารถ เพื่อเฟ้นหาผู้ที่มีฝีมือ และมีทักษะสุดยอดด้านสายสัญญาณ จากทุกภูมิภาคทั่วประเทศไทยที่จะนำไปสู่การต่อยอดพัฒนาทักษะ พร้อมสร้างประสบการณ์ใหม่ ให้แก่ นิสิต นักศึกษา ในระดับอุดมศึกษา และอาชีวศึกษา รวมทั้งยังเป็นการเตรียมความพร้อมให้กับกลุ่ม นิสิต นักศึกษา ที่ในอนาคตจะเป็นกำลังสำคัญต่อการพัฒนาประเทศชาติได้อย่างดีเยี่ยมอีกด้วย

ล่าสุด บนเวทีการแข่งขันปีที่ 12 ได้จัดรูปแบบการแข่งขันตลอดทั้งโครงการฯ ภายใต้ Concept : E-Sport เพิ่มความตื่นตา แปลกใหม่ที่ไม่ใช่แค่เพียงการแข่งขันรอบคัดเลือกผ่านหน้าจอออนไลน์อีกต่อไป เตรียมพลิกโฉมการแข่งขันให้สะเทือนวงการไปพร้อมกันตลอดทั้งปีนี้ โดยรอบคัดเลือกระดับภูมิภาค รวมถึงกรุงเทพฯ และปริมณฑล จัดขึ้นในรูปแบบ ONLINE ซึ่งเป็นการสร้างสีสัน และมิติใหม่ให้แก่วงการแข่งขันชิงถ้วยพระราชทานฯ ระดับประเทศอีกด้วย โดยบริษัทฯ จะสนับสนุน จัดส่งชุดอุปกรณ์การแข่งขันไปยังสถานศึกษาของผู้สมัคร และไม่มีค่าใช้จ่ายตลอดทั้งโครงการฯ พร้อมกันนี้ ในรอบชิงชนะเลิศ จะจัดขึ้นในรูปแบบ Onsite ณ จังหวัดชลบุรี

สำหรับรอบคัดเลือกเพื่อเฟ้นหาตัวแทนจากทั่วทุกภูมิภาค มีกำหนดการเปิดประเดิมเริ่มต้นการแข่งขันขึ้นตั้งแต่ เดือนพฤษภาคม ถึง เดือนตุลาคม 2567 ดังนี้

ตารางการแข่งขัน 

‘รอบคัดเลือกระดับภูมิภาค’
ภาคกลาง วันที่ 29 พฤษภาคม 2567 (การแข่งขันในรูปแบบ Online)
กรุงเทพและปริมณฑล วันที่ 12 มิถุนายน 2567 (การแข่งขันในรูปแบบ Online)
ภาคเหนือ วันที่ 18 มิถุนายน 2567 (การแข่งขันในรูปแบบ Online)
ภาคตะวันออก วันที่ 10 กรกฎาคม 2567 (การแข่งขันในรูปแบบ Online)
ภาคใต้ วันที่ 17 กรกฎาคม 2567 (การแข่งขันในรูปแบบ Online)
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ วันที่ 31 กรกฎาคม 2567 (การแข่งขันในรูปแบบ Online)

‘รอบชิงชนะเลิศ’ วันที่ 24 - 26 ตุลาคม 2567 (การแข่งขันในรูปแบบ Onsite ณ จังหวัดชลบุรี)

ในการคัดเลือกรอบภูมิภาค จะมีผู้ผ่านเข้ารอบ ภูมิภาคละ 10 คน รวมทั้งสิ้น 60 คน ก่อนเข้าชิงชัย โดยโค้งสุดท้ายของการแข่งขัน จะมีการอบรม ฝึกซ้อม เตรียมความพร้อม ก่อนลงสนามแข่งขันจริง เพื่อโชว์ศักยภาพ และทักษะทางความรู้ ความสามารถ ค้นหาเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ผู้ชนะเลิศคว้าถ้วยพระราชทานฯ ผู้ที่จะเป็นสุดยอดทักษะด้านสายสัญญาณคนที่ 12 ของประเทศไทย

สามารถลงทะเบียน - สมัครเข้าร่วมการแข่งขัน ‘โครงการแข่งขันสุดยอดทักษะสายสัญญาณปีที่ 12 (Cabling Contest#12)’ ได้แล้วตั้งแต่วันนี้ที่ www.cablingcontest.net หรือ Website: www.interlink.co.th หรือ Facebook: INTERLINK FAN หรือ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร 02-666-1111 ต่อ 1705

‘ลาว’ ลุยปรับขึ้น 'ภาษีมูลค่าเพิ่ม' จาก 7% เป็น 10% หวังหนุนงบประมาณรายรับ - พัฒนาเศรษฐกิจในประเทศ

(21 มี.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ทองลุน สีสุลิด ประธานาธิบดีลาว ออกรัฐบัญญัติที่กำหนดการปรับขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จากร้อยละ 7 เป็นร้อยละ 10 เพื่อสนับสนุนงบประมาณรายรับ และเกื้อหนุนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ

โดยรายงานระบุว่า รัฐบัญญัติประธานาธิบดีข้างต้น ฉบับออกวันอังคาร (19 มี.ค.) มีเป้าหมายปรับปรุงความสามารถจัดเก็บงบประมาณรายรับ เพื่อช่วยแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจและการเงินที่ลาวต้องเผชิญในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

ทั้งนี้ อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 10 จะถูกบังคับใช้กับการทำธุรกรรมต่าง ๆ อาทิ การนำเข้า สินค้า การบริการทั่วไป การนำเข้าแร่ธาตุ และการใช้ไฟฟ้า โดยการปรับขึ้นครั้งนี้ส่งผลให้อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มคืนสู่ระดับเดิมของปี 2010-2021

อนึ่ง ลาวปรับลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มเหลือร้อยละ 7 ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2022 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามกระตุ้นการฟื้นฟูเศรษฐกิจในยุคหลังการระบาดใหญ่ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19)

'วิทยา' จี้!! 'ก.ทรัพย์ฯ' ฟื้นโรงเรียนป่าไม้แพร่ หลังถูกปิดมาร่วม 30 ปี หวังผลิตบุคลากรที่มีจิตวิญญาณพิทักษ์รักษาป่าไม้อย่างแท้จริง

“วิทยา แก้วภราดัย” จี้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯฟื้นโรงเรียนป่าไม้แพร่ขึ้นมาใหม่ หลังถูกปิดมาร่วม30 ปี เพื่อผลิตบุคลากรที่มีจิตวิญญาณพิทักษ์รักษาป่าไม้อย่างแท้จริง

(21 มี.ค. 67) นายวิทยา แก้วภราดัย สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้อภิปรายระหว่างการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 วงเงิน 3.48 ล้านล้านบาท วาระที่ 2 เรียงตามรายมาตรา ซึ่งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญฯ พิจารณาเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยนายวิทยาอภิปรายถึงเหตุผลที่ได้แปรญัตติ ตัดงบของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไว้ 5% ว่า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ ตั้งมากว่า 20 ปี ในสายตาประชาชนมองกระทรวงนี้เขานึกถึงอะไร มีเพื่อนสมาชิกอภิปรายถึงช้าง และปริมาณช้างที่ล้นป่า บางคนนึกถึงสิ่งแวดล้อมธรรมชาติของโลกที่เริ่มสูญเสียความสมดุล

ทั้งนี้ พระเอกจริง ๆ ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ ก็คือกรมป่าไม้เดิมเป็นกรมป่าไม้ที่ดูป่าทุกประเภทในประเทศไทย เป็นกรมที่ใหญ่มาก วันที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ มีหน้าที่ในการพิทักษ์รักษาสิ่งแวดล้อมโลกด้วยการสร้างป่าให้มากที่สุด เราก็ได้ยินทะเลาะกันบ่อย เรื่องเขตป่าอุทยาน เขตป่าสงวน เขตที่จะเป็นสปก. ทะเลาะกันข้ามกระทรวง วันที่กรมป่าไม้ยุบมาอยู่ในกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ กรมป่าไม้กลายเป็นกรมเล็ก ๆ ที่ดูแลป่าสงวน กรมอุทยานแห่งชาติก็เติบโตขึ้นมาดูแลเกือบทุกอย่าง กรมอุทยานชายฝั่งดูแลป่าชายเลน กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งก็ดูแลทรัพยากรในทะเล แต่เราได้สร้างบุคลากรที่จะพิทักษ์ป่าจริง ๆ หรือไม่

นายวิทยา กล่าวว่า มีข้าราชการกี่คนในกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ ที่เรียนรู้เรื่องป่าไม้จริง ๆ มีกี่คนที่ออกไปดับไฟป่ากับเพื่อน ๆ มีหัวหน้าอุทยานแห่งชาติกี่คนที่ผ่านหลักสูตรป่าไม้อย่างแท้จริง โรงเรียนป่าไม้ของประเทศไทยปิดไปร่วม 30 ปีแล้ว ตั้งแต่ปี 2536 โรงเรียนป่าไม้ตั้งมาในปี 2480 รักษาความเป็นโรงเรียนป่าไม้ ผลิตนักเรียนป่าไม้ส่งไปพิทักษ์ป่าทั่วประเทศ แต่วันนี้โรงเรียนป่าไม้ปิดไป กรรมาธิการฯเคยถามกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯคิดจะฟื้นโรงเรียนป่าไม้ขึ้นมาบ้างหรือไม่ วันนี้เรามีนักเรียนวนศาสตร์เพียงพอหรือไม่

“วันนี้มีพนักงานป่าไม้ที่ไปดับไฟป่าอยู่ทั้งหมดเป็นลูกจ้าง ไม่ได้จบหลักสูตรการป่าไม้ ไม่ได้สวมวิญญาณคนพิทักษ์ป่าอย่างแท้จริง เป็นลูกจ้างในระบบราชการทํางานกินเบี้ยเลี้ยงไปตลอด แต่เรากลับทิ้งโรงเรียนป่าไม้แพร่ให้ล้างมา 30 กว่าปี ผมไปเยี่ยมโรงเรียนป่าไม้แพร่เมื่อ 3- 4เดือนที่แล้ว พื้นที่ยังอยู่เรียบร้อย มีป่าสําหรับโรงเรียนป่าไม้ฝึกนักเรียนอยู่ 4-5 พันไร่อยู่ในจังหวัดแพร่ โรงเรียนป่าไม้แพร่กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ ขอถามกรรมาธิการฯ เคยถามกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติหรือไม่ว่า อยากสร้างนักวิชาการป่าไม้ หรือ จะสร้างนักปฏิบัติการป่าไม้” นายวิทยากล่าว

สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวว่า อีก 2 ปีข้างหน้า คนที่จบหลักสูตรป่าไม้แพร่ทั้งหมดกําลังจะหมดไปจากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ ตนเคยพูดหลายครั้งทั้งในกรรมาธิการงบประมาณ เคยอภิปรายในสภาฯ ไม่ต่ำกว่า 3 ครั้ง แต่ไม่เคยได้รับการสนองตอบ จึงขอถามกรรมาธิการฯ ว่า เคยไปทวงถามโรงเรียนป่าไม้แพร่เพื่อมาพิทักษ์ป่ากันหรือไม่ ถ้ามีโอกาสรมว.ทรัพยากรธรรมชาติฯ ได้ฟัง ควรกลับไปดูแลได้แล้ว ใช้งบประมาณคงไม่มาก บุคลากรก็พร้อมในการที่จะสร้างโรงเรียนป่าไม้แพร่ขึ้นมา

เปิดคำสัมภาษณ์ 'ปรีดี' กับสื่อนอกในวัย 79 ยอมรับความผิดพลาดใหญ่หลวงในอดีต

จากกรณีที่ภาพยนต์แอนิเมชันเรื่อง ‘๒๔๗๕ รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ’ หรือ 2475 Dawn of Revolution ซึ่งมีการเผยแพร่ผ่านทางยูทูบ ตั้งแต่วันที่ 13 มี.ค.ที่ผ่านมา ตอนหนึ่งได้ระบุถึงนายปรีดี พนมยงค์ หรือหลวงประดิษฐ์มนูธรรม แกนนำคณะราษฎร ผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 ได้ยอมรับความผิดพลาดของตนเอง ผ่านการให้สัมภาษณ์แก่นายแอนโทนี พอล ในปี 2522 นั้น

เมื่อวันที่ 15 มี.ค.67 นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก : ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์' ในหัวข้อ เปิดคำสัมภาษณ์ปรีดี พนมยงค์ ในวัย 79 ปี ตอบเรื่องความผิดพลาดอันใหญ่หลวงในอดีต ให้รายละเอียดเกี่ยวกับการให้สัมภาษณ์ของนายปรีดี พนมยงค์ ดังกล่าว ดังนี้...

นิตยสาร เอเชียวีคฉบับวันที่ 28 ธันวาคม 1979 (พ.ศ. 2522) - 4 มกราคม 1980 (พ.ศ. 2523) ภายใต้หัวเรื่องว่า ‘PRIDI THROUGH A LOOKING GLASS’ ซึ่งนายแอนโทนี พอล ได้สัมภาษณ์อาจารย์ปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส ที่ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งขณะสัมภาษณ์นั้นเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2522 ซึ่งอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ มีอายุได้ 79 ปี

แอนโทนี พอล : “ท่านคิดว่าอะไรที่น่าจะเป็นความผิดอันใหญ่หลวงของท่าน? ถ้าท่านมีอำนาจกลับไปและแก้ไขเพียงส่วนหนึ่งของชีวิตของท่าน การตกลงใจหรือการกระทำอันไหน ที่ท่านอยากเปลี่ยนมากที่สุด?”

ปรีดี พนมยงค์ : “ถ้าท่านถามถึงว่าอะไรที่ข้าพเจ้าจะทำ ถ้าข้าพเจ้ากลับไปเป็นนายกรัฐมนตรี…เอาละ ข้าพเจ้าขอตอบว่า ข้าพเจ้าไม่สนใจที่จะกลับสู่การเมืองอีกหรอก เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้าแก่มากแล้ว แต่ข้าพเจ้าตอบท่านได้ถึงความผิดในอดีตของข้าพเจ้า

ในปี ค.ศ.1925 (พ.ศ. 2468) เมื่อเราเริ่มจัดตั้งกลุ่มแกนกลางของพรรคอภิวัฒน์ในปารีส ข้าพเจ้ามีอายุเพียง 25 ปี เท่านั้น หนุ่มมาก หนุ่มทีเดียว ขาดความจัดเจน (ประสบการณ์) แม้ว่าข้าพเจ้าได้รับปริญญาแล้วและได้คะแนนสูงสุด แต่ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าทางทฤษฎี (ของกฎหมายเปรียบเทียบ) ข้าพเจ้าไม่มีความเจนจัด (ประสบการณ์)

และโดยปราศจากความเจนจัด (ประสบการณ์) บางครั้งข้าพเจ้าประยุกต์ทฤษฎีอย่างนักตำรา ข้าพเจ้าไม่ได้นำเอาความเป็นจริงในประเทศของข้าพเจ้ามาคำนึงด้วย ข้าพเจ้าติดต่อกับประชาชนไม่พอ ความรู้ทั้งหมดของข้าพเจ้าเป็นความรู้ตามหนังสือ ข้าพเจ้าไม่ได้เอาสาระสำคัญของมนุษย์มาคำนึงด้วยให้มากเท่าที่ข้าพเจ้าควรจะมี

ในปี ค.ศ.1932 (พ.ศ.2475) ข้าพเจ้าอายุ 32 ปี พวกเราได้ทำการอภิวัฒน์ แต่ข้าพเจ้าก็ขาดความจัดเจน (ประสบการณ์) และครั้นข้าพเจ้ามีความจัดเจน (ประสบการณ์) มากขึ้น ข้าพเจ้าก็ไม่มีอำนาจ”

แอนโทนี พอล : ความผิดพลาดอย่างอื่นมีอีกบ้างไหม?

ปรีดี พนมยงค์ : “มี, คือวิธีการเสนอแผนเศรษฐกิจของข้าพเจ้าอย่างไม่ถูกต้อง ข้าพเจ้าเสนอแผนเศรษฐกิจ แต่ข้าพเจ้าควรใช้เวลาให้มากกว่านั้นอธิบายแก่ประชาชน เวลานั้นมีบุคคลไม่กี่คน ที่จะเข้าใจแผนเศรษฐกิจของข้าพเจ้า แม้ในระหว่างรุ่นก่อน คือสมาชิกในคณะรัฐบาลก่อนซึ่งเราเชิญมามีส่วนร่วมในการบริหารประเทศ พวกเขาตีความแตกต่างกันไป พวกเขาไม่เข้าใจ ข้าพเจ้าควรพยายามให้หนักขึ้น ที่จะอธิบายกับพวกเขาว่าทั้งหมดมันหมายถึงอะไร

แต่ทว่ามันก็เป็นแผนเศรษฐกิจที่ไม่เหมาะสมด้วยเหมือนกัน ข้าพเจ้าเสนอไม่ใช่ว่าเป็นแผนเศรษฐกิจขั้นสุดท้าย มันค่อนข้างจะเป็นโครงการขั้นเตรียมการมากกว่า หลายคนเหมาเอาว่าเป็นแผนเลยทีเดียว ไม่ใช่เป็นแนวทางหรือข้อเสนอพอเป็นพื้นฐานสำหรับการวางแผนต่อไป

ในสังคมนั้นย่อมมีการขัดแย้งกันระหว่างคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่ คุณต้องเข้าใจ และพวกคนรุ่นเก่ามีความกลัวมากทีเดียว ในบางอย่างที่เป็นสังคมนิยม พวกเขาไม่เข้าใจว่าอะไรเป็นสังคมนิยม อะไรเป็นคอมมิวนิสต์ พวกเขาเอาทุกอย่างที่ตรงข้ามกับวิสาหกิจเอกชนเป็นคอมมิวนิสต์ไปหมด”

เผยแพร่โดย
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
15 มีนาคม 2567

‘อ.พงษ์ภาณุ’ แนะรัฐหาแรงจูงใจเอกชน ลุยธุรกิจลดโลกร้อน ปั้นระบบนิเวศให้พร้อม สู่การสร้างเงินจากสภาพภูมิอากาศ

ทีมข่าว THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ที่มาร่วมพูดคุยในรายการ Easy Econ ซึ่งออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ในประเด็น 'การเงินเพื่อสภาพภูมิอากาศ' (Climate Finance) เมื่อวันที่ 24 มี.ค.67 โดย อ.พงษ์ภาณุ กล่าวว่า…

การกำหนดราคาคาร์บอน (Carbon Pricing) โดยการเก็บภาษีคาร์บอน และการใช้กลไกตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิต จะเป็นกุญแจสำคัญสู่เป้าหมาย Net Zero แต่การเปลี่ยนผ่านไปสู่โลกสีเขียว (Green Transition) ได้อย่างราบรื่นจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ หากภาคการเงินการคลังไม่ช่วยระดมทรัพยากรมาลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน บุคลากร และเทคโนโลยี ที่จำเป็นต่อการเปลี่ยนผ่านดังกล่าว

ประการแรก ด้วยข้อจำกัดของทรัพยากรของรัฐบาล เงินลงทุนส่วนใหญ่จึงต้องมาจากภาคเอกชน ภาครัฐต้องจัดโครงสร้างสิ่งจูงใจ (Incentive Structure) ที่เอื้อให้เอกชนกล้าลงทุนในโครงการ/อุตสาหกรรมที่ลดโลกร้อน การเก็บภาษีคาร์บอนและคาร์บอนเครดิตเป็นก้าวแรก ที่สำคัญกว่านั้นคือ การยกเลิกการอุดหนุนคาร์บอน (Carbon Subsidies) ที่มีอยู่มากมายในปัจจุบัน

ประการที่สอง การจัดทำข้อมูลสารสนเทศ การเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการปล่อยคาร์บอนอย่างเป็นมาตรฐานและมีการรับรอง รวมทั้งการจัดกลุ่ม/นิยามกิจกรรมที่ลดโลกร้อน (Green Taxonomy) จะช่วยให้ตลาดการเงินและสถาบันการเงินทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและจัดสรรทรัพยากรอย่างตรงเป้ามากขึ้น

ตลาดการเงินและธนาคารพาณิชย์เริ่มนำผลิตภัณฑ์สีเขียวมาให้บริการบ้างแล้ว สินเชื่อเพื่อความยั่งยืนของธนาคารพาณิชย์หลายแห่งเริ่มเป็นที่นิยม กองทุน ESG มีจำนวนมากขึ้นและได้รับการส่งเสริมจากภาครัฐ แม้ว่ายังไม่ชัดเจนว่าหลักเกณฑ์ ESG ของตลาดกับเป้าหมายการลดคาร์บอนจะตรงกันหรือไม่ หรือบางทีอาจขัดแย้งกันด้วยซ้ำ และอาจนำไปสู่การฟอกเขียว (Greenwashing)

ในสาขาพลังงาน ซึ่งเป็นสาขาที่ปล่อยคาร์บอนมากที่สุด ปัจจุบันยังมีโครงสร้างที่พึ่งพา Fossils อยู่ค่อนข้างสูง กล่าวคือ การผลิตพลังงานไฟฟ้าในไทยยังอาศัยก๊าซธรรมชาติและถ่านหินเป็นตัวขับเคลื่อนถึงกว่า 80% และใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นสัดส่วนน้อย ดังนั้นภาคพลังงานจึงมีความจำเป็นต้องลงทุนอีกเป็นจำนวนมาก ทั้งจากภาครัฐในเรื่องโครงสร้างพื้นฐานและระบบสายส่ง และภาคเอกชนในรูปแบบโรงไฟฟ้า IPP SPP และ VSPP รวมทั้งเทคโนโลยีใหม่ๆ ด้วย

การลงทุนและการแบ่งรับภาระความเสี่ยงระหว่างรัฐกับเอกชนร่วมกันในรูปแบบ PPP น่าจะเป็นทางออกสำคัญ IPP และ SPP เป็นโมเดลความร่วมมือระหว่างรัฐบาลกับเอกชนที่ประสบความสําเร็จมาแล้วในภาคพลังงาน มีความเป็นไปได้ที่จะขยาย PPP ในโครงการลดคาร์บอนในสาขาอื่นๆ ด้วย

ตลาดการเงินและสถาบันการเงินระหว่างประเทศมีเครื่องมือทางการเงินมากมายที่สามารถเสริมทรัพยากรในประเทศได้ รัฐบาลประเทศร่ำรวยประกาศใน COP 28 สนับสนุนงบประมาณแก่ประเทศกำลังพัฒนา 100,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี ธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) มีบริการพิเศษที่จะช่วยส่งเสริมการลงทุนในโครงการลดคาร์บอนในประเทศกำลังพัฒนา

ประการสุดท้าย ในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่โลกสีเขียว ย่อมมีกลุ่มเปราะบางที่อาจไม่สามารถรับมือกับผลกระทบได้ จึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะนำรายได้ที่จัดเก็บได้เพิ่มเติมจากภาษีคาร์บอนไปช่วยเป็นมาตรการรองรับทางสังคมแก่กลุ่มคนเหล่านี้

‘ผู้ปกครอง’ เฝ้าระวัง!! ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ แปลงร่างเป็น ‘Toy Pod’ ผลิตเลียนแบบ ‘ตุ๊กตา-ของเล่น-กล่องขนม’ หวั่นระบาดสู่เด็ก

(21 มี.ค. 67) ผศ.ดร.ศรีรัช ลาภใหญ่ ผู้จัดการโครงการศึกษาพัฒนาขยายผลการเฝ้าระวังและจัดการความรู้ผลิตภัณฑ์เสี่ยงสุขภาพ เปิดเผยว่า ธุรกิจบุหรี่ไฟฟ้าได้ปรับเปลี่ยนรูปโฉมของสินค้าบุหรี่ไฟฟ้ารุ่นใหม่ให้ห่างไกลจากบุหรี่มวน โดยใช้การตลาดการ์ตูน ปรับรูปร่างหน้าตาจากบุหรี่ไฟฟ้าแบบเดิม มาเป็นบุหรี่ไฟฟ้า Gen 5 ‘toy pod’ หรือบุหรี่ไฟฟ้าตุ๊กตา ที่ผลิตเลียนแบบตุ๊กตา ของเล่น ตัวการ์ตูนฮิต อาร์ตทอย ทำเหมือนกล่องขนม ขวดน้ำผลไม้ ไปจนถึงเครื่องเขียน ชนิดเลียนแบบได้เหมือนสมจริงทั้งรูปร่างหน้าตา ขนาด และสีสัน และมีขนาดเล็ก ซึ่ง toy pod ใช้นิโคตินปรับโครงสร้างหรือนิโคตินสังเคราะห์ทำให้สูบง่ายไม่ระคายคอ มีนิโคตินสูง 3-5% สูบได้นานถึง 8,000-15,000 พัฟฟ์

โดย toy pod จะผลิตเลียนแบบตัวการ์ตูนตุ๊กตายอดฮิต โดราเอมอน Super Mario โปเกมอน บางรุ่นเลียนแบบอาร์ตทอยชื่อดังอย่างตุ๊กตา Molly ตุ๊กตา plush หรือตัวการ์ตูนเจ้าหญิงดิสนีย์ บางรุ่นสร้างตัวการ์ตูนขึ้นมาเองเป็น brand character เช่น การ์ตูนโจรสลัด โดยขายสินค้าผ่านการผจญภัยของตัวการ์ตูนและเหล่าสมุน บางรุ่นทำเหมือนของเล่นเลโก้ และผลิตออกมาเป็นคอลเลคชั่นคล้ายของสะสม แต่ละชุดมี 10-12 ตัว มีชื่อเรียกแต่ละชุด มีสีแตกต่างกันเพื่อบอกรสชาติ กลิ่นหอม รสชาติผสมผสานกันทั้งผลไม้ ความเย็น และลูกกวาด เช่น รสแตงโม พีช มิ้นท์

“เป็นที่น่าตกใจที่การตลาดล่าเหยื่อเด็กนี้ประสบความสำเร็จ จากการมีข่าวว่ามีการระบาดในกลุ่มนักเรียนระดับประถม ล่าสุดพบเด็ก ป.1 (6 ขวบ) พกบุหรี่ไฟฟ้า ดังนั้นพ่อแม่ ครูและโรงเรียน ควรต้องคอยเฝ้าระวังบุหรี่ไฟฟ้าแปลงร่างเหล่านี้ที่เป็นอันตรายต่อเด็ก เพราะ toy pod ออกแบบช่วงปากสูบให้กลมกลืนไปกับตัวตุ๊กตา จนอาจไม่ทราบว่านี่คือบุหรี่ไฟฟ้า หากนำมาวางปนกันกับของเล่น อาจแยกไม่ออกว่าอันไหนคือของเล่นจริง อันไหนคือบุหรี่ไฟฟ้า” ผศ.ดร.ศรีรัช กล่าว

ด้าน ผศ.ดร.นพ.วิชช์ เกษมทรัพย์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) กล่าวว่า การตลาดล่าเหยื่อของธุรกิจบุหรี่ไฟฟ้าที่ไร้จริยธรรมนี้ นอกจากจะพัฒนาบุหรี่ไฟฟ้าให้เย้ายวนเด็กอายุเล็กลงเรื่อยๆ ยังพัฒนาสถานที่ และส่งเสริมการขาย ในสื่อโซเชียลที่ถูกใจและตรงกับวิถีชีวิตของเด็กๆ ด้วย จากรายงานการเฝ้าระวังการตลาดบุหรี่ไฟฟ้าในสื่อออนไลน์ช่วงม.ค.-ก.พ. ปี 2567 โดย น.ส.กนิษฐา ไทยกล้า พบว่า มีผู้ฝ่าฝืนกฎหมายลักลอบขายบุหรี่ไฟฟ้าในสื่อออนไลน์จำนวนมากถึง 309 บัญชีรายชื่อ 

มีการโพสต์ 605 ครั้ง ส่วนใหญ่ 66.7% เป็นผู้ขายรายเก่าที่ใช้แพลตฟอร์มออนไลน์มาก่อนปี 2567 รองมาคือ 33% เป็นผู้ขายรายใหม่ที่ลงทะเบียนใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ปี 2567 โดยลักษณะการขายส่วนใหญ่ 54.4% เป็นผู้ขายย่อย 44.7 ขายส่ง/รับตัวแทนขาย และ 1% รับรีวิว ทั้งนี้ 29.1% ใช้แพลตฟอร์มเอ็กซ์ (ทวิตเตอร์) มากที่สุด รองมาคือ 26.9% เฟซบุ๊ก 17.5% อินสตาแกรม 15.2% เว็บไซต์ 7.4% ไลน์ 3.6% ติ๊กต็อก และ 0.3% ยูทูบ

“กลยุทธ์การตลาดบุหรี่ไฟฟ้าบนสื่นออนไลน์ เน้นโพสต์เพื่อสร้างการรับรู้ถึงตัวผลิตภัณฑ์บุหรี่ไฟฟ้า การรักษาลูกค้าด้วยการจัดส่งฟรี แจก แถม และลดราคา จนกระทั่งเกิดการซื้อขาย ส่งถึงบ้าน มีเก็บเงินปลายทาง โดยผลิตภัณฑ์บุหรี่ไฟฟ้าที่นิยมโพสต์ขายมากที่สุด คือ 89.3% pod รองมาคือ 6.3% ชุดบุหรี่ไฟฟ้าพร้อมสูบ และ 4% เครื่องเปล่า โดยแนวโน้มของการออกแบบผลิตภัณฑ์บุหรี่ไฟฟ้าเน้นให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ ความชอบของคนรุ่นใหม่ เริ่มมีการรายงานพบตู้กดขายบุหรี่ไฟฟ้า” ผศ.ดร.นพ.วิชช์ กล่าว

ผศ.ดร.นพ.วิชช์ กล่าวต่อไปว่า น่าเป็นห่วงมากที่เด็กอาจกำลังตกเป็นเหยื่อการตลาดของบุหรี่ไฟฟ้าบนสื่อออนไลน์ เพราะหากสมองของเด็กตั้งแต่ในครรภ์ถึงอายุ 25 ปี สะสมสารนิโคตินจากบุหรี่ไฟฟ้า จะทำให้เซลล์สมองถูกทำลายได้มาก โดยเฉพาะต่อระบบความจำ ไม่มีสมาธิ ไม่สามารถจดจ่อกับการเรียน และส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจ จังหวะการเต้นของหัวใจผิดปกติ ชัก หัวใจล้มเหลวได้ ดังนั้นรัฐบาลไทยต้องคงมาตรการห้ามนำเข้าและห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งเป็นมาตรการที่ดีที่สุด และยังต้องเร่งรัดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บังคับใช้กฎหมายอย่างต่อเนื่องจริงจัง จับกุมผู้กระทำความผิดที่ลักลอบนำเข้าและขายบุหรี่ไฟฟ้าบนสื่อออนไลน์ ที่กำลังเป็นปัญหาในปัจจุบัน เพื่อปกป้องเด็กจากการตลาดล่าเหยื่อนี้ 

“วิกฤตการระบาดของบุหรี่ไฟฟ้า หายนะกำลังคืบคลานทำร้ายลูกหลานไทย สังคมคงอยู่นิ่งเฉยไม่ได้ จะต้องร่วมพลังกันออกมาส่งเสียงดังๆ บอกรัฐบาล ว่า 'คนไทยไม่เอาบุหรี่ไฟฟ้า' ร่วมกันสอดส่องดูแลหากมีสิ่งผิดกฎหมาย ช่วยกันแจ้งเบาะแส สายด่วน สคบ. 1166 และที่สำคัญผู้ปกครองและครูต้องรู้เท่าทันกลยุทธ์ล่าเหยื่อ รู้จักพิษภัยของบุหรี่ไฟฟ้า ร่วมแรงร่วมใจทั้งชาติเพื่อปกป้องลูกหลานไทยจากมหันตภัยนี้” ผศ.ดร.นพ.วิชช์ กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top