Sunday, 18 May 2025
NewsFeed

สิ้น ‘ดร.พีระพงศ์ ตริยเจริญ’ หนึ่งในผู้ก่อตั้งระบบทีแคส เกิดอาการหัวใจหยุดเต้น ระหว่างเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่น

(20 มี.ค.67) รศ.ดร.ชาลี เจริญลาภนพรัตน์ ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายรับเข้าศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) และผู้จัดการระบบการคัดเลือกกลางบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา (ทีแคส) เปิดเผยว่า ดร.พีระพงศ์ ตริยเจริญ หรือ อ.ก๊อง อดีตผู้จัดการระบบทีแคส ได้เสียชีวิตลงเมื่อเวลาประมาณ 09.30 น. ในวันนี้ ที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่ง ดร.พีระพงศ์เสียชีวิตระหว่างเดินทางไปเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่น โดยเพิ่งเที่ยววันแรกก็เกิดหัวใจหยุดเต้น ระหว่างที่ ดร.พีระพงศ์หัวใจหยุดเต้นนั้น ทางไกด์และบริษัททัวร์ที่ทำการ CPR ดร.พีระพงศ์ก็ฟื้นขึ้นมา แต่ผ่านไป 1 ชั่วโมง ก็หัวใจหยุดเต้นอีกครั้งและเสียชีวิตไป

รศ.ดร.ชาลี กล่าวต่อว่า ดร.พีระพงศ์มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับหัวใจอยู่แล้ว และยังมีปัญหาเรื่องการนอนหลับ มีการหยุดหายใจระหว่างนอนบ้าง ที่ผ่านมา ดร.พีระพงศ์ก็รักษาตัวมาตลอด คาดว่าอาการนั้นอาจจะกำเริบจึงทำให้เสียชีวิต ขณะนี้ร่างของ ดร.พีระพงศ์ยังอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น อยู่ระหว่างประสานสถานทูตเพื่อนำร่างกลับประเทศไทยในเร็วๆ นี้

“ตอนนี้ทุกคนกำลังช็อกมาก ถือเป็นการสูญเสียครั้งสำคัญ เพราะ ดร.พีระพงศ์เป็นหนึ่งในทีมที่ก่อตั้งระบบทีแคสด้วยกัน ช่วงปี 2561 ที่ก่อตั้งระบบทีแคสปีแรก ดร.พีระพงศ์เป็นผู้ดูแลระบบไอทีและระบบการรับสมัครต่างๆ พร้อมกับดูแลการบริหารจัดการสิทธิด้วย ต่อมาในปี 2562-2564 ดร.พีระพงศ์ขึ้นมาเป็นผู้จัดการระบบทีแคส จนผมมาเป็นผู้จัดการระบบทีแคสต่อในปี 2565 จนถึงปัจจุบัน

ในที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) เสียใจที่ได้ยินข่าวนี้ เพราะถือเป็นการสูญเสียครั้งสำคัญ ไม่น่าเชื่อว่า ดร.พีระพงศ์จะจากไปเร็วขนาดนี้ และทุกวันนี้ ดร.พีระพงศ์ยังคงเป็นวิทยากรใน ทปอ. ให้ความรู้เรื่องการพัฒนาคุณภาพหลักสูตร ทั้งยังเป็นคณะกรรมการที่ดูแลด้านวิชาการของ ทปอ. ทำงานประสานกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) ในเรื่องกระบวนการอนุมัติหลักสูตรการประกันคุณภาพหลักสูตรอยู่ต่อเนื่อง” รศ.ดร.ชาลีกล่าว

‘รปภ. ม.รามฯ’ จบป.ตรี ภาควิชาปรัชญา สาขาภาษาจีน เผย!! “ไม่มีเคล็ดลับอะไรเลย นอกจากต้องมีวินัย”

(20 มี.ค.67) นับเป็นเรื่องราวดี ๆ ที่เมื่อได้เห็นก็ต้องชื่นชมและร่วมยินดีด้วยทันที เรื่องราวของ นายอนุชา จุดาบุตร หรือที่ชาวคณะมนุษยฯ ม.รามคำแหงเรียกกันว่า ‘พี่อนุชา’ ถือเป็นตัวอย่างของความมุมานะ มั่นเพียร และมีวินัยจนประสบความสำเร็จในสิ่งที่ตั้งใจไว้

โดยเพจ ‘RU Chinese studies’ ได้แชร์เรื่องราวของ ‘พี่อนุชา’ ไว้ว่า… 

“พี่อนุชา หรือนายอนุชา จุดาบุตร เป็น รปภ.ประจำอยู่อาคาร 2 คณะมนุษยศาสตร์มาหลายปีค่ะ แอดมินเห็นมาตั้งแต่แอดยังวิ่งเข้าวิ่งออกเป็นนักศึกษาเอกจีนของรามคำแหงอยู่เลย…

“ปีนี้ พี่อนุชา กลายเป็นหนึ่งในบัณฑิตที่สำเร็จการศึกษาปริญญาตรีจากภาควิชาปรัชญา คณะมนุษยศาสตร์นะคะ สาขาวิชาภาษาจีน ขอแสดงความยินดีกับพี่อนุชามา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ”

นอกจากนี้ยังระบุต่ออีกว่า “พี่อนุชาเริ่มเรียนมาตั้งแต่เทอม 2/60 และจบในเทอม 1/64 ที่เรียนจนจบได้ตามระยะเวลานี้ พี่อนุชาบอกว่า “ไม่มีเคล็ดลับอะไรเลยครับ นอกจาก ‘ต้องมีวินัย’ ครับผม” 

“ดังนั้น จึงกลายเป็นอีกหนึ่งแบบอย่างที่ควรเอาอย่างนะคะ เอาอย่างในเรื่องความมุมานะ วิริยะ พยายามและตั้งใจอย่างต่อเนื่อง 

“ถึงแม้พี่อนุชาจะรูปร่างสูงใหญ่จนน้อง ๆ นักศึกษาเห็นแล้วออกจะกลัว ๆ เกร็ง ๆ อย่างนี้ แต่ตัวจริงใจดีนะคะ ถึงช่วงสอบทีไร วิชาภาษาจีนที่ต้องมีการสอบพูด และมักจะสอบกันที่บนตึกของคณะมนุษยศาสตร์ แต่พออาจารย์บอกพี่อนุชาไว้ว่าวันนั้นวันนี้จะมีนักศึกษามาสอบปฏิบัตินะ พี่อนุชาก็รับทราบและคอยดูแลนักศึกษาให้อย่างดี

#รปภตัวใหญ่หัวใจอ่อนโยนจ้า 👏👏👏

ชื่นชม!! ‘หนุ่ม’ ประดิษฐ์ ‘ฉากจำลอง’ เล็กๆ ในเมืองไทย เก็บครบทุกรายละเอียด สวยงามเป็นเอกลักษณ์

(20 มี.ค.67) โลกโซเชียลได้แชร์ภาพงานฉากจำลองจากผู้ใช้เฟซบุ๊ก ‘Forrest Kong’ โดยโพสต์ข้อความระบุว่า “ขออนุญาต admin เผยแพร่ผลงานการทำฉากจำลอง งาน 50% ตอนนี้ ขอบคุณทุกคำติชมจากโพสต์ที่ผ่านมาด้วยครับ”

ซึ่งในภาพถ้าสังเกตดี ๆ งานฉากจำลองนี้สมจริงแม้กระทั่งความทรุดโทรมของตึกอาคาร เสาไฟฟ้า สายไฟรกรุงรัง ตู้โทรศัพท์สาธารณะ ป้ายขายบ้าน การมีคนมือบอนพ่นสีใส่กำแพง สะพานลอย ป้ายบอกทาง และถ้าไม่มีใครบอกว่าเป็นฉากจำลอง คนคงนึกว่าเป็นภาพจริงอย่างแน่นอน

ขณะที่ชาวเน็ตต่างคอมเมนต์ไปในทิศทางเดียวกันว่า เป็นงานเนียน งานละเอียดสุด ๆ ถ้าไม่มีการบอกว่าเป็นโมเดลจำลอง ก็คิดว่าเป็นรูปจริงอย่างแน่นอน ความยากของงานนี้คือ การใส่รายละเอียดลงไปได้ครบ 

'ปตท.สผ.' เผย!! เพิ่มการผลิตก๊าซฯ ได้ถึง 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันแล้ว  ตามแนวทาง 'พีระพันธุ์' เพื่อบรรเทาผลกระทบด้านค่าไฟฟ้าให้แก่ ปชช.

(20 มี.ค.67) นายมนตรี ลาวัลย์ชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. เปิดเผยว่า หลังจากที่ ปตท.สผ. ได้ชนะการประมูลและเป็นผู้ได้รับสิทธิในสัญญาแบ่งปันผลผลิตแปลงสำรวจ G1/61 ในทะเลอ่าวไทย ในปี 2561 จากกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กระทรวงพลังงาน โดยได้ลงนามในสัญญาแบ่งปันผลผลิต ในปี 2562 บริษัทฯ ได้เร่งดำเนินงานทุกด้านอย่างเต็มความสามารถ เพื่อเพิ่มอัตราการผลิตก๊าซฯ ให้ได้ตามแผนงาน โดยได้ปรับปรุงสิ่งติดตั้งและอุปกรณ์ให้มีเสถียรภาพและมีความปลอดภัยสูงขึ้น รวมถึงติดตั้งแท่นหลุมผลิต (wellhead platform) 12 แท่น เจาะหลุมผลิต (production well) เพิ่มกว่า 300 หลุม และวางท่อก๊าซธรรมชาติ เพื่อเพิ่มอัตราการผลิตให้สูงขึ้นตามลำดับ จนถึงระดับ 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ในวันนี้ (20 มี.ค. 67) เพื่อรองรับความต้องการใช้พลังงานของประชาชน และการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

“การเพิ่มการผลิตก๊าซธรรมชาติในโครงการ G1/61 ถือเป็นภารกิจสำคัญของ ปตท.สผ. ตลอดช่วง 2 ปีที่ผ่านมา บริษัทตระหนักเป็นอย่างยิ่งถึงความสำคัญของก๊าซฯ ในอ่าวไทย ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานหลักที่รองรับความต้องการใช้พลังงานทั้งภาคครัวเรือนและภาคอุตสาหกรรม จึงได้เร่งดำเนินการทุกขั้นตอนเพื่อเพิ่มปริมาณการผลิตก๊าซฯ ให้ได้เร็วที่สุด และในวันนี้ โครงการ G1/61 สามารถผลิตได้ถึงระดับ 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ซึ่งความสำเร็จในครั้งนี้ มาจากความมุ่งมั่นของพนักงานทุกคน รวมทั้ง การสนับสนุนจากภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่จะช่วยลดผลกระทบด้านพลังงานให้กับประชาชน และสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศ” นายมนตรี กล่าว

สำหรับแผนงานต่อไป ปตท.สผ. มีแผนที่จะติดตั้งแท่นหลุมผลิตเพิ่มเติมอีกปีละประมาณ 8 แท่นและเจาะหลุมผลิตเพิ่มอีกประมาณ 300 หลุมต่อปี โดยในปี 2567 บริษัทจะใช้เงินลงทุนในโครงการ G1/61 เป็นจำนวนกว่า 30,000 ล้านบาท เพื่อให้โครงการ G1/61 เป็นหนึ่งในโครงการของ ปตท.สผ. ที่เป็นหลักในการเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศในระยะยาวต่อไป

ทั้งนี้ แผนการเร่งโครงการ G1/61 ดังกล่าว ได้รับการกระตุ้นโดย นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ที่กำชับให้ภาคเอกชนต้องผลิตได้อยู่ในระดับ 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ภายในวันที่ 1 เมษายนนี้ เพื่อช่วยลดผลกระทบด้านค่าไฟฟ้า และเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ

‘ไทย’ คว้าอันดับ 2 ‘กลุ่มประเทศกำลังพัฒนา’ ที่น่าลงทุนที่สุดในเอเชีย แซงหน้า!! ‘เวียดนาม’ หลัง Milken Institute ของสหรัฐฯ จัดทำขึ้น

(20 มี.ค.67) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า จากการประกาศผลดัชนีโอกาสด้านการลงทุนระดับโลก (Global Opportunity Index) หรือ GOI ซึ่งจัดทำโดย Milken Institute สหรัฐอเมริกา พบว่า ไทยครองอันดับ 2 ในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาในเอเชีย (Emerging and Developing : E&D) ที่น่าลงทุนที่สุด (https://milkeninstitute.org/report/global-opportunity-index-2024) 

ด้าน โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ดัชนี GOI จัดทำขึ้นเพื่อให้ข้อมูลแก่นักลงทุนทั่วโลกที่มองหาโอกาสในการลงทุนในต่างประเทศ และให้ข้อมูลแก่ประเทศต่างๆ ที่ต้องการปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ โดยดัชนีนี้อิงตามตัวชี้วัด 100 รายการ แบ่งออกเป็น 5 หมวดหมู่ ได้แก่

1. การรับรู้ทางธุรกิจ
2. พื้นฐานทางเศรษฐกิจ
3. บริการทางการเงิน
4. โครงสร้างเชิงสถาบัน
5. มาตรฐานและนโยบายระหว่างประเทศ 

ทั้งนี้ ประเทศไทย อยู่ในอันดับ 2 ในกลุ่ม E&D ในภูมิภาคเอเชีย โดยอันดับ 1-5 กลุ่ม E&D ในภูมิภาคเอเชีย ได้แก่ มาเลเซีย ไทย จีน อินโดนีเซีย และเวียดนาม

ส่วนในอันดับโลก ไทยอยู่ในอันดับ 37 ทั้งนี้ กลุ่ม E&D ในภูมิภาคเอเชีย รายการการรับรู้ทางธุรกิจไทยอยู่อันดับ 21 ในพื้นฐานทางเศรษฐกิจ อยู่อันดับ 22 บริการทางการเงินอันดับ 29 โครงสร้างเชิงสถาบันอันดับ 51 และมาตรฐานและนโยบายระหว่างประเทศอันดับ 68 โดยประเทศที่น่าลงทุนที่สุดในโลกได้แก่ เดนมาร์ก

โดยตามรายงาน ประเทศในกลุ่ม E&D ในภูมิภาคเอเชีย มีผลประกอบการที่ดีกว่าภูมิภาคอื่น ดึงดูดเงินทุนมากกว่าครึ่งหนึ่ง (53.2%) ไหลเข้าสู่ประเทศ E&D ระหว่างปี 2018-2022 เพิ่มส่วนแบ่งใน E&D มากขึ้น 7.3% จาก 45.9% ระหว่างปี 2013-2017

“นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้ความสำคัญกับการเพิ่มศักยภาพ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ กำหนดนโยบายให้ทันสมัย สอดคล้องจูงใจนักลงทุน รวมทั้งพัฒนาและอำนวยความสะดวกด้านการลงทุน (Ease of doing Business) อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ไทยเป็นที่สนใจจากนักลงทุนต่างชาติ พร้อมกับได้ออกไปรับฟังว่าสิ่งสำคัญที่นักลงทุนรายใหญ่ระดับโลกต้องการคืออะไร เพื่อปรับกระบวนทัศน์ และยุทธศาสตร์ของไทยให้ตอบรับกับความต้องการของนักลงทุนรายใหญ่ พร้อมกันนี้ Message สำคัญที่นายกรัฐมนตรีส่งต่ออย่างต่อเนื่องคือ ประเทศไทยเปิดแล้ว พร้อมรองรับการลงทุน และเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่จะลงทุนในประเทศไทย” นายชัย กล่าว

‘ศาลอาญา’ ยกฟ้อง ‘ใบเตย-ดีเจแมน’ คดี Forex-3D ฟาก ‘ใบเตย’ ขอบคุณที่ความยุติธรรมปรากฏในวันนี้

(20 มี.ค. 67) กรณีศาลอาญานัดพิจารณาคดีที่ผู้เสียหายจากคดี Forex - 3D ฟ้องตรงต่อ ‘ใบเตย อาร์สยาม’ สุธีวัน กุญชร และ ‘ดีเจแมน’ พัฒพล มินทะขิน เมื่อช่วงเช้าวันนี้ (20 มี.ค.) เบื้องต้นศาลพิจารณาและตัดสินยกฟ้องสองสามีภรรยาในคดีอาญา แต่ส่วนคดีแพ่ง ต้องจ่ายค่าเสียหายล้านกว่าบาท โดยคดีดังกล่าวเป็นคนละคดีกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ยื่นฟ้องดีเจแมนและใบเตย มีมูลค่าความเสียหายนับพันล้านบาท ตอนนี้อยู่ระหว่างการสืบพยานของศาล

โดยภายหลังเสร็จสิ้นกระบวนการ ใบเตย พร้อมทนาย และ แม่ป๋อง พิมพ์แข กุญชร ณ อยุธยา แม่ของดีเจแมน ได้เปิดใจต่อสื่อมวลชน ขอบคุณศาลที่ให้ความเป็นธรรม หลังจากนี้จะทำมาหากินเพื่อลูก ขณะที่แม่ป๋องเผยว่าที่ผ่านมาบอบช้ำกับการที่ชื่อเสียงนามสกุลต้องเสื่อมเสีย แต่หลังจากนี้จะอโหสิกรรมให้ทุกคน

“ขอบคุณศาลที่ตัดสินและให้ความเป็นธรรมกับใบเตย วันนี้ก็เป็นผู้บริสุทธิ์แล้ว ขอบคุณศาลที่ยังมีตาชั่งแห่งความยุติธรรม ดีใจมากค่ะ เรื่องนี้เป็นบทพิสูจน์ชีวิตจริง ๆ ขอบคุณทนายที่สู้ด้วยกันมา เราสู้กันด้วยความสุจริต ทั้งพยาน หลักฐานจริง ๆ เรามั่นใจในเอกสารหลักฐานของเรา

“อยากขอบคุณทุกคนมาก ๆ ที่ให้กำลังใจ ครอบครัว แฟนคลับ ผู้ใหญ่ทุกคน ขอบคุณโอกาสในการทำงานทุกอย่างที่มอบให้ใบเตย ขอบคุณที่ให้โอกาสใบเตยกลับไปดูแลครอบครัว ดูแลลูก ได้กลับไปร้องเพลงรับใช้แฟนเพลง แฟนละคร ดีใจที่สุด ใบเตยอดทนกับทุก ๆ อย่างมาเกือบปี

“ที่ผ่านมาพยายามรักษาเนื้อรักษาตัว รักษาชีวิตเพื่อวันนี้ มันคุ้มค่ากับการอดทน สิ่งใดเกิดขึ้นแล้วสิ่งนั้นดีเสมอคะ ที่เคยสูญเสียอิสรภาพไป ก็ถือว่าสิ่งใดเกิดขึ้นแล้วสิ่งนั้นดีเสมอ ณ วันนี้ใบเตยพอใจกับตรงนี้ค่ะ

“จากนี้เดินหน้าทำมาหากินเต็มที่เพื่อเลี้ยงลูก จะทำทุกอย่างเพื่อเวทมนต์ และเล่นละคร ร้องเพลงรับใช้แฟน ๆ ต่อไป”

ด้านคดีของ ดีเจแมน ใช้หลักฐานเดียวกันในการต่อสู้คดี ทางด้านแม่ป๋อง พิมพ์แข แม่ของดีเจแมนเผยว่า

“แม่ต้องมีหวัง เราสู้มาตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา เราบอบช้ำมาหลายปีจากการโดนใส่ความ ชื่อเสียงนามสกุล (กุญชร ณ อยุธยา) แม่ มันเรียกร้องกลับมาไม่ได้ ก็อโหสิกรรมกับคนที่ทำให้เราบอบช้ำ เสียชื่อเสียง

“ที่ผ่านมาไม่เคยออกมาแก้ตัวเลย เราเลือกนิ่งจะดีกว่าเรื่องจะได้ไม่บานปลาย แต่กลายเป็นว่าเราเสียหายหนัก แม่สู้เพื่อลูกมาตลอดตั้งแต่วันแรก แม่ไปเยี่ยมแมนทุกวันถ้าไม่มีถ่ายละคร

“ดีเจแมนเข้มแข็งและอดทน สักวันความจริงจะปรากฏ เขาคิดถึงลูกและครอบครัวมาก โดยเฉพาะกับลูกสาว น้องเวทมนต์ ไม่ได้เจอกัน 10 เดือนแล้ว สงสารลูกแม่มาก เวทมนต์ถามทุกวันว่าพ่อไปไหน ทำอะไรอยู่ ก็ต้องโกหกไป เรารู้ว่าเขาทรมาน ก็ได้แต่รอความยุติธรรมและความจริงปรากฏ”

‘ลูกย่าโม’ เดือด!! แอปฯ หาคู่ดัง ทำป้ายโฆษณาส่อดูถูกสาวโคราช ซ้ำ!! ด้อยค่าของดีอย่าง ‘ผัดหมี่’ ชี้!! ถ้าสำนึก ควรปลดป้ายออก

(20 มี.ค.67) กลายเป็นภาพที่ถูกแชร์ต่อไปอย่างมากในโลกออนไลน์ สำหรับป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ที่มีข้อความว่า ‘ของอร่อยนครราชสีมา’ แล้วต่อด้วยตัวเลือก 2 ข้อ คือ ผัดหมี่โคราช มีเครื่องหมายกากบาทต่อท้าย ผู้สาวโคราช มีเครื่องหมายถูกต่อท้าย โดยด้านล่างมีโลโก้ของแอปพลิเคชันหาคู่ชื่อดัง

อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายมองว่าข้อความดังกล่าวต่อไปในทางเจตนาดูถูกเหยียดหยามเพศสตรีชาวโคราช สร้างความไม่พอใจให้กับชาวโคราชเป็นอย่างมาก

ล่าสุด ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ตรวจสอบ พบว่าป้ายดังกล่าวติดอยู่บนอาคารพาณิชย์แห่งหนึ่ง ริมถนนโพธิ์กลาง ภายในเขตเทศบาลนครนครราชสีมา ห่างจากลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี ไม่ถึง 500 เมตร โดยเป็นตัวอักษรภาษาไทยสีขาว พื้นหลังสีแดง โดดเด่น ดึงดูดสายตาผู้ที่ขับรถผ่านไปมาเป็นอย่างมาก และยังพบพื้นที่อื่น ๆ ในตัวเมืองอีกมาก

น.ส.ชัญญานุช สุรฉัตร แกนนำปกป้องสิทธิสตรีโคราช กล่าวว่า ตอนแรกที่เห็นคนแชร์ในโซเชียล ยังไม่เข้าใจ แต่เมื่อตั้งใจอ่านอย่างถี่ถ้วน ส่วนตัวแล้วมองว่าเป็นการไม่ให้เกียรติหญิงสาวโคราชเลย เพราะคำว่าอร่อยใช้ได้กับอาหารเท่านั้น แต่การนำมาใช้กับหญิงสาวโคราชนั้นไม่เหมาะสม

โดยเฉพาะ จ.นครราชสีมา เป็นเมืองหญิงกล้า ผู้หญิงชาวโคราชทุกคนเป็นลูกหลานย่าโม มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี แต่เมื่อได้เห็นคำโฆษณานี้แล้ว ทำให้ทุกคนรู้สึกสะเทือนใจเป็นอย่างมาก ที่มีใครบางคนหวังแค่ผลประโยชน์ โดยการนำเกียรติและศักดิ์ศรีของสาวโคราชมาย่ำยีเหยียดหยามเช่นนี้ ถ้าเป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ ควรให้เกียรติผู้อื่น

การนำผัดหมี่โคราช แล้วมากากบาทว่าไม่อร่อย เป็นการด้อยค่าของดีโคราช เพราะผัดหมี่โคราช ถือว่าเป็นหนึ่งในคำขวัญของจังหวัด คือ ‘เมืองหญิงกล้า ผ้าไหมดี หมี่โคราช ปราสาทหิน ดินด่านเกวียน’ ดังนั้นไม่ควรด้อยค่าผัดหมี่โคราช จากนี้ถ้าเจ้าของแอปพลิเคชันสำนึก ควรปลดป้ายนี้ออกไป ส่วนจะออกมาแสดงความขอโทษชาวโคราชหรือไม่นั้น อยู่ที่จิตสำนึกของเขา ไม่ได้เรียกร้องอะไร แต่ขอให้นำป้ายนี้ออกไปก่อน เพื่อให้ทุกคนสบายใจ

'ปธ.สวนนงนุช' โชว์ปอก 'มะพร้าวก้นสาว' ลูกละ 2 แสน สุดยอดมะพร้าว ที่ใช้เวลาหลายทศวรรษกว่าจะตกผลสุก

(20 มี.ค. 67) นายกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา พร้อมด้วย นายชาญชัย กรรณสูต กงสุลกิตติมศักดิ์ สาธารณรัฐเชเชลล์ นำคณะสื่อมวลชน ร่วมบันทึกภาพการปอกมะพร้าวทะเล หรือมะพร้าวแฝด (LODOICEA MALDIVICA โลโดเซีย มัลดิวิกา) หรือมีชื่อเรียกในนามชาวโลกว่า ‘มะพร้าวก้นสาว’ จำนวน 20 ลูก ที่ใช้เวลายาวนานหลายทศวรรษกว่าจะตกผลสุก ซึ่งได้สร้างความตื่นตาตื่นใจอย่างมาก ณ สวนปาล์มโลก 1 ใน 10 สวนสวยที่สุดในโลก สวนนงนุชพัทยา จ.ชลบุรี

นายกัมพล ตันสัจจา เผยว่า มะพร้าวทะเล หรือมะพร้าวแฝด ถือเป็นพันธุ์มะพร้าวที่มีความพิเศษหายาก มีเอกลักษณ์เด่นที่มีลักษณะคล้ายก้นสาว จัดเป็นปาล์มชนิดหนึ่ง มีถิ่นกำเนิดอยู่บนเกาะเล็ก ๆ ในหมู่เกาะซีเซลล์ ในมหาสมุทรอินเดีย มีเมล็ดขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาเมล็ดปาล์ม มะพร้าวทะเล 1 ต้น ต้องใช้ระยะเวลายาวนานถึง 3 ทศวรรษ (30 ปี) จึงจะออกลูก และใช้เวลา 5-7 ปี ผลถึงจะสุก ส่วนมะพร้าวทะเลที่ปอกให้ชมในวันนี้ ลูกที่น้ำหนักมากสุด 14.8 กก. และน้อยที่สุด 2.2 กก. โดย สวนนงนุชพัทยา จะนำไปเพาะปลูกขยายพันธุ์ ซึ่งในอนาคตข้างหน้า สวนนงนุชพัทยา จะเป็นแหล่งเพาะพันธุ์มะพร้าวทะเล กระจายไปทั่วโลก

ปัจจุบัน สวนนงนุชพัทยา มีมะพร้าวทะเล 30 ต้น รวมต้นกล้าพร้อมที่จะลงดินทั้งสิ้น 53 ต้น สำหรับ มูลค่าผลมะพร้าวทะเล อยู่ที่ผลละประมาณ 100,000 บาท ส่วนลูกที่มีกะลา 2 ใบ มีมูลค่า 2 เท่า 200,000 บาท แต่ไม่ได้มีไว้เพื่อจำหน่าย

นอกจากนี้ สวนนงนุชพัทยา ยังมีพันธุ์ปาล์มมากถึง 1,567 ชนิด และกว่า 200 ชนิด มีที่สวนนงนุชพัทยาเท่านั้น ซึ่งได้รับการรับรองจาก สมาคมปาล์มนานาชาติ ว่ามีปาล์มมากชนิดที่สุดในโลก จากการเป็นเจ้าภาพในการจัดงานประชุมปาล์มนานาชาติ (International Palm Society 1998 หรือ IPS 1998) การประชุมปาล์มนานาชาติจัดขึ้นในปี พ.ศ. 2541 และ พ.ศ. 2555 ที่ผ่านมา

‘บางกอกเคเบิ้ล’ เปิดแผนกลยุทธ์ปี 67 ทุ่มงบกว่า 500 ล้านบาท ขยายกำลังผลิต ‘สายไฟฟ้า-สายเคเบิ้ล’ หวังรองรับการเติบโตในอนาคต

(20 มี.ค.67) บริษัท สายไฟฟ้าบางกอกเคเบิ้ล จำกัด (BCC) ผู้นำด้านเทคโนโลยีการผลิตสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ลชั้นนำในภูมิภาค เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน เผยแผนกลยุทธ์ปี 2567 ซึ่งมุ่งเน้นการขยายตลาดทั้งในประเทศและในภูมิภาคอาเซียน เพื่อรองรับความต้องการด้านพลังงานและเทรนด์ของพลังงานหมุนเวียน โดยเพิ่ม

โดยงบลงทุนกว่า 500 ล้านบาท ขยายกำลังการผลิตสายไฟฟ้าชนิดแรงดันปานกลางและแรงดันสูงพิเศษเป็น 2 เท่า และเพิ่มยอดจำหน่ายสายโซลาร์เซลล์หรือสายเคเบิ้ล PV (Photovoltaic Cable) เป็น 3 เท่า พร้อมตั้งเป้ารายได้เติบโตกว่า 30% และขยายส่วนแบ่งตลาดเป็น 35% ตอกย้ำความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ล ด้วยผลิตภัณฑ์คุณภาพมาตรฐานระดับโลก ที่รองรับทุกการใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

ด้าน นายพงศภัค นครศรี กรรมการบริหาร บริษัท สายไฟฟ้าบางกอกเคเบิ้ล จำกัด (BCC) เปิดเผยว่า “เพื่อให้สอดรับกับความต้องการใช้สายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ลที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ตามทิศทางการขยายตัวทางเศรษฐกิจและนโยบายภาครัฐ ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภค การใช้พลังงานหมุนเวียน รวมถึงพลังงานทางเลือกอย่างพลังงานแสงอาทิตย์ ในปีนี้ BCC จึงได้กำหนดแผนการดำเนินงานที่ท้าทายการเติบโตของธุรกิจยิ่งกว่าที่ผ่านมา โดยวางงบลงทุนไม่น้อยกว่า 500 ล้านบาท เพื่อขยายกำลังการผลิตในกลุ่มสายไฟฟ้าชนิดแรงดันปานกลางและแรงดันสูงพิเศษเป็น 2 เท่า และเพิ่มสัดส่วนยอดขายในประเภทสายโซลาร์เซลล์เป็น 3 เท่า พร้อมตั้งเป้ารายได้เติบโต ไม่น้อยกว่า 30% และส่วนแบ่งการตลาด 35%”

ทั้งนี้ ความต้องการไฟฟ้าทั่วโลกคาดว่าจะเติบโตเป็น 3 เท่าในอีก 30 ปีข้างหน้านับจากปี 2563 รวมถึงเทรนด์ ESG และ Net Zero เป็นการเปลี่ยนผ่านการใช้พลังงานจากแหล่งดั้งเดิมไปสู่พลังงานหมุนเวียนมากขึ้น สอดคล้องกับทิศทาง

การใช้พลังงานไฟฟ้าในประเทศไทย ซึ่งคาดว่าในปี 2567 จะขยายตัวเฉลี่ยประมาณ 3.5% และเพิ่มขึ้น 3.3% ในอีก 3 ปีข้างหน้า สอดรับกับนโยบายภาครัฐ เช่น แผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย (PDP) ฉบับใหม่ แผนการใช้ ระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) การพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) และเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ตลอดจนการเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมรถยนต์พลังงานสะอาด ซึ่งมีความต้องการใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) และสถานีชาร์จไฟฟ้าสาธารณะเพิ่มสูงขึ้น

ปัจจุบันมูลค่าตลาดรวมของอุตสาหกรรมสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ลในประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 55,000 ล้านบาท โดย BCC ครองส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 25% สัดส่วนรายได้หลักของธุรกิจส่วนใหญ่มาจากการขายภายในประเทศ แบ่งเป็นกลุ่มธุรกิจก่อสร้างและอาคาร 31% กลุ่มอุตสาหกรรม 26% กลุ่มไฟฟ้าและพลังงาน 23% และอื่น ๆ 19% โดยในปี 2566 ที่ผ่านมา BCC มีรายได้จากการดำเนินงานทั้งสิ้น 12,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.3% (Double-digit growth) เมื่อเทียบกับปี 2565 ที่มีรายได้ 11,400 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นการเติบโตที่สูงที่สุดในรอบ 60 ปี

สำหรับการขยายตลาดในต่างประเทศ ตลาดหลักของ BCC อยู่ในแถบภูมิภาคอาเซียน ได้แก่ เมียนมา สปป.ลาว และกัมพูชา โดยเจาะกลุ่มธุรกิจรีเทล ตลาดค้าส่ง และโครงการภายใต้การสนับสนุนของภาครัฐ โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา BCC มียอดขายในเมียนมากว่า 1,000 ล้านบาท ทำให้บริษัทฯ ก้าวขึ้นครองส่วนแบ่งการตลาดสูงสุดในเมียนมาและสปป.ลาว นอกจากนี้ มีการส่งออกไปยังสิงคโปร์ จีน ฟิลิปปินส์ อินเดีย เม็กซิโก และออสเตรเลีย

ด้วยการวิจัยและพัฒนาที่ไม่หยุดนิ่ง ทำให้ BCC เติบโตอย่างแข็งแกร่งด้วยผลิตภัณฑ์สายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ล ที่ตอบโจทย์การใช้งานในตลาดทั้ง 4 ชนิด ได้แก่ ชนิดแรงดันต่ำ แรงดันปานกลาง แรงดันสูง และแรงดันสูงพิเศษ รองรับความต้องการของทั้ง 7 กลุ่มอุตสาหกรรมหลักทั้งภายในและต่างประเทศได้อย่างลงตัว ได้แก่ กลุ่มธุรกิจก่อสร้างและอาคาร (Construction & Building) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) กลุ่มอุตสาหกรรม (Industrial) กลุ่มธุรกิจยานยนต์ (Automotive) กลุ่มจำหน่ายพลังงานไฟฟ้า (Distribution) กลุ่มการส่งพลังงานไฟฟ้า (Transmission) และกลุ่มพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Energy)

ปัจจุบัน BCC ถือเป็นเจ้าตลาดในธุรกิจผลิตสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ล ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมทุกการใช้งาน โดดเด่นด้วยคุณภาพมาตรฐานระดับสูง ในราคาที่แข่งขันได้ การส่งมอบที่รวดเร็ว โดยเป็นผู้ผลิตสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ลเพียงรายเดียวในประเทศไทยที่อยู่ในสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กขององค์การสหประชาชาติ (UN Global Compact Network Thailand: UNGCT) เครือข่ายการพัฒนาเพื่อความยั่งยืนที่ใหญ่ที่สุดในโลก

“BCC มุ่งมั่นแสวงหาโอกาสใหม่ ๆ เพื่อการเติบโตของธุรกิจอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน จากการขยายฐานลูกค้าทั้งใน และต่างประเทศ ในอุตสาหกรรมสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ล เช่น โครงสร้างพื้นฐาน โครงการนำสายไฟฟ้าลงใต้ดิน ท่าอากาศยาน และท่าเรือ ควบคู่กับการบริหารจัดการต้นทุนวัตถุดิบอย่างมีประสิทธิภาพ เดินหน้าพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ผสานความเชี่ยวชาญทางวิศวกรรม เพื่อส่งมอบสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ลมาตรฐานระดับสูง รองรับการเติบโตของตลาดไฟฟ้าและพลังงาน พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมให้ดียิ่งขึ้น” คุณพงศภัค กล่าวสรุป

ทั้งนี้ บริษัท สายไฟฟ้าบางกอกเคเบิ้ล จำกัด (BCC) ผู้นำเทคโนโลยีการผลิตสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ลระดับภูมิภาค เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน มุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์สายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ลด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ด้วยคุณภาพมาตรฐานระดับโลก ครอบคลุมทุกการใช้งาน ผสานความเชี่ยวชาญทางวิศวกรรม เพื่อการส่งมอบที่รวดเร็ว ในราคาที่แข่งขันได้ ตลอดระยะเวลา 60 ปี BCC ในฐานะผู้บุกเบิกธุรกิจผลิตสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ลรายแรกของประเทศ พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจเติบโตเคียงข้างการพัฒนาประเทศและภูมิภาคอาเซียน เพื่อรองรับการเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน

นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ สมาชิกวุฒิสภา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานกล่าวปิดการแข่งขันและมอบเข็มขัดแชมป์โลกมวยไทย

19 มีนาคม 2567 นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ สมาชิกวุฒิสภา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานกล่าวปิดการแข่งขันและมอบเข็มขัดแชมป์โลกมวยไทย ให้กับนักกีฬามวยไทยนานาชาติที่ชนะเลิศทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง ที่เวทีมวยพิเศษ หน้าโรงแรมบาซาร์โฮเทล รัชดา แยกรัชโยธิน ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ โดยมีพลโท อัครชัย จันทรโตสะ นายกสมาพันธ์มวยไทยโลกและพลเอกธันวาคม ทิพยจันทร์  รองประธานสหพันธ์มวยไทยโลกให้การต้อนรับ

สำหรับพิธีเปิดการแข่งขันได้รับเกียรติจาก นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานเปิด

การแข่งขันมวยไทยโลกครั้งที่ 19 นี้ จัดโดยสหพันธ์มวยไทยโลก WMF มีนักมวยไทยทั้งชายและหญิงตลอดถึงกรรมการเวทีมวยกว่า 400 คนเดินทางมาจากทุกทวีปทั่วโลก โดยออกค่าใช้จ่ายมากันเองเพื่อร่วมทัวร์นาเมนต์แข่งขันชกมวยไทยในแต่ละรุ่น 

ทั้งนี้ทุกการขึ้นชกจะมีการรำไหว้ครูมวยไทยประกอบปี่พาทย์ประกอบเสียงกลองทุกครั้ง นักมวยมาพร้อมพี่เลี้ยงและครูฝึก และยังได้ร่วมเดินทางไปเข้าพิธีไหว้ครูมวยไทยที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาอย่างคึกคัก 

กิจกรรมนี้ นักกีฬาและคณะตลอดจนครอบครัว และกองเชียร์เพื่อนฝูงต่างพำนักอยู่ในประเทศไทยอย่างน้อย 7 คืน หลายๆคนเพิ่งเคยเดินทางมาเห็นประเทศไทยเป็นครั้งแรก ต่างรู้สึกดีใจที่ได้มีโอกาสมาแสดงฝีมือด้านมวยไทยที่เพียรฝึกฝนมาประลองฝีมือกับนักมวยไทยชาติต่างๆ และได้สัมผัสประเทศไทยในฐานะต้นตำรับของวิชามวยไทยชั้นครู และยืนยันว่าจะกลับมาเยือนประเทศไทยต่อไปอีกอย่างแน่นอน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top