Saturday, 17 May 2025
NewsFeed

ตำรวจภาค 4 เด็ดปีกผู้ค้าต่อเนื่อง สืบจังหวัดร้อยเอ็ด สกัดจับแก๊งค้ายาบ้า ยึดคารถ 1.6 แสนเม็ด

ตามนโยบายของ พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ภ.4 ให้ทุกท้องที่กวาดล้างจับกุมผู้ค้ายาเสพติดให้หมดสิ้นไปจากพื้นที่อีสานเหนือ

โดยก่อนการจับกุม พ.ต.อ.วีระ หางนาค ผกก.สส.ภ.จว.ร้อยเอ็ด ได้สืบสวนทราบว่า จะมีขบวนการค้ายาเสพติดลักลอบขนยาบ้าผ่าน จ.ร้อยเอ็ด เพื่อไปส่งที่ลูกค้าที่ จ.มหาสารคาม จึงวางแผนจับกุมและนำกำลังเฝ้าระวังตามเส้นทาง ต่อมาเมื่อวันที่ 22 มี.ค.67  เวลาประมาณ 22.30 น. พ.ต.ท.สมนึก ปัญญารมย์ สว.กก.สส.ภ.จว.ร้อยเอ็ด พร้อมด้วยชุดปราบปรามยาเสพติด ตำรวจภูธรจังหวัดร้อยเอ็ด ร่วมกับชุดสืบสวน สภ.พนมไพร เข้าจับกุมเครือข่ายยาเสพติด ได้บริเวณถนนบ้านกุดน้ำใส ต.กุดน้ำใส อ.พนมไพร จ.ร้อยเอ็ด ขณะร่วมกันลำเลียงยาบ้าไปส่งให้กับลูกค้าในพื้นที่ อ.พยัคฆภูมิพิสัย จ.มหาสารคาม จำนวน 2 ราย คือ นายณัฐพล ทำหน้าที่สำรวจเส้นทาง พร้อมรถกระบะ สีขาวหมายเลขทะเบียน ขง 74xx อุบลราชธานี  และ นายนัฐกรณ์ ทำหน้าที่ขับรถกระบะ สีดำ หมายเลขทะเบียน 1ขก 55xx กทม. ที่มีการซุกซ่อนยาเสพติด จากการตรวจสอบภายในรถพบยาบ้าถูกวางอยู่เบาะด้านหลังคนขับจำนวน 80 มัด รวม 160,000 เม็ด จึงจับกุมผู้ต้องหาพร้อมของกลางส่ง พงส.สภ.พนมไพร ดำเนินคดี

เบื้องต้นผู้ต้องหารับว่า ยาเสพติดดังกล่าวจะนำไปส่งลูกค้าใน จ.มหาสารคาม และมีผู้ร่วมขนยาเสพติดครั้งนี้อีก 2 คน ได้หลบหนีไป ขณะนี้อยู่ระหว่างการติดตามจับกุม นอกจากนี้ตำรวจชุดจับกุมได้ขยายผลไปตรวจยึดทรัพย์สินของผู้ร่วมขบวนการ รวมทั้งสิ้น 6 รายการ ได้แก่ รถยนต์ จำนวน 4 คัน รถ จยย. 2 คัน รวมมูลค่าประมาณ 2 ล้านบาท โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้สืบสวนขยายผล เพื่อดำเนินคดีกับผู้ร่วมขบวนการทั้งหมดต่อไป

Pizza Hut ออกเมนู ‘พิซซ่าผักชี’ ที่ญี่ปุ่น พร้อมใส่ภาษาไทย ลงไปในโปสเตอร์โปรโมต

(23 มี.ค.67) พิซซ่าในตำนาน! Pizza Hut ญี่ปุ่น ออกเมนูสูตรพิเศษ โรยหน้าผักชีแบบจุก ๆ เขียวขจีไปทั้งถาด แถมมีภาษาไทยอยู่ในโปสเตอร์

หากพูดถึง 'ผัก' ที่มีทั้งคนชื่นชอบและไม่ชอบนั้น หลายคนคงนึกถึง 'ผักชี' เป็นอย่างแรก สำหรับคนที่ไม่ชอบ แค่โรยหน้านิดเดียวก็ไม่ชอบ ส่วนคนที่ชอบนั้นก็ยิ่งกว่าคลั่งไคล้ กินคู่แทบทุกเมนูอาหาร

โดยเมื่อเดือนมีนาคมของปีก่อน ทาง Pizza Hut ของญี่ปุ่นได้ออกเมนู 'พิซซ่าผักชี' จนสร้างความฮือฮาไปทั่วโซเชียล เนื่องจากกระแสตอบรับที่ดีเยี่ยม ทั้งยอดขายเกินคาดและคำเรียกร้องของลูกค้า ในปีนี้ทาง Pizza Hut จึงนำเมนูพิซซ่าในตำนานกลับมาอีกครั้ง

ทั้งนี้ นอกจากเมนูพิซซ่าผักชีจะเป็นที่พูดถึงแล้ว สิ่งที่น่าสนใจคือ มีภาษาไทยปรากฏอยู่ในโปสเตอร์โฆษณาด้วย โดยเขียนกำกับว่า “ผักชีมากเกินไป มากกว่าหญ้า มากกว่าป่าไม้”

โดยพิซซ่าผักชีแบ่งเป็นสองแบบคือ 'พิซซ่าผักชีมากเกินไป' ที่เป็นสูตรดั้งเดิม ใช้ผักชี 3 ต้น และ 'พิซซ่าผักชีมากกว่าหญ้า มากกว่าป่า' ที่ได้เพิ่มปริมาณผักชีเป็นสองเท่า ซึ่งใช้ผักชีไปมากกว่า 6 ต้น โรยหน้าแบบจุใจเลยทีเดียว

สำหรับการจัดจำหน่าย มีขายเฉพาะขนาดกลาง หรือไซซ์ M เท่านั้น โดยพิซซ่าผักชีมากเกินไป มีราคาอยู่ที่ 2,480 เยน (ราว 594 บาท) ส่วนพิซซ่าผักชีมากกว่าหญ้า มากกว่าป่าไม้ มีราคาอยู่ที่ 2,980 เยน (ราว 713 บาท)

โดยพิซซ่าหน้าสุดพิเศษครั้งนี้จะวางขายตั้งแต่วันที่ 21 มี.ค. 67- 14 เม.ย. 67 และมีจำหน่ายเฉพาะ Pizza Hut ญี่ปุ่นบางสาขาเท่านั้น ใครที่เป็นผักชีเลิฟเวอร์ และได้ไปเยือนญี่ปุ่น บอกเลยว่าห้ามพลาด!

นักวิจัยจีน ผ่าตัดปลูกถ่าย ตับหมูดัดแปลง สู่ร่างกายมนุษย์ได้สำเร็จ คาดจะช่วยแก้ไขปัญหา ขาดแคลนอวัยวะ ให้กับผู้ป่วยได้อีกมาก

(23 มี.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า นักวิจัยของจีนประสบความสำเร็จในการปลูกถ่ายตับหมูดัดแปลงพันธุกรรมในผู้ป่วยที่มีภาวะสมองตาย ซึ่งตับดังกล่าวสามารถทำงานได้ดีในร่างกายมนุษย์เป็นระยะเวลา 10 วัน ก่อนที่การศึกษาดังกล่าวจะสิ้นสุดลงเมื่อวันพุธ (20 มี.ค.) ตามความต้องการของครอบครัวผู้ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ

การปลูกถ่ายครั้งนี้ถือเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญในการปลูกถ่ายอวัยวะของสัตว์สู่ร่างกายมนุษย์ โดยดำเนินการโดยโต้วเคอเฟิง นักวิชาการจากสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์จีน และทีมงานที่นำโดยเถาไคซาน แพทย์จากโรงพยาบาลซีจิงในเครือมหาวิทยาลัยการแพทย์กองทัพอากาศ ในนครซีอัน มณฑลส่านซีทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน

ผู้รับการปลูกถ่ายอวัยวะดังกล่าวเป็นผู้ป่วยที่ได้รับการบาดเจ็บที่สมองอย่างรุนแรง และผ่านการรับรองว่ามีภาวะสมองตายในการประเมินสามครั้ง โดยครอบครัวของผู้ป่วยยินดีที่จะมีส่วนร่วมในการวิจัยข้างต้นเพื่อสนับสนุนความก้าวหน้าทางการแพทย์

ทั้งนี้ แผนการผ่าตัดเพื่อปลูกถ่ายตับหมูดัดแปลงพันธุกรรมได้รับการพิจารณาและอนุมัติโดยคณะกรรมการด้านวิชาการและจริยธรรมต่าง ๆ และดำเนินการตามระเบียบข้อบังคับที่เกี่ยวข้องของจีนอย่างเคร่งครัด

โต้วระบุว่าการปลูกถ่ายอวัยวะครั้งนี้ถือเป็นการปลูกถ่ายตับหมูดัดแปลงพันธุกรรมเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ครั้งแรกในวงการการแพทย์ และการวิจัยข้างต้นถือเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญในสาขาการปลูกถ่ายข้ามสายพันธุ์ (xenotransplantation) อีกทั้งส่งมอบพื้นฐานทางทฤษฎีและประสบการณ์เชิงปฏิบัติสำหรับการทำงานทางคลินิกในอนาคต

เดวิด คูเปอร์ นักภูมิคุ้มกันวิทยาด้านการปลูกถ่ายข้ามสายพันธุ์จากโรงพยาบาลแมสซาชูเซตส์ เจเนอรัล ในนครบอสตัน แสดงความยินดีกับทีมงานของโต้วสำหรับความสำเร็จครั้งสำคัญนี้ โดยระบุว่าการศึกษานี้ของจีนจะนำเสนอข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญว่าการปลูกถ่ายตับหมูจะสามารถช่วยให้ผู้คนมีชีวิตรอดได้หรือไม่ แม้เป็นเวลาเพียงไม่กี่วันก็ตาม

โต้วระบุว่าการวิจัยและการประยุกต์ใช้เทคนิคการปลูกถ่ายตับข้ามสายพันธุ์มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากปัจจุบันมีผู้ป่วยโรคตับจำนวนมาก ทว่ายังคงมีปัญหาขาดแคลนอวัยวะในการปลูกถ่ายอย่างรุนแรง

โต้วทิ้งท้ายว่าสำหรับในอนาคต การปลูกถ่ายตับข้ามสายพันธุ์อาจเป็นประโยชน์อย่างมากต่อผู้ป่วยจำนวนมากขึ้น และกลายเป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพที่จะแก้ปัญหาขาดแคลนอวัยวะสำหรับการปลูกถ่าย ท่ามกลางเทคโนโลยีที่รุดหน้าไปอย่างต่อเนื่อง

ตร.สน.บางซื่อ ใช้เครื่อง AED และ CPR ช่วยคนขับรถตู้หมดสติ ตามนโยบาย ช่วยเหลือ ปชช. เหมือนเป็นคนในครอบครัว

(23 มี.ค.67) ตำรวจ สน.บางชื่อ ได้รับแจ้ง คนขับรถตู้หมดสติคาพวงมาลัย บริเวณแยกกำแพงเพชร แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพฯ ด.ต.ไกรศร พลตาล ซึ่งอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุ จึงไปตรวจสอบ พบชายดังกล่าว มีสัญญาณชีพเพียงเล็กน้อย ด.ต.ไกรศร จึง ได้วิทยุแจ้งรถกู้ภัยให้มายังที่เกิดเหตุ ก่อนที่ด.ต.ไกรศร จะทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้น โดยไปเอาเครื่องกระตุกหัวใจ(AED) ซึ่งติดตั้งไว้ที่แยกกำแพงเพชร ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 20 เมตร มาทำการช่วยเหลือ และทำการ CPR จนชายคนดังกล่าว เริ่มมีชีพจร จากนั้นได้ประสานศูนย์นเรนทร นำตัวส่ง รพ.ราชวิถี  

จากการสอบถาม ญาติชายคนดังกล่าว ทราบว่าได้ฟื้นแล้ว และทำการฟื้นฟูร่างกายให้กลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม ส่วนสาเหตุ เกิดจาก มีโรคประจำตัวหลายโรค พักผ่อนน้อย และสภาพอากาศแปรปรวน จึงทำให้เกิดอาการ 

ทั้งนี้ การช่วยเหลืออย่างทันท่วงทีของตำรวจ สืบเนื่องจาก เป็นนโยบายของ พ.ต.อ.ภูวดล อุ่นโพธิ ผกก.สน.บางซื่อ ที่เน้นย้ำให้ผู้ใต้บังคับบัญชา ปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือประชาชนอย่างทันท่วงทีให้เหมือนเป็นญาติของตัวเอง และที่ผ่านมา ได้สนับสนุนให้ผู้ใต้บังคับบัญชาได้เข้ารบกวนการปฐมพยาบาลเบื้องต้น เพื่อลดการสูญเสีย 

หนุ่มโพสต์เฟซ โดนเจ้าหน้าที่ ยกมิเตอร์น้ำออก แล้วปล่อยให้ไหลทิ้ง ชี้ ควรคิดให้รอบคอบ ถึงความเสียหาย ควรใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า

(23 มี.ค.67) ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ สัญญา ป้ายศิลป์ โพสต์ข้อความว่า ลืมไปจ่ายค่าน้ำประปา โดนยกมิเตอร์เลย ผมสงสัยจังว่าวิธีงดจ่ายน้ำแบบนี้ทำถูกหรือยัง ตัดท่อออกปล่อยให้น้ำประปาไหลทิ้งตั้งนาน ไม่รู้ว่ามา ตัดวันไหนเมื่อวานหรือวันนี้ ตัดช่วงไม่มีคนอยู่แล้วปล่อยทิ้งไว้ ถ้าไม่มีคนแจ้ง หรือผมไม่ได้เข้ามาร้าน ก็คงจะปล่อยน้ำให้ไหลทิ้งแบบนี้เลยหรือ พร้อมลงรูปภาพ และวิดีโอประกอบ โดยมีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นต่างๆ นานา ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น

ต่อมา ผู้สื่อข่าวจึงได้ลงพื้นที่เพื่อสอบถามพูดคุยกับ เจ้าของโพสต์ ซึ่งอยู่ที่บ้านเลขที่ 118 ถ.ปัทมานนท์ ต.ในเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ ที่แห่งนี้ได้เปิดเป็นร้านทำป้าย ชื่อว่าร้านป้ายศิลป์ มีนายสัญญา ศรแผลง อายุ 43 ปี เป็นเจ้าของร้าน 

นายสัญญา ได้เล่าให้ฟังว่า การที่ร้านถูกตัดน้ำเนื่องจากตนสื่อสารผิดพลาดกับลูกน้อง ตนคิดว่าให้ลูกน้องไปจ่ายค่าน้ำ แต่จริง ๆ ตนให้ไปจ่ายค่าไฟมันก็เลยกลายเป็นค้างค่าน้ำ 2 เดือน ก็เลยถูกตัดยกมิเตอร์ไป ตรงนี้ตนเข้าใจ และไม่ได้ติดใจในเรื่องนี้ แต่ตนติดใจที่เจ้าหน้าที่มาตัดน้ำแล้วปล่อยน้ำไหลทิ้ง อยากถามว่าถ้าไปตัดแล้วปล่อยน้ำทิ้งแบบนี้มันจะเกิดความเสียหายมากแค่ไหน ตนก็ไม่รู้ว่าตัดตั้งแต่กี่โมง ตนเข้ามาร้าน 11 โมงเช้า เห็นน้ำไหลเอ่อนองท่วมข้างบ้านเต็ม ตนจึงให้แฟนโทรไปที่การประปาให้มาต่อน้ำคืน และให้ซ่อมท่อที่น้ำมันไหลด้วย สักพักหนึ่งเจ้าหน้าที่ก็มาอุดท่อไว้ก่อนแต่ยังไม่ได้ต่อน้ำให้ มาต่ออีกทีก็ตอน 5 โมงเย็น

ส่วนระยะเวลาที่น้ำไหลทิ้งตนก็ไม่แน่ใจว่าประมาณกี่ชั่วโมง เพราะตอนที่เขามาตัด ตนก็ไม่ได้อยู่ร้าน ปกติตนจะอยู่ร้านประจำแต่บังเอิญวันอังคารที่ผ่านมาตนปิดร้าน วันพุธเข้ามาก็เห็นว่ามิเตอร์ถูกตัด และน้ำก็ไหลทิ้งแบบที่เห็นเลย อยากฝากถึงระบบการทำงานของหน่วยงาน ว่า ให้รอบคอบมากกว่านี้หน่อย ถ้าทำแล้วมันเกิดความเสียหายแบบนี้ เพราะเราไม่รู้ว่าปีนี้จะแล้งกว่านี้ไหม แล้วเรามาปล่อยน้ำทิ้งแบบนี้ความเสียหายมันเยอะมาก เลยอยากฝากว่าต่อไประวังให้มากกว่านี้ด้วย

สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย  ในพระบรมราชูปถัมภ์  จัดกิจกรรมการแข่งขันโบว์ลิ่งการกุศล ชิงถ้วยประทาน พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ

สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย  ในพระบรมราชูปถัมภ์  กำหนดจัดการแข่งขันโบว์ลิ่งการกุศล   ชิงถ้วยประทาน  พระเจ้าวรวงศ์เธอ  พระองค์เจ้าโสมสวลี  กรมหมื่น สุทธนารีนาถ  วันเสาร์ที่  23  มีนาคม  2567  เวลา  08.00 น.  ณ  BLU - O RHYTHM & BOWL ชั้น 5  สยามพารากอน  เพื่อเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสที่ทรงเจริญพระชนมพรรษา 92 พรรษา  และเพื่อน้อมเกล้าฯ รำลึกในพระกรุณาธิคุณ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ ที่ทรงรับเป็นประธานกิตติมศักดิ์ ของคณะกรรมการร่วมใจสงเคราะห์ชุมชน สภาสังคมสงเคราะห์ฯ เพื่อหารายได้สมทบ "กองทุนพระราชทานช่วยเหลือการศึกษาเด็กยากจน ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ  พระบรมราชชนนีพันปีหลวง" และเพื่อให้โอกาสด้านการศึกษาแก่เด็กและเยาวชนที่ยากจนและขาดแคลนโอกาส ทางการศึกษา ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค 

โดยพิธีเปิดการจัดการแข่งขันโบว์ลิ่งการกุศล  สภาสังคมสงเคราะห์ฯ ได้รับเกียรติจาก แพทย์หญิงสุวณี   รักธรรม ที่ปรึกษาสภาสังคมสงเคราะห์ฯ เปิดกรวยถวายสักการะหน้าพระฉายาลักษณ์ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ  และกล่าวเปิดงาน ในครั้งนี้ อัตราค่าสมัคร ทีมกิตติมศักดิ์  ทีมละ  10,000.-บาท  ทีมทั่วไป  ทีมละ  5,000.-บาท   หรือร่วมบริจาคเพื่อการกุศลโดยไม่เข้าร่วมการแข่งขัน  หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สำนักหารายได้   สภาสังคมสงเคราะห์ฯ โทรศัพท์:  02-354-7533-37 ต่อ 604 – 607 E-mail : [email protected] LINE ID : community.fund

‘รัดเกล้า’ ชู!! ‘บางกอกบานฉ่ำ เมืองมีชีวิต’ กิจกรรมดีๆ ช่วงปิดเทอมนี้ ต้นแบบแห่งการมีส่วนร่วม 'เด็ก-เยาวชน-ประชาชน' ณ สวนบางขุนนนท์

เมื่อวานนี้ (23 มี.ค.67) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก เผยถึงกิจกรรม ‘บางกอกบานฉ่ำ เมืองมีชีวิต’ ซึ่งจัดโดย เครือข่ายบางกอกนี้...ดีจัง ร่วมกับ มูลนิธิเพื่อนเยาวชนเพื่อการพัฒนา มูลนิธิส่งเสริมสื่อเด็กและเยาวชน (สสย.) และภาคีเครือข่าย ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นกิจกรรมที่สร้างสรรค์ให้กับเยาวชนในช่วงเวลาที่ปิดเทอม 

นอกจากนี้ ยังเป็นการเสริมสร้างนักสื่อสารสุขภาวะเด็กเยาวชน พลเมืองรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพในการออกแบบและสร้างสรรค์ระบบนิเวศของชุมชน และการสร้างสื่อสุขภาวะที่หลากหลาย ปลอดภัย ทั้งในเชิงกายภาพและจิตใจ รวมทั้งเป็นพื้นที่ปลอดภัยทางความคิด ส่งเสริมการรู้เท่าทันตนเอง เท่าทันสื่อและสังคม อีกด้วย

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กิจกรรมภายในงานประกอบด้วย กิจกรรมเดิน เล่น เรียนรู้ สร้างสรรค์ชุมชนบางกอกน้อย, กิจกรรม Kids Camp สวนเล่นได้ เล่นกับธรรมชาติ, กิจกรรม Play Zone อะไรอะไรก็เล่นได้ ใครใครก็เล่นได้, กิจกรรมลานบานฉ่ำ ศิลปะชุมชน และกิจกรรม Young Voice ร่วมออกแบบเมือง เมืองมีชีวิตของทุกคน 

“ขอชื่นชมคณะผู้จัดงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ร่วมกันจัดกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม กิจกรรมนี้ถือเป็นต้นแบบในการสร้างการมีส่วนร่วมของเด็ก เยาวชน และประชาชน ที่จะร่วมกันออกแบบและสร้างสรรค์ชุมชน สังคมให้เป็นสังคมที่น่าอยู่ ตอบโจทย์คนทุกเพศทุกวัย สำหรับผู้ที่มีความประสงค์จะเข้าร่วมกิจกรรม สามารถเข้าร่วมกิจกรรมได้ตั้งแต่วันนี้ – 24 มีนาคม 2567 ตั้งแต่เวลา 11.00 – 18.00 น. ที่สวนบางขุนนนท์ เขตบางกอกน้อย” รองโฆษกฯ รัดเกล้า กล่าว

ตร.ภูเก็ต โพสต์เฟซ ชื่นชม พี่แท็กซี่ ที่มีความซื่อสัตย์ เอากระเป๋านักท่องเที่ยว ที่ลืมไว้ มาส่งคืนให้

เมื่อไม่นานมานี้ สถานีตำรวจภูธรเชิงทะเล ภูเก็ต ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ชื่นชมคนขับรถแท็กซี่ ที่เป็นคนดี มีความซื่อสัตย์ โดยได้ระบุว่า ...

ขอบคุณมากครับสำหรับความซื่อสัตย์ต่อตนเองและอาชีพ #สภ.เชิงทะเลขอชื่นชมพี่แท็กซี่ นายอภิชัย โพธิ์เหมือน ที่ขับรถแท็กซี่ป้ายเขียว หมายเลขทะเบียน ฌข -2849 ภูเก็ต กรณีนักท่องเที่ยวลืมกระเป๋าไว้ในรถ นำมาส่งคืนเรียบร้อย#ยอดเยี่ยมมากครับ (ขออนุญาตเผยแพร่เพื่อชื่นชมนะครับ)

เทียบนัย 'ร่างรัฐธรรมนูญ 2474' โดยในหลวงรัชกาลที่ 7 ที่ถูกปัดตก มาตรฐานใกล้ รธน.ฉบับแรกหลายชาติยุโรป แต่กลับถูกบอก 'ไม่ประชาธิปไตย'

(24 มี.ค.67) ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์ประจำภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์บทความในหัวข้อ 'ความเข้าใจต่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่สองที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดให้ร่างขึ้น' (ตอนที่หนึ่ง) ความว่า...

#ร่างรัฐธรรมนูญรัชกาลที่7

หลังจากมีการอภิปรายถกเถียงเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับแรกของพระยากัลยาณไมตรี (ฟรานซิส บี. แซร์) พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้นายเรมอนด์ บี. สตีเวนส์ ที่ปรึกษากระทรวงการต่างประเทศและพระยาศรีวิศาลวาจา ปลัดทูลฉลองกระทรวงการต่างประเทศยกร่างเค้าโครงรัฐธรรมนูญขึ้นอีกฉบับหนึ่ง

ซึ่งแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2474 โดยเค้าโครงร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีชื่อในภาษาอังกฤษว่า 'An Outline of Changes in the Form of Government' (เค้าโครงการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครอง)

ในเค้าโครงร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ กำหนดให้มีตำแหน่งนายกรัฐมนตรีขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศ ทำหน้าที่รับผิดชอบในการบริหารราชการแผ่นดิน

โดยพระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้คัดสรรและแต่งตั้งบุคคลที่พระองค์ทรงเห็นว่ามีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี โดยไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นสมาชิกในพระบรมวงศานุวงศ์หรือมีตำแหน่งขุนนางเสนาบดีเท่านั้น

จากการที่นายกรัฐมนตรีมาจากการคัดสรรและแต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์ นายกรัฐมนตรีจึงรับผิดชอบโดยตรงต่อพระมหากษัตริย์

แม้ว่าเค้าโครงร่างรัฐธรรมนูญ จะกำหนดให้นายกรัฐมนตรีมีสิทธิ์ในการเลือกบุคคลเป็นคณะรัฐมนตรี

แต่เค้าโครงฯ นี้เห็นว่า แต่เดิมการแต่งตั้งรัฐมนตรีเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์

ดังนั้น การจะผ่องถ่ายอำนาจทั้งหมดโดยทันทีให้แก่นายกรัฐมนตรี จึงอาจจะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วเกินไป

ดังนั้น ในเบื้องต้น เมื่อนายกรัฐมนตรีเลือกบุคคลเป็นคณะรัฐมนตรีแล้ว ควรที่จะให้พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชวินิจฉัยยืนยันเห็นชอบด้วย

นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีมีวาระที่กำหนดไว้ตายตัว โดยให้เป็นไปตามวาระของสภานิติบัญญัติ แต่นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีจะลาออกก่อนครบวาระก็ได้ โดยทำหนังสือกราบบังคมทูลต่อพระมหากษัตริย์ แต่พระมหากษัตริย์จะทรงแต่งตั้งให้กลับไปดำรงตำแหน่งอีกก็ได้

ขณะเดียวกัน พระองค์ทรงมีพระราชอำนาจที่จะขอให้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีออกจากตำแหน่งก็ได้ และเมื่อไรก็ตามที่นายกรัฐมนตรีลาออกเองหรือถูกขอให้ออกจากตำแหน่ง คณะรัฐมนตรีก็จะต้องพ้นจากตำแหน่งไปด้วย

นายกรัฐมนตรีจะทำหน้าที่เป็นประธานในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีและเป็นผู้เดียวที่จะเป็นตัวกลางสื่อสารระหว่างพระมหากษัตริย์และคณะรัฐมนตรี

ในความสัมพันธ์ระหว่างอำนาจบริหารและอำนาจนิติบัญญัติ และเค้าโครงฯ ได้กำหนดว่า สภานิติบัญญัติจะใช้อำนาจของสภาฯ ในการลงมติไว้วางใจ นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีได้

ถ้ามีการประกาศใช้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ก็จะเป็นรัฐธรรมนูญในระบอบการปกครองพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ (Constitutional Monarchy) ฉบับแรกของไทย

“เปรียบเทียบร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ กับ รัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศในยุโรปที่ปกครองด้วยระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ”

เมื่อเปรียบเทียบกับรัฐธรรมนูญระบอบการปกครองพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศต่างๆ ในยุโรป จะพบความคล้ายคลึงกันในเรื่องพระราชอำนาจในการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี

เริ่มต้นจาก...

>> สวีเดน ค.ศ. 1809

สวีเดนเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญในปี ค.ศ. 1809 และมีรัฐธรรมนูญฉบับแรกในระบอบดังกล่าวในปี ค.ศ. 1809

มาตราแรกของรัฐธรรมนูญสวีเดน ค.ศ. 1809 ระบุว่า “พระมหากษัตริย์แต่เพียงผู้เดียวที่จะเป็นผู้ใช้อำนาจบริหารการปกครองแผ่นดิน” (The King alone shall govern the realm)

และมาตรา 4 ที่ตามมาจะระบุถึงการจำกัดพระราชอำนาจ เช่น การระบุให้พระมหากษัตริย์จำเป็นต้องใช้อำนาจปกครอง “ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้” (in accordance with the provision of this Instrument of Government)

นอกจากนี้ในมาตรา 4 ของรัฐธรรมนูญยังระบุว่า พระมหากษัตริย์จะต้อง...

“ทรงรับฟังข้อมูลและคำแนะนำจากรัฐมนตรีสภา (คณะรัฐมนตรี) อันเป็นสภาที่ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งสมาชิก (รัฐมนตรี) จากบุคคลที่มีความสามารถ ประสบการณ์ เกียรติยศ และเป็นที่เคารพนับถือโดยทั่วไปของเหล่าพสกนิกรชาวสวีเดน”

(seek the information and advice of a Council of State, to which the King shall call and appoint capable, experienced, honorable and generally respected native Swedish subjects)

>> นอร์เวย์ ค.ศ. 1814

นอร์เวย์เข้าสู่ระบอบการปกครองพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญในปี ค.ศ. 1814

สาระสำคัญของรัฐธรรมนูญนอร์เวย์ ค.ศ. 1814 คือกำหนดให้นอร์เวย์ปกครองด้วยระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ นั่นคือ พระมหากษัตริย์ไม่ทรงสามารถใช้พระราชอำนาจในการบริหาร นิติบัญญัติและตุลาการได้โดยตรงอีกต่อไป

แต่กระนั้น รัฐธรรมนูญนอร์เวย์ ค.ศ. 1814 ยังให้พระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีโดยไม่ได้กำหนดเป็นลายลักษณ์อักษรว่าจะต้องแต่งตั้งจากสมาชิกสภาเหมือนที่ปรากฎในนอร์เวย์ปัจจุบัน

มาตรา 3 ในรัฐธรรมนูญนอร์เวย์ ค.ศ. 1814 กำหนดให้ 'อำนาจบริหารเป็นของกษัตริย์' (The executive power shall be vested in the King.)

และในทำนองเดียวกันกับรัฐธรรมนูญสวีเดน ค.ศ. 1809 มาตรา 28 ของรัฐธรรมนูญนอร์เวย์ ค.ศ. 1814 กำหนดให้พระมหากษัตริย์ทรงเลือกพลเมืองนอร์เวย์ที่มีอายุไม่ต่ำกว่า 30 เป็นคณะรัฐมนตรี มีจำนวน 5 คนอย่างน้อย และอาจจะเลือกพลเมืองนอร์เวย์อื่นๆ ให้เป็นคณะรัฐมนตรี ยกเว้นสมาชิกสภาแห่งชาติ

พระองค์จะทรงแบ่งงานให้สมาชิกคณะรัฐมนตรีตามที่พระองค์เห็นว่าเหมาะสมที่สุด และไม่ให้ผู้ที่เป็นบิดา บุตร และพี่น้องเป็นคณะรัฐมนตรีในเวลาเดียวกัน

จากสาระในมาตรา 28 พระมหากษัตริย์มีอำนาจในการแต่งตั้งพลเมืองนอร์เวย์ ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีได้ตามพระราชอัธยาศัย

ถ้าจะถามว่า ตกลงแล้วพระมหากษัตริย์ขณะนั้นทรงแต่งตั้ง 'ใคร' ให้มาทำหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน?

คำตอบคือ โดยส่วนใหญ่ พระมหากษัตริย์จะแต่งตั้งบุคคลที่ดำรงตำแหน่งข้าราชการประจำให้มาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ขณะเดียวกัน ก็มีบางส่วนที่แต่งตั้งจากสมาชิกสภา หากสมาชิกสภาผู้ใดได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี จะต้องลาออกจากการเป็นสมาชิกสภา

>> เนเธอร์แลนด์ ค.ศ. 1814

เนเธอร์แลนด์เข้าสู่ระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญในปี ค.ศ. 1814 หลังจากเคยปกครองในแบบสมาพันธรัฐและสาธารณรัฐมาเป็นเวลายาวนาน

ในรัฐธรรมนูญเนเธอร์แลนด์ ค.ศ. 1814 มาตรา 1 ที่เป็นมาตราที่ว่าด้วยอำนาจสูงสุด หรืออำนาจอธิปไตย (Sovereignty) ของเนเธอร์แลนด์ รัฐธรรมนูญเนเธอร์แลนด์ ค.ศ. 1814 อันเป็นรัฐธรรมนูญระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับแรกของเนเธอร์แลนด์

ได้กำหนดให้อำนาจอธิปไตยของเนเธอร์แลนด์เป็นของวิลเลม เฟรดริค และผู้สืบเชื้อสายของพระองค์ “Sovereignty……belongs to Willem Frederik...”

อีกทั้งยังกำหนดให้พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจแต่งตั้งและถอดถอนรัฐมนตรีตามพระบรมราชวินิจฉัยเช่นกัน

>> เบลเยี่ยม ค.ศ. 1831

เบลเยี่ยมเข้าสู่การปกครองระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญในปี ค.ศ. 1831

รัฐธรรมนูญเบลเยี่ยม ค.ศ. 1831 กำหนดให้อำนาจบริหารเป็นของพระมหากษัตริย์

พระองค์ทรงใช้อำนาจบริหารได้ตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ

โดยมาตรา 64 แห่งรัฐธรรมนูญเบลเยี่ยม ค.ศ. 1831 ได้กำหนดไว้ว่า พระบรมราชโองการของพระมหากษัตริย์จะมีผลบังคับใช้ได้ก็ต่อเมื่อมีผู้รับสนอง และผู้รับสนองฯจะต้องเป็นรัฐมนตรีคนใดคนหนึ่ง

ดังนั้น พระมหากษัตริย์จึงทรงกระทำผิดมิได้ รัฐมนตรีที่เป็นผู้รับสนองจะเป็นผู้รับผิดชอบ

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ พระมหากษัตริย์มิได้ทรงใช้พระราชอำนาจบริหารด้วยพระองค์เอง แต่ผ่านรัฐมนตรี และด้วยเหตุนี้ มาตรา 63 จึงกำหนดไว้ว่า ผู้ใดจะละเมิดองค์พระมหากษัตริย์มิได้

มาตรา 66 กำหนดให้พระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจในการแต่งตั้งและถอดถอนรัฐมนตรี และในการแต่งตั้งรัฐมนตรี ไม่จำเป็นที่พระมหากษัตริย์จะต้องแต่งตั้งรัฐมนตรีจากสมาชิกสภา (ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกสภาล่างหรือสภาสูง) แต่ถ้าพระองค์แต่งตั้งสมาชิกสภาให้เป็นรัฐมนตรี บุคคลผู้นั้นจะต้องพ้นจากสมาชิกภาพความเป็นสมาชิกสภา

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ พระมหากษัตริย์เบลเยี่ยมภายใต้รัฐธรรมนูญเบลเยี่ยม ค.ศ. 1831 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกของเบลเยี่ยมให้พระมหากษัตริย์ทรงมีอิสระในการแต่งตั้งรัฐมนตรี โดยไม่จำเป็นต้องจากสมาชิกสภา ผู้ที่จะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีจะต้องเป็นผู้มีสัญชาติเบลเยี่ยม (โดยกำเนิดหรือได้รับสัญชาติ) แม้ว่าพระองค์จะมีอิสระ แต่ข้อจำกัดคือ พระองค์ไม่สามารถแต่งตั้งสมาชิกในพระบรมวงศานุวงศ์เป็นรัฐมนตรี

>> เดนมาร์ก ค.ศ. 1849

เดนมาร์กเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญในปี ค.ศ. 1849

รัฐธรรมนูญเดนมาร์ก ค.ศ. 1849 มาตรา 19 กำหนดไว้ว่า “พระมหากษัตริย์เป็นผู้ทรงแต่งตั้งและปลดบุคคลเข้าและออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี การลงพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์ในกฎหมายที่ได้ตราขึ้น หรือในการประกาศให้มติในการบริหารราชการแผ่นดินที่เกี่ยวข้องมีผลบังคับได้ จะต้องมีรัฐมนตรีหนึ่งหรือหลายนายลงนามสนองพระบรมราชโองการ”

และรัฐธรรมนูญเดนมาร์ก ค.ศ. 1849 ไม่ได้กล่าวถึงเงื่อนไขการแต่งตั้งและปลดบุคคลเข้าและออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีแต่อย่างใด พระมหากษัตริย์เดนมาร์กทรงมีพระราชอำนาจในการแต่งตั้งและปลดได้ที่พระองค์ทรงเห็นสมควร

ในช่วงเริ่มแรกหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองสู่ระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญฉบับแรกในประเทศในยุโรปที่กล่าวไปข้างต้น (สวีเดน, นอร์เวย์, เนเธอร์แลนด์, เบลเยี่ยม และ เดนมาร์ก) จะเริ่มต้นจากการค่อยๆแบ่งแยกอำนาจบริหาร นิติบัญญัติและตุลาการออกจากกัน ที่แต่เดิมทีรวมอยู่ในสถาบันพระมหากษัตริย์

ขณะเดียวกัน ในรัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศเหล่านี้ที่เป็นประเทศที่ระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญที่มีความมั่นคงยิ่งในปัจจุบัน และได้รับการจัดลำดับเศรษฐกิจ การเมืองและสังคมในอันดับต้นๆ ของโลก

เราจะพบการยังคงให้พระมหากษัตริย์ยังคงไว้ซึ่งพระราชอำนาจบริหาร แต่ไม่สามารถบริหารได้โดยลำพังพระองค์เองอีกต่อไป

แต่จะต้องมีนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีเป็นผู้ใช้อำนาจบริหารแทนพระองค์ แต่พระองค์ยังทรงมีพระราชอำนาจในการแต่งตั้งและถอดถอนนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีได้ตามพระบรมราชวินิจฉัย

สถาบันทางการเมืองในระบอบพระมหากษัตรย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ---อันได้แก่ คณะรัฐมนตรีและรัฐสภา รวมทั้งสถาบันพระมหากษัตริย์---ของประเทศเหล่านี้จะค่อยวิวัฒนาการไปตามเงื่อนไขความเป็นจริงทางเศรษฐกิจ สังคมและสภาพการเมืองของแต่ละประเทศ

คำถามคือ ในช่วงที่มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับแรก ที่ยังคงให้พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจแต่งตั้งและถอดถอนนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีได้ตามพระราชอัธยาศัยนั้น...เงื่อนไขทางการเมืองและประชาชนในประเทศเหล่านั้นเป็นอย่างไรเมื่อเทียบกับของไทย?

จากความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญฉบับแรกของระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญและกระบวนการวิวัฒนาการทางการเมืองอย่างค่อยเป็นค่อยไปของประเทศต่างๆ เหล่านี้นี่เอง ที่นำมาซึ่ง ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนายเรมอนด์ บี. สตีเวนส์และพระยาศรีวิศาลวาจา

และถ้าหากร่างรัฐธรรมนูญฉบับวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2474 ที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงโปรดให้ร่างขึ้นไม่เป็น 'ประชาธิปไตย'

เราจะกล่าวได้ไหมว่า รัฐธรรมนูญระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับแรกของ นอร์เวย์, เนเธอร์แลนด์, เบลเยี่ยม และ เดนมาร์ก เป็น 'ประชาธิปไตย' ?

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

 

‘รัดเกล้า’ เผยรัฐบาลให้ความสำคัญ ผลักดันความสงบให้ชายแดนใต้ ย้ำ ทำตามหลักการ สร้างความปลอดภัย ให้น่าท่องเที่ยว 

(24 มี.ค.67) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เน้นย้ำ รัฐบาล ที่นำโดยนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้ความสำคัญกับพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งมุ่งเน้นการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในทุกระดับ ทุกศาสนา โดยเมื่อครั้งที่เดินทางมาตรวจราชการในกิจกรรม “เที่ยวใต้ สุดใจ” (ปัตตานี ยะลา นราธิวาส) เมื่อวันที่ 27-29 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ผ่านมาสะท้อนความมุ่งมั่นตั้งใจของรัฐบาลอย่างจริงใจที่สุด ที่จะสร้างภาพจำใหม่ให้คนไทยและชาวต่างชาติเห็นว่า ”พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ปลอดภัย น่าท่องเที่ยว”

ทั้งนี้เหตุการณ์การก่อกวนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และจังหวัดสงขลาบางจุด เมื่อวันที่ 22 มีนาคมที่ผ่านมา ว่า เป็นการสร้างสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ในเดือนรอมฎอนที่เป็นเดือนอันประเสริฐของพี่น้องประชาชนที่นับถือศาสนาอิสลาม โดยมุ่งเน้นไปที่การก่อเหตุกับสถานประกอบการภาคธุรกิจที่หวังทำลายระบบเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนการสร้างงาน สร้างอาชีพ และรายได้ของประชาชนในพื้นที่ของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง สะท้อนให้เห็นว่ากลุ่มบุคคลเหล่านี้ไม่ได้ให้ความสำคัญหรือมีความห่วงใยในชีวิตและสวัสดิภาพของประชาชนในพื้นที่แต่อย่างใด เพราะเมื่อเกิดเหตุกับสถานประกอบการ ผู้ที่ได้รับผลกระทบทันทีคือ ผู้ประกอบการที่ธุรกิจได้รับความเสียหาย และลูกจ้างที่ต้องหยุดงานขาดรายได้ทันทีที่มีเหตุการณ์ความไม่สงบกับสถานประกอบการที่ตนทำงานอยู่ อีกทั้งประชาชนต้องรู้สึกหวาดกลัว หรือหวาดระแวงเมื่อต้องเดินทางออกมาจับจ่ายซื้ออาหารเพื่อละศีลอด รวมทั้งการเดินทางไปประกอบศาสนกิจเพื่อเก็บเกี่ยวผลบุญในช่วงค่ำคืน ดังนั้นการก่อกวนเช่นนี้ จึงทำให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับผลกระทบ 

นางรัดเกล้า ยังเปิดเผยว่า นายฉัตรชัย บางชวด รองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ยอมรับว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นการก่อกวน ของบางกลุ่ม ที่ไม่เห็นด้วยกับการสร้างสันติสุขในพื้นที่ ซึ่งกลุ่มนี้ต้องการแสดงออกบางอย่างเพื่อแสดงตัวตนและให้เห็นถึงความสำคัญ แต่ทั้งนี้การพูดคุยเพื่อสันติสุข ยังเดินหน้า โดยที่มีประเทศมาเลเซีย เป็นผู้อำนวยความสะดวก และคณะพูดคุยก็เปิดกว้างในการรับฟังความเห็นต่างๆ แต่ทั้งนี้ถ้าทุกฝ่ายสร้างบรรยากาศไม่มีความรุนแรง ก็จะเป็นเรื่องที่ดีในการที่จะเปิดช่องรับฟัง อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ขั้นตอนการพูดคุยหลักการใหญ่เห็นชอบแผนสันติสุขร่วมกันแล้วรวมถึงเห็นชอบหลักการรายละเอียดของแผน โดยจะมีคณะเทคนิคไปพูดคุยเพื่อทำตามกิจกรรมของแผน โดยช่วงนี้คณะเทคนิคอยู่ระหว่างการประชุมและในครั้งที่ผ่านมา คณะเทคนิคได้มีการประชุมแล้วสองครั้ง โดยรวมอยู่ในขั้นตอนที่คุยกันได้ เพื่อที่จะให้เดินไปข้างหน้า แม้ว่าจะมีข้อจำกัดหลายเรื่องแต่ก็จะใช้ความพยายาม ในฐานะที่ตนเองเป็นหัวหน้าพูดคุย ต้องขอขอบคุณ อย่างน้อยได้มีการพูดคุยก็เป็นเรื่องที่ดีจึงต้องรักษาไว้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top