Saturday, 17 May 2025
NewsFeed

ชายแคนาดา 2 คน ถูกสลับตัวกัน ตั้งแต่เกิดในโรงพยาบาล ผู้ว่าการรัฐฯ ขอโทษ แต่ทั้งคู่ไม่ยอม เตรียมตั้งทนาย ฟ้องค่าเสียหายแล้ว

(24 มี.ค.67) TNN World รายงานว่า มีชายชาวแคนาดา 2 คน ได้ลองตรวจดีเอ็นเอ จากชุดตรวจดีเอ็นเอแบบง่าย ที่ตรวจได้เองที่บ้าน แต่ความจริงจากชุดตรวจดีเอ็นเอ ได้เปลี่ยนชีวิตของชายวัย 70 ปีทั้งสองคนไปตลอดกาล เพราะพวกเขาเพิ่งรู้ว่า เขาไม่ได้มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดกับครอบครัวที่เลี้ยงดูพวกเขามาเลย

ริชาร์ด โบเวส์ จากเซเชลท์ เมืองชายฝั่งทะเลในรัฐบริติชโคลัมเบีย เติบโตขึ้นมาทั้งชีวิตโดยเชื่อว่า ตัวเขาเป็นชนพื้นเมือง แต่การตรวจดีเอ็นเอแสดงให้เห็นว่าเขามีเชื้อสายยูเครน ยิวอัซเกนัซ และโปแลนด์ผสมกัน

ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน ห่างออกไป 2,400 กิโลเมตร น้องสาวของเอ็ดดี แอมโบรส จากเมืองวินนิเพก รัฐแมนิโตบา เติบโตมาในครอบครัวเชื้อสายยูเครน ได้ตรวจดีเอ็นเอและพบว่า เธอไม่มีความเกี่ยวข้องกับเอ็ดดีเลย และโบเวส์คือพี่ชายที่แท้จริงของเธอ

ต้นเหตุของเรื่องนี้ ต้องย้อนกลับตั้งแต่วันที่พวกเขาลืมตาดูโลก ริชาร์ด โบเวส์ และเอ็ดดี แอมโบรส เกิดในวันเดียวกัน โรงพยาบาลเดียวกัน ในอาร์บอร์ก เมืองเล็ก ๆ ในรัฐแมนิโตบา เมื่อปี 1955 แต่ถูกสลับตัวกันและสลับครอบครัวผู้ให้กำเนิดตั้งแต่วันนั้น

โดยเมื่อวันที่ 21 มี.ค.67 ซึ่งผ่านไปเกือบ 70 ปี ทั้งคู่ได้รับการขอโทษอย่างเป็นทางการแบบพบหน้า จากวาบ คินิว ผู้ว่าการรัฐแมนิโตบา เนื่องจากเขาทั้งคู่ต้องเผชิญกับความเจ็บปวดจากการที่ถูกสลับตัวกันตั้งแต่เกิด

คินิวกล่าวว่า วันนี้ผมมาเพื่อขอโทษเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว จากการกระทำที่ทำร้ายเด็กสองคน พ่อแม่ 2 คู่ และครอบครัว 2 ครอบครัวในหลายรุ่น บางครั้งเราถูกสอนให้เรียนรู้เรื่องความเห็นอกเห็นใจ จากการลองคิดดูว่าถ้าเราเป็นคนอื่นจะเป็นอย่างไร ถ้าคำสอนนี้เป็นความจริง แขกผู้มีเกียรติของเราในวันนี้คงจะเข้าใจเรื่องความเห็นอกเห็นใจสูงมากในระดับที่น้อยคนจะได้สัมผัส

ในสมัยเด็กแอมโบรสเคยชักชวนเด็กหญิงจากเมืองใกล้เคียง 2-3 เมืองให้เข้าร่วมทีมเบสบอลใสช่วงปิดเทอม โดยที่เขาไม่รู้เลยว่า นั่นคือพี่สาวแท้ ๆ ของเขา

ส่วนโบเวส์ ในสมัยวัยรุ่น เขาชอบตกปลา มีครั้งหนึ่งที่พี่สาวแท้ ๆ ของเขา ตกปลาอยู่ข้าง ๆ กัน ซึ่งทั้งสองคนไม่รู้เลยว่าแท้จริงพวกเขาเป็นพี่น้องกัน

ปัจจุบันแอมโบรสได้ติดต่อญาติและครอบครัวทางสายเลือดแล้ว และได้เข้าเป็นสมาชิกของสหพันธ์แมนิโตบาเมทิสของชนพื้นเมือง

ส่วนโบเวส์ก็วางแผนที่จะติดต่อกับครอบครัวทางสายเลือดของเขาเช่นกัน และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ลูกสาวทั้งสองคนของเขาก็ได้สักคำว่า "แอมโบรส" บนแขนของพวกเขา เพื่อระลึกถึงนามสกุลที่แท้จริงของพ่อ

บิล แกนช์ ทนายของทั้งคู่ มีแผนที่จะฟ้องรัฐแมนิโทบา เนื่องจากต้องการคำขอโทษและเงินชดเชย ในเบื้องต้นจังหวัดไม่ได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับความบอบช้ำทางจิตใจที่เกิดขึ้นกับชายทั้งสอง และอ้างว่าโรงพยาบาลที่เกิดเหตุเป็นของเทศบาล ดังนั้นจึงไม่ใช่ความรับผิดชอบของจังหวัด

กรณีสลับตัวในลักษณะนี้ถูกพบเป็นครั้งที่ 3 แล้วในแคนาดา และในอนาคตอาจพบอีกเนื่องจากชุดตรวจดีเอ็นเอเข้าถึงได้ง่ายขึ้น

ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/YhbACNCaPCJCLZ52/?mibextid=oFDknk
 

นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ให้สัมภาษณ์ในรายการ คนชนข่าว ทางช่องTNN เมื่อวันที่ 20 มี.ค. 67

ต้นทุนราคาน้ำมันถ้าเราไม่รู้ต้นทุน เราจะรู้ได้ไงว่าราคามันควรจะเป็นเท่าไหร่

นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค
รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
ให้สัมภาษณ์ในรายการ คนชนข่าว ทางช่องTNN เมื่อวันที่ 20 มี.ค. 67

บุรีรัมย์ จัดใหญ่ ฉลองวันเกิดให้ ‘ลิซ่า’ ดันให้เป็น ‘วันลูกชิ้นยืนกินบุรีรัมย์’ ตอกย้ำ ที่ทำให้ทั่วโลกรู้จัก พร้อมดันเป็นอีเว้นท์ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว

(24 มี.ค.67) ผู้ประกอบการลูกชิ้นยืนกินบุรีรัมย์ ร่วมกับ สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดบุรีรัมย์ สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดบุรีรัมย์ บริษัท ประชารัฐรักสามัคคีบุรีรัมย์ (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จำกัด องค์การส่วนบริหารจังหวัดบุรีรัมย์ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานบุรีรัมย์ สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดบุรีรัมย์ และ สถานีรถไฟบุรีรัมย์ เตรียมจัดกิจกรรมฉลอง วันคล้ายวันเกิด อายุครบ 27 ปี ให้แก่ ‘ลิซ่า แบล็คพิงค์’ หรือ ‘ลลิษา มโนบาล’ เป็นสมาชิก วงเกิร์ลกรุ๊ป ‘แบล็คพิงค์’ ศิลปินนักร้องชื่อดังระดับโลก ซึ่งมีบ้านเกิดอยู่ที่ อ.สตึก จ.บุรีรัมย์ และเป็นผู้สร้างกระแสทำให้ลูกชิ้นยืนกินเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก และพลิกชีวิตให้ร้านลูกชิ้นยืนกินมียอดขายถล่มทลาย ในวันที่ 27 มีนาคม 2567 ที่บริเวณหลังสถานีรถไฟบุรีรัมย์ ชุมชนหลังสถานีรถไฟ ในเขตเทศบาลเมืองบุรีรัมย์

โดยจะเริ่มกิจกรรม ตั้งแต่เวลา 08.30 น. ซึ่งจะมีนายนฤชา โฆษาศิวิไลซ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ มาเป็นประธานในพิธี โดยภายในงาน ประกอบด้วย กิจกรรมการเปิดตัว กางเกงลูกชิ้นยืนกินบุรีรัมย์ ของบริษัทประชารัฐรักสามัคคีบุรีรัมย์ จากนั้น เวลา 09.00 น.ประธานในพิธี ผู้ประกอบการลูกชิ้นยืนกินบุรีรัมย์ และแขกผู้มีเกียรติ มาร่วมกัน แฮปปี้เบิร์ดเดย์ ให้กับ ‘ลิซ่า แบล็คพิงค์’ เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันเกิด อายุครบ 27 ปี และประธานในพิธี ปักหมุด วันที่ 27 มีนาคม ของทุกปี ให้เป็น ‘วันลูกชิ้นยืนกินบุรีรัมย์’ เนื่องด้วยเพราะ ‘ลิซ่า แบล็คพิงค์’ เป็นผู้สร้างปรากฏการณ์ทำให้ทั่วโลกรู้จักลูกชิ้นยืนกินบุรีรัมย์ สร้างชื่อเสียง สร้างรายได้และเศรษฐกิจของบุรีรัมย์ให้ดีขึ้น พร้อมยกระดับงานให้เป็นกิจกรรม อีเว้นท์ระดับประเทศเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเที่ยวจังหวัดบุรีรัมย์

จากนั้น ตั้งแต่เวลา 10.00 น. เป็นต้นไป ผู้ประกอบการลูกชิ้นยืนกินบุรีรัมย์ พร้อมใจกันแจกลูกชิ้นยืนกินกว่า 700 กก. ให้บรรดาแฟนคลับ และประชาชนทั่วไปที่มาร่วมงาน

ชาวจังหวัดบุรีรัมย์ จึงขอเชิญชวนบรรดาแฟนคลับ และประชาชน มาร่วมงาน แฮปปี้เบริ์ดเดย์ ให้กับ ลิซ่า ‘ลลิษา มโนบาล’ เนื่องในวันคล้ายวันเกิด อายุครบ 27 ปี ในวันที่ 27 มีนาคม 2567 ตั้งแต่ 08.30-12.00 น.ที่บริเวณหลังสถานีรถไฟบุรีรัมย์ ชุมชนหลังสถานีรถไฟ ในเขตเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ ซึ่งเป็นตลาดร้านค้าลูกชิ้นยืนกินชื่อดังของ จ.บุรีรัมย์ นั่นเอง 

‘นิด้าโพล’ ชี้ ปชช. ยังหนุนก้าวไกล ยก ‘พิธา’ เหมาะนั่งนายกฯ เพราะ กล้าหาญ-ตรงไปตรงมา-บุคลิกเป็นผู้นำ รวมทั้ง เป็นคนรุ่นใหม่

(24 มี.ค.67) ศูนย์สำรวจความคิดเห็น ‘นิด้าโพล’ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง ‘การสำรวจคะแนนนิยมทางการเมือง รายไตรมาส ครั้งที่ 1/2567’ ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 11-13 มีนาคม 2567 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 2,000 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับคะแนนนิยมทางการเมือง การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ ‘นิด้าโพล’ สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0

จากการสำรวจเมื่อถามถึงบุคคลที่ประชาชนจะสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรีในวันนี้ พบว่า อันดับ 1 ร้อยละ 42.75 ระบุว่าเป็น นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ (พรรคก้าวไกล) เพราะ มีความกล้าหาญ ตรงไปตรงมา บุคลิกเป็นผู้นำ และเป็นคนรุ่นใหม่ อันดับ 2 ร้อยละ 20.05 ระบุว่า ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ อันดับ 3 ร้อยละ 17.75 ระบุว่าเป็น นายเศรษฐา ทวีสิน (พรรคเพื่อไทย) เพราะ เป็นคนเก่ง มีความรู้ความสามารถ และมีประสบการณ์ด้านเศรษฐกิจ อันดับ 4 ร้อยละ 6.00 ระบุว่าเป็น นางสาวแพทองธาร (อุ๊งอิ๊งค์) ชินวัตร (พรรคเพื่อไทย) เพราะ เป็นคนรุ่นใหม่ มีทัศนคติที่ดี และมีความเป็นผู้นำ อันดับ 5 ร้อยละ 3.55 ระบุว่าเป็น นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค (พรรครวมไทยสร้างชาติ) เพราะ มีวิสัยทัศน์ดี ซื่อสัตย์ มีความรู้ความสามารถ และมีประสบการณ์ในการทำงาน อันดับ 6 ร้อยละ 2.90 ระบุว่าเป็น คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ (พรรคไทยสร้างไทย) เพราะ เป็นบุคคลที่มีความน่าเชื่อถือ ทำงานด้วยความโปร่งใส และมีประสบการณ์ในการทำงาน อันดับ 7 ร้อยละ 1.45 ระบุว่าเป็น นายอนุทิน ชาญวีรกูล (พรรคภูมิใจไทย) เพราะ มีความมุ่งมั่นในการทำงาน ซื่อสัตย์ และมีความเด็ดขาดในการตัดสินใจ อันดับ 8 ร้อยละ 1.05 ระบุว่าเป็น พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ (พรรคพลังประชารัฐ) เพราะ มีประสบการณ์ในการทำงาน และมีผลงานทางการเมือง ร้อยละ 2.45 ระบุอื่น ๆ ได้แก่ นายชัยธวัช ตุลาธน (พรรคก้าวไกล) นายวราวุธ ศิลปอาชา (พรรคชาติไทยพัฒนา) นายชวน หลีกภัย (พรรคประชาธิปัตย์) นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน (พรรคประชาธิปัตย์) นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา (พรรคประชาชาติ) นายกรณ์ จาติกวณิช นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ เตมียเวส (พรรคเสรีรวมไทย) และ พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง (พรรคประชาชาติ) และร้อยละ 2.05 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงพรรคการเมืองที่ประชาชนจะสนับสนุนในวันนี้ พบว่า อันดับ 1 ร้อยละ 48.45 ระบุว่าเป็น พรรคก้าวไกล อันดับ 2 ร้อยละ 22.10 ระบุว่าเป็น พรรคเพื่อไทย อันดับ 3 ร้อยละ 12.75 ระบุว่า ยังหาพรรคการเมืองที่เหมาะสมไม่ได้ อันดับ 4 ร้อยละ 5.10 ระบุว่าเป็น พรรครวมไทยสร้างชาติ อันดับ 5 ร้อยละ 3.50 ระบุว่าเป็น พรรคประชาธิปัตย์ อันดับ 6 ร้อยละ 2.30 ระบุว่าเป็น พรรคพลังประชารัฐ อันดับ 7 ร้อยละ 1.70 ระบุว่าเป็น พรรคภูมิใจไทย อันดับ 8 ร้อยละ 1.30 ระบุว่าเป็น พรรคไทยสร้างไทย และร้อยละ 1.40 ระบุอื่น ๆ ได้แก่ พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคชาติพัฒนากล้า พรรคเสรีรวมไทย พรรคประชาชาติ พรรคเพื่อไทยรวมพลัง และพรรคท้องถิ่นไทย และไม่ตอบ/ไม่สนใจ ในสัดส่วนที่เท่ากัน

เมื่อพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 8.60 มีภูมิลำเนาอยู่กรุงเทพฯ ร้อยละ 18.55 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคกลาง ร้อยละ 17.95 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคเหนือ ร้อยละ 33.45 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 13.75 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคใต้ และร้อยละ 7.70 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออก ตัวอย่าง ร้อยละ 48.10 เป็นเพศชาย และร้อยละ 51.90 เป็นเพศหญิง

ตัวอย่าง ร้อยละ 12.90 อายุ 18-25 ปี ร้อยละ 17.80 อายุ 26-35 ปี ร้อยละ 18.95 อายุ 36-45 ปี ร้อยละ 26.65 อายุ 46-59 ปี และร้อยละ 23.70 อายุ 60 ปีขึ้นไป ตัวอย่าง ร้อยละ 95.50 นับถือศาสนาพุทธ ร้อยละ 3.55 นับถือศาสนาอิสลาม และร้อยละ 0.95 นับถือศาสนาคริสต์และศาสนาอื่น ๆ

ตัวอย่าง ร้อยละ 37.35 สถานภาพโสด ร้อยละ 60.35 สมรส และร้อยละ 2.30 หม้าย หย่าร้าง แยกกันอยู่ ตัวอย่าง ร้อยละ 26.65 จบการศึกษาประถมศึกษาหรือต่ำกว่า ร้อยละ 36.50 จบการศึกษามัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 8.00 จบการศึกษาอนุปริญญาหรือเทียบเท่าร้อยละ 25.20 จบการศึกษาปริญญาตรีหรือเทียบเท่า และร้อยละ 3.65 จบการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า

ตัวอย่าง ร้อยละ 8.30 ประกอบอาชีพข้าราชการ/ลูกจ้าง/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 15.20 ประกอบอาชีพพนักงานเอกชน ร้อยละ 21.60 ประกอบอาชีพเจ้าของธุรกิจ/อาชีพอิสระ ร้อยละ 12.95 ประกอบอาชีพเกษตรกร/ประมง ร้อยละ 16.60 ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป/ผู้ใช้แรงงาน ร้อยละ 19.80 เป็นพ่อบ้าน/แม่บ้าน/เกษียณอายุ/ว่างงาน และร้อยละ 5.55 เป็นนักเรียน/นักศึกษาตัวอย่าง ร้อยละ 23.45 ไม่มีรายได้ ร้อยละ 20.75 รายได้เฉลี่ยต่อเดือนไม่เกิน 10,000 บาท ร้อยละ 26.75 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,001-20,000 บาท ร้อยละ 8.80 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 20,001-30,000 บาท ร้อยละ 4.45 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 30,001-40,000 บาท ร้อยละ 4.35 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 40,001 บาทขึ้นไป และร้อยละ 11.45 ไม่ระบุรายได้

'อ.อุ๋ย-ปชป.' ชี้ ศึกสองบิ๊กตำรวจ แค่ยอดภูเขาน้ำแข็ง  ยังมีปมอีกมากที่อยู่ใต้น้ำ แนะ!! ดึง ปชช.ร่วมตรวจสอบกาะทำงาน 

(24 มี.ค.67) นายประพฤติ ฉัตรประภาชัย หรืออาจารย์อุ๋ย นักวิชาการด้านกฎหมายและอดีตผู้สมัคร ส.ส. กทม เขตบางกะปิ พรรคประชาธิปัตย์ ได้แสดงความเห็นกรณีความขัดแย้งระหว่าง ผบ.ตร และรอง ผบ.ตร. จนสุดท้ายทำให้นายกรัฐมนตรีต้องเข้ามาหย่าศึก โดยการสั่งย้ายทั้งสองคนกลับเข้าสำนักนายก ฯ ว่า...

กรณีการสั่งย้ายดังกล่างเป็นแค่การลูบหน้าปะจมูก เพื่อแก้ปัญหาหาเฉพาะหน้าให้จบ ๆ ไปเท่านั้น เพราะความขัดแย้งระหว่างสองบิ๊กตำรวจ เป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งที่โผล่ออกมาพ้นน้ำให้เห็นเพียงเสี้ยวหนึ่งเท่านั้น ยังมีอีกมากที่อยู่ใต้น้ำ ซึ่งต้องรอการสะสาง ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาการวิ่งเต้นซื้อขายตำแหน่ง ปัญหาการรับส่วยสินบน ปัญหาการไม่รับแจ้งความ ปัญหาเกี่ยวกับขอบเขตการใช้กำลังในการปฏิบัติหน้าที่ ฯลฯ ซึ่งตนขอเสนอแนวทางในการแก้ไขปัญหาในเบื้องต้น ดังนี้...

1. ค่าตอบแทนและสวัสดิการของตำรวจ ต้องเพียงพอให้ดำรงชีพได้อย่างมีศักดิ์ศรี ไม่ต้องหาเศษหาเลย โดยเฉพาะระดับปฏิบัติการ ค่าใช้จ่ายในการทำงานต้องเบิกได้เต็มจำนวน
2. ต้องใช้ระบบคุณธรรมในการเลื่อนยศเลื่อนตำแหน่ง ใครทำดี บำบัดทุกข์บำรุงสุขเพื่อประชาชนต้องได้ดี ใครทำชั่วทุจริตกินสินบาทคาดสินบนต้องได้ชั่ว (ถูกลงโทษ)  
3. กระจายอำนาจให้ท้องถิ่น หรือหน่วยงานอื่นที่เชี่ยวชาญกว่า (Decentralization) เช่น การสอบสวน ควรให้อัยการเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น เพื่อแบ่งเบาภาระและตรวจสอบถ่วงดุล รวมทั้งการย้ายภาระงานบางส่วนให้ อปท. เช่น งานจราจร หรือคดีที่มีโทษเล็กน้อยหรือปรับเพียงสถานเดียว โดยใช้วิธีกระจายอำนาจอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพิ่มอัตรากำลังและค่าตอบแทนพนักงานสอบสวนที่มีความรู้กฎหมายระดับเนติบัณฑิต
4. ออกกฎหมายกำหนดขอบเขตการใช้กำลังและหลักการการใช้กำลังขั้นถึงตาย (Use of Deadly Force) แยกต่างหากไปจากการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายของประชาชน เพื่อคุ้มครองตำรวจจากการปฏิบัติหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมาย เพื่อทำให้ตำรวจมีความมั่นใจในการปฏิบัติหน้าที่มากขึ้นเพื่อคุ้มครองชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน
5. เปิดโอกาสให้ภาคประชาชนมีส่วนในการตรวจสอบการทำงานของตำรวจมากขึ้น สร้างระบบให้ประชาชนสามารถรีวิว (Review) การทำงานของตำรวจได้ และมีผลต่อการเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง 

ทั้งนี้ย้ำว่าที่ตนเสนอมาเป็นเพียงข้อเสนอแนะในกรอบกว้าง ๆ เท่านั้น เพราะตนเชื่อว่าทุกคนในแวดวงตำรวจรู้ปัญหาและรู้วิธีแก้ไขอยู่แล้ว เพียงแต่ว่ามีความกล้าที่จะลงมือทำหรือไม่ สุดท้ายแล้วตำรวจต้องตรวจสอบอยู่เสมอว่าประชาชนต้องการอะไรจากตำรวจ จากนั้นตำรวจจะต้องปรับปรุงตนเองเพื่อตอบสนองความต้องการนั้นให้ได้ ต้องพิจารณาให้ดีว่าประเทศไทย คนไทยต้องการอะไร และอยากจะปรับปรุงตำรวจไปในทิศทางไหน แล้วเลือกวิถีทางของตัวเอง

จีน เอาจริง ออกมาตรการใหม่ ปราบปราม ประมงเถื่อน เพื่อดูแล สายพันธุ์ปลาล้ำค่า ซึ่งมีความสำคัญ ทางเศรษฐกิจ

เมื่อเร็วๆนี้ สำนักข่าวซินหัว ได้รายงานว่า กระทรวงเกษตรและกิจการชนบทของจีน จะดำเนินมาตรการใหม่เพื่อปราบปรามกิจกรรมการประมงผิดกฎหมายในปี 2024

โดยทางกระทรวงฯ ได้แถลงว่ามาตรการชุดใหม่ครอบคลุม การส่งเสริมงานคุ้มครองลูกปลาไหล ซึ่งเป็นสายพันธุ์ปลาล้ำค่าและมีความสำคัญทางเศรษฐกิจ

คณะเจ้าหน้าที่ทางการจะกระชับการบังคับใช้กฎหมายในการกำกับดูแลการจับลูกปลาไหล เพื่อส่งเสริมการพัฒนาอันดีของกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง

กระทรวงฯ จะเดินหน้าบังคับใช้คำสั่งห้ามจับปลาตามลุ่มแม่น้ำแยงซี พร้อมดำเนินมาตรการตรวจตราอย่างเข้มงวดที่สุดในช่วงพักการจับปลาฤดูร้อนของประเทศ

นอกจากนั้นกระทรวงฯ จะพยายามอนุรักษ์สัตว์น้ำตามธรรมชาติและกำกับควบคุมอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำด้วย

‘มาดามแป้ง’ ชวนแฟนบอล เชียร์ช้างศึกไทย ให้ถูกกติกา ย้ำ อยากให้ทุกคนมีส่วนร่วม พัฒนาฟุตบอลไทยไปด้วยกัน

(24 มี.ค.67) สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ โดย “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ นายกสมาคมฯ พร้อมด้วยแข้งช้างศึก ผุดแคมเปญเชิญชวนแฟนบอล #เชียร์ไทยให้ถูกกติกา เพื่อแสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมการเชียร์ที่ดี ในเกมเตรียมเปิดบ้านพบกับ เกาหลีใต้ ในศึกฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบ 2 นัดที่ 4 วันที่ 26 มีนาคม 2567 เวลา 19.30 น. ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน

“มาดามแป้ง“ นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ระบุว่า “เรารักฟุตบอลไทยไม่ต่างกัน แต่อาจจะมีวิธีการแสดงออกที่ต่างกัน เรามาเชียร์ฟุตบอลไทยให้ถูกต้องตามกติกา มาทำให้ฟุตบอลทีมชาติไทย อยู่ในอ้อมใจของคนไทยทั้งประเทศ เพราะที่นี่คือบ้านของเรา”

ขณะที่เหล่าแข้งช้างศึก นำโดยกัปตันทีม ธีราทร บุญมาทัน , สารัช อยู่เย็น , ชนาธิป สรงกระสินธ์ และ บดินทร์ ผาลา ยังฝากถึงแฟนบอลเช่นกันว่า

“ในสนามพวกเราเต็มที่ พวกเราพร้อมทำเพื่อ ทีมชาติไทย นอกสนามสิ่งสำคัญที่สุด คือ ผู้เล่นคนที่ 12 พวกเราอยากให้ทุกคนมาร่วมกันสร้าง วัฒนธรรมการเชียร์ที่ดี และ พัฒนาฟุตบอลไทยไปพร้อมกันครับ มาเชียร์ให้ถูกกติกา แล้วมาส่งแรงใจเชียร์ไปพร้อมกันครับ”

สำหรับ ข้อกำหนดการนำอุปกรณ์การเชียร์เข้าสนามแข่งขัน ตามระเบียบของ เอเอฟซี ประกอบด้วย ห้ามนำเข้าหรือจุดพลุประทัดหรือไฟเย็น , ห้ามนำอาวุธเข้า , ห้ามสูบบุหรี่ในสนาม , ห้ามนำสารเสพติดเข้าสนาม , ห้ามนำป้ายหรือสัญลักษณ์ที่เกี่ยวข้องกับการเมือง การเหยียด หรือโฆษณา เข้าสนาม , ห้ามนำสัตว์เลี้ยงทุกชนิดเข้าสนาม , ห้ามปิดใบหน้า , ห้ามนำขวดน้ำ ขวดพลาสติก ขวดแก้ว และกระป๋อง , ห้ามนำนกหวีด แตร และเลเซอร์เข้าสนาม , ห้ามนำกล้อง DSLR และไม้เซลฟี่เข้าสนาม , ห้ามบินโดรน และ ห้ามขว้างปาวัตถุใด ๆ ลงในสนาม

หลวงพ่อหัวร้อน คว้าฝาบาตร ตีหัวยาย เลือดสาด เหตุฉุน เพราะหยิบของให้ช้า ล่าสุด ถูกดำเนินคดีแล้ว 

(24 มี.ค.67) เหตุการณ์เกิดขึ้น ช่วงเวลาประมาณ 7 โมง ที่ ซอยวุฒากาศ 14 คุณเอ (นามสมมติ)ได้เล่าว่า 

ตนกำลังใส่บาตรอยู่ ซึ่งตอนนั้นตนไม่ทราบว่ามันเกิดอะไรขึ้น เนื่องจากว่าตนยืนหันหลังอยู่ ตอนนั้นคนแถวนั้นตะโกนขึ้นมาว่า “อ้าวทำไมหลวงตาทำแบบนี้ ทำแบบนี้ได้ยังไง”

ตนจึงได้หันไปถามคนที่พูดว่า “หลวงตาทำอะไร” หลังจากนั้นตนก็เห็นสภาพของคุณยายที่ถูกพระใช้ฝาบาตรพระตีเข้าที่ศีรษะจนเลือดไหล และคนแถวนั้นก็ บอกว่าที่ผ่านมาคุณยายท่านนี้มักจะโดนพระตีแบบนี้เป็นประจำ เพราะว่าคุณยายจะไปช่วยพระจัดของบิณฑบาตตลอด แต่ในครั้งนี้ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมพระถึงได้โมโหและก่อเหตุแบบนี้

ซึ่งตนพยายามจะเข้าไปช่วยเหลือคุณยาย แต่พระก็บอกว่า “ไม่ต้องมายุ่งนี่เป็นลูกศิษย์เขา เขาให้ข้าวเป็นประจำทุกวัน อย่ามายุ่ง เดี๋ยวจะเจอดี เขาจะพาไปหาหมอเอง” 

จากนั้นก็โบกแท็กซี่แล้วผลักคุณยายเข้าไปในรถก่อนที่จะขึ้นรถตาม ในตอนนั้นตนเห็นว่า เหมือนพระมีท่าทีจะหลบหนี จึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายคลิปและเอาตัวบังไว้เพื่อไม่ให้แท็กซี่ออกรถ 

สุดท้ายแท็กซี่ก็จอดเทียบข้างทาง และพระกับคุณยายท่านนี้ก็เดินลงจากรถ ซึ่งท่าทีของคุณยาย ดูมึนหัวและไม่ทราบเรื่องราวอะไร ขณะที่พระยังคงต่อว่าตนที่ถ่ายคลิปอยู่ตลอด จากนั้นพระก็รีบเดินออกไปให้ห่างจากตรงนั้น แล้วไปโบกวินมอเตอร์ไซค์ที่ไม่ได้เห็นเหตุการณ์ แล้วก็ขึ้นวินหนีไปเลย ในขณะที่คุณยายก็บาดเจ็บหัวแตก จึงต้องโทรเรียกรถพยาบาลมาทำแผลให้คุณยาย จากนั้นหลานสาวของคุณยายก็มาถึง

คุณเอ ยังได้เล่าต่ออีกว่า “มองว่าเหตุการณ์นี้ มันอุกอาจเกินไปในสังคม มันไม่สมควร เพราะว่าเขาอยู่ในผ้าเหลืองด้วย อีกอย่างพระได้ผลักคุณยายเกือบล้มด้วย มองว่าไม่สมควรที่จะทำแบบนี้ ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้จะเคยให้ข้าวหรือเคยช่วยเหลือกัน แต่ก็ไม่ควรที่จะทำร้ายร่างกายกัน”

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ได้ลงคลิปนี้ในโซเชียลก็มีบุคคลที่ มาคอมเมนต์แสดงตนว่า เป็นลูกของคุณยาย ได้เข้ามาขอบคุณทุกคนที่เป็นห่วง ตอนนี้แม่ปลอดภัยแล้ว เย็บแผลไปทั้งหมด 4 เข็ม และได้แจ้งความดำเนินคดีเรียบร้อยแล้ว

'ชุดนักเรียนไทย' เทรนด์สุดฮิตในหมู่ 'เด็กนักเรียนเวียดนาม' นำมาใส่ถ่ายภาพจบการศึกษา แล้วแอคท่าเหมือนหลุดมาจากซีรีส์ไทย

(24 มี.ค.67) Youtube ช่อง ‘ส่องโลกคอมเมนต์’ ได้ลงคลิปเกี่ยวกับ เรื่องที่นักเรียนเวียดนามแห่ใส่ชุดนักเรียนไทย โดยได้ระบุว่า ...

นักเรียนเวียดนามแห่ใส่ชุดนักเรียนไทย ถ่ายรูปวันจบการศึกษาโดยสวมชุดนักเรียนไทย ถ่ายรูปหมู่ และก็ไม่ใช่เป็นการถ่ายเล่นเล่นถ่ายกันเองด้วยกล้องมือถือ แต่จะเป็นการจ้างช่างภาพมืออาชีพใช้กล้องตัวใหญ่ เพื่อถ่ายเป็นเรื่องเป็นราวจริงจัง ถ่ายเป็นเซต ตามมุมต่างๆของโรงเรียนที่อยากบันทึกความทรงจําไว้กับเพื่อนๆ

การถ่ายภาพวันจบการศึกษา เป็นกิจกรรมสําคัญอย่างหนึ่งของเด็กม.ปลายเวียดนาม แค่คล้ายกับที่นักศึกษาไทยจะจ้างช่างถ่ายรูปมาถ่ายรูปวันรับปริญญา

และกระแสฮิตยอดนิยมในตอนนี้ ก็คือธีม การถ่ายภาพจบการศึกษาด้วยการใส่ชุดนักเรียนไทย มันมาเป็นอันดับหนึ่งเลยฮิตมากจริงๆ

นอกจากชุดนักเรียนไทยแล้ว เขาก็ยังถ่ายภาพด้วยมุมกล้อง ทำทางท่าโพสต์เลียนแบบมาจากซีรีส์ไทย คือให้มุมภาพมุมมองเนี่ย มันเหมือนกับว่าหลุดออกมาจากซีรีส์ไทยเลย ก็จะมีธีมการถ่ายภาพคอนเซปต์อื่นๆเช่นชุดประจําชาติเวียดนาม ชุดแฟนซี ชุดแฮร์รี่พอตเตอร์ หรืออื่นๆรองลงมา แต่การถ่ายภาพในคอนเซ็ปต์ชุดนักเรียนไทย ได้รับความนิยมสูงที่สุด 

โฆษณาการให้บริการถ่ายภาพวันจบการศึกษาใน ธีมชุดนักเรียนไทย ซึ่งที่นู่น เขาจะใช้คําว่าการถ่ายภาพวันจบการศึกษา คอนเซปต์ไทยแลนด์

อย่างเพจสตูดิโอ อันนี้ เขาก็โพสต์ว่าขอเชิญชวนน้องๆมัธยมมาถ่ายภาพวันจบการศึกษาในคอนเซปต์เครื่องแบบนักเรียนไทยที่สวยงามเรียบร้อย มีบุคลิกเหมือนกับในซีรีส์ไทย ความสดใสของเยาวชนรุ่นใหม่ จากคําโฆษณา เขาก็โพสต์ภาพผลงานการถ่ายภาพเซ็ตใหญ่ของน้องในโรงเรียนทันฮุงดาวที่เป็นภาพหมู่วันจบการศึกษาในชุดนักเรียนไทย

อีกราย ร้านเขาก็โพสต์ว่า มาร่วมบันทึกความทรงจําในวัยรุ่น มาบันทึกช่วงเวลาดีดีกับเพื่อนรัก แล้วทางร้านเราก็มีบริการ ชุดนักเรียนไทย ชุดพละ 

และก็มีรับงานถ่ายภาพกลางคืนพร้อมรถรับส่ง คือตามเพจสตูดิโอช่างภาพที่เวียดนามเท่าที่ หาข้อมูลแบบไวไว ก็จะกดเจอไม่น้อยกว่า 10 ร้านเลยที่ให้บริการถ่ายภาพวันจบการศึกษาในคอนเซปต์นักเรียนไทย

ชุดนักเรียนไทยได้รับความนิยมโดยเฉพาะอย่างในประเทศจีนเนี่ย ก็เห็นมานานแล้วนะ แต่ที่เวียดนาม เด็กนักเรียนมัธยมเวียดนามชอบชุดนักเรียนไทย ถึงขนาดเอาไปใส่ถ่ายภาพในวันจบการศึกษา ซึ่งเป็นวันสําคัญของเขาเลยแสดงว่านักเรียนเวียดนามเขาชอบชุดนักเรียนไทยมากจริงๆ

นี่คือซอฟท์พาวเวอร์ที่แท้จริง มันคือสิ่งที่คนอื่นชื่นชอบ โดยที่เราไม่ต้องไปโฆษณาขายสิ่งนั้นเลย ชุดนักเรียนไทยเข้าข่ายเต็มเป้าเลย 

ชุดนักเรียนไทยที่ดูเก๋กู๊ดดูน่ารักใส่แล้วดูดีในสายตาของน้องๆนักเรียนเวียดนามและจากกระแสอิทธิพลของซีรีส์ไทยที่เกี่ยวกับนักเรียนไทยที่เข้าไปฉายที่นู่น จนโด่งดังในเวียดนาม หลายต่อหลายเรื่อง ก็ช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ที่นักเรียนใส่แล้วดูดีเข้าไปอีก ลองไปหาข้อมูลเพิ่ม ก็พบว่าจุดนักเรียนไทยเนี่ย มีวางขายอยู่เต็มเวียดนามเลย ไม่ว่าจะช็อปปี้ ลาซาด้าเวียดนามก็มีชุดนักเรียนไทยโพสต์ขายเต็มไปหมด

แต่น่าเสียดาย เท่าที่แอบกดดู เหมือนจะเป็นสินค้าจีน เพราะชุดนักเรียนไทยเนี่ย ส่งมาจากประเทศจีน มันก็ไม่น่าจะใช่นะ

เดี๋ยวเราลองไปดูกันว่า เด็กมัธยมเวียดนามเขาจะคิดเห็นคอมเมนต์ กันอย่างไรบ้าง เกี่ยวกับชุดนักเรียน

ภาพเซตนี้ดูดีมาก

ในชั้นเรียนของหนูก็ถ่ายรูป Concept นักเรียนไทยเหมือนกันน่ารักมาก ดูแล้วเหมือนภาพในหนังไทยเลย

หนังสือรุ่นเราเอาแบบนี้กันไหม

เอาไว้ เรียนจบฉันก็อยากใส่ชุดนักเรียนไทยแบบนี้บ้าง

โอ้พระเจ้าถ่ายรูปแบบนี้มันดูดีจริงๆ

ดูเจ๋งมากเลยเพื่อนๆเราก็ถ่ายแบบนี้กันดีกว่า

ชุดนักเรียนไทยน่ารักมาก

ชุดที่ฉันปรารถนา

น่ารักเกินไปไหม

ฉันชอบการถ่ายรูปนักเรียนไทยแบบนี้มันดูสนุกสนานสดใสสำหรับพวกเราวัยรุ่น

'จนท.อุตสาหกรรมจังหวัด' แจงปมใบ ‘ร.ง.4’ ค้างกว่า 200 ฉบับ ชี้!! 70-80% เรื่องค้างอยู่ 'กรมโรงงานฯ' แนะ!! กระจายให้ สอจ.

(25 มี.ค.67) สืบเนื่องจากกรณีแหล่งข่าวจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ได้เปิดเผยว่า ขณะนี้ภาคเอกชนหลายแห่งได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก จากปัญหาในการขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน (ร.ง.4) ทั้งในส่วนของประกอบกิจการใหม่ และการขออนุญาตขยายโรงงานล่าช้า โดยพบว่า การขอใบอนุญาตทั้ง 2 ประเภทของกรมโรงงานฯ ค้างอยู่ไม่ต่ำกว่า 200 ราย สร้างความเสียหายให้กับนักลงทุนอย่างมาก ทั้งที่ประเทศไทยตอนนี้ต้องการมูลค่าการลงทุน เพื่อเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจ แต่กลับประสบปัญหาเรื่องการขอใบอนุญาตฯ (อ่านต่อ >> 'รมว.ปุ้ย' จี้ ‘กรมโรงงาน’ แก้ปมใบ ‘ร.ง.4’ ค้างกว่า 200 ฉบับ ชี้!! หากล่าช้า กระทบต่อภาคการลงทุน-เศรษฐกิจไทย : https://thestatestimes.com/public/post/2024032220)

เกี่ยวกับประเด็นนี้ ล่าสุด จนท.อุตสาหกรรมจังหวัด ท่านหนึ่ง (ขอสงวนนาม) ได้ขอชี้แจงต่อ รมว.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล ไว้ดังนี้...

ตามที่มีข่าว เรื่องการออกใบอนุญาต ร.ง.4 ล่าช้านั้น ตอนนี้ ทางกระทรวงฯ โดยกองตรวจราชการ (กตร.) ได้รวบรวมสรุปข้อมูลแล้ว ซึ่ง (คาดว่า) ข้อมูลที่ทาง กตร. จะสรุปให้ทางท่าน รมว.อุตสาหกรรม ส่วนใหญ่คำขออนุญาตที่ค้างอยู่ จะค้างอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) เป็นส่วนใหญ่

(ชี้แจงเพิ่มเติม) การอนุญาตโรงงานนั้น กรณี โรงงานตั้งอยู่ใน กทม. ทางโรงงานจะต้องยื่นเรื่องที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ส่วนกรณี โรงงานอยู่ต่างจังหวัด ทางโรงงานจะต้องยื่นเรื่องที่ สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด (สอจ.) ซึ่งจะมีทั้งกรณีที่ สอจ. สามารถออกใบอนุญาตได้เอง และกรณีที่ สอจ. ต้องส่งเรื่องให้ กรอ. เป็นผู้ออกใบอนุญาต ดังนี้

หากเป็นโรงงานกำจัดกากอุตสาหกรรม ประเภท 101,105,106 และโรงงานตามนโยบาย เช่น โรงงานน้ำตาล โรงผลิตไฟฟ้า โรงงานที่ต้องทำ EIA ทาง สอจ. จะต้องส่งเรื่องให้ กรอ. เป็นผู้ออกใบอนุญาต ซึ่งส่วนใหญ่ ประเด็นที่ล่าช้ามาจากการพิจารณาโรงงานประเภท 105 และ 106 หลังจากที่ สอจ. ส่งเรื่องให้ กรอ. แล้ว ทาง กรอ.ใช้เวลาพิจารณานานมาก เวลาหลายเดือน และเมื่อพิจารณาเสร็จ ไปหลายเดือนแล้ว ก็ไม่ได้ออกใบอนุญาต แต่ส่งเรื่องให้แก้ไขเอกสาร หลายโรงงานจะเจอลักษณะแบบนี้

หากเป็นโรงงานทั่วไป เช่น โรงงานผลิตอาหาร, โรงพลาสติก, โรงผลิตชิ้นส่วนโลหะ, โรงงานผลิตสินค้าทั่วไป ที่ไม่ใช่โรงงานตามนโนบาย ทาง สอจ. ออกใบอนุญาตได้ เฉพาะโรงงานที่มีเครื่องจักร ไม่เกิน 500 แรงม้า และออกใบอนุญาตขยายโรงงานได้ ที่มีเครื่องจักรเดิมรวมส่วนขยาย ไม่เกิน 600 แรงม้า เท่านั้น

หากการออกใบอนุญาตที่มีเครื่องจักร เกิน 500 แรงม้า และออกใบอนุญาตขยายโรงงาน ที่มีเครื่องจักรเดิมรวมส่วนขยาย เกิน 600 แรงม้า ทาง สอจ. จะต้องส่งเรื่องให้ กรอ. เป็นผู้พิจารณาอนุญาต ซึ่งเรื่องนี้เอง เป็นสาเหตุที่เรื่องค้างอยู่ กรอ. ค่อนข้างเยอะ และทางโรงงานจะบ่นกันมาก ว่าส่งเรื่องไปแล้วพิจารณานานมาก ใช้เวลาหลายเดือน หรือไม่ก็ส่งเรื่องคืนให้แก้ไขเอกสารหลายรอบมาก ทำให้เรื่องล่าช้า และเป็นข่าวตามที่ทำให้ท่านนายกฯ กับท่าน รมว.อุตสาหกรรม ได้รับทราบแล้ว

(แนวทางแก้ไข) เรื่องที่ค้างอยู่ที่ กรอ. ค่อนข้างเยอะ

(ผมยังไม่เห็นข้อมูลที่ทาง กตร. จะสรุปมาให้ แต่โดยส่วนตัว เรื่องน่าจะค้างอยู่ที่ กรอ. รวมทั้งเรื่องที่ กรอ. ส่งเรื่องคืนให้ทางโรงงานแก้ไขเอกสาร เรื่องน่าจะค้างรวมกันที่ กรอ. ประมาณ 70% - 80% ขอย้ำว่าผมยังไม่เห็นข้อมูล แต่ก็คาดว่าข้อมูลน่าจะเป็นไปตามนี้ครับ)

เมื่อเรื่องค้างที่ กรอ. ค่อนข้างเยอะ ผมมีแนวทางแก้ไข ก็คือ เพิ่มอำนาจให้ สอจ. มีอำนาจในการออกใบอนุญาตมากขึ้นจากเดิม เช่น...

จากเดิม สอจ. มีอำนาจออกใบอนุญาตโรงงานที่มีเครื่องจักร ไม่เกิน 500 แรงม้า ก็เพิ่มอำนาจให้ สอจ. เป็นไม่เกิน 1,000 แรงม้า

และจากเดิม สอจ. มีอำนาจออกใบอนุญาตขยายโรงงาน ที่มีเครื่องจักรเดิมรวมส่วนขยาย ไม่เกิน 600 แรงม้า ก็เพิ่มอำนาจให้ สอจ. เป็นไม่เกิน 2,000 แรงม้า

ดังนั้น แนวทางแก้ไขที่ผมเสนอมานี้ จะเป็นการลดอำนาจการออกใบอนุญาตบางส่วนของ กรอ. มาเพิ่มอำนาจในการออกใบอนุญาตให้ สอจ. และลดขั้นตอนไม่ต้องส่งเรื่องให้ กรอ. ทำให้ สอจ. มีอำนาจมากขึ้นในการออกใบอนุญาตได้เอง ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถลดจำนวนเรื่องค้างในการออกใบอนุญาตโรงงานได้ และใช้ระยะเวลาในการออกใบอนุญาตได้รวดเร็วกว่าเดิมครับ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top