Tuesday, 20 May 2025
NewsFeed

‘นักวิจัยจีน’ เจ๋ง!! พัฒนาอุปกรณ์นาโนดีเอ็นเออัจฉริยะ ช่วยค้นหาลิ่มเลือด พร้อมจ่ายยาอัตโนมัติอย่างแม่นยำ

(11 มี.ค. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยไปรษณีย์และการสื่อสารโทรคมนาคมแห่งหนานจิง (NJUPT) ได้พัฒนาอุปกรณ์นาโนดีเอ็นเออัจฉริยะ สำหรับการละลายลิ่มเลือด ซึ่งสามารถค้นหาลิ่มเลือดและจ่ายยาอย่างแม่นยำโดยอัตโนมัติ

รายงานระบุว่าทีมนักวิจัยใช้เทคโนโลยีเรียงดีเอ็นเอมาประสานแผ่นนาโนดีเอ็นเอกับตำแหน่งจับยาละลายลิ่มเลือด (tPA) ที่ออกแบบไว้ล่วงหน้า และตัวยึดดีเอ็นเอที่ไวต่อทรอมบิน (thrombin) หรือการแข็งตัวของเลือด โดยตัวยึดดังกล่าวมีโครงสร้างดีเอ็นเอสามสายประสานกัน ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวบ่งชี้ทรอมบิน ตัวควบคุม และสวิตช์เปิด

วังเหลียนฮุย สมาชิกทีมนักวิจัย ระบุว่ายาละลายลิ่มเลือดเปรียบเสมือนดาบสองคม อาจเป็นอันตรายหากใช้ไม่ถูกต้อง โดยยาดังกล่าวอาจละลายไฟบริน (fibrin) ในบาดแผลปกติอย่างมั่วซั่ว ส่งผลให้เกิดการแข็งตัวผิดปกติของเลือด ซึ่งในกรณีรุนแรงอาจส่งผลให้บาดแผลเปิดและมีเลือดออก

ทว่าอุปกรณ์นาโนนี้สามารถตรวจสอบว่าพวกมันอยู่ใกล้ลิ่มเลือดหรือบาดแผลปกติโดยอ้างอิงความเข้มข้นของทรอมบิน โดยหากความเข้มข้นของทรอมบินสูง เป็นไปได้ว่าบริเวณนั้นมีลิ่มเลือดอุดตัน และอุปกรณ์จะปล่อยยาละลายลิ่มเลือดออกมา

ทีมนักวิจัยเสริมว่าอุปกรณ์นี้สามารถย่อยสลายและถูกเผาผลาญในร่างกายมนุษย์ และคาดว่าจะเป็นแนวทางใหม่ในการบำบัดรักษาโรคต่าง ๆ เช่น โรคกล้ามเนื้อหัวใจตายและโรคหลอดเลือดสมอง อนึ่ง ผลการศึกษานี้เผยแพร่ผ่านวารสารเนเจอร์ แมทีเรียลส์ (Nature Materials)

‘รมว.ปุ้ย’ มอบนโยบาย ‘รื้อ ลด ปลด สร้าง’ ขับเคลื่อน SMEs ไทย ฟาก ‘SME D Bank’ ขานรับ ชู ‘เติมทุนคู่พัฒนา’ วงเงินกู้สูงสุด 50 ลบ.

(11 มี.ค. 67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายแก่ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank ในฐานะสถาบันการเงินของรัฐ ภายใต้สังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงการคลัง ว่า ได้มอบนโยบายการทำงานแก่คณะกรรมการ และคณะผู้บริหาร SME D Bank ให้เดินหน้าสนับสนุนเอสเอ็มอีกลุ่มเป้าหมายอย่างทั่วถึง สอดคล้องกับ Thailand Vision ที่ตั้งเป้าให้ไทยเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจใน 8 ด้าน ได้แก่ การท่องเที่ยว การแพทย์-สุขภาพ อาหาร การบิน การขนส่ง ยานยนต์อนาคต ดิจิทัล และการเงิน โดยให้บริการด้านการพัฒนาควบคู่กับการให้สินเชื่อ พร้อมเชื่อมโยงและใช้ประโยชน์จากเครือข่ายพันธมิตรภายในและภายนอกกระทรวงอุตสาหกรรม

ทั้งนี้ ขอให้ SME D Bank นำแนวทาง ‘รื้อ-ลด-ปลด-สร้าง’ มายกระดับขั้นตอนการทำงาน หมายถึง รื้อ ลด และปลด สิ่งที่เป็นอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจของเอสเอ็มอี พร้อมกับสร้างสิ่งใหม่ ๆ เพื่อสนับสนุนเอสเอ็มอี เช่น การพัฒนาศูนย์ One Stop Service สำหรับให้บริการกลุ่มเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในทุกกระบวนการ และมุ่งสู่การเป็น Digital Banking โดยสมบูรณ์ 

นอกจากนี้ ธนาคารจะต้องใช้ประโยชน์จากข้อมูล Data Warehouse และระบบ Core Banking System (CBS) ที่ธนาคารพัฒนาขึ้น เพื่อนำไปวิเคราะห์ วิจัย และประมวลผลให้ได้ข้อมูลเชิงลึก (SME Insight) สำหรับกำหนดเป็นนโยบายสนับสนุนเอสเอ็มอีต่อไป

นอกจากนั้น SME D Bank ในฐานะสถาบันการเงินของรัฐ จะต้องวางภาพลักษณ์องค์กรเป็น Professional Banking มีวัฒนธรรมการทำงานที่โปร่งใส เป็นธรรม และเป็นมืออาชีพ

“ดิฉันมั่นใจในศักยภาพของ SME D Bank และยินดีที่จะสนับสนุนการดำเนินงานของ SME D Bank ในทุกมิติ เพื่อให้ SME D Bank เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาล สามารถช่วยเหลือและเพิ่มศักยภาพแก่เอสเอ็มอีไทย ซึ่งจะสร้างประโยชน์ ก่อให้เกิดการจ้างงาน สร้างอาชีพ ประชาชนมีรายได้ คุณภาพชีวิตดีขึ้น ส่งต่อประโยชน์ไปยังทุกภาคส่วน ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ทำให้ประเทศไทยเติบโตอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน” นางสาวพิมพ์ภัทรา กล่าว

นายเดชา จาตุธนานันท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม และประธานกรรมการ SME D Bank กล่าวว่า SME D Bank พร้อมขานรับดำเนินการตามนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ผ่านกระบวนการ ‘เติมทุนคู่พัฒนา’ ช่วยเอสเอ็มอีเติบโตอย่างเข้มแข็ง โดยด้าน ‘การเงิน’ จัดเตรียมผลิตภัณฑ์สินเชื่อครอบคลุมทุกกลุ่มเอสเอ็มอี วงเงินกู้สูงสุด 50 ล้านบาท 

นอกจากนั้น ยังเป็นสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษ ผ่อนนานพิเศษสูงสุด 15 ปี และปลอดชำระเงินต้นสูงสุด 24 เดือน ช่วยลดภาระทางการเงิน อีกทั้ง ใช้กลไกบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) สนับสนุนกลุ่มที่ไม่มีหลักประกันให้สามารถเข้าถึงแหล่งทุนได้ ขณะเดียวกัน พิจารณาอนุมัติสินเชื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์จริง 

ทั้งนี้ ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมา SME D Bank ดูแลช่วยเหลือเอสเอ็มอีอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง สามารถพาเข้าถึงแหล่งเงินทุนกว่า 231,250 ล้านบาท ก่อให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทยกว่า 1 ล้านล้านบาท และช่วยรักษาการจ้างงานได้กว่า 752,345 ราย ควบคู่กับช่วยพัฒนาเสริมศักยภาพเอสเอ็มอีกว่า 75,000 ราย อีกทั้ง ช่วยเหลือผ่านมาตรการปรับโครงสร้างหนี้อย่างยั่งยืน (ฟ้า-ส้ม) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กว่า 83,520 ราย วงเงินรวมกว่า 145,240 ล้านบาท

ส่วนด้าน ‘การพัฒนา’ ยกระดับศักยภาพเอสเอ็มอี ผ่านโครงการ SME D Coach ที่เชื่อมโยงการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนกว่า 50 แห่งมาไว้ในจุดเดียว เน้นเติมความรู้ใน 6 ด้านสำคัญ ได้แก่ 1.การตลาด 2.มาตรฐาน พัฒนาผลิตภัณฑ์ 3.เทคโนโลยีและนวัตกรรม 4.การเงิน เขียนแผนธุรกิจ บัญชี ภาษี 5.การผลิต และ 6.บ่มเพาะเตรียมพร้อมเข้าสู่แหล่งทุน 

ทั้งนี้ SME D Bank ยังดำเนินการตามนโยบายรัฐบาล แก้ไขปัญหาหนี้ทั้งระบบให้แก่ประชาชนและเอสเอ็มอี โดยเฉพาะกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 กลุ่มรหัส 21 (วงเงินสินเชื่อรวมไม่เกิน 10 ล้านบาท และเป็น NPL ณ วันที่ 31 ธ.ค. 2566) ผ่านมาตรการต่าง ๆ เช่น พักชำระหนี้เงินต้น 1 ปี อีกทั้ง ระหว่างพักชำระเงินต้นจะได้ลดดอกเบี้ย 1% ต่อปี 

นอกจากนั้น ยกดอกเบี้ยผิดนัดให้ทั้งหมด และหากปิดบัญชี ลดดอกเบี้ยค้างให้ 100% เป็นต้น สามารถแจ้งความประสงค์เข้าร่วมได้ตั้งแต่วันนี้ถึง 30 มิถุนายน 2568 ณ สาขา SME D Bank ที่ใช้บริการสินเชื่อ

สำหรับปีนี้ (2567) SME D Bank ยังเดินหน้ากระบวนการ ‘เติมทุนคู่พัฒนา’ พร้อมยกระดับนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาให้บริการเอสเอ็มอีได้คลอบคลุม และกว้างขวางยิ่งขึ้น ได้แก่ ระบบ Core Banking System (CBS) ที่สามารถให้บริการทางการเงินได้สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ทุกที่ ทุกเวลา ตลอด 24 ชั่วโมง และแพลตฟอร์ม DX (Development Excellent) ระบบพัฒนาผู้ประกอบการอัจฉริยะ สร้างสังคมของการเรียนรู้ e-Learning ศึกษาได้ด้วยตัวเอง 24 ชม. ช่วยเติมศักยภาพให้เอสเอ็มอีสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน

ความจริงที่คนส่วนใหญ่ ยังเข้าใจผิด กับ ‘ย่านคนดำในนิวยอร์ก’ เมื่อหลายเชื้อชาติเข้ามามากขึ้น จนเมืองถูกพัฒนาไปในทางที่ดี

เมื่อไม่นานมานี้ จากยูทูบช่อง ‘Mara Mara In New York’ โดย คุณการ์ด ได้โพสต์คลิปวิดีโอ ขณะสำรวจ ‘ย่านคนผิวสี’ หรือ ‘ย่านคนดำ’ (Harlem) ของมหานครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อฉายภาพให้เห็นว่ามันจะอันตรายจริง ๆ อย่างที่เขาเล่าขานกันหรือไม่ และคนที่นี่จะเหยียดคนไทยหรือคนเอเชียอย่างเราหรือเปล่า ว่า…

มีคนเตือนมาว่า ย่าน ‘Harlem New York City’ ไม่น่าเที่ยว ไม่ต้องมา เพราะมันไม่มีอะไรที่น่าสนใจ แถมยังดูอันตรายด้วย แต่ความเป็นจริงจะเป็นอย่างนั้นหรือไม่ จะน่ากลัวจริงหรือเปล่า และผู้คนแถวนี้จะมีปฏิกิริยายังไงกับคนเอเชียอย่างเรา

หากเริ่มต้นกันที่ถนน W 125 ST ซึ่งเป็นจุดกึ่งกลางของฮาเล็ม ก็จะมีร้านขายของเต็มไปหมด อย่างเช่น ร้านไก่ทอด Popeyes ซึ่งเป็นอาหารที่ได้รับความนิยมอยู่บ่อย ๆ หรือร้านขายวิก เพราะคนดำมักจะนิยมใส่อีกเช่นกัน ก็จะมีวิกหลากหลายรูปแบบให้เลือก หรือถัดมาก็จะมีห้างที่เหมือนเดอะมอลล์ในบ้านเรา ที่รวมสิ่งของหลาย ๆ อย่าง มีทั้งโรงหนัง ร้านขายขนม ร้านเสื้อผ้าอย่างแบรนด์ Old Navy ซึ่งเป็นเสื้อผ้าที่มีราคาย่อมเยาว์ สามารถจับต้องได้ ราคาไม่ได้แพงมาก หรือร้านเสื้อผ้าที่ขายอยู่ตามข้างทางก็จะมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 20 บาทเมืองไทย ส่วนคุณภาพเสื้อก็โอเคเลยทีเดียว ซึ่งหลังจากที่ได้เดินมาก็รู้สึกได้ว่าไม่มีใครมองเราแบบว่า ไอ้เจ็กมาเดินอะไรอยู่แถวนี้…

นอกจากนี้ สิ่งที่ขึ้นชื่ออีกอย่างที่ฮาเล็มก็คือ เรื่องของดนตรีนั่นเอง อย่างพวก ฮิปฮอป ดนตรีแจ๊ส ที่ได้รับความนิยม แล้วก็มีชื่อเสียงโด่งดัง อย่างจุดที่ได้มาสำรวจก็คือ ‘Apollo Theater’ ซึ่งถ้าให้ย้อนกลับไปในปี ค.ศ.1930 โรงละครแห่งนี้เป็นโรงละครแห่งเดียวเลยที่ให้มีการแสดงของคนชาวแอฟริกัน-อเมริกันมาแสดง โดยจะมีผู้ชมคอยให้คะแนนจากการแสดงนั้น พูดง่ายๆ ผลงานไหนจะดังหรือดับก็ขึ้นอยู่กับผู้ชมล้วนๆ เลย

นอกจากนี้ ที่นี่ยังมีตึกที่ชื่อว่า Adam Clayton Powell Jr. ซึ่งเป็นตึกที่มาจากชื่อชาวแอฟริกัน-อเมริกันคนแรกที่ได้รับเลือกจากนิวยอร์กเข้าสู่สภาคองเกรส และเป็นโฆษกประจำชาติด้านสิทธิพลเมืองและประเด็นทางสังคม และเป็นบุคคลสำคัญที่พัฒนาการเมืองในย่านฮาเล็ม ที่ทำให้ฮาเล็มในปัจจุบันมีความพัฒนา ซึ่งการที่ Adam Clayton Powell Jr. เป็นคนผิวสีคนแรกที่ได้เข้าไปทำงานในเกี่ยวกับสภาของนิวยอร์ก ทำงานในวงการการเมืองของนิวยอร์ก ตัวเขาก็เลยมีความสำคัญ จนมีตึกชื่อของเขาขึ้นมาเพื่อเป็นอนุสรณ์

จากที่ลองสำรวจคร่าวๆ แล้ว สิ่งที่รู้สึกได้จากย่านนี้ คือ ความเป็นมิตร เพราะจากที่ได้เห็นพบว่าผู้คนยิ้มแย้มทักทาย ไม่ได้รู้สึกว่ามีสายตาโกรธหรือโหดกับคนเอเชียแบบเรา ถ้าให้เทียบกับตอนที่ไป เดอะบร็องซ์ จะรู้สึกว่าอันนั้นดูไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไร เพียงแค่มองหน้ากันก็มีโกรธแล้ว 

นอกจากนี้ คุณการ์ด เจ้าของช่อง ก็ยังได้สัมภาษณ์คุณป้าใจดีท่านหนึ่งที่อาศัยอยู่แถวฮาเล็มมาแล้ว 20 ปี โดยคุณป้าระบุว่า “ในสมัยก่อนนั้นฮาเล็มไม่ได้เปิดกว้างมาก และไม่ได้มีความหลากหลายเหมือนปัจจุบัน มันเป็นเหมือนชุมชนของคนดำอย่างเดียวซะมากกว่า แต่ในปัจจุบันฮาเล็มมีคนมาอยู่อาศัยหลากหลายเชื้อชาติ และต่างคนก็ต่างใช้ชีวิตของตนเอง”

ต่อมาคุณป้าได้ตอบคำถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับประเด็นการเหยียดคนเอเชียว่า “คนชอบมาถามว่าอยู่แถวนี้ปลอดภัยไหม? แน่นอนมันปลอดภัย ซึ่งคนขาวสามารถวิ่งออกกำลังกายแถวนี้ได้ แต่ถ้าเป็นแต่ก่อน คนขาววิ่งแถวนี้ไม่ได้เลย และคนส่วนใหญ่ก็กลัว เพราะแต่ก่อนยาเสพติดมันเยอะ อาชญากรรมก็เยอะ คนโดนปล้น โดนขโมยของเป็นประจำ แต่ปัจจุบันนี้มันปลอดภัยแล้ว ถ้าเทียบกับยุค 80 หรือ 90 เพราะรัฐบาลเข้ามาเปลี่ยนแปลงทั้งหมดเลย…”

ดังนั้นฮาเล็มในวันนี้ จึงไม่ได้น่ากลัวอีกต่อไป…เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันเปลี่ยนไปหมดแล้ว ส่วนหนึ่งก็คงเพราะด้วยความที่หลายๆ เชื้อชาติได้เข้ามาอาศัยอยู่ในฮาเล็มมากขึ้น ก็เลยทำให้ชุมชนตรงนี้มีความหลากหลาย แล้วก็เกิดการพัฒนาไปตามกาลเวลาในทางที่ดีขึ้น อย่างพวกยาเสพติดหรือการปล้นอะไรพวกนี้ ก็ไม่ค่อยมีให้เห็นแล้ว

คุณการ์ด พาทัวร์ต่อ โดยเธอพาไปร้าน Sylvia’s Restaurant ซึ่งที่มาของชื่อมาจาก Queen of Soul food ที่เป็นเจ้าของของที่นี่ โดยอาหาร Soul Food เป็นคำที่ใช้เรียกอาหารของชาวแอฟริกันอเมริกัน ซึ่งเป็นอาหาร Style Home Cook ภายใต้การตกแต่งในร้านที่ดูเรียบง่ายไม่หวือหวา ประกอบด้วยรูปภาพตามกำแพงที่เป็นรูปในอดีตของคุณซีเรีย และก็มีรูปของคนดังหลายคนที่มาทานที่ร้าน หรือแม้กระทั่งอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา ก็มากินที่นี่

หลังจากนั้น เธอได้พาไปต่อกับ ย่านฮาเล็มฝั่งตะวันออก (East Harlem) ซึ่งเป็นย่านหนึ่งที่ผู้มีรายได้น้อยมักอยู่อาศัยกันเยอะ ซึ่งหลายๆ คนบอกว่าเป็นย่านที่อันตราย แต่พอได้ลองมองดูจริงๆ แล้ว ย่านนี้ดูเหมือนจะเงียบสงบ ไม่ได้มีอะไรที่ดูน่ากลัว และผู้คนก็อยู่อาศัยกันตามปกติ รวมถึงยังมีร้านขายของ ผู้คน ใช้ชีวิตกันตามปกติ ภายใต้การดูแลของตำรวจที่อยู่ข้างทางคอยดูแลรักษาความปลอดภัยด้วย

ทั้งนี้ คุณการ์ด ได้เล่าอีกว่า จากข้อมูลของ ‘NBC News’ Professor Janelle Wong จาก University of Maryland ได้ทำการศึกษาเคสที่คนเอเชียถูกทำร้ายหรือถูกบูลลี่ ซึ่งวิเคราะห์จากวิดีโอ กล้องวงจรปิด หรือคลิปเสียงทั้งหลาย ค้นพบว่า 75% ผู้ก่อเหตุเป็น ‘คนผิวขาว’ ซึ่งจะเห็นได้จากคลิปที่คนขาวชอบไล่คนเอเชียให้ออกนอกประเทศไปเสียมาก

ทว่า ทำไมคลิปวิดีโอส่วนใหญ่ที่เราเห็น ถึงมีแต่คลิปที่เป็นคนผิวสีทำร้ายร่างกาย ซึ่งคุณการ์ด เล่าว่า เพราะคลิปวิดีโอส่วนใหญ่ที่เราเห็น ได้มาจากย่านที่เป็นเหมือนคนรายได้ไม่สูงรวมตัวกันอยู่ ซึ่งย่านเหล่านี้ ก็มักจะมีคนผิวสีอาศัยอยู่เยอะ แล้วมันก็ถูกจับจ้องด้วยกล้องวงจรปิดเยอะเป็นพิเศษ ทำให้มีพวกข้อมูลด้านความรุนแรงหลุดออกมาเยอะนั่นเอง…

รำลึก 'มณเฑียร บุญตัน' ผู้ขับเคลื่อนโอกาสแก่ 'คนพิการ-ผู้คนในสังคม' เปลี่ยนความเวทนา เป็นความศรัทธาว่า "ทุกคนล้วนเท่าเทียมกัน"

ภายหลังจากเมื่อวันที่ 2 มี.ค. 67 ทางสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา แจ้งข้อความผ่านไลน์กลุ่มสื่อมวลชนประจำรัฐสภา ว่า 'มณเฑียร บุญตัน' สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ถึงแก่อนิจกรรมด้วยอาการหัวใจวายเฉียบพลัน บรรดาผู้คนในภาคสังคมต่างก็ออกมาร่วมไว้อาลัย เสียใจ ถึงการสูญเสียผู้สร้างคุณูปการขับเคลื่อนประเด็นด้านสิทธิความเสมอภาคให้กับคนพิการ และผู้คนในสังคมในสังคมไทยมาโดยตลอด

นั่นก็เพราะ อ.มณเฑียร เป็นผู้ที่มีความชัดเจนในหลักการเรื่องสิทธิมนุษยชน ไม่เลือกปฏิบัติ และไม่ใช่เฉพาะการขับเคลื่อนแค่คนพิการ แต่ทุกคนในสังคมก็ต้องไม่ถูกเลือกปฏิบัติ ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่ อ.มณเฑียร ขับเคลื่อน ผลักดันร่างกฎหมายขจัดการเลือกปฏิบัติต่อบุคคล เพื่อให้เจ้าหน้าที่ป้องกัน เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบในสังคม 

โดย อ.มณเฑียร ได้เข้ามาทำงานร่วมกับภาคประชาชน และกรรมการสิทธิมนุษยชนอย่างเข้มข้นในช่วงหลังมานี้ เพื่อที่ต้องการอยากเห็นกฎหมายขจัดการเลือกปฏิบัติต่อบุคคล เป็นกฎหมายกลางให้ทุกคนได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน 

และที่ผ่านมา อ.มณเฑียร ได้ตั้งกระทู้ถามสดในสภาฯ หลายครั้งเพื่อให้ทุกส่วนได้เข้าใจ และเห็นความสำคัญของกฎหมายฉบับนี้

นอกจากนี้ อ.มณเฑียร ยังมีส่วนช่วยทำงานระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับผู้ด้อยโอกาส กลุ่มเปราะบาง ถึงขั้นที่ทำเนียบเอกอัครราชทูตญี่ปุ่น ประจำประเทศไทย ได้มอบเกียรติบัตรเพื่อยกย่อง ในฐานะบุคคลที่เป็นผู้เชื่อมสัมพันธไมตรี และทำคุณประโยชน์ระหว่างประเทศไทยกับประเทศญี่ปุ่น กันเลยทีเดียว (เมื่อ 22 มี.ค.64 ) 

แม้วันนี้ท่านจะจากไป แต่คุณประโยชน์ที่ท่านทำไว้ต่อคนพิการ และผู้คนอื่น ๆ เป็นพลัง ที่มอบวิถีที่จะให้ผู้สานต่อได้ขับเคลื่อนงานต่าง ๆ ให้กับสังคมภายใต้ปณิธานต่าง ๆ ที่ท่านวางเอาไว้ก็จะได้รับการสานต่ออย่างแน่นอน

ทุกวันนี้ ท่านได้เปลี่ยนความเวทนาคนพิการ เป็นความเชื่อแห่งสังคมเท่าเทียม ซึ่งเป็นความฝันสำคัญที่ท่านมองว่า สังคมควรจะเลิกมองคนพิการในเชิงเวทนานิยม คือ เลิกสงสารและเลิกเวทนาคนพิการ แต่ให้มองคนพิการเป็นคน ๆ หนึ่งที่มีคุณค่าเหมือนกับคนอื่น ๆ ในสังคม ซึ่งนี่ก็เป็นอีกสิ่งสำคัญที่ทุกคนควรจะต้องสานต่อความคิด ความเชื่อ และร่วมมือกันเพื่อทำให้สังคมมองคนให้เท่าเทียมกันมากขึ้น

ในหนังสือพิมพ์สกุลไทย ฉบับที่ 2833 วันที่ 3 ก.พ. 2552 ได้เผยแพร่เรื่องราวน่าประทับของ อ.มณเฑียร บุญตัน ส่วนหนึ่งระบุไว้ว่า…

“ผู้ที่เคยได้รับจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ หรือ E-mail จาก มณเทียร บุญตัน ย่อมต้อง เคยเห็นคำลงท้ายใต้ชื่อของเขา ซึ่งไม่ใช่คำว่า ‘สมาชิกวุฒิสภา’ หรือ ‘นายกสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย’ แต่เป็น servant of the blind and the poorest ‘ผู้รับใช้คนตาบอดและผู้ยากไร้ที่สุด’ คำนิยามที่เขาใช้อธิบายสถานภาพของตัวเองในฐานะ ‘ผู้รับใช้’ สะท้อนทัศนคติที่น่าสนใจบางประการของสมาชิกวุฒิสภาผู้พิการทางสายตาท่านนี้ อาจจะมากกว่าตำแหน่งอันทรงเกียรติอื่นใด ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกวุฒิสภา หรือฉายา ‘คนดีศรีสภา’ ในการตั้งฉายาของผู้ที่ทำหน้าที่ในฝ่ายนิติบัญญัติเมื่อปลายปีที่แล้ว ด้วยคำถามที่ว่าชีวิตที่ผ่านร้อนผ่านหนาวในฐานะผู้พิการทางสายตา เหตุใดจึงเลือกที่จะเป็น ‘ผู้รับใช้’ สังคมแทนการเป็น ‘ผู้รับ’ จากสังคม? คำตอบของคำถามนี้ มีอยู่ในเรื่องราวทั้งชีวิตของเขา ทั้งภูมิหลัง แรงบันดาลใจ พลังของการเรียนรู้และสร้างสรรค์อันเต็มเปี่ยมอย่างที่โลกอันมืดมิดไม่อาจตีกรอบไว้ได้”

และในหนังสือพิมพ์ฉบับเดียวกันนั้น อ.มณเฑียร ได้ให้สัมภาษณ์เรื่องอุปสรรคของผู้พิการทางสายตา และการต่อสู้ไว้ว่า…

“ตั้งแต่เด็ก ๆ มาแล้วผมไม่ชอบคำว่า ‘ผู้ใหญ่’ คำว่าผู้ใหญ่เป็นคำที่ผมแสลงหูมากที่สุด จนถึงทุกวันนี้เลยยนะครับ ตอนเด็ก ๆ ผมมักจะถูกขู่ว่าทำไมไม่เชื่อผู้ใหญ่ เวลาจะทำอะไรผู้ใหญ่ต้องมาก่อน เราเป็นเด็กต้องอ่อนน้อม ผมจะเป็นพวกที่...เฮ่ย ฝากไว้ก่อนเถอะ แล้วผมก็เป็นเด็กที่ชอบแกล้งผู้ใหญ่ด้วย ถ้าผู้ใหญ่ได้รับความอับอาย ผมสนุกมากเลย เป็นพวกรวมตัวกันกบฏต่อผู้ใหญ่เป็นประจำ ทำให้ผู้ใหญ่เสียหน้าเป็นความสุขของผม เพราะผมเป็นคนที่ไม่ชอบอำนาจไง ผมจะต้องอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับอำนาจเสมอ ใครใช้อำนาจกับผม ผมก็ต้องตอบโต้ ด้วยวิธีแบบใดก็แล้วแต่ แต่ผมต้องเอาชนะฝ่ายที่มีอำนาจอยู่เสมอ”

อ.มณเฑียร กล่าวต่อว่า “ความด้อยโอกาสของคนตาบอดก็เหมือนกับการต่อสู้กับอำนาจ คืออำนาจของคนที่ไม่ต้องดิ้นรนมากก็มีการศึกษา ไม่ต้องดิ้นรนก็มีงานทำ แต่พวกเราต้องดิ้นรนมาก เหมือนกับว่าเราต้องต่อสู้กับฝ่ายที่มีอำนาจเหนือเรา เพราะฉะนั้นแรงขับของผมก็คือต้องเอาชนะฝ่ายที่มีอำนาจ อาจไม่ถึงขนาดล้มล้าง แต่ต้องอยู่ด้วยกันได้ เขาก็ต้องไม่สามารถมาขี่เราได้ ผมทำอย่างนี้ตั้งแต่คนในครอบครัวเลยนะครับ ถ้าใช้อำนาจกับผม ผมจะตอบโต้ทันที”

นอกจากนี้ อ.มณเฑียร บุญตัน ยังได้เล่าถึงแรงขับเคลื่อนในชีวิต และประโยคทองประจำใจของตนไว้ในหนังสือพิมพ์ สกุลไทย ฉบับที่ 2833 วันที่ 3 ก.พ. 2552 หน้าที่ 40 ว่า…

แรงขับเคลื่อนของผมคือครอบครัวของผม ที่ทำให้ผมเป็นนักสู้ พ่อของผมซึ่งเป็นนักสู้ กับคำพูดของแม่ที่ว่า ‘ใต้ฟ้านี้ไม่มีอะไรน่ากลัว’ ต่อมาคือครูของผม ‘คุณครูปราณี สุดเสียงสังข์’ ท่านเป็นคนตาบอด ท่านไม่ใช่คนเชียงใหม่แต่ต้องไปสอนหนังสือที่เชียงใหม่ตั้งแต่ปี 2507 แล้วท่านต้องส่งเสียครอบครัวท่านจนถึงเกษียณ มันน่าเอาอย่างไหมล่ะครับ”

อ.มณเฑียร กล่าวต่อว่า “แล้วคนที่ผมได้เรียนรู้ประวัติทั้งหลายล้วนแล้วแต่เป็นคนที่จุดประกายให้กับผมทั้งนั้นเลย อย่าง ‘อาจารย์เจเนวีฟ คอลฟิลด์’ ท่านเป็นชาวอเมริกัน ซึ่งมาตั้งโรงเรียนคนตาบอดเป็นแห่งแรกในประเทศไทย ในช่วงที่ประเทศไทยประกาศสงครามกับอเมริกา คือความรักอันยิ่งใหญ่ ความไม่ยอมแพ้ของผู้หญิงตาบอดชาวอเมริกัน ซึ่งมาตั้งโรงเรียนในแผ่นดินศัตรู ฟังแล้วขนลุกไหมครับ” 

อ.มณเฑียร เล่าถึงที่มีของประโยคทองที่ใช้ในชีวิตประจำวันว่า “แล้วพอตอนที่ผมมาเรียนที่มงฟอร์ต ผมก็เจอครูอีกท่านหนึ่งชื่อ ‘มาเซอร์จิมมี่’ ท่านเป็นผู้ลี้ภัยชาวพม่า ท่านเรียนจบจากมหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ด แต่ท่านต้องมาเป็นครูสอนภาษาอังกฤษอยู่ที่เชียงใหม่ ทั้งหมดนี้ก็ให้บทเรียนกับผมว่าคนเรานี่มันต้องไม่ยอมจำนน ตอนผมสอบชิงทุนไปอเมริกาได้ ผมไปหาท่าน ท่านให้โอวาทผมสั้น ๆ ว่า “No Pain No Gain” ผมจำขึ้นใจจนถึงทุกวันนี้ ชีวิตผมมีประโยคทองอยู่สองประโยค ประโยคแรก คือที่มาเซอร์จิมมี่ให้ อันที่สองคือ “I have giving up on giving up” อันนี้ผมคิดขึ้นเอง ก็คือข้าเลิกล้มความคิดที่จะ
เลิกล้มความคิดโดยสิ้นเชิง หรือปฏิเสธการยอมแพ้โดยสิ้นเชิง แต่ไม่ได้หมายความว่าเวลาเราแข่งขัน
เราจะไม่รู้จักแพ้ แต่หมายถึงว่าเราไม่รู้จักการยอมจำนน"

สำหรับ นายมณเฑียร บุญตัน เกิดเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2508 ปัจจุบันมีตำแหน่งในวุฒิสภา เป็นประธานคณะอนุกรรมาธิการกิจการคนพิการ ในคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคม และกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการและผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา เคยดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภา ปี 2551 - 2557 และสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ปี 2557 - 2562

อีกทั้งยังเป็นผู้แทนคนพิการคนแรกในประเทศไทย และคนแรกในอาเซียนที่ได้รับการเลือกตั้งให้เป็น คณะกรรมการว่าด้วยสิทธิคนพิการแห่งสหประชาชาติ (UN-Committee Convention on the Rights of Persons with Disabilities-CRPD) วาระปี พ.ศ. 2556-2559

นอกจากนี้ ท่านยังเคยได้รับฉายา 'คนดีศรีสภา ปี 2551' จากสื่อมวลชนประจำรัฐสภาอีกด้วย

กระบี่-นักบินกรมฝนหลวง ดับไฟป่าเขาปากเบนวันที่สอง สามารถสกัดจุดใหญ่ไม่ให้ไฟลุกลามได้มาก ลุยต่อปฏิบัติการพรุ่งนี้อีกวัน

วันนี้ ( 11 มีนาคม 2567 )  นักบินกรมฝนหลวงและการบินเกษตร โดยศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวง ภาคใต้จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้ออกปฏิบัติการดับไฟป่าภูเขาปากเบน ม.4 บ้านน้ำโครมโครม ต.เขาทอง อ.เมืองกระบี่ เป็นวันที่ 2   โดยมีนายสมปราชญ์ ปราบสงคราม รองผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ ลงพื้นที่ติดตามปฏิบัติการตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย  ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทหาร ตำรวจ เจ้าหน้าที่ปกครองอำเภอเมืองกระบี่ สถานีควบคุมไฟป่า ท้องถิ่นในพื้นที่ เป็นต้น  โดยจากการประเมินสถานการณ์ พบว่า บริเวณไฟป่าไหม้อยู่ที่ด้านทิศตะวันออกมีกลุ่มควัน เป็นจุด ๆ ประมาณ 5 จุด ด้านทิศใต้มีกลุ่มควัน1จุด ด้านทิศตะวันตก ด้านบ้านท่าทองหลางบริเวณจุดเดิมที่มีไฟไหม้บนภูเขาได้มีกลุ่มควันขึ้นมาอีก ซึ่งน่าจะมีการลุกลามของเชื้อไฟ โดยลักษณะไฟไหม้ป่าภูเขาหินปูนความสูงชัน 90 องศา เป็นไฟผิวดิน ไม่รุนแรง ลุกไหม้ตามยอดภูเขา แต่มีการลุกลามจำนวนหลายจุด  และในวันนี้ เจ้าหน้าที่ปกครองในพื้นที่ตำบลเขาทอง ได้ร่วมสำรวจแหล่งน้ำในพื้นที่ตำบลเขาทองแหล่งใหม่ เพื่อลดระยะทางในการปฏิบัติภารกิจ ซึ่งใช้น้ำในสระน้ำบ้านคลองกรวด หมู่ที่ 6 ตำบลเขาทองเป็นแหล่งน้ำในการดับไฟ แทนแหล่งเดิมที่อ่างเก็บน้ำเขาค้อม ที่มีระยะทางไกลกว่า 

โดยนักบินกรมฝนหลวง เริ่มปฏิบัติการภารกิจโปรยน้ำเวลา 11.00 น. ในทิศตะวันตก บ้านคลองกรวด ได้จำนวน 1 เที่ยวบิน แต่มีปัญหาอุปสรรคไม่สามารถปฏิบัติภารกิจดับไฟป่าต่อได้ เนื่องจากวาล์วปิด – เปิดถังดับน้ำหล่นหายในพื้นที่ จึงจำเป็นต้องวางแผนหาอุปกรณ์ทดแทน และเริ่มปฏิบัติการอีกครั้งในเวลา 15.20 น รวมตักน้ำดับไฟได้จำนวน 18 เที่ยวบิน เที่ยวบินละ 500 ลิตร ได้ปริมาณน้ำ จำนวน 9,000 ลิตร และหยุดปฏิบัติภารกิจ เวลา 16.55 น ผลการปฏิบัติการสามารถดับไฟป่าได้จำนวน 2 จุดในพื้นที่ หมู่ที่ 6 ตำบลเขาทอง ซึ่งสามารถสกัดไฟไม่ให้ลุกลามได้เป็นอย่างมากในบริเวณที่ลุกลามช่วงกลางวันของวันนี้  ส่วนเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการดับไฟป่าในระดับพื้นที่ กำนันผู้ใหญ่บ้าน ตำบลเขาทองและอบต.เขาทอง ก็ยังได้จัดเวรยามเตรียมพร้อมเฝ้าระวังไฟลุกลามตลอด 24 ชั่วโมงอีกด้วย  และในวันพรุ่งนี้ (12 มี.ค.67) จะมีการปฏิบัติการดับไฟป่าต่อเป็นวันที่สาม 

สำหรับไฟไหม้ป่าบริเวณเขาปากเบน เกิดไฟไหม้ป่ามาตั้งแต่วันที่ 7 มีนาคม โดยขยายลุกลามกินพื้นที่ไปแล้ว กว่า 100 ไร่ พบผลกระทบฝุ่นปกคลุมพื้นที่หมู่ที่ 1,2,6 ตำบลเขาทอง และหมู่ที่ 2 ตำบลเขาคราม อำเภอเมืองกระบี่ และเนื่องจากเป็นพื้นที่เทือกเขาสูงชัน ทำให้การดับไฟป่าเป็นไปได้ยากและใช้เวลาหลายวัน...

กระบี่///ณัฏฐพงษ์ ศรีปล้อง รายงาน  

'อ.อุ๋ย-ปชป.' วอนรัฐสนับสนุนวิชาชีพช่างแว่นตา ชี้!! สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจนับหมื่นล้านบาท

(12 มี.ค. 67) นายประพฤติ ฉัตรประภาชัย หรืออาจารย์อุ๋ย นักวิชาการด้านกฎหมายและอดีตผู้สมัคร สส. กทม. เขตบางกะปิ พรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กแสดงความเห็น ว่า...

"วันนี้สวมหมวกที่ปรึกษากฎหมายของราชวิทยาลัยจักษุแพทย์ บรรยายหัวข้อ 'กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับช่างแว่นตา' ซึ่งจัดโดยชมรมจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสายตาแห่งประเทศไทย

"วิชาชีพช่างแว่นหรือช่างวัดสายตาประกอบแว่น (optician) เป็นหนึ่งในสามเสาหลักของวิชาชีพทางด้านจักษุ ซึ่งได้แก่ จักษุแพทย์ นักทัศนมาตร และช่างแว่น ซึ่งต้องทํางานสอดประสานกันเพื่อเติมเต็มบริการสาธารณสุขทางด้านจักษุ ปัจจุบันตลาดแว่นตาไทยมีมูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท มีร้านแว่นตาทั่วประเทศกว่า 20,000 ร้าน และเติบโตเฉลี่ยปีละ 10% 

"จึงจําเป็นอย่างยิ่งที่ภาครัฐควรเข้ามากํากับดูแลเพื่อรักษามาตรฐาน และยกระดับ/พัฒนาคุณภาพสินค้าและบริการของกิจการแว่นตาไทย สร้างมูลค่าเพิ่มและ productivity เพื่อให้เป็นอีกหนึ่งฟันเฟืองที่สําคัญของการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศ

"ปัจจุบันร่างกฎกระทรวงกำหนดให้กิจการตรวจวัดสายตาประกอบแว่นเป็นกิจการอื่นในสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ พ.ศ. ....ยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณา ซึ่งหากประกาศใช้แล้วจะยกระดับมาตรฐานวิชาชีพช่างแว่นให้เทียบเท่าสากล พัฒนากลไกเครื่องมือต่าง ๆ เพื่อรองรับสถานะต่างๆตามกฎหมายซึ่งนําไปสู่การสนับสนุนในรูปแบบอื่น ๆ จากภาครัฐต่อไปในอนาคต ผมจึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องผลักดันเรื่องนี้โดยเร็ว เพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้ประกอบวิชาชีพนี้และผู้บริโภคครับ"

'ผบช. ตชด' สั่งวาง 4 มาตราการเข้ม แนวตะเข็บชายแดนพื้นที่ ภ.7 เป็นแนวทางในการปฏิบัติงานด้านการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ทุกรูปแบบ เร่งขานรับนโยบาย 'สร.1- ผบ.ตร.'

เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2567 ที่กองบัญชาการตำรวจชายแดน ถนนพหลโยธิน พล.ต.ท.ยงเกียรติ มนปราณีต ผบช.ตชด. เปิดเผยว่าได้มีคำสั่งเป็นวิทยุในราชการฯด่วนที่สุด ถึงผู้รับปฏิบัติ ผกก.ตชด.13,14,33,34,41 ผู้รับทราบ ศปก.ตร., รอง ผบช.ตชด.,ศปก.ตชด., ผบก.ตชด.ภาค 1,3,4

คำสั่งดังกล่าวมีใจความระบุว่า (1.)อ้างถึง แผนปฏิบัติการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมของ บช.ตชด. เพื่อให้หน่วยปฏิบัติในสังกัดใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติงานด้านการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทุกรูปแบบ นั้น    

(2.) ตามข้อ 1 ด้วยในห้วงเดือน ก.พ.67 นายกรัฐมนตรีได้มีบัญชาให้ ผบ.ตร. ติดตามการทำงานของ ภ.7 พื้นที่ จว.กาญจนบุรี ในประเด็นเกี่ยวกับสิ่งผิดกฎหมายทุกชนิด โดยเฉพาะยาเสพติด และแรงงานผิดกฎหมาย ประกอบกับสถานการณ์ในประเทศ เพื่อนบ้านมีความไม่สงบ ทำให้เกิดการลักลอบหลบหนีเข้าเมืองเป็นจำนวนมาก  

(3.)เพื่อให้การปฏิบัติงานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ บช.ตชด. เป็นไปด้วยความเรียบร้อย จึงกำชับการปฏิบัติ ดังนี้ -กำชับกำลังพลทุกนายที่ปฏิบัติหน้าที่ประจำจุดตรวจ ,จุดสกัดต่างๆ โดยเฉพาะชุดเฝ้าตรวจชายแดน (ชฝต.)ให้กำลังพลทุกนายปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเข้มแข็ง เคร่งครัด เพื่อระมัดระวังและป้องกันปราบปรามการลักลอบหลบหนีเข้าเมือง
โดยเฉพาะตามช่องทางธรรมชาติ

เพิ่มความเข้มในการลาดตระเวน ตั้งจุดตรวจ,จุดสกัด ตามช่องทางเข้า-ออก ตามแนวชายแดน ช่องทางธรรมชาติ ท่าข้ามต่างๆ ทั้งในเส้นทางหลัก และเส้นทางรอง เพื่อป้องกันและสกัดอั้นการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรม ทุกรูปแบบ โดยเฉพาะการลักลอบลำเลียงยาเสพติด และการลักลอบนำพาแรงงานต่างด้าวลักลอบหลบหนีเข้าเมือง

ขี้แจง ประชาสัมพันธ์ รณรงค์ ทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่รับผิดชอบ เกี่ยวกับผลกระทบและบทลงโทษตามกฎหมายที่เกิดจากการลักลอบลำเลียงยาเสพติด และการลักลอบนำพาแรงงานต่างด้าวลักลอบหลบหนีเข้าเมือง
รวมถึงแสวงหาความร่วมมือในการแจ้งข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดในลักษณะดังกล่าว

การรายงานผลการปฏิบัติกรณีที่มีเหตุสำคัญเร่งด่วนในเขตพื้นที่รับผิดของหน่วย ให้รายงาน ผบช.ตชด.และ รอง ผบช.ตชด. ที่รับผิดชอบตามสายงานทราบ ผ่านเครื่องมือสื่อสารที่เร็วที่สุด และให้รายงานเหตุเบื้องต้นเป็นลายลักษณ์อักษร ให้ บช.ตชด.ผ่าน ศปก.ตชด.)  ให้ผู้บังคับบัญชาทุกระดับชั้นควบคุม กำกับ ดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาห้ามมิให้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับ
การกระทำความผิดในการลักลอบลำเลียงยาเสพติด, การลักลอบนำพาแรงงานต่างด้าวลักลอบหลบหนีเข้าเมือง หรือเรียกรับผลประโยชน์ใดๆ โดยเด็ดขาด หากตรวจพบว่ากระทำความผิดให้ดำเนินการทางวินัยและอาญาโดยทันที

(4.) จึงแจ้งมาเพื่อทราบ และดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด คำสั่งดังกล่าวระบุ

'ทรัมป์' ลั่น!! แบน TikTok ไม่ง่ายและมีแต่จะช่วยให้ Facebook ได้อำนาจมากขึ้น เพราะเดิม Meta ก็มีปัญหาด้าน 'ความเป็นส่วนตัว-ความปลอดภัย' ไม่ต่างกัน

(12 มี.ค.67) CNBC รายงาน โดนัลด์ ทรัมป์ แคนดิเดตของพรรครีพลับลิกัน กล่าวว่า เขามีความกังวลว่าการแบนแอปฯ จากจีนอย่าง TikTok จะทำให้แอปฯ อย่าง Facebook ของ Meta ซึ่งเปรียบเสมือนศัตรูของประชาชนได้ผลประโยชน์ไป และมีอำนาจมากขึ้นเป็นสองเท่า

ทรัมป์ กล่าวว่า การแบน TikTok มีผลที่ดี แต่ก็มีผลเสียออกมาเช่นกัน ทรัมป์บอกว่า มีผู้คนมากมายโดยเฉพาะเด็กวัยรุ่นอเมริกันที่ชอบ TikTok มาก และคงจะเป็นจะตายหากไม่มีมัน พร้อมทั้งกล่าวโจมตีว่ามีแต่ Meta ที่ได้ผลประโยชน์นี้ และ Meta ก็มีปัญหาด้านความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยเหมือนกัน 

ปัจจุบัน แอปพลิเคชันวิดีโอสั้นจากจีนโดยบริษัท ByteDance ได้รับความนิยมในสหรัฐฯ อย่างมาก แต่กระนั้น ทางการสหรัฐฯ ก็มีความกังวลว่าจะเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ เนื่องจากกังวลว่าแอปได้ส่งข้อมูลกลับไปที่จีนและอาจแบ่งข้อมูลให้ทางการของจีน จึงมีการลงความเห็นจะแบบ TikTok ในไม่กี่เดือนหากบริษัทจีนไม่ถอนทุนออกไป ซึ่งทางประธานาธิบดีอย่าง โจ ไบเดนก็มีความเห็นที่จะลงดาบแอปฯ นี้เช่นกัน

'ดร.เอ้' ยัน!! นายกฯ เดินทางไปต่างแดน เป็นสิ่งจำเป็น แต่ต้องหมั่นโฟกัสเรื่องใหญ่ ไม่ใช่แค่รับมาแล้วก็เงียบไป

เมื่อไม่นานมานี้ นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ (ดร.เอ้) รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ได้โพสต์วิดีโอในช่องติ๊กต็อก @aesuchatvee พร้อมระบุแคปชันว่า “นายกรัฐมนตรีแสดงวิสัยทัศน์ ‘IGNITE Thailand’ มุ่ง 8 เป้าหมายพัฒนาประเทศ ในงาน ไม่มีเรื่อง ‘เป้าหมายการศึกษา’ และ ‘การพัฒนาทักษะคนไทย’ แม้แต่ข้อเดียว น่าเสียใจ” 

โดยภายในวิดีโอได้พูดและแนะนำถึงสิ่งที่นายกรัฐมนตรีควรให้ความสำคัญ ไม่น้อยกว่าการไปเยือนต่างประเทศ โดยกล่าวว่า… “สําหรับการเดินทางไปต่างประเทศของนายกฯ คนใหม่เป็นสิ่งจําเป็น เพราะต้องแนะนําตัวและนโยบายของประเทศตอนนี้ว่าเป็นอย่างไร ผมว่าเรื่องพวกนี้มีความจําเป็น แต่ท่านต้องไม่ฉาบฉวย มีภาพท่านที่ออกมาในลักษณะที่มีคนร้องเรียนทีนึง เมื่อไปดู แล้วก็หาย ไปอีกตรงหนึ่ง ท่านก็หาย กลายเหมือนกับว่า ไม่ได้โฟกัสอะไร…”

ดร.เอ้ กล่าวต่อว่า “จริง ๆ แล้วท่านต้องโฟกัส และต้องจัดอันดับเรื่องของปัญหา ยกตัวอย่างเช่น วันนี้ประเทศไทยไม่พ้นความยากจน ประเทศไทยมีปัญหาหลายเรื่องที่มาจากเรื่องของการศึกษา แต่ท่านไม่พูดเลย”

ดร.เอ้ ได้ยกตัวอย่างประเทศเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์ที่กำลังจะมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่ คือ ‘ลอว์เลนซ์ หว่อง’ ที่ได้พูดเรื่องการศึกษามาเป็นเรื่องแรก ๆ 

ดร.เอ้ ระบุต่อว่า “แต่นายกฯ เศรษฐาไม่พูดเลย ท่านไปดูตรงไหน ท่านก็พูดแต่เรื่องฉาบฉวย แต่ความสามารถในการแข่งขัน การสร้างคนซึ่งเป็นเรื่องที่จําเป็นที่สุด ท่านไม่เคยพูด”

สุดท้ายดร.เอ้ ได้พูดถึงประเด็นที่นายกฯ เดินทางไปต่างประเทศบ่อยครั้งว่า “เรื่องท่านไปต่างประเทศ ผมไม่ว่า แต่งานที่สําคัญที่สุดคือ ‘เรื่องของรากลึกของสังคมไทย’ เรื่องการศึกษา ท่านไม่พูดเลย อีกทั้งเรื่องการแก้ปัญหา ท่านต้องไม่โยนให้กับกระทรวงอื่น แต่ท่านต้องแสดงบทบาทผู้นําว่าท่านหยิบจับอะไรมันก็สําเร็จ ไม่ใช่จับแล้วปล่อย ๆ แบบนี้ ผมว่าท่านจะต้องปรับปรุง”

‘โรงเรียนพรตพิทยพยัต’ ให้นักเรียนไว้ทรงผมตามเพศวิถีได้ เพศวิถีชาย-ผมสั้น เพศวิถีหญิง-ผมยาว แต่ต้องดูเรียบร้อย

เมื่อวานนี้ (11 มี.ค. 67) ‘โรงเรียนพรตพิทยพยัต’ ประกาศเรื่องให้นักเรียนสามารถไว้ทรงผมตามเพศวิถีได้ ผ่านเพจ ‘โรงเรียนพรตพิทยพยัต Protpittayapayat School’ โดยระบุว่า…

“ประกาศโรงเรียนพรตพิทยพยัต 

เรื่อง การไว้ทรงผมตามเพศวิถี

>> นักเรียนชาย และเพศวิถีชาย สามารถไว้ผมสั้นได้ซึ่งเป็นไปตามความเหมาะสมและมีความเรียบร้อย

>> นักเรียนหญิง และเพศวิถีหญิง สามารถผมยาวได้ แต่ให้รวบผมและมัดโบสีตามระดับชั้นให้เรียบร้อย”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top