Monday, 9 June 2025
NewsFeed

ซอฟต์พาวเวอร์ไทยกระหึ่มแดนมังกร “อลงกรณ์”นำ“สมาคมการค้าไทย-จีนฯ.”จับมือศูนย์สุขภาพแพทย์แผนจีน“เหอเซียงกง”เปิดบริการนวดไทยสมุนไพรไทยแพทย์แผนไทยตั้งเป้าปีนี้ขยาย100สาขาในจีน

นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานมูลนิธิเวิลด์วิว ไครเมท อดีตรองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศคนที่1และอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์เปิดเผยวันนี้ภายหลังนำคณะสมาคมการค้าไทย-จีนและเศรษฐกิจเอเซียร่วมการประชุมว่าด้วยการพัฒนาด้านนวัตกรรมและความร่วมมือเกี่ยวกับสุขภาพและสปาระหว่างไทย-จีนที่เมืองเซิ่นเจิ้น มณฑลกวางตุ้งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่าในการประชุมครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมประชุมกว่า 2,500 คนได้แก่กลุ่มผู้ให้บริการด้านสุขภาพ ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าเพื่อสุขภาพ  นักวิจัยทางด้านผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและนักลงทุนด้านนวัตกรรมเพื่อสุขภาพและฝ่ายไทยมีนางสาวอภิญญา ปราโมช นายกสมาคมฯ นายเมฆินทร์ เอี่ยมสะอาด และนางสาวประจงจิต พลายเวช รองประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์สมาคมฯ

ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหาความร่วมมือพัฒนาต่อยอดระบบการนวดแบบแพทย์แผนไทยผสมผสานกับการนวดแบบแพทย์แผนจีนมาให้บริการในการดูแลสุขภาพให้กับชาวจีนอย่างเต็มรูปแบบโดยตนได้กล่าวในที่ประชุมว่าประเทศไทยมีระบบการแพทย์แผนไทย ที่มุ่งเน้นการนำผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรมาแปรรูปเป็นสมุนไพรไทย มีการอนุรักษ์การนวดตามแบบฉบับโบราณที่ตกทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นและการดูแลสุขภาพแนววิถีธรรมชาติบำบัด ซึ่งกล่าวได้ว่าการนวดตามแบบแพทย์แผนไทยได้รับการยอมรับและเป็นที่ชื่นชอบในระดับสากล ซึ่งองค์กร UNESCO ได้ขึ้นทะเบียนนวดแผนไทยในบัญชีมรดกนวดไทย” หรือ “Nuad Thai, Traditional Thai Massage” ในบัญชีรายชื่อตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้แห่งมวลมนุษยชาติ (Representative List of the Intangible Cultural Heritage of Humanity – RL) เมื่อเดือนธันวาคม 2562หวังว่าอุตสาหกรรมสุขภาพ เทคโนโลยีการแพทย์ และวัฒนธรรมทางการแพทย์ของไทยซึ่งเป็นซอฟต์พาวเวอร์ของไทยจะสามารถขยายตลาดได้มากยิ่งขึ้นและเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในประเทศจีน 

นายอลงกรณ์ อดีตประธานคณะกรรมการบริหารนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์กล่าวว่า
“เราได้หารือความร่วมมือกับกลุ่มบริษัทเหอเซียงกงผู้นำศูนย์สุขภาพในมณฑลกวางตุ้งซึ่งแสดงควาเชื่อมั่นและเห็นพ้องต้องกันที่จะนำระบบการนวดแบบการแพทย์แผนไทยและสมุนไพรไทยมาให้บริการผสมผสานกับแพทย์แผนจีนในการดูแลสุขภาพให้กับฐานลูกค้าในมณฑลกวางตุ้งและมณฑลอื่นๆ อย่างเต็มรูปแบบโดยเริ่มจากกลุ่มเหอเซียงกงซึ่งมีศูนย์สุขภาพตามศาสตร์การนวดแบบแพทย์แผนจีนมากกว่า 50 สาขาในมณฑลกวางตุ้งและมีโครงการขยายสาขาในประเทศจีนให้ครบ 100 แห่งภายในปี 2567“

ผบ.ตร. ชมเชย ผบช.น.เปิดปฏิบัติการ 'ทลายรังปลวก' จับ 4 แก๊งอาชญากรรมทำร้ายน้องเร ช่างกลปทุมวันเสียชีวิต สั่งล่าผู้ต้องหาที่เหลือให้ได้ ใครมีแนวคิดผิดกฎหมายให้เลิก พร้อมสั่งทั่วประเทศปราบแก็งวัยรุ่นป่วนเมือง หากที่ไหนละเลย จะพิจารณาโทษพื้นที่

วันนี้ (31 ม.ค.67)  พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. เปิดเผยว่า คดีกลุ่มผู้ต้องหาแก๊งอาชญากรรม ร่วมกันใช้มีดกระหน่ำแทงนายวราวุธ หรือ เร อายุ 25 ปี นักศึกษาสถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน จนเสียชีวิตเมื่อ 26 ม.ค.ที่ผ่านมานั้น หลังเกิดเหตุ ได้สั่งการให้ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. เร่งดำเนินการสืบสวนติดตามคนร้ายมาดำเนินคดีโดยเร็วที่สุด ถือเป็นการกระทำอุกอาจไม่เกรงกลัวกฎหมาย ขนาดเจ้าหน้าที่เอาจริงจัง จับกุมทุกคดีที่เกิดขึ้น ยังกล้าทำ จนสืบสวนทราบว่ากลุ่มผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องมีทั้งหมด 9 คน 

ความคืบหน้าของคดีนี้ ผบช.น. พร้อมด้วย พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. , พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. ร่วมกับเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล, บก.น.6 และ สน.ปทุมวัน เปิดปฏิบัติการ นำหมายค้นบุก “ทลายรังปลวก” 7 แห่ง พื้นที่กรุงเทพมหานคร และจังหวัดสมุทรปราการ สามารถติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหาได้ 4 นาย คือ 1. นายณัฐพร หรือ “โต้ 9 นิ้ว” อายุ 19 ปี , 2. นายธีรทัศน์ อายุ 21 ปี , 3. นายการัณย์ อายุ  19 ปี เมื่อวานนี้ ส่วนเช้าวันนี้ สามารถติดตามจับกุมผู้ต้องหารายที่ 4 คือนายเพชรมงคล อายุ 28 ปี โดยติดตามจับกุมได้ที่ตำบลดอนฉิมพลี อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา ในชั้นจับกุมได้ให้การรับสารภาพ ทั้งหมดถูกแจ้งข้อกล่าวหาว่า “ร่วมกันฆ่าผู้อื่น, ร่วมกันพาอาวุธเข้าไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุอันควร” เจ้าหน้าที่นำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดส่งพนักงานสอบสวน สน.ปทุมวัน เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป โดยชุดสืบสวนได้รับการประสานงานว่า ผู้ต้องหารายที่ 5 จะติดต่อเข้ามอบตัว ส่วนรายที่ 6-9 หลบหนี อยู่ระหว่างติดตามตัว

ผบ.ตร.ได้ขอบคุณและชมเชย ผบช.น. และเจ้าหน้าที่ทุกนายที่ร่วมปฏิบัติการครั้งนี้ จนสามารถทลายรังโจรติดตามจับกลุ่มแก๊งอาชญากรรม ที่ออกมาทำร้ายคู่อริต่างสถาบัน ก่อความวุ่นวายในสังคม พร้อมส่งสัญญาณเตือนไปยังผู้ต้องหาที่เหลือ ตำรวจรู้ตัวหมดแล้ว จะติดตามตัวมารับโทษให้ได้ รวมทั้งสั่งการไปให้ใช้มาตรการเด็ดขาด ทลายแก๊งอาชญากรรมเหล่านี้ให้หมดไป ใครที่ยังมีแนวความคิดความเชื่อที่ผิดกฎหมาย ขอให้หยุด เพราะหากเกิดเรื่องที่ผิดกฎหมายขึ้น ตำรวจจะเอาจริง จะตามจับกุมตัวมาลงโทษตามกฎหมาย และขยายผลไปยังตัวการอื่นๆด้วย รวมทั้งกลุ่มแก๊งวัยรุ่นอันธพาล ที่ยังก่อความเดือดร้อนรำคาญให้สังคม ตำรวจทุกหน่วยทั่วประเทศต้องเอาจริงเอาจังแก้ปัญหาให้จบสิ้นภายใน 1 เดือน หากหน่วยไหนปล่อยปละละเลย จะพิจารณาตำรวจพื้นที่

แฉวีรกรรมแก๊ง ป.4 จัดหนักห้องเรียนซะเละ 'ทุบคอมพ์-ตัดสาย-เอากาวเท' ผอ.สั่งปิดข่าว

เมื่อวานนี้ (30 ม.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แอคเคาต์เอ็กซ์ @RedSkullxxx ได้เปิดสภาพห้องเรียนของตึก EP ของโรงเรียนประถมแห่งหนึ่งใน จ.ฉะเชิงเทรา พังยับเยิน โดยอ้างว่าเป็นการกระทำของกลุ่ม นักเรียนชั้น ป.4 ที่รวมกลุ่มทำลายข้าวของ โดยระบุว่า

“นี่คือสภาพห้องเรียนของตึก EP ของโรงเรียนประถมแห่งหนึ่ง ในอำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา จากการถูกกลุ่มเด็กนรก ป.4 รวมกลุ่มกันทำลายข้าวของและจะเผาโรงเรียน

ข้าวของของโรงเรียนเสียหายมาก คอมพิวเตอร์โดนตัดสาย เอาค้อนทุบจอแตกหมดทุกเครื่อง เครื่องปริ้นก็เอากาวเท รวมทั้งโต๊ะครูด้วย สมุด หนังสือเรียนโดนเผา

แต่ประเด็นคือ ผอ.ห้ามครูพูด ห้ามให้เผยแพร่รูปภาพ ห้ามให้เป็นข่าว โดยบอกว่าเด็กแค่เล่นกันเป็นเรื่องปกติ เป็นแค่อุบัติเหตุโดยที่ไม่มีการลงโทษเด็กใดๆ ทั้งสิ้นด้วย

จนไอ้พวกเด็กที่ทำลอยหน้าลอยตา แล้วอวดในโรงเรียนว่าพวกกูนี่แหละเป็นคนทำ ไม่มีใครทำอะไรได้ ตอนนี้ ผอ.สั่งปิดข่าว ห้ามครูพูดที่ไหน ห้ามให้ส่งรูป ห้ามให้เรื่องดัง ถ้าเรื่องดังครูจะโดนโทษ เหตุเกิดเมื่อวาน (29 ม.ค.) สดๆ ร้อนๆ”

ทั้งนี้ ยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า เมื่อวันศุกร์ที่แล้วคณะครูไปแฟมิลี่เดย์ พอกลับมาวันจันทร์เลยมาเจอห้องเป็นแบบนี้ ผอ.แค่เรียก ผปค.เด็กมารับทราบ และไม่ลงโทษเด็ก ผู้ชาย 3 ผู้หญิง 1 แต่โทษครูว่าไม่ล็อกห้อง จะล็อกยังไง กุญแจก็ไม่มีให้ และไม่เคยเกิดเรื่องแบบนี้เลย

อาทิตย์ที่แล้วพัสดุที่อยู่ตรงป้อมยามก็โดนเด็กกลุ่มนี้รื้อทิ้งเสียหาย ผอ.ก็โทษครูที่สั่งของมาเอง ทีนี้พอครั้งนั้นไม่โดนลงโทษก็ยังทำอีกรุนแรงกว่าเดิม กลัวจะเกิดเรื่องที่เสียหายกว่านี้ มีเด็กอนุบาลเยอะด้วย

ก่อนจะทิ้งท้ายว่า “ถ้าได้ภาพจากกล้องวงจรปิด จะส่งให้ ไม่แน่ใจว่า ผอ.สั่งลบรึยัง แต่มีแน่ๆ เพราะหลักฐานทุกอย่างที่จับได้ว่าใคร ได้มาจากกล้องวงจรปิด คิดว่าน่าจะกลัวเรื่องดังเลยต้องให้รีบๆ จบ”

‘Icon of the Seas’ เรือสำราญหรู 7 หมื่นล้าน ออกท่องทะเลแล้ว ราคา 61,000-94,000 บาท ส่วนไฮซีซั่นเหยียบ 2 แสน

(31 ม.ค.67) เว็บไซต์ต่างประเทศ รายงานว่า ไอคอน ออฟ เดอะซีส์ (Icon of the Seas) เรือสำราญใหญ่ที่สุดในโลกได้แล่นออกจากท่าเรือในเมืองไมอามี รัฐฟลอริดา สหรัฐ เมื่อวันที่ 27 มกราคมที่ผ่านมา เพื่อออกเดินทางครั้งแรกไปท่องเที่ยวเกาะต่างๆ ในทะเลแคริบเบียนเป็นเวลา 7 วัน

เรือสำราญหรูลำดังกล่าวเป็นของบริษัท รอยัล แคริบเบียน กรุ๊ป มีขนาดความยาวของตัวเรือ 365 เมตร มีน้ำหนัก 250,800 ตัน หรือใหญ่กว่าเรือไททานิคราว 5 เท่า สามารถจุผู้โดยสารได้สูงสุด 7,600 คน และพนักงานบนเรืออีกกว่า 2,000 คน มูลค่าการลงทุนสร้าง 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือราว 72,000 ล้านบาท

สำหรับภายในเรือสำราญมีจำนวน 20 ชั้น มีร้านอาหาร บาร์ และเลาจน์บนเรือมากกว่า 40 แห่ง มีสระว่ายน้ำ 7 สระและสไลเดอร์น้ำ 6 แห่ง เรือลำนี้ถูกต่อที่อู่ต่อเรือในประเทศฟินแลนด์และติดธงบาฮามาส

อีกทั้ง พิธีตั้งชื่อเรือลำนี้ ยังมีลีโอเนล เมสซี่ กองหน้ากัปตันทีมชาติอาร์เจนตินาของสโมสรอินเตอร์ ไมอามี เข้าร่วมในพิธีในครั้งนี้ด้วย

ในส่วนของราคาตั๋วล่องเรือสำราญบนเรือไอคอน ออฟ เดอะ ซีส์ มีราคาตั้งแต่ 1,723 -2,639 ดอลลาร์สหรัฐหรือราว 61,000-94,000 บาท ขณะที่ราคาตั๋วในช่วงไฮซีซั่นอย่างคริสต์มาสจะอยู่ที่ราว 5,124 ดอลลาร์สหรัฐหรือราว 182,158 บาท

อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมการล่องเรือสำราญถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่เติบโตเร็วที่สุด สมาคมเรือสำราญระหว่างประเทศ (Cruise Lines International Association : CLIA) ระบุว่า คนวัยหนุ่มสาวให้ความสนใจกับการท่องเที่ยวพักผ่อนบนเรือสำราญเป็นพิเศษ

โดยอุตสาหกรรมล่องเรือสำราญสร้างรายได้แก่เศรษฐกิจโลกในปี 2564 รวมมูลค่า 75,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 2.66 ล้านล้านบาท

ทั้งนี้ นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมได้เตือนว่าก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) ที่ถูกใช้เป็นเชื้อเพลิงเพื่อขับเคลื่อนเรือลำดังกล่าวจะปล่อยก๊าซมีเทนขึ้นไปในอากาศ ถึงแม้ว่าแอลเอ็นจีจะมีการเผาไหม้ที่สะอาดกว่าเชื้อเพลิงที่ใช้ในเรือเดินสมุทรในอดีต

อาทิ น้ำมันเตา แต่ทางบริษัทรอยัล แคริบเบียน กล่าวว่า เรือไอคอน ออฟ เดอะซีส์ ประหยัดพลังงานมากกว่าที่ทางองค์การทางทะเลระหว่างประเทศกำหนดไว้สำหรับเรือรุ่นใหม่ถึงร้อยละ 24

‘ชัยธวัช’ ชี้!! ต้องหยุดนำสถาบันมายุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งทางการเมืองไทยได้แล้ว

เมื่อวานนี้ (30 ม.ค. 67) นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการ เปิดปากกับภาคภูมิ ทางไทยรัฐ ในประเด็น ‘หยุดเอาเรื่องสถาบันฯ เข้ามาเกี่ยวพันการเมืองไทยได้แล้ว’ โดยระบุว่า

“ต้องหยุดเอาเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์เข้ามาเกี่ยวพันกับความขัดแย้งทางการเมืองไทยได้แล้ว เรื่องนี้ไม่ได้เริ่มต้นโดยพรรคก้าวไกลด้วยซ้ำ แต่เริ่มต้นโดยคณะกรรมการอิสระที่ตั้งโดยรัฐบาลคุณอภิสิทธิ์”

นายชัยธวัช กล่าวต่อว่า มีคนเอาเรื่องสถาบันมาเป็นเหตุผลในการยุบพรรคการเมือง สอยนักการเมือง สร้างความเกลียดชังให้กับกลุ่มที่มีความขัดแย้งกัน พวกเรา (พรรคก้าวไกล) ก็หวังว่าจะเหลือพื้นที่ให้กับกระบวนการนิติบัญญัติ เป็นพื้นที่ที่จะหาข้อยุติความเห็นต่างอย่างมีวุฒิภาวะโดยกระบวนการประชาธิปไตย

นายชัยธวัช กล่าวถึงกรณีหากมีการยุบพรรคก้าวไกล จากสารตั้งต้นในเรื่อง ม.112 ว่า ก็ต้องดูรายละเอียดสําคัญ สส.พรรคก้าวไกลก็เห็นตรงกันว่าการบังคับใช้กฎหมาย รวมถึงบทบัญญัติมันมีปัญหาที่ควรที่จะต้องมีการแก้ไขปรับปรุง ดังนั้นก็รอดูอยู่ว่าคําวินิจฉัยจะมีรายละเอียดยังไง และก็ปฏิเสธไม่ได้ที่จะต้องเอามาเป็นองค์ประกอบในการพิจารณาในการดำเนินการเรื่องนี้ต่อไปของพรรคก้าวไกล 

นายชัยธวัช ระบุต่อว่า มาตรา 112 ยังมีความสำคัญในการคลี่คลายปัญหาความขัดแย้งในการเมืองไทย และยังมีปัญหาทั้งในเชิงตัวบทกฎหมายและการบังคับใช้ และหากสถานการณ์ยังเป็นแบบนี้อยู่ พรรคก้าวไกลก็ยังจะให้ความสำคัญต่อไป ส่วนจะดำเนินการแบบใด จะต้องพิจารณากันอีกที เพราะยังมีหลายเรื่องที่ต้องการผลักดันให้สำเร็จ

สตม.ขยายผล รวบผู้สั่งการเครือข่ายขบวนการลักลอบขนบังกลาเทศข้ามแดนผิดกฎหมาย

กก.สส.บก.ตม.3 ร่วมกับ ตม.จว.ประจวบคีรีขันธ์ และ สภ.ห้วยยาง จับกุม นายประยน (นามสมมติ) อายุ 30 ปี สัญชาติไทย ตามหมายจับศาลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ที่ จ.8/2567 ลงวันที่ 15 มกราคม 2567 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ช่วยเหลือซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใด ๆ แก่คนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมายเพื่อให้คนต่างด้าวรอดพ้นจากการจับกุม” นำตัวส่ง พนักงานสอบสวน สภ.ห้วยยาง จว.ประจวบคีรีขันธ์ ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับ บริเวณหน้าบ้าน ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง แขวงมีนบุรี เขตมีนบุรี กรุงเทพฯพฤติการณ์จับกุม

สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2567 เวลาประมาณ 20.00 น. ตม.จว.ประจวบคีรีขันธ์ ได้สนธิกำลังจับกุม นายสุริน (นามสมมุติ) อายุ 27 ปี สัญชาติไทย  ในความผิดฐาน “ช่วยเหลือซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใด ๆ แก่คนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมายเพื่อให้คนต่างด้าวรอดพ้นจากการจับกุม” และจับกุมคนต่างด้าวสัญชาติบังกลาเทศ จำนวน 30 คน ในความผิดฐาน “เป็นคนต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักร    โดยไม่ได้รับอนุญาต” พร้อมยึดรถยนต์กระบะ ยี่ห้ออีซูซุ ดีแมคซ์ สีขาว ต่อเติมหลังคาขนส่งตู้ทึบ จำนวน 1 คัน นำส่ง พนักงานสอบสวน สภ.ห้วยยาง จว.ประจวบคีรีขันธ์ ดำเนินคดีตามกฎหมาย ต่อมาจากการที่ กก.3 บก.สส.สตม. ได้ร่วมกับ ภ.จว.ประจวบคีรีขันธ์ ทำการสืบสวนขยายผลขบวนการ เครือข่ายที่เกี่ยวข้องพบว่า นายประยน มีส่วนร่วมในขบวนการ  ขนคนต่างด้าวข้ามแดนในคดีดังกล่าว โดยทำหน้าที่เป็นผู้สั่งการ พนักงานสอบสวน สภ.ห้วยยาง จว.ประจวบคีรีขันธ์ จึงได้   ขออนุมัติต่อศาลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ให้ออกหมายจับนายประยน ในความผิดฐาน “ช่วยเหลือซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใด ๆ แก่คนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมายเพื่อให้คนต่างด้าวรอดพ้นจากการจับกุม” จากนั้น กก.สส.บก.ตม.3 ได้ทำการสืบสวนจนทราบว่า นายประยน ได้ไปพักอาศัยอยู่ในเขตมีนบุรี กรุงเทพฯ จึงได้วางแผนเฝ้าติดตามจับกุม จนกระทั่งพบนายประยน  ยืนอยู่บริเวณหน้าบ้านพัก จึงเข้าแสดงตัวทำการจับกุม  จากการสืบสวนขยายผล พบแชทการพูดคุยในเรื่องจำนวนคนต่างด้าวและเส้นทางการขนคนต่างด้าว โดยนายประยน รับว่า ในช่วงแรกตนได้เปิดบริษัทขนส่ง มีรถกระบะขนส่ง (ตู้ทึบ) เพื่อวิ่งส่งของ แต่ภายหลังเห็นว่าถ้ามารับวิ่งงานสีเทาจะได้ค่าจ้างมากกว่าวิ่งส่งของมาก จึงหันมารับงานขนคนต่างด้าวลักลอบเข้าเมือง ซึ่งจะได้ค่าจ้างรายละประมาณ 2,500 บาท โดยเมื่อหักค่าใช้จ่ายแล้วตนเองจะได้รับอยู่ที่ประมาณหัวละ 1,500 บาท  โดยในคดีที่ถูกจับครั้งนี้ได้ส่งต่องานให้นายสุรินฯ เป็นผู้ขับรถขนส่งคนต่างด้าว จนถูกจับกุมเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา และรถยนต์กระบะ อีซูซุ ดีแมคซ์ สีขาว ที่ถูกตรวจยึดเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2567 ผู้ครอบครองเป็นญาติของตนเอง โดยก่อนหน้านี้ตนเองเคยถูกจับในความผิดมียาเสพติดอยู่ภายในรถขนส่ง เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.บก.ตม.3 จึงนำตัว นายประยน ส่งพนักงานสอบสวน สภ.ห้วยยาง จว.ประจวบคีรีขันธ์ ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

“เจริญชัย” นำผลิตภัณฑ์รางวัลนวัตกรรมไทยแห่งชาติ ร่วม MOU กับ อาชีวศึกษาทั่วประเทศ (อ.กรอ.อศ), (สอศ.) กระทรวงศึกษาธิการ 

พร้อมให้ผลิตภัณฑ์และองค์ความรู้ด้านการจัดการพลังงานแบบเรียลไทม์ (IoT)
ก้าวสู่ Net Zero, Near Zero, Peak Demand, Demand Response และบริหาร Green Energy Low Carbon ส่งเสริมหลักสูตรบำรุงรักษาและมาตรฐานความปลอดภัย อัคคีภัย 
ของหม้อแปลงไฟฟ้า สื่อการสอนทันสมัยที่สุดในอาเซียน

เมื่อวันที่ 26 มกราคม ที่ผ่านมา วิทยาลัยเทคนิคหาดใหญ่ โดยนายชริน รัตฉวี รองผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิคหาดใหญ่ ได้ร่วม “การลงนามความร่วมมือภายใต้การขับเคลื่อนคณะอนุกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อผลิตและพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษา (อ.กรอ.อศ.) กระทรวงศึกษาธิการ กับนายประจักษ์ กิตติรัตนวิวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจริญชัยหม้อแปลงไฟฟ้า จำกัด พร้อมนำผลิตภัณฑ์รางวัลนวัตกรรมมาให้ความรู้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประสานความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการจัดการอาชีวศึกษา, เพื่อร่วมกันพัฒนาหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจพลังงานและพลังงานทดแทน, เพื่อร่วมกันผลิตและพัฒนากำลังอาชีวศึกษาให้มีสมรรถนะสอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานโดยการจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี, เพื่อพัฒนาศักยภาพของครู บุคลากรอาชีวศึกษา และครูฝึกในสถานประกอบการให้มีความรู้และทักษะด้านพลังงานและพลังงานทดแทน, เพื่อส่งเสริมและพัฒนาทักษะวิชาชีพด้านพลังงานและพลังงานทดแทนของผู้เรียนอาชีวศึกษาให้มีสมรรถนะวิชาชีพตรงตามความต้องการของตลาดแรงงาน, เพื่อส่งเสริมและผลักดันให้เกิดการใช้และพัฒนาธุรกิจพลังงานและพลังงานทดแทนในประเทศและเพื่อสนับสนุนการยกระดับคุณภาพอาชีวศึกษาไทยสู่มาตรฐานประเทศและมาตรฐานสากลตามที่สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ได้มีนโยบายในการให้สถานศึกษาและสถานประกอบการ ที่จะผลิตช่างฝีมือออกไปสู่ตลาดแรงงานให้มีคุณภาพที่ตรงตามความต้องการ ทั้งนี้สถานศึกษาเป็นหน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญในการให้ความรู้ทางด้านทฤษฎี ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งในระบบทวิภาคี เพื่อเป็นพื้นฐานเบื้องต้นก่อนนักเรียน นักศึกษาออกไปเรียนรู้ประสบการณ์จริงในสถานประกอบการ โดยที่สถานประกอบการจะสอนให้นักเรียนนักศึกษาได้เรียนรู้วิธีการทำงานจริงในสถานประกอบการ ซึ่งทั้งสถานศึกษาและสถานประกอบการจะต้องมีความสอดคล้องกัน จึงจะส่งผลดีกับนักเรียน นักศึกษาโดยตรง เป็นการสร้างและพัฒนาเครือข่ายด้านวิชาชีพร่วมกันอย่างเป็นระบบ สอดคล้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจและประเทศชาติต่อไป

การสร้างความเข้มแข็ง และความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในภาวการณ์แข่งขันปัจจุบันและอนาคต จำเป็นต้องมีกำลังแรงงานในประเทศที่มีคุณภาพการอาชีวศึกษา ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการผลิตกำลังคนสู่งานอาชีพ จึงต้องมีการพัฒนาให้ตรงตามความต้องการของภาคการผลิตและบริการ โดยหลักสูตรต้องมีความยืดหยุ่น ง่ายต่อการปรับเปลี่ยนให้ตรงกับความต้องการของภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม การจักการศึกษาเพื่อพัฒนาผู้เรียน ต้องเน้นการเรียนรู้แบบบูรณาการการเรียนด้วยการปฏิบัติจริง และการประเมินตามสภาพจริง ตามหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ และหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพขั้นสูง โดยผู้เรียนให้เวลาส่วนหนึ่งในสถานศึกษาอาชีวศึกษาหรือสถาบัน และเรียนภาคปฏิบัติในสถานประกอบการรัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐ มีแนวทางการศึกษาโดย สถานศึกษาจัดสอนรายวิชาในสถานศึกษาตามแผน การเรียน และสถานประกอบการจัดฝึกอาชีพในสถานประกอบการตามแผนการฝึกอาชีพ โดยระยะเวลาการฝึกอาชีพ จะยาวนานกว่าการฝึกประสบการณ์ของนักเรียนนนักศึกษาภาคปกติ

โดยโครงการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือกับสถานศึกษา หน่วยงาน และองค์กรต่าง ๆ เพื่อให้นักเรียนนักศึกษาได้รับความรู้จากสถานศึกษา หน่วยงาน และองค์กรต่าง ๆ และเพื่อเป็นการยกย่องเชิดชูเกียรติสถานประกอบการอีกด้วย นายประจักษ์  กิตติรัตนวิวัฒน์  รองกรรมการผู้จัดการบริษัท เจริญชัยหม้อแปลงไฟฟ้า จำกัด กล่าว  ผมรู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่ง (อ.กรอ.อศ.), (สอศ.) กระทรวงศึกษาธิการ ในการให้ความรู้ด้านการจัดการพลังงานแบบเรียลไทม์ (IoT) ก้าวสู่ Net Zero, Near Zero, Peak Demand, Demand Response และบริหาร Green Energy Low Carbon ส่งเสริมหลักสูตรบำรุงรักษาและมาตรฐานความปลอดภัย อัคคีภัย ของหม้อแปลงไฟฟ้าพร้อมผลิตภัณฑ์รางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ (NiA) และร่วมพัฒนาบุคลากร ร่วมพัฒนาสถานศึกษาและร่วมประเมินสมรรถนะอาชีพ เพื่อสนับสนุนการสร้างคน สร้างงานให้ทันสมัยด้วยนวัตกรรมไทย เน้นความร่วมมือในการจัดอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมและผลิตกำลังคนอาชีวศึกษาเข้าสู่ตลาดแรงงาน ส่งผลให้ผู้เรียนที่สำเร็จการศึกษามีคุณภาพ โดยให้เป็นหนึ่งในนโยบายกระทรวงศึกษาธิการในการยกระดับคุณภาพการจัดการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน และความต้องการกำลังคนของประเทศ ตามยุทธศาสตร์ชาติและแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ  และในฐานะที่ผมเป็นตัวแทนสถานประกอบการ ผมหวังว่าสิ่งที่สถานประกอบการได้มอบให้จะนำพาอาชีวศึกษาไปสู่การประกอบอาชีพได้ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ประกอบการ

‘ปักกิ่ง’ ตั้งเป้า!! เพิ่ม ‘พื้นที่สีเขียว’ ภายในปีนี้ ลุยสร้างสวนสาธารณะ-ปลูกป่าในเมือง 15 แห่ง

เมื่อวานนี้ (30 ม.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า การประชุมงานของสำนักป่าไม้และสวนสาธารณะเทศบาลกรุงปักกิ่งของจีน ซึ่งเสร็จสิ้นเมื่อไม่นานนี้ รายงานว่าปักกิ่งจะเพิ่มพื้นที่สีเขียวในปี 2024 โดยมีเป้าหมายว่าร้อยละ 91 ของผู้อยู่อาศัยจะเข้าถึงสวนสาธารณะและพื้นที่สีเขียวขนาดเล็กภายในรัศมี 500 เมตร

เกาต้าเหว่ย หัวหน้าสำนักฯ เผยว่า ปักกิ่งวางแผนปลูกป่า 10,000 หมู่ (ราว 4,166 ไร่) และเพิ่มพื้นที่สีเขียวในเมืองอีก 200 เฮกตาร์ (ราว 1,250 ไร่) ในปี 2024 รวมถึงมุ่งหน้าสู่การเป็น ‘เมืองแห่งสวน’ ใต้ร่มเงาป่าไม้ โดยปักกิ่งจะเพิ่มสวนสาธารณะและป่าในเมือง 15 แห่ง ควบคู่กับสวนสาธารณะขนาดย่อมและพื้นที่สีเขียวขนาดเล็ก 50 แห่ง

ทั้งนี้ กรุงปักกิ่งมีสวนสาธารณะรูปแบบต่างๆ รวม 1,065 แห่ง พร้อมอัตราความครอบคลุมของพื้นที่สีเขียวต่อหัวอยู่ที่ 16.9 ตารางเมตร โดยปักกิ่งมีความครอบคลุมของป่าไม้สูงแตะร้อยละ 44.9 และความครอบคลุมของป่าไม้ในเมืองสูงแตะร้อยละ 49.8 เมื่อนับถึงสิ้นปีก่อน รวมถึงการกักเก็บคาร์บอนของป่าไม้และพื้นที่สีเขียวในเมืองรายปีสูงแตะ 9.2 ล้านตัน

สตม.จับหนุ่มเมืองผู้ดีหื่น ก่อคดีพรากผู้เยาว์ไปกระทำอนาจาร

ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม., พล.ต.ต.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ปิติ นิธินนทเศรษฐ์ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ประพันธ์ศักดิ์ ประสานสุข ผบก.สส.สตม., พล.ต.ต.ณัฐกร ประภายนต์ ผบก.ตม.3, พล.ต.ต.ประสาธน์ เขมะประสิทธิ์ ผบก.ตม.1, พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.ภาณุภาคยณ์ จิตต์ประยูรตี รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชิตเดชา สองห้อง รอง ผบก.สส.ภ.7 ปฏิบัติราชการ บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ระพีพัฒน์ อุตสาหะ รอง ผบก.ตม.1, พ.ต.อ.เพลิน กลิ่นพยอม รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.จิรพงศ์ รุจิรดำรงชัย ผกก.สส.บก.ตม.๓, พ.ต.อ.กาจภณ ปฐมัง ผกก.สส.บก.ตม.1, พ.ต.อ.ธวัชชัย นรินรัตน์ ผกก.1 บก.สส.สตม. ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญ ดังนี้

1. สตม.จับหนุ่มเมืองผู้ดีหื่น ก่อคดีพรากผู้เยาว์ไปกระทำอนาจาร บก.สส.สตม. จับกุมนายไทเลอร์ (นามสมมติ) อายุ 38 ปี สัญชาติอังกฤษ ตามหมายจับศาลจังหวัดภูเก็ต ที่ จ.21/2567 ลงวันที่ 12 มกราคม 2567 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน พรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปีแต่ยังไม่เกิน สิบแปดปีไปเสียจากบิดา มารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล โดยปราศจากเหตุสมควรเพื่อการอนาจาร นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.ฉลอง จว.ภูเก็ต ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุมพื้นที่ ต.หนองหอย อ.เมืองเชียงใหม่ จว.เชียงใหม่

พฤติการณ์จับกุม ในระหว่างปี พ.ศ.2557 – 2558 นายไทเลอร์ ผู้ต้องหา ได้เดินทางเข้ามาอยู่ในประเทศไทย และได้ไปเป็นครูสอนหนังสือในโรงเรียนนานาชาติแห่งหนึ่งในจังหวัดภูเก็ต ในระหว่างที่เป็นครูนั้นนายไทเลอร์ ได้ก่อเหตุพาเด็กนักเรียนหญิงต่างชาติ อายุ 16 ปี ซึ่งเป็นนักเรียนในโรงเรียนนานาชาติแห่งนั้นไปกระทำอนาจารที่บ้านหลังหนึ่ง  ซึ่งตั้งอยู่ใน ต.ฉลอง อ.เมืองภูเก็ต จว.ภูเก็ต จำนวน 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2557 ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2558 เวลากลางคืน เมื่อผู้ปกครองของเด็กหญิงและทางโรงเรียนทราบเรื่อง 

ทางโรงเรียนจึงได้สอบสวนและได้ยกเลิกสัญญาจ้างการเป็นครูของนายไทเลอร์ ส่วนการแจ้งความดำเนินคดีทางผู้ปกครองของเด็กหญิงขอให้บุตรสาวของตนได้เรียนหนังสือในประเทศไทยให้จบก่อน เมื่อบุตรสาวเรียนจบ ผู้ปกครองจึงได้มาแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สภ.ฉลอง เพื่อให้ดำเนินคดีกับนายไทเลอร์ พนักงานสอบสวนจึงได้รวบรวมพยานหลักฐานต่าง ๆ ขออนุมัติศาลจังหวัดภูเก็ตออกหมายจับนายไทเลอร์ ซึ่งศาลจังหวัดภูเก็ตได้ออกหมายจับที่ จ.21/2567 ลงวันที่ 12 มกราคม 2567 ให้จับกุมนายไทเลอร์ ในความผิดฐาน พรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดา มารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล โดยปราศจากเหตุสมควรเพื่อการอนาจาร

หลังจากที่ตรวจพบว่านายไทเลอร์เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับกระทำความผิดฐานดังกล่าว พล.ต.ต.ประพันธ์ศักดิ์ ประสานสุข ผบก.สส.สตม. จึงได้สั่งการให้ กก.1 บก.สส.สตม. สืบสวนติดตามจับกุมนายไทเลอร์ จากการสืบสวนทราบว่า หลังจากก่อเหตุ นายไทเลอร์ได้ไปพักอาศัยอยู่กับภรรยาซึ่งเป็นหญิงไทยที่บ้านหลังหนึ่งในย่าน ต.หนองหอย อ.เมืองเชียงใหม่ จว.เชียงใหม่ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2559 เป็นต้นมา จึงได้จัดกำลังไปเฝ้าสังเกตการณ์เพื่อสืบสวนติดตามจับกุม เมื่อพบนายไทเลอร์ จึงได้แสดงหมายจับและจับกุมนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.ฉลอง จว.ภูเก็ต ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป  

10 เมืองแห่งโอกาสในประเทศจีน เหมาะสำหรับศึกษาเรียนรู้-ใช้ชีวิต

การไปเรียนต่อต่างประเทศ อาจจะเป็นฝันของเด็กไทยจำนวนไม่น้อย และประเทศที่เป็นหนึ่งในตัวเลือกอันดับต้นๆ ก็คือ ‘ประเทศจีน’ ด้วยเหตุผลหลายปัจจัย เช่น ชื่นชอบวัฒนธรรม ประเพณี ภาษา ค่าใช้จ่ายอยู่ในระดับที่เอื้อมถึง มีการสอบชิงทุน หรือแม้แต่ได้เรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง 

วันนี้จะพามาดู 10 เมืองแห่งโอกาสในประเทศจีน ที่เหมาะสำหรับการศึกษาเรียนรู้ และใช้ชีวิต หากใครมีแผนไปเรียนต่อที่จีน แต่ยังไม่รู้จะไปที่เมืองไหนดี ก็ลองมาเลือกดูกันได้นะ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top