Monday, 9 June 2025
NewsFeed

'ตุ๊ดรีวิว' อัดคลิปขอโทษช่อง Top News หลังเจอช่องฟ้องหมิ่น 20 ล้านบาท

(1 ก.พ.67) เพจ 'ตุ๊ดส์review' ได้อัดคลิปขอโทษช่อง Top News ดังนี้...

สวัสดีครับ ผม ‘บอย’ ธนบัตร ชายด่าน admin เจ้าของสื่อ social media ‘ตุ๊ดส์review’ / tootsyreview

เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2566 บอยได้โพสต์ข้อความและภาพที่เข้าข่ายหมิ่นประมาท และก่อให้เกิดความไม่สบายใจต่อสถานีโทรทัศน์ TOP NEWS และตนเองได้ใคร่ครวญดีแล้วว่า ทั้งข้อความ และภาพดังกล่าว สร้างความเสื่อมเสียต่อภาพลักษณ์ และไม่เป็นความจริง นำไปสู่ความเข้าใจผิดต่อสถานีโทรทัศน์ TOP NEWS

จึงขอนำคลิปวิดีโอ และข้อความนี้ แสดงถึงความสำนึกของตัวเองที่มีต่อความผิดพลาด และแสดงคำขอโทษไปยังสถานี รวมไปจนถึงส่งต่อเรื่องราวนี้ ไปยังบุคคลที่ผ่านเข้ามาอ่าน หรือชมวีดีโอนี้ ไม่ว่าจะทาง Facebook, Instagram และ Twitter ให้เป็นหนึ่งบทเรียนของการวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมออนไลน์

เพราะการวิจารณ์โดยสุจริตนั้นสามารถทำได้ แต่ต้องไม่เป็นการละเมิดผู้อื่น หรือทำให้เกิดความเสื่อมเสียต่อใคร และจากเหตุการณ์นี้ บอยเองจะนำไปปรับใช้ในการพัฒนา content และการวิพากษ์วิจารณ์ของเพจให้มีคุณภาพยิ่งขึ้น ใส่ใจสังคมมากขึ้น และระมัดระวังทุกการสื่อสารในการใช้คำพูดและข้อความอันเป็นประโยชน์ต่อสังคมต่อๆ ไป เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบทางลบต่อบุคคล และสังคมในอนาคต

และขอขอบคุณสถานีโทรทัศน์ TOP NEWS ที่ให้โอกาสบอยได้ชี้แจง แก้ไขปรับปรุง และแสดงคำขอโทษมา ณ โอกาสนี้ด้วยครับ

บอย ธนบัตร ชายด่าน
admin เจ้าของเพจ #ตุ๊ดส์review

‘กัญจนา’ ไม่เห็นด้วย!! นำ ‘หมีแพนด้า’ เข้าไทย แนะ!! ควรเอาเงินไปดูแล ‘ช้าง’ บ้านเราดีกว่า

เมื่อวันที่ 30 ม.ค.67 น.ส.กัญจนา ศิลปอาชา แกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา ที่ปรึกษา รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โพสต์เฟซบุ๊กกรณีที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง หารือกับนายหวัง อี้ สมาชิกกรมการเมือง ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกลางด้านกิจการต่างประเทศของพรรคคอมมิวนิสต์จีน และ รมว.การต่างประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน และนายหวัง อี้ยินดีสนับสนุนให้ส่งหมีแพนด้ามายังประเทศไทยอีกครั้งหนึ่งนั้น ระบุว่า "เคยแสดงความไม่เห็นด้วยไปครั้งหนึ่งแล้วเมื่อปีก่อน ตอนมีข่าวใหม่ๆ ทั้งที่ดิฉันเป็นคนที่รักแพนด้ามาก

ขอกล่าวเหตุผลที่ไม่เห็นด้วยอีกครั้ง

1. แพนด้าอยู่จีนดีแล้ว เขาเลี้ยงแต่ละตัวในพื้นที่กว้าง มีสนามส่วนตัว อากาศเหมาะสม

2. ส่วนจัดแสดงแพนด้าที่สวนสัตว์เชียงใหม่เล็ก พื้นที่จำกัด เป็นห้องแอร์ ไม่เป็นธรรมชาติเลย แพนด้าจะมีโอกาสออกสวนเล็กๆ ยามอากาศหนาวเพียงไม่เกินปีละ 1 สัปดาห์ ที่เขาจะได้เจออากาศธรรมชาติ

3. ค่าเช่าแพนด้าแพงมาก ปีละหลายสิบล้าน

4. กระแสแพนด้าในไทยหมดไปแล้ว

5. กระแสช้างไทยมาแรง ควรใช้เงินดูแลช้างและสัตว์ในบ้านเรา รวมทั้งทำแหล่งอาหารสัตว์ป่า แก้ปัญหาระหว่างคนกับช้าง

สรุป... แพนด้าอยู่จีนดีกว่า ควรใช้เงินเพื่อสัตว์ในบ้านเรา และไม่ควรใช้สัตว์เป็นทูตแล้ว"

'อ.พงศ์พาณุ' ชี้!! ความขัดแย้งระหว่างนโยบายการเงินกับการคลัง กำลังก่อ 'ปัญหา-เหนี่ยวรั้ง' ความก้าวหน้าของเศรษฐกิจไทย

(1 ก.พ. 67) อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ได้กล่าวว่า...

ต้นปี 2567 ความขัดแย้งระหว่างนโยบายการเงินกับนโยบายการคลังยังคงเป็นปัญหาเหนี่ยวรั้งความก้าวหน้าของเศรษฐกิจไทยอยู่ ในขณะที่นโยบายการคลังพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้ผ่านพ้นจากวิกฤตที่กำลังเผชิญอยู่ แต่นโยบายการเงินกลับสวนทางและฉุดให้เศรษฐกิจไทยถอยหลังลงเหวอย่างไร้ความรับผิดชอบ ความขัดแย้งดังกล่าวบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนและไม่เป็นผลดีต่อประเทศชาติเลย กระทรวงการคลังรายงานคณะรัฐมนตรีเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2566 เติบโตเพียง 1.8% วันรุ่งขึ้นธนาคารแห่งประเทศไทยออกมาบอกว่าประมาณการนี้ไม่ถูกต้อง จึงควรต้องตั้งคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับองค์กรที่รับผิดชอบนโยบายการเงิน

เป็นที่ยอมรับในสากลว่านโยบายการเงินมีหน้าที่หลักในการรักษาเสถียรภาพของระดับราคา ผ่านกลไกอัตราดอกเบี้ยนโยบายในกรอบ Inflation Targeting และธนาคารกลางสมควรมีความเป็นอิสระในการดำเนินนโยบายการเงิน แต่ทั้งนี้ก็ต้องอยู่ภายในกรอบเงินเฟ้อที่รัฐบาลเห็นชอบ 

ในกรณีของประเทศไทย กรอบเงินเฟ้อกำหนดไว้ที่ 1-3% เมื่อปี 2565 มีแรงกดดันเงินเฟ้อ แต่ธนาคารแห่งประเทศไทยขึ้นดอกเบี้ยล่าช้าไม่ทันการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางอื่นทั่วโลก อาจด้วยเหตุผลทางการเมือง เป็นเหตุให้ภาวะเงินเฟ้อในไทยพุ่งทยานขึ้นสูงถึง 6.1% ซึ่งเป็นระดับที่เกือบจะสูงที่สุดในโลกและเกินกรอบเงินเฟ้อที่ตกลงกับรัฐบาลกว่าเท่าตัว 

พอมาปี 2566 ที่เพิ่งผ่านพ้นไป ธนาคารแห่งประเทศไทยกลับมาเร่งขึ้นดอกเบี้ยหลังการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อเดือนพฤษภาคม 2566 แม้ว่าเศรษฐกิจไทยจะเริ่มถดถอยและอัตราเงินเฟ้อจะหลุดกรอบล่างไปแล้ว ทำให้ไทยเข้าสู่ภาวะเงินฝืด (Deflation) โดยมีเงินเฟ้อติดลบ 3 เดือนติดต่อกันในไตรมาสสุดท้าย ประเทศไทยจึงอาจเป็นประเทศที่มีความผันผวนทางการเงินสูงที่สุดประเทศหนึ่ง

น่าแปลกใจที่ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยไม่เคยออกมาแสดงความรับผิดชอบอย่างลูกผู้ชาย แต่กลับแก้ตัวแบบข้างๆ คูๆ ว่า ไม่ใช่เรื่องของแบงก์ชาติ แต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างของประเทศไทย คงต้องทำใจแล้วว่าเรามีธนาคารกลางที่มีความสามารถในการโยนความผิดให้ผู้อื่น และเก่งในทุก ๆ เรื่อง ยกเว้นเรื่องนโยบายการเงิน ถ้าผู้ก่อตั้งธนาคารแห่งประเทศไทยยังมีชีวิตอยู่ก็คงจะเสียใจมิใช่น้อย

‘3 คนข่าวดัง’ ขอยก 3 ผู้นำ ‘อินเดีย-จีน-ญี่ปุ่น’ ต้องฉายานี้ ‘มาหาภารตะ - จิ๋นสีฮ่องเต้ - เห็นเงียบๆ แต่งานเพียบ’

(1 ก.พ. 67) วารินทร์ สัจเดว ผู้ประกาศข่าว TNN (อินเดีย), ครูพี่ป๊อป ณัฐพงศ์ นำศิริกุล ผู้ประกาศข่าว TNN (จีน) และดร.เจษฎา ศาลาทอง อาจารย์ประจำ ภาควิชาการสื่อสารมวลชน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ผู้ดำเนินรายการ Good Morning Asean ทาง MCOT (ญี่ปุ่น) ได้พูดถึงผลงานของผู้นำ 3 ประเทศ ได้แก่ อินเดีย จีน และญี่ปุ่นในปี 2023 ที่ผ่านมา รวมถึงผลงานที่จะเกิดขึ้นในปี 2024 พร้อมตั้งฉายาให้ผู้นำแต่ละประเทศ

ด้าน วารินทร์ สัจเดว ผู้ประกาศข่าว TNN (อินเดีย) ได้ให้ฉายา ‘นเรนทรา โมที’ ประธานาธิบดีอินเดียว่า ‘มาหาภารตะ’ โดยอธิบายว่า มหาภารตะคือคัมภีร์ที่ชาวอินเดียและชาวโลกรู้จักกันอยู่แล้ว สำหรับ ‘นเรนทรา โมที’ กับย่างก้าวของอินเดียในปีที่ผ่านมา ก็อยากเติมสระอาไว้ให้ กลายเป็น ‘มาหาภารตะ’

สำหรับอินเดีย เป็นประเทศที่คบค้าได้กับทุกชาติ แต่ ‘นเรนทรา โมที’ จะยึดผลประโยชน์ของอินเดียไว้เป็นอันดับแรกเสมอ และเขาใช้คำว่า ‘ภารตะ’ เป็นคำแทนประเทศอินเดียอยู่บ่อย ๆ ด้วย ส่วนการเลือกตั้งในปี 2024 นี้ เชื่อว่าไม่มีใครโค่นเขาลงได้แน่นอน

ทางด้าน ครูพี่ป๊อป ณัฐพงศ์ นำศิริกุล ผู้ประกาศข่าว TNN (จีน) ได้ให้ฉายา ‘สี จิ้นผิง’ ประธานาธิบดีจีนว่า ‘จิ๋นสีฮ่องเต้’ โดยอธิบายว่า ชื่อของสี จิ้นผิง ไปสอดคล้องพ้องเสียงกับจิ๋นซีฮ่องเต้ กษัตริย์จีนในอดีตผู้ที่เคยรวบรวมแผ่นดินจีนที่แตกแยกมาเป็นแผ่นดินใหญ่ได้ ซึ่งก็ตรงกับปณิธานของสี จิ้นผิง ที่ต้องการรวบรวมฮ่องกง ไต้หวัน และน่านน้ำต่างๆ มาให้ได้ภายในสมัยที่ตนดำรงตำแหน่งอยู่ จึงเป็นเหมือนการสถาปนาแผ่นดินใหญ่ แผ่นดินใหม่ขึ้นมา จึงให้ฉายาว่า ‘จิ๋นสีฮ่องเต้’

ปิดท้ายด้วย ดร.เจษฎา ศาลาทอง อาจารย์ประจำ ภาควิชาการสื่อสารมวลชน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ผู้ดำเนินรายการ Good Morning Asean ทาง MCOT (ญี่ปุ่น) ได้ให้ฉายา ‘ฟูมิโอะ คิชิดะ’ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ว่า ‘เห็นเงียบ ๆ แต่งานเพียบ’ โดยอธิบายว่า งานเพียบก็คือมีเหตุการณ์เกิดขึ้นมากมาย โดยเฉพาะเรื่องในมุ้งการเมือง ทั้งเรื่องการปรับ ครม. เรื่องการทุจริต คอร์รัปชัน แม้ในช่วงที่ผ่านมาญี่ปุ่นจะดูนิ่ง ๆ ไม่มีอะไรหวือหวา บวกกับบุคลิกของนายกรัฐมนตรีที่นิ่งเงียบด้วย แต่จริง ๆ แล้วมีปัญหาและงานให้ต้องแก้ไขเยอะมาก ก็ต้องมาตามดูกันว่าจะสามารถอยู่ต่อในสมัยที่ 2 ได้หรือไม่ เพราะตอนนี้ก็ต้องไล่แก้ปัญหามากมาย อาจจะต้องใช้ความนิ่งสงบสยบความวุ่นวายและปัญหา

‘นายกฯ’ พร้อม!! 2 ก.พ.67 กลับทำเนียบลุยงาน หลังรับยาครบตามแพทย์สั่ง-พ้นภาวะแพร่เชื้อแล้ว

(1 ก.พ. 67) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า ตามที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ป่วยไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ A และแพทย์รักษาโดยให้ยาต่อเนื่อง 3 วัน และให้พักผ่อนให้เพียงพอ วันนี้ (1 ก.พ. 67) นายกรัฐมนตรีรับยาครบ 3 วันตามแพทย์สั่งและ พ้นภาวะแพร่เชื้อแล้ว จึงจะกลับมาปฏิบัติหน้าที่ในวันพรุ่งนี้ (2 ก.พ. 67) ทันที ซึ่งมีนัดหมายและประชุมตลอดทั้งวัน

ในช่วงพักรักษาตัวที่บ้าน นายกรัฐมนตรียังคงปฏิบัติหน้าที่เหมือนปกติ ติดตามสถานการณ์ และสั่งการต่าง ๆ เช่น จากกรณีปรากฏภาพถ่ายทางดาวเทียมจุดความร้อนจากการเผาไหม้ (hot spot) ในกัมพูชาจำนวนมาก นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้กระทรวงการต่างประเทศประสานงานกับฝ่ายกัมพูชา และในวันพรุ่งนี้ (2 ก.พ. 67) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศจะโทรศัพท์พูดคุยกับนาย Eang Sophalleth รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อมของกัมพูชา เพื่อเร่งแก้ไขปัญหา PM 2.5 ร่วมกัน

นอกจากนี้ ยังได้ติดตามผลการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายหลังมาตรการยกเว้นวีซ่า โดยในกิจกรรมส่งเสริมการขายสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวไทยในรูปแบบ Live Streaming ผ่านแพลตฟอร์ม CTrip ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้กล่าวถ้อยแถลงผ่านระบบวีดิทัศน์ด้วยนั้น มียอดนักท่องเที่ยวเพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยวันที่ 31 ม.ค. 67 เพียงวันเดียวมียอดขายรวมกว่า 600 ล้านบาท

“นายกรัฐมนตรียังคงทำงานปกติแม้ในช่วงที่ป่วย และพักรักษาตัว ทั้งประชุมติดตามสถานการณ์ สั่งการผ่านการประชุมระบบ Zoom เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาของประชาชนให้ลุล่วงได้โดยรวดเร็ว เพื่อแบ่งเบาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน” นายชัย กล่าว 

‘เรืองไกร’ ยื่น ‘ยุบพรรคก้าวไกล’ ซํ้า วอน กกต. รีบไต่สวนเป็นการเร่งด่วน

(1 ก.พ. 67) นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยว่า จะเดินทางไปที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อยื่นยุบพรรคก้าวไกล เนื่องจากก่อนหน้านี้เคยไปยื่นร้องต่อ กกต. ให้ยุบพรรคก้าวไกลมาแล้ว 2 รอบ เมื่อวันที่ 3 เมษายน และ 30 มิถุนายน 2566 กรณีพรรคก้าวไกลเสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ขณะนั้น กกต. บอกว่าไม่เข้าเงื่อนไข ไม่สามารถดำเนินการได้ 

แต่ล่าสุดคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญระบุชัดเจนว่าการแก้ไขมาตรา 112 ของพรรคก้าวไกล เข้าข่ายล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จึงถือว่าเข้าเงื่อนไขตามมาตรา 92 ของพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง เรื่องการกระทำล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยฯ โดยจะขอให้ กกต. รีบดำเนินการไต่สวนเรื่องนี้เป็นการเร่งด่วน เพราะมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญออกมาอย่างชัดเจนแล้ว

‘สุริยะ’ กำชับ ทอท. เตรียมรับมือช่วงตรุษจีน  คาดนักท่องเที่ยวจีนทะลักเพิ่มขึ้น 200% 

บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) กระทรวงคมนาคม เตรียมความพร้อมรองรับการเดินทางช่วงเทศกาลตรุษจีน นำเทคโนโลยีมาใช้เพื่ออำนวยความสะดวกผู้โดยสารและผู้ใช้บริการอย่างเต็มประสิทธิภาพ สอดรับกับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของรัฐบาลและมาตรการ Visa Free 

(1 ก.พ.67) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ช่วงเทศกาลตรุษจีนระหว่างวันที่ 5 - 14 กุมภาพันธ์ 2567 คาดว่าจะมีผู้โดยสารเดินทางผ่านท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งของ ทอท. กว่า 3.52 ล้านคน จึงสั่งการให้ ทอท. เตรียมความพร้อมทั้งด้านความปลอดภัยและบูรณาการความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อรองรับผู้โดยสารและปริมาณจราจรทางอากาศที่เพิ่มขึ้น และได้เน้นย้ำให้บริหารจัดการการให้บริการภาคพื้นให้ผู้โดยสารได้รับความสะดวก รวดเร็ว สำหรับจุดตรวจคนเข้าเมืองได้สั่งการให้ตรวจเช็กความพร้อมของช่องตรวจหนังสือเดินทางอัตโนมัติ หรือ Automatic channels รวมทั้งเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่ให้บริการจุดตรวจคนเข้าเมืองทุกช่องบริการ และเตรียมพร้อมในกรณีระบบตรวจคนเข้าเมืองเกิดขัดข้อง เพื่อไม่ให้กระทบต่อภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยวของประเทศ 

นอกจากนี้ ทอท. ได้นำเทคโนโลยีมาใช้เพื่ออำนวยความสะดวกผู้ใช้บริการอย่างเต็มประสิทธิภาพ สอดรับกับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของรัฐบาลและมาตรการ Visa Free ซึ่งคาดว่าในปี 2567 จะมีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าประเทศไทยกว่า 8 ล้านคน 

นายกีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ทอท. ได้กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่ง ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) ท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.) ท่าอากาศยานเชียงใหม่ (ทชม.) ท่าอากาศยานภูเก็ต (ทภก.) ท่าอากาศยานหาดใหญ่ (ทหญ.) และท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ทชร.) โดยนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่ออำนวยความสะดวกผู้โดยสารและผู้ใช้บริการอย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งคาดการณ์ปริมาณผู้โดยสารประมาณ 3,523,929 คน เฉลี่ย 352,393 คนต่อวัน เพิ่มขึ้น 20% และมีเที่ยวบิน 21,115 เที่ยวบิน เฉลี่ย 2,112 เที่ยวบินต่อวัน เพิ่มขึ้น 16.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 

โดย ทสภ. จะมีการเดินทางมากที่สุด 1,735,885 คน เฉลี่ย 173,588 คนต่อวัน เพิ่มขึ้น 24.3% และมีเที่ยวบิน 9,439 เที่ยวบิน เฉลี่ย 944 เที่ยวบินต่อวัน เพิ่มขึ้น 15.6% รองลงมา คือ ทดม. 842,251 คน เฉลี่ย 84,225 คนต่อวัน เพิ่มขึ้น 19.2% และมี 6,104 เที่ยวบิน เฉลี่ย 610 เที่ยวบินต่อวัน เพิ่มขึ้น 24.7%, ทชม. 284,123 คน เฉลี่ย 28,412 คนต่อวัน เพิ่มขึ้น 12.7% และมี 1,679 เที่ยวบิน เฉลี่ย 168 เที่ยวบินต่อวัน เพิ่มขึ้น 5.3%, ทภก. 523,988 คน เฉลี่ย 52,399 คนต่อวัน เพิ่มขึ้น 21.7% และมี 3,005 เที่ยวบิน เฉลี่ย 300 เที่ยวบินต่อวัน เพิ่มขึ้น 21.5%, ทหญ. 78,974 คน เฉลี่ย 7,897 คนต่อวัน ลดลง 9.2% และมี 529 เที่ยวบิน เฉลี่ย 53 เที่ยวบินต่อวัน ลดลง 8.8% และ ทชร. 58,709 คน เฉลี่ย 5,871 คนต่อวัน ลดลง 7% และมี 360 เที่ยวบิน เฉลี่ย 36 เที่ยวบินต่อวัน ลดลง 8.6%

ทั้งนี้ ในช่วงเทศกาลตรุษจีนมีสายการบินเฉพาะเส้นทางจีนแจ้งขอทำการบิน ณ ท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งของ ทอท. รวมกว่า 3,086 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 202.6% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีปริมาณผู้โดยสาร 458,813 คน เพิ่มขึ้น 220.2% โดยท่าอากาศยานที่แจ้งขอทำการบินมากที่สุด 3 อันดับแรก คือ ทสภ. 1,799 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 193.4% ผู้โดยสาร 282,982 คน เพิ่มขึ้น 224.6% รองลงมา คือ ทดม. 662 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 366.5% ผู้โดยสาร 88,074 คน เพิ่มขึ้น 328.5% และ ทภก. 497 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 167.3% ผู้โดยสาร 69,342 คน เพิ่มขึ้น 170.1% 

นอกจากนี้ ทอท. เตรียมพร้อมรองรับผู้โดยสารชาวจีนจากนโยบายยกเว้นการตรวจลงตราเพื่อการท่องเที่ยวให้แก่ผู้ถือหนังสือเดินทางหรือเอกสารเดินทางจีนและคาซัคสถาน (Visa Free) เพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของประเทศ และจัดแคมเปญกระตุ้นตลาดด้านการบิน อาทิ ส่วนลดค่าบริการในการขึ้นลงของอากาศยาน ส่วนลดค่าบริการที่เก็บอากาศยาน และค่าบริการใช้สะพานเทียบเครื่องบิน (Landing Charges, Parking Charges และ Boarding Bridge Charges) ซึ่งในปี 2567 คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าประเทศไทยกว่า 8 ล้านคน

ทั้งนี้ ทอท. ได้จัดกิจกรรมสร้างความสุขและอวยพรนักท่องเที่ยวเพื่อร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีน ระหว่างวันที่ 5 - 14 กุมภาพันธ์ 2567 ในทุกท่าอากาศยาน และขอความร่วมมือผู้โดยสารเผื่อเวลาเดินทางล่วงหน้า 2 - 3 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการพลาดเที่ยวบิน สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ AOT Contact Center โทร. 1722 ตลอด 24 ชั่วโมง

ขอเชิญร่วมงานเทศกาลตรุษจีน ณ ศาลเจ้าไต้ฮงกง มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พลับพลาไชย สักการะหลวงปู่ไต้ฮง ลงชื่อสวดชัยมงคลคาถา [พะเก่ง] หนึ่งปีมีครั้งเดียว! เฮง เฮง เฮง ตลอดปีมะโรง

ระหว่างวันที่ 9 – 18 กุมภาพันธ์ 2567 มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง โดยนายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการ ขอเชิญทุกท่าน ร่วม “สักการะหลวงปู่ไต้ฮง” ขอพรเนื่องในเทศกาลตรุษจีนเพื่อความเป็นสิริมงคลต้อนรับปีใหม่  ลงชื่อ สวดชัยมงคลคาถา หรือ “พะเก่ง” เพื่อสะเดาะเคราะห์ ขอให้ครอบครัวมีสุข เสริมโชคลาภ เสริมดวงชะตา เสริมความมั่นคงสถาพร ตลอดปี รวมถึงทำบุญสะเดาะเคราะห์และเสริมความเป็นสิริมงคลกับรูปปั้นนักษัตรปีมะโรง ซึ่งได้ผ่านการทำพิธีเบิกเนตรโดยพระอาจารย์จีนคณาณัติจีนพรต (เย็นงี้) เจ้าอาวาสวัดมังกรกมลาวาส (วัดเล่งเน่ยยี่) พร้อม รับประทาน “สาคูสิริมงคล”  เพื่อความกลมเกลียวและอยู่เย็นเป็นสุข อัญเชิญ “ฮู้แดง” (ยันต์) ของหลวงปู่ไต้ฮง เพื่อนำไปประทับหน้าบ้าน เคหะสถาน หรือพกติดตัวเพื่อคุ้มครอง  “เคาะระฆังทอง”ให้ก้องกังวานเพื่อให้ชีวิตสดใส การงานรุ่งเรืองระบือไกล และ ร่วม “พิธีเวียนธูปศักดิ์สิทธิ์” เพื่อขอพรเทพยดาฟ้าดินเนื่องในวันประสูติ (ทีกงแซ) ซึ่งในปีนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2567 ขออำนาจฟ้าดินเป็นที่พึ่ง ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตนนับถือ เช่น หลวงปู่ไต้ฮง ช่วยดลบันดาลให้ประสบโชคดีตลอดปีใหม่ (โดยในวันที่ 9 และ 17 กุมภาพันธ์ 2567 มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เปิดบริการโต้รุ่ง)

เนื่องจากขณะนี้ ประเทศไทย เกิดสถานการณ์ค่าฝุ่น P.M 2.5 เกินมาตรฐานในหลายพื้นที่ รวมถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งยังคงมีอยู่ในขณะนี้ ศาลเจ้าไต้ฮงกง มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ห่วงใย และเพื่อความปลอดภัยของผู้มีจิตศรัทธา มูลนิธิฯ ได้จัดเจ้าหน้าที่ และอาสาสมัคร คอยอำนวยความสะดวกผู้มีจิตศรัทธา รวมทั้งจัดตั้งหน่วยพยาบาลสำหรับการให้ความช่วยเหลือฉุกเฉิน และจัดให้มีป้ายประชาสัมพันธ์ค่าฝุ่นละออง P.M 2.5 แบบ Realtime เพื่อเป็นข้อมูลแก่ผู้มีจิตศรัทธาอีกทางหนึ่ง รวมถึงจัดให้มีมาตรการฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อไวรัสทุกวันหลังปิดทำการในแต่ละวัน รวมทั้ง ขอความร่วมมือประชาชนผู้มีจิตศรัทธาสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา และใช้บริการเจลแอลกอฮอล์ที่มูลนิธิฯ ที่จัดบริการแก่ทุกท่านทั่วทุกบริเวณงาน รวมทั้งจัดให้มีบูธปฐมพยาบาลเพื่อดูแลและอำนวยความสะดวกแก่ผู้มีจิตศรัทธาที่มาร่วมงาน 

พิธีสวดชัยมงคลคาถา [พะเก่ง] สำหรับท่านที่สะดวกการทำบุญออนไลน์ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง จัดให้มีการลงชื่อสวดชัยมงคลคาถา ทำบุญพะเก่งออนไลน์ผ่านทางเว็บไซต์  www.pttfny.net/cnny ให้ผู้มีจิตศรัทธาทุกท่านได้ร่วมพิธีเพื่อสริมความมั่งมีศรีสุขตลอดปีมะโรง ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนป่อเต็กตึ๊ง 1418

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung

ทั้งนี้ เนื่องจากมีผู้มีจิตศรัทธามาร่วมทำบุญบริจาคเป็นจำนวนมาก อาจส่งผลให้ผู้ที่ใช้เส้นทางใกล้เคียงมูลนิธิฯ ได้แก่ ถนนพลับพลาไชย  ถนนเจ้าคำรพ ถนนมังกร ถนนหลวง  ถนนเสือป่า ไม่ได้รับความสะดวกในการสัญจร มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งจึงขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ โอกาสนี้ 

ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้ ตรุษจีนปีนี้ ขอให้มั่ง มี ศรี สุข

ส่งออกข้าวไทย 66 ทะลุ 8.76 ล้านตัน สูงสุดในรอบ 5 ปี ผลจากความต้องการในตลาดโลกพุ่ง-อินเดียชะลอส่งออก

(1 ก.พ.67) นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า ส่งออกในปี 2566 ส่งออกข้าวได้ 8.76 ล้านตัน สูงสุดในรอบ 5 ปี นับตั้งแต่ปี 2561 เพิ่มขึ้น 13.62% เมื่อเทียบจากปีที่ผ่านมา เป็นการส่งออกเกินกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ 8 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่า 178,136 ล้านบาท หรือประมาณ 5,144 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 28.43% เมื่อเทียบปีที่ผ่านมา เป็นผลมาจากความต้องการในตลาดโลกสูง การชะลอส่งออกข้าวของอินเดีย และปัญหาโลกร้อน

ขณะที่เป้าหมายการส่งออกข้าวในปี 2567 กรมการค้าต่างประเทศร่วมกับสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยคาดการณ์ สรุปร่วมกันว่าจะส่งออกได้ปริมาณ 7.5 ล้านตัน

ล่าสุดข้อมูลใบอนุญาตส่งออกข้าวของกรมการค้าต่างประเทศ พบว่าตั้งแต่วันที่ 1-30 มกราคม 2567 มีปริมาณ 1,122,358 ตัน เพิ่มขึ้น 43.96% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีปริมาณการขออนุญาตส่งออกข้าวอยู่ที่ 779,654 ตัน

>>ปัจจัยหนุนส่งออกข้าว 2567

โดยปัจจัยที่คาดว่าจะส่งผลต่อการส่งออกข้าวไทยในปีนี้ คือผลผลิตข้าวของไทยที่คาดว่าจะลดลงจากปีก่อน 5.87% ซึ่งเป็นผลกระทบจากปรากฏการณ์เอลนีโญ และการส่งออกที่อาจเผชิญกับการแข่งขันและความท้าทายหลายประการ เช่น ปริมาณผลผลิตข้าวโลกที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมากกว่าปีที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ทำให้ปริมาณอุปทานข้าวโลกเพิ่มขึ้น การนำเข้าข้าวของประเทศคู่ค้ามีแนวโน้มปรับตัวลดลง ส่วนหนึ่งเกิดจากความนิยมของการบริโภคข้าวลดลง อาทิ จีน ญี่ปุ่น และมาเลเซีย ทำให้การแข่งขันทางด้านราคารุนแรงขึ้น

ขณะที่ไทยยังมีต้นทุนการผลิตค่อนข้างสูง ทำให้ราคาข้าวไทยสูงกว่าประเทศผู้ผลิตและประเทศผู้ส่งออก เช่น จีน เวียดนาม และอินเดีย

>>อินโดนีเซียซื้อข้าวลดลง อินเดียกลับมาส่งออก

นอกจากนี้ มีสัญญาณว่าอินโดนีเซียอาจซื้อข้าวน้อยกว่าปีที่ผ่านมา เพราะมีข้าวค้างสต๊อกจากปี 2566 ค่อนข้างมาก ขณะที่จีนมีการผลิตข้าวมากขึ้น และเริ่มปรับเปลี่ยนจากการเป็นผู้นำเข้าข้าวให้เป็นผู้ผลิตข้าวที่เพียงพอต่อการบริโภคของประชากรและอาจส่งออกในอนาคต

นอกจากนี้ อินเดียอาจประกาศยกเลิกการระงับการส่งออกข้าวขาว ซึ่งจะทำให้ภาคเอกชนของอินเดียกลับมาส่งออกข้าวได้เสรีตามปกติ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวล้วนเป็นความท้าทายต่อการส่งออกข้าวไทย

>>แผนรับมือส่งออกข้าว

นายรณรงค์กล่าวว่า สำหรับแนวทางการรับมือกับความท้าทายในการขายข้าวให้ประเทศคู่ค้าในประเด็นที่ราคาข้าวไทยสูงกว่าราคาข้าวของประเทศผู้ส่งออกราย เนื่องมาจากต้นทุนการผลิตที่สูง

ดังนั้น จึงจำเป็นที่ไทยต้องเร่งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของข้าวไทยในตลาดโลกโดยพัฒนาพันธุ์ข้าวให้มีผลผลิตต่อไร่สูงไม่ควรน้อยไปกว่าผลผลิตข้าวต่อไร่ของประเทศผู้ส่งออกอื่น ซึ่งปัจจุบันมีผลผลิตต่อไร่สูงกว่าไทยทั้งสิ้น ประกอบกับพันธุ์ข้าวต้องมีความต้านทานโรคและแมลงเพื่อลดต้นทุนการใช้ปุ๋ยและการกำจัดแมลง

ทั้งนี้ หากไทยไม่มุ่งเน้นพัฒนาปรับปรุงในเรื่องดังกล่าวจะทำให้ไทยเสียเปรียบในการแข่งขันทางการค้าข้าวในตลาดโลกในที่สุด

>>อัดกิจกรรมส่งเสริมส่งออกข้าว

กรมการค้าต่างประเทศพร้อมเดินหน้าทำงานใกล้ชิดกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนรวมทั้งสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เพื่อส่งเสริมและผลักดันการส่งออกข้าวไทย ตามนโยบาย ‘รักษาตลาดเดิม เพิ่มตลาดใหม่ ในการส่งออกไปต่างประเทศ’

โดยกิจกรรมหลักที่จะจัดขึ้นในปีนี้ ประกอบด้วย การจัดงานประชุมข้าวนานาชาติ ‘Thailand Rice Convention (TRC) 2024’ ในเดือนพฤษภาคม 2567 ซึ่งเป็นงานประชุมใหญ่ที่ผู้เชี่ยวชาญในวงการค้าข้าวโลกมาพบปะแลกเปลี่ยนข้อมูลสถานการณ์ตลาดข้าวโลกและเจรจาธุรกิจระหว่างกัน

รวมทั้งจะมีการจัดงาน TRC สัญจร ลงพื้นที่เพื่อให้ข้อมูลแนวโน้มความต้องการข้าวในตลาดโลกแก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าว เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรสามารถผลิตข้าวได้ตรงกับความต้องการของตลาดมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ กรมมีแผนเดินทางไปกระชับความสัมพันธ์และขยายตลาดข้าวกับแอฟริกาใต้ ฮ่องกง ญี่ปุ่น สิงคโปร์ มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นตลาดข้าวที่สำคัญอันดับต้น ๆ ของไทย รวมทั้งการเจรจาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) กับรัฐบาลอินโดนีเซียและจีน รวมถึงประเทศอื่นที่มีความประสงค์ขอซื้อข้าวในรูปแบบ G to G ตลอดจนการเข้าร่วมงานแสดงสินค้าที่สำคัญ และจัด Thai Rice Roadshow ประชาสัมพันธ์ข้าวไทยในตลาดจีนด้วย

ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล ประจำวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

📌รางวัลที่ 1: 607063

 📌รางวัลเลขหน้า 3 ตัว: 943, 454

 📌รางวัลเลขท้าย 3 ตัว: 591, 544

 📌รางวัลเลขท้าย 2 ตัว: 09

 📌รางวัลข้างเคียงรางวัลที่ 1: 607062, 607064

 📌รางวัลที่ 2 : 779424, 166521, 808878, 376456, 851911

 📌รางวัลที่ 3 : 545456, 053669, 087418, 831569, 516593, 697943, 678876, 113069, 535443, 772652

 📌รางวัลที่ 4: 471627, 783463, 609558, 587566, 737293, 206816, 156102, 058236, 198247, 166931, 634141, 030830, 826063, 037206, 331311, 880249, 421727, 914433, 185741, 491440, 685863, 703523, 226331, 520713, 538407, 255118, 676743, 477468, 068121, 656613, 093784, 117545, 693752, 090487, 901593, 804429, 873398, 572213, 426517, 974231, 254032, 644810, 377270, 011437, 569388, 430848, 547540, 515514, 275169, 854418

 📌รางวัลที่ 5: 806005, 077800, 183946, 228155, 876294, 330957, 105442, 821585, 524558, 788018, 827213, 121357, 742620, 816255, 237210, 850809, 146086, 400000, 610485, 428347, 707558, 371062, 753839, 803654, 612248, 428102, 757312, 227701, 134084, 138365, 133415, 573490, 712435, 226283, 273458, 415333, 787397, 018319, 746170, 253246, 674744, 135643, 645769, 286895, 792696, 962169, 277134, 628966, 697599, 960133, 253134, 736618, 157589, 762505, 709475, 896872, 235734, 949607, 337451, 903203, 102554, 976303, 347262, 102461, 831270, 901032, 740915, 782185, 645693, 791261, 883034, 675167, 374634, 292246, 175489, 295214, 300996, 179712, 638807, 227677, 068966, 628800, 689244, 615358, 550513, 806863, 953743, 318668, 486337, 835260, 990230, 860217, 763491, 112169, 260793, 743328, 506213, 673741, 323652, 534711


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top