Monday, 9 June 2025
NewsFeed

‘หวังอี้’ เข้าเฝ้าฯ ‘กรมสมเด็จพระเทพฯ’ ระหว่างเยือนไทย ย้ำชัด!! พระองค์ทรงเป็นสัญลักษณ์แห่งมิตรภาพไทย-จีน

(29 ม.ค. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (28 ม.ค.) หวังอี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีน และกรรมการกรมการเมืองแห่งคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน เข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ณ กรุงเทพมหานคร

หวัง กล่าวว่า เขาได้พบปะกับปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย เมื่อวันอาทิตย์ (28 ม.ค.) เพื่อการประชุมหารือประจำปี ซึ่งทั้งสองฝ่ายบรรลุฉันทามติสำคัญว่าด้วยการสร้างประชาคมจีน-ไทยที่มีอนาคตร่วมกันให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

หวังกล่าวว่าทั้งสองฝ่ายลงนามข้อตกลงการยกเว้นการตรวจลงตราหรือวีซ่าซึ่งกันและกัน ซึ่งจะเกื้อหนุนการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชน พร้อมเสริมว่าจีนและไทยมีความใกล้ชิดสนิทสนมดังครอบครัวเดียวกัน และการแลกเปลี่ยนที่เพิ่มขึ้นจะช่วยให้ทั้งสองประเทศผูกพันแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ หวังแสดงความหวังว่าราชวงศ์ไทย ซึ่งให้ความสำคัญยิ่งยวดกับสัมพันธไมตรีระหว่างจีนและไทยเสมอมา จะยังคงมีส่วนส่งเสริมการพัฒนามิตรภาพจีน-ไทยภายใต้สถานการณ์ใหม่

หวัง กล่าวว่า กรมสมเด็จพระเทพฯ ทรงเป็นสหายที่ดีและเพื่อนเก่าของประชาชนชาวจีน โดยพระองค์ทรงเคยได้รับเหรียญมิตรภาพและเสด็จฯ เยือนจีนมากกว่า 50 ครั้ง ซึ่งส่งเสริมความเข้าใจซึ่งกันและกันระหว่างประชาชนสองประเทศ และพระองค์ทรงเป็นสัญลักษณ์แห่งมิตรภาพจีน-ไทย

หวังกล่าวว่าทั้งสองประเทศจะเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 50 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตในปีหน้า โดยจีนพร้อมรักษาการแลกเปลี่ยนระดับสูงกับฝ่ายไทย ดำเนินการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชนอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้น และยกระดับความเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์รอบด้านระหว่างสองประเทศสู่ระดับใหม่

ด้านกรมสมเด็จพระเทพฯ ตรัสว่าพระองค์ทำนุบำรุงสัมพันธไมตรีกับจีน และมักให้นักเรียนนักศึกษาของพระองค์ได้ชมเหรียญมิตรภาพดังกล่าว โดยพระองค์หวังว่าการแลกเปลี่ยนและความร่วมมือระหว่างสองประเทศจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้นในด้านการศึกษา การแพทย์แผนโบราณ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และการบินและอวกาศ

กรมสมเด็จพระเทพฯ ตรัสว่าพระองค์คาดหวังจะได้เยี่ยมเยือนสถานที่ต่างๆ ในจีนเพิ่มเติมในอนาคต

‘เศรษฐา’ รอลุ้น!! เผยเชิญ ‘สี จิ้นผิง’ เยือนไทย ด้านจีนระบุสนใจ ‘แลนด์บริดจ์’ ทั้งรัฐ-เอกชน

(29 ม.ค. 67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ภายหลัง นายหวัง อี้ สมาชิกกรมการเมือง ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกลางด้านกิจการต่างประเทศของพรรคคอมมิวนิสต์จีน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน เข้าเยี่ยมคารวะ ว่า ได้มีการประชุมชั่วโมงกว่ากับ นายหวัง อี้ ซึ่งท่านได้มาตั้งแต่ช่วงวันเสาร์ อาทิตย์ที่ผ่านมา และมีการพูดคุยกันในหลายมิติ โดยมีการเซ็นสัญญาระหว่าง นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.การต่างประเทศ เกี่ยวกับเรื่องวีซ่าฟรีของทั้งสองประเทศในการเดินทางไปมา เริ่มต้นวันที่ 1 มี.ค. เป็นการยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ เป็นความไว้วางใจซึ่งกันและกัน ที่ทั้งสองประเทศมีให้กันและมิตรภาพที่มีต่อกันมา ซึ่งจะครบ 50 ปีในปีหน้านี้ ถือเป็นมิติที่ดีในการที่เราจะสนับสนุนการไปมาหาสู่กันระหว่างสองประเทศ 

นายเศรษฐา กล่าวอีกว่า ทั้งนี้เรื่องการท่องเที่ยวถือเป็นเรื่องความสำคัญกับเศรษฐกิจประเทศไทยอย่างสูง ได้มีการพูดคุยกัน นายหวัง อี้ บอกว่าประเทศจีนมีวัฒนธรรมที่หลากหลาย อยากให้นักท่องเที่ยวไทยไปด้วย ซึ่งตรงนี้ตนยืนยันว่าเราสนับสนุนการเดินทางไปมาของประชาชนทั้งสองประเทศ อีกทั้งยังบอกไปด้วยในเรื่องของจำนวนเที่ยวบินที่ยังไม่กลับเข้ามาสู่จำนวนปกติ ซึ่งก่อนโควิด-19 ไม่แน่ใจจำนวนอาจจะประมาณ 2,000 ไฟล์ท ปัจจุบันเหลือแค่ 1,200 ไฟล์ท ก็จะมีการยกระดับการเดินทางสองประเทศเพื่อให้การไปมาหาสู่สะดวกสบายยิ่งขึ้น และเริ่มมั่นใจว่าอนาคตอันใกล้จะมีนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาสูงขึ้น ขณะที่ประเทศไทยจะไปท่องเที่ยวประเทศจีนที่มีวัฒนธรรมอันดีงามด้วย จะเป็นผลดีของทั้งสองประเทศ 

นายเศรษฐา กล่าวว่า ประเทศไทยยืนยันเจตนารมณ์ว่าเราให้การสนับสนุนการเป็นประเทศกลาง ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศจีนได้มีการพูดคุยกันในหลาย ๆ มิติ และต่อไปในอนาคตก็ยินดีสนับสนุนให้มีการเจรจาในลักษณะนี้เกิดขึ้น โดยตอนที่ดำริว่าจะมีการพูดคุยกันก็บอกให้เป็นประเทศในเอเชีย ซึ่งจีนเลยบอกว่าเป็นประเทศไทย นั่นบ่งบอกถึงความสัมพันธ์ที่เรามีมิตรไมตรีที่ดีต่อกันมาโดยตลอด ทำให้เขาเลือกประเทศไทย ถือเป็นการประชุมประวัติศาสตร์ครั้งแรกก็ว่าได้ เป็นที่น่ายินดีสำหรับประเทศไทย

นายเศรษฐา กล่าวว่า ส่วนเรื่องการค้าระหว่างประเทศได้มีการพูดคุยกันในหลายมิติ ทั้งเรื่องการสร้างโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆไม่ใช่แค่รถอีวีอย่างเดียว เรื่องการไปมาหาสู่รถไฟความเร็วสูง ที่จะมีขึ้นจากประเทศไทยผ่านหนองคาย ผ่านลาว และเข้าประเทศจีน ปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ว่าเรื่องการเป็นศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้าได้มีการพูดคุยกัน โดยให้คณะทำงานของสองประเทศมาทำงานร่วมกันต่อ รวมถึงการค้าขายด้านการเกษตรกรรม ทั้งเรื่องการค้าโค ซึ่งจีนมีความต้องการอย่างมาก แต่ด่านกักกันตรวจเชื้อโรคอยู่ที่ลาว ทำให้การค้าระหว่างสองประเทศไม่สะดวกจึงได้ขอร้องอย่าให้มีด่านกักกัน และตรวจโรคนี้เกิดขึ้นในไทย ซึ่งประเทศจีนก็รับปากที่จะดำเนินการในเรื่องนี้

นายกฯ กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ยังมีการเซ็นสัญญาด้านเกษตรกรรมระหว่าง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์ และทูตจีนด้วย 

เมื่อถามว่า คาดว่ามูลค่าทางการค้าจะเพิ่มกี่เปอร์เซ็น นายเศรษฐา กล่าวว่า คาดเดาไม่ได้จะเพิ่มขึ้นแน่นอน เพราะนี่เป็นจุดเริ่มต้นเท่านั้นจากการที่เรามีความสัมพันธ์กันดีมาอย่างยาวนาน และปีหน้าจะครบ 50 ปี ตนได้เรียนเชิญ นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน มาเยือนประเทศไทยด้วย

เมื่อถามถึงความคืบหน้ารถไฟไทย-จีน นายเศรษฐา กล่าวว่า มีแผนงานอยู่แล้ว ขอให้แผนงานทั้งหมดออกมาเป็นรายละเอียดแล้วจะแถลงให้ทราบอีกที

นายเศรษฐา กล่าวอีกว่า นายหวัง อี้ได้พูดขึ้นมาเองว่า ทางการจีนสนใจโครงการแลนด์บริดจ์และต้องการข้อมูลเพิ่ม และไม่ใช่เพียงแค่รัฐบาลจีนเพียงอย่างเดียว แต่เอกชนจีนก็สนใจที่จะส่วนร่วม เพราะเขาทราบดีว่าหนึ่งในเหตุผลหลักที่เราดำริขึ้นมาว่าควรจะมีแลนด์บริดจ์ เพราะการลงทุนที่จะข้ามมาจากประเทศจีนในช่วงหลายปีหลังบริษัทใหญ่ ๆ ในประเทศจีนมาลงทุนสร้างโรงงานผลิตและโรงงานอุตสาหกรรมที่ใหญ่มากในเมืองไทย และไม่ใช่แค่มาสนองตอบแค่ความต้องการของคนในประเทศไทยอย่างเดียว แต่จะเป็นศูนย์กลางการส่งออกด้วย ซึ่งแน่นอนว่าเราต้องมีท่าเรือน้ำลึก มีโครงการเมกกะโปรเจกใหญ่ ๆ อย่างแลนด์บริดจ์ ที่จะมาซับพอร์ตตรงนี้ ซึ่งนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม ก็จะเดินทางไปประเทศจีนในเร็ว ๆ นี้ เพื่อจัดทำโรดโชว์

'นายกฯ' เผยข่าวดี หลัง 'หวัง อี้' พร้อมหนุน ส่ง ‘หมีแพนด้า’ มาอยู่ที่สวนสัตว์เชียงใหม่

(29 ม.ค.67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์หลังหารือกับนายหวัง อี้ สมาชิกกรมการเมือง ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกลางด้านกิจการต่างประเทศของพรรคคอมมิวนิสต์จีน และรมว.ต่างประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ว่า…

“เป็นเรื่องที่น่ายินดี ที่ได้หารือกับนายหวัง อี้ ที่ผ่านมาสวนสัตว์เชียงใหม่เคยมีหมีแพนด้า แต่ปัจจุบันไม่มี และบังเอิญจริงๆ 2-3 วันที่ผ่านมาตนได้ดูใน x ว่าประเทศใดบ้างที่ยังมีหมีแพนด้าอยู่ ซึ่งไล่ลงมาแล้วประเทศไทยเป็นศูนย์ ซึ่งไม่ได้เป็นกระจกสะท้อนที่ดีสำหรับด้านความสัมพันธ์ทางด้านการทูตที่ดี ที่เรามีมากับประเทศจีนตลอด 50 ปีที่ผ่านมา จึงได้เรียนขอกับนายหวัง อี้ ซึ่งท่านยินดีให้การสนับสนุน 

“เราก็จะมีหมีแพนด้ากลับมาอีกครั้งนึง มาอยู่ที่สวนสัตว์เชียงใหม่ ส่วนเมื่อไหร่นั้นก็คาดว่าจะดำเนินการให้เร็วที่สุด”

“พิพัฒน์” รมว.แรงงาน สร้างมาตรฐานแรงงานไทยในงานขนส่ง ระดับสากล "มรท.8003" ลดการสูญเสียจากยานพาหนะ สนับสนุนสถานประกอบกิจการเข้าร่วม

วันที่ 29 มกราคม 2567 เวลา 10.30 น. นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานเปิดงาน Kick off มาตรฐานแรงงานไทยในงานขนส่ง มรท.8003 - 2566 โดยมี นายธนัสถ์ ทวีเกื้อกูลกิจ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายภุชงค์ วรศรี ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ประจำกระทรวงแรงงาน นายไพโรจน์ โชติกเสถียร ปลัดกระทรวงแรงงาน นายเดชา พฤกษ์พัฒนรักษ์ รองปลัดกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย ผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน ร่วมเป็นเกียรติ ณ โรงแรม ดิ เอมเมอรัลด์ กรุงเทพมหานคร ตั้งเป้ามุ่งสู่การลดอุบัติเหตุในงานขนส่ง พร้อมสนับสนุนสถานประกอบกิจการเข้าร่วม

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า รัฐบาล โดยกระทรวงแรงงาน ได้กำหนดนโยบายที่ให้ความสำคัญกับการสร้างรากฐานทางเศรษฐกิจ พัฒนาคุณภาพชีวิตด้วยการคุ้มครองแรงงานให้ได้รับการดูแลสภาพการจ้าง สภาพการทำงาน รวมทั้งความปลอดภัยในการทำงาน ซึ่งปัจจุบันสาเหตุการประสบอันตรายจากการทำงานที่สูงที่สุดมาจากยานพาหนะ จากข้อมูลในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา พบว่า แรงงานที่ประสบอุบัติเหตุจากยานพาหนะที่เกี่ยวข้องกับงานขนส่ง กรณีร้ายแรงถึงแก่ชีวิต มีจำนวนถึง 2,948 คน คิดเป็น ร้อยละ 44.16 ของแรงงานที่ประสบอันตรายจากการทำงานทุกสาเหตุ ซึ่งแสดงให้ถึงความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของนายจ้าง ลูกจ้าง และผู้ที่เกี่ยวข้อง ดังนั้น ในปี 2566 กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน ได้ร่วมมือกับองค์กรนายจ้าง องค์กรลูกจ้าง องค์กรพัฒนาเอกชน หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง และสถาบันการศึกษา พัฒนามาตรฐานแรงงานไทยในงานขนส่ง มรท.8003 ขึ้น และกระทรวงแรงงานได้ประกาศใช้ เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2566 โดยใช้ชื่อว่า “มาตรฐานแรงงานไทยในงานขนส่ง มรท.8003-2566” เพื่อให้สถานประกอบกิจการที่มีกิจกรรมขนส่งในการดำเนินธุรกิจ นำไปใช้ในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว 

นายพิพัฒน์ กล่าวต่อไปว่า ผมขอเชิญชวนสถานประกอบกิจการทุกประเภท ทุกขนาดที่มีกิจกรรมขนส่งเป็นส่วนหนึ่งของการประกอบกิจการ และสถานประกอบกิจการที่ให้บริการด้านขนส่งโดยตรง ทั่วประเทศ นำมาตรฐานแรงงานไทยในงานขนส่ง มรท.8003-2566 ไปดำเนินการเพื่อให้แรงงานมีความปลอดภัยในการทำงานลดอัตราการประสบอันตรายจากการทำงาน ลดการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินของนายจ้าง รวมทั้งทรัพย์สินสาธารณะ สถานประกอบกิจการมีมาตรฐานที่ดีได้รับการยอมรับ เป็นที่ไว้วางใจ ตลอดจน ประชาชนที่ใช้ท้องถนนมีความปลอดภัย ซึ่งเป็นการแสดงถึงการปฏิบัติต่อแรงงานอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) ส่งผลให้ประเทศไทยมีภาพลักษณ์ที่ดีในเรื่องการคุ้มครองและดูแลความปลอดภัยในการทำงานของแรงงาน อันก่อให้เกิดการยอมรับในระดับสากลเพิ่มศักยภาพการแข่งขันทางการค้าระหว่างประเทศ

'ดร.วชิรศักดิ์' มั่นใจ!! ไทยขึ้นแท่นมหาอำนาจในเร็ววัน ก้าวย่างอย่างมั่นคงสู่การเป็นศูนย์กลางของอาเซียน

(29 ม.ค. 67) เพจ 'Bangkok I Love You' โพสต์ข้อความในหัวข้อ 'ก้าวย่างอย่างมั่นคงสู่การเป็นศูนย์กลางของอาเซียน มหาอำนาจตัวจริง' ระบุว่า...

"คนลาว คนเวียดนาม มาเห็นถนนสาย ตจว. บ้านเราถึงกับร้อง ทำไมมันดีกว่าบ้านเขามาก อนาคตบ้านเราเก็บค่าต๋ง ค่าผ่านทางก็รวยแล้วครับ"

ประเทศไทยเป็น Corridor

Corridor คืออะไร?

ผมว่าหลายคนยังไม่ทราบ คนในวงการก่อสร้าง Infrastructure หรือ Mega project การลงทุนระหว่างประเทศจะใช้คำนี้เสมอ เราก็ไม่เข้าใจเพราะเรามองไม่ไกลขนาดนั้น ตอน Ford มาตั้งโรงงานในบ้านเรา ผมได้มีโอกาสเจอ First team ก็เลยถามตรง ๆ ว่า มาทำไมเพราะคู่แข่งแต่ละรายแกร่งยิ่งนัก เขาตอบว่า Corridor ช่วง 10 ปีแรก ขายในประเทศ อีก 20 ปี ไปขายเพื่อนบ้าน ตอนนี้เขมรขับ Ford กันแล้ว อีก 30 ปี ไปขายพม่าได้ Vision 20 ปี มันเป็นแบบนี้นี่เอง

มือถือสองค่ายแย่งกันขาย รายที่สามมาทำไม เขาตอบว่า อัตราส่วนเมื่อเทียบกับที่อื่นทั่วโลกถือว่า ตึงเต็มที่ Reserve ratio มันต่ำกว่ามาตรฐานแล้ว อนาคตยอดเพิ่มแน่นอน มีตัวเลขต่างประเทศมายืนยัน มันเป็นแบบนี้นี่เองการค้าระดับโลกมันมีฐานข้อมูลอ้างอิง เรามองแค่ในบ้านเราถึงไม่เข้าใจว่าเขามาลงทุนทำไม ตัวเลขสำคัญคือจำนวนประชากรต่อ ???

เห็นสิงคโปร์ CNA ทำรายงานเรื่อง การลงทุนของญี่ปุ่นใน AEC มีภาพหนึ่ง Corridor ชัดเจนมาก ทำเลทอง EEC มันเป็นทางผ่านชัด ๆ นี่ไม่รวมรถไฟจากจีน คุณหมิง ผ่านลาว ลงมาอ่าวไทย แบบนี้เรียกว่า Center point วัยรุ่นคงเข้าใจ คนตจว. อาจจะเรียกว่าโคราช อนาคตประเทศเราจะเป็นทางผ่านแบบโคราช แปลว่า แน่นทั้งปี

ไม่แปลก...อะไรที่ถนนบ้านเราโดยเฉพาะในต่างจังหวัดพัฒนาขึ้นดีมาก คนต่างจังหวัดคงเข้าใจไม่ต้องอธิบาย Logistic ต่างชาติแห่กันมาหา Hub คนลาว คนเวียดนาม มาเห็นถนนสาย ตจว. บ้านเราถึงกับร้อง ทำไมมันดีกว่าบ้านเขามาก ถนนสายจากน่านไปออกหลวงพระบางเคยเห็นหรือยัง อนาคตบ้านเราเก็บค่าต๋ง ค่าผ่านทางก็รวยแล้วครับ

บทความจาก ดร.วชิรศักดิ์ จึงสถาพร

2 สาวนักเคลื่อนไหว บุกสาดซุปใส่ 'ภาพวาดโมนาลิซ่า' สร้างกระแสเรียกร้องสิทธิเรื่องอาหารให้โลกเหลียว

ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ เกิดกระแสใหม่ในกลุ่มนักเคลื่อนไหวเพื่อสิ่งแวดล้อม ด้วยการบุกโจมตี สาดสี สาดโคลนใส่ภาพวาด งานศิลปะชื่อดังระดับโลก เพื่อดึงความสนใจจากสังคม และพื้นที่บนหน้าสื่อในการส่งผ่านข้อเรียกร้องที่พวกเขาต้องการจะสื่อ สู่สังคมทั่วโลกให้ดังที่สุด

แม้ว่า การกระทำของพวกเขาจะถูกมองว่าเป็นการแสดง 'ความหิวแสง' และไม่เป็นที่ยอมรับจากสังคมโดยส่วนใหญ่ก็ตาม 

และล่าสุด ภาพวาดที่เรียกได้ว่า โด่งดังที่สุดในโลก อย่าง โมนาลิซ่า ของจิตรกรเอก เลโอนาร์โด ดา วินชี ก็ไม่รอด โดน 2 นักเคลื่อนไหวสาวจากกลุ่ม Riposte Alimentaire (การตอบโต้ด้วยอาหาร) บุกเข้าไปในพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ เพื่อสาดซุปฟักทองใส่ภาพวาดชื่อดัง จนเลอะเทอะไปทั้งกำแพง เมื่อวันอาทิตย์ (28 มกราคม 67) ที่ผ่านมา

แต่ทั้งนี้ ภาพวาดโมนาลิซ่า ที่มีความงามเป็นอมตะ ตั้งแต่ยุคศตววรษที่ 16  รวมถึงภาพวาดระดับมาสเตอร์พีซอื่นๆ ภายในพิพิธภัณฑ์ มีการป้องกันอย่างดีในกรอบกระจกนิรภัย จึงไม่ได้รับความเสียหายแต่อย่างใด

ด้าน 2 สาว หลังก่อเหตุสาดซุปใส่ภาพวาดชื่อดังแล้ว ก็ออกยืนประกาศผลงานของตนรอสื่อมวลชนมาทำข่าว พร้อมกล่าวว่า "คิดว่าอะไรสำคัญกว่ากัน ระหว่างงานศิลปะ กับ สิทธิในการเข้าถึงอาหารที่ยั่งยืน และ ปลอดภัย" 

"ระบบการเกษตรของประเทศเรามันห่วย เกษตรกรจำนวนมากกำลังจะตาย คาสวน คาไร่ของพวกเขา"

และในขณะเดียวกัน ทางกลุ่ม Riposte Alimentaire ก็ได้โพสต์ข้อความผ่าน X ยอมรับว่าการโจมตีภาพวาดโมนาลิซ่าครั้งนี้เป็นฝีมือของทางกลุ่ม เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลฝรั่งเศส บรรจุสวัสดิการด้านอาหารเข้าไปในระบบประกันสังคม เพราะการเข้าถึงอาหารเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน โดยเรียกร้องให้รัฐบาลแจกคูปองมูลค่า 150 ยูโรให้ประชาชนทุกเดือนเพื่อนำไปซื้ออาหาร

Riposte Alimentaire เป็นหนึ่งในเครือข่าย A22 Network อันประกอบด้วยกลุ่มนักเคลื่อนไหวหลายกลุ่ม รวมถึงกลุ่ม Just Stop Oil ที่เคยบุกโจมตีภาพ 'ดอกทานตะวัน' ของ 'วินเซนต์ แวนโก๊ะ' ในหอศิลป์แห่งชาติ ที่กรุงลอนดอน เมื่อปี 2022 มาแล้ว 

สำหรับ เหตุการณ์นี้ ไม่ใช่ครั้งแรก เพราะเหตุผลที่ต้องนำภาพวาดโมนาลิซา ไปใส่กรอบกระจกนิรภัยตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษที่ 1950 ก็เพราะเคยมีผู้เข้าชม เทกรด ใส่ จนภาพวาดได้รับความเสียหายมาแล้ว

ต่อมาในปี 2019 ทางพิพิธภัณฑ์ ก็ได้มีการติดตั้งกระจกกันกระสุนเข้าไปเพิ่ม เพื่อป้องกันภาพวาดอีกชั้นหนึ่ง และในปี 2022 โดยชายวัย 36 คนหนึ่ง ที่เข้าชมพิพิธภัณฑ์ด้วยเก้าอี้รถเข็น และได้ปาเค้กใส่รูปโมนาลิซ่า พร้อมตะโกนว่า "คิดถึงโลกซะบ้าง ผู้คนมากมายกำลังทำลายมันอยู่" ก่อนที่เขาจะถูกส่งตัวเข้าศูนย์บำบัดทางจิตในเวลาต่อมา

ทั้งนี้ ตามระเบียบขั้นตอนต่อไป ทางพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ก็จะทำรายงานร้องเรียนเพื่อดำเนินคดีกับผู้ก่อเหตุต่อไป ไม่ว่าเจตนาของกลุ่มนักเคลื่อนไหวจะเพื่อต้องการหาพื้นที่สื่อเพื่อเรียกร้องประเด็นเพื่อสังคมใดๆ ก็ตาม 

ด้าน ราชิดา ดาติ รัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมของฝรั่งเศส ได้ออกมาโพสต์ข้อความผ่าน X ว่า "ภาพวาดก็เหมือนมรดกของชาติ ที่ควรถนอมรักษาให้รุ่นลูกหลานในอนาคตของพวกเราได้ชมด้วย" 

อยากจะบอกว่า แสงอยู่กับเราไม่นาน และหากต้องการให้เกิดกระแสเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมได้จริงและยาวนาน ควรหาวิธีที่สร้างสรรค์และทำซ้ำๆ อาจจะนานหน่อยกว่าคนจะตระหนัก แต่คงดีกว่ามาทำอะไรที่เป็นการ 'หิวแสง' แบบนี้

‘จีน’ เฮ!! โคลน ‘วัวทิเบต’ ใกล้สูญพันธุ์สำเร็จ ถือเป็นการโคลนสำเร็จครั้งแรกของโลก

(29 ม.ค. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า คณะนักวิทยาศาสตร์ของจีน ประกาศความสำเร็จในการโคลนวัวจางมู่และวัวอาเพ่ยเจี่ยจา ซึ่งเป็นวัวสองสายพันธุ์ใกล้สูญพันธุ์ในเขตปกครองตนเองทิเบต (ซีจ้าง) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน

ทั้งนี้ รายงานระบุว่า มีลูกวัวเพศผู้ของสองสายพันธุ์ข้างต้นเกิดใหม่สายพันธุ์ละ 4 ตัว ในอำเภออวิ๋นหยาง เทศบาลนครฉงชิ่งทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน เมื่อไม่นานนี้ ซึ่งนับเป็นการโคลนวัวจากทิเบตสำเร็จครั้งแรกของโลก

'หนุ่ม' เดือด!! กางเหตุผลที่ต้องมีนายพล ก็คงเหมือนบริษัทเอกชนที่ต้องมีซีอีโอ และคงไม่ถึงขั้นต้องให้ซีอีโอ ลงไปยืนหน้าเคาท์เตอร์ ถามลูกค้าว่า "รับอะไรดี?"

(29 ม.ค.67) ผู้ใช้งานบัญชีติ๊กต็อกชื่อ ‘fhakram.chavit’ หรือ ‘ฟ้าคราม’ ได้ออกมาโพสต์วิดีโอในหัวข้อ ‘นายพลมีไว้ทำไม’ พร้อมแคปชัน ‘ทวงคือความรู้สึกของ...ทหาร ข้อเท็จจริงสู้ด้วยคลิป’ โดยในวิดีโอได้อธิบายอย่างละเอียด ความว่า…

“หากจะคุยเรื่องทหาร นายพล ขอให้เอาเจตนาและเหตุผลที่ดีมาคุย ไม่ใช่เอาความแค้น ความโกรธเคืองทางการเมืองมาคุยกัน 

>> ถามว่า ‘นายพล’ มีไว้ทําไม?
ก็ต้องตอบแบบกําปั้นทุบดินว่าแล้วบริษัทเอกชนมี ‘CEO’ หรือ ‘MD’ ไว้เพื่ออะไร? ส่วน ‘ระดับผู้พัน’ ก็เช่นกัน ก็ต้องไปถามบริษัทเอกชนว่ามี ‘ผู้จัดการ’ ไว้ทําไม?

>>ทําไมนายพลเยอะ อยู่ในตําแหน่งพันกว่าคน ตําแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิ 700 กว่าคน
ต้องตอบว่าเขาไม่ได้เข้ามารับราชการ 1-2 ปี และสามารถขึ้นมาเป็นนายพลได้เลย เขารับราชการมาตั้งแต่ 30 40 ปีที่แล้ว”

ผู้ใช้ติ๊กต็อกรายนี้ ระบุต่อว่า “คิดตามดี ๆ ในการปรับอัตรานายพลลง ซึ่งเป็นการลดขนาดองค์กร มีการ early retire ทหารทําอยู่แล้วในทุก ๆ ปี การปรับอัตราของผู้พันที่จะเลื่อนขึ้นไปเป็นนายพลให้น้อยลงก็สามารถทําได้ แต่ถ้าคนที่เข้าใจทหารจริง ๆ จะรู้ว่าตําแหน่งหลักไม่ต้องไปแก้เลย เพราะว่ามันสําคัญ

ยศพันเอกหรือนายพล ในเชิงปฏิบัติ ในเชิงบารมีทางการทหารแทบไม่ต่างกันเลย ดังนั้นนายพลเยอะหรือว่าพันเอกเยอะ ไม่ได้ต่างกันมากขนาดนั้น สรุปก็คือขนาดของทหารทั้งหมดลดลงไปมากแล้ว เพราะว่าทหารยุคใหม่กำลังบาลานซ์ทุกอย่างอย่างยอดเยี่ยม เขาแค่ไม่ได้ปรับอัตราตําแหน่งขึ้นไปเป็นนายพลลอยให้ลดลง เพราะยศ-ตำแหน่งนี้ก็ถือเป็นขวัญกําลังใจของคนที่ทํางานราชการมาตลอด 60 ปี จึงต้องให้ขึ้นไปเป็นพลตรีหรือตําแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งจะนำเรื่องนี้มายึดถือว่า ‘นายพลเยอะ’ ไม่ได้ สุดท้ายแล้วต้องดูภาพรวมว่า ‘ลดลง’

>>เวลาเกิดสงครามขึ้นมาจริง ๆ นายพลไม่ได้ลงสนามรบ แต่ส่งผู้ใต้บังคับบัญชาไปแทน
ต้องไปถามเจ้าสัวธนินท์ว่า ณ วันนี้จะต้องมาอยู่หน้าเคาท์เตอร์เซเว่นฯ หรือเปล่า ส่วนผบ.ตร. จะต้องไปตั้งด่านเองอยู่หรือเปล่า? เจ้าของธุรกิจต่าง ๆ จะต้องเดินไปถ่ายเอกสารเอง ไม่ใช้เด็กฝึกงาน ไม่ใช้พนักงาน ไม่ใช้เลขาฯ หรือเปล่า? ตำแหน่งพวกนี้อยู่ในภาคบริหาร ไม่จำเป็นต้องทำเอง และจำไว้ว่าไม่มีสงครามไหน ไม่มีแม่ทัพ หากขาดหัวเรือใหญ่ไป ใครจะกําหนดทิศทางองค์กรหรือทิศทางการสู้รบ

>>ส่วนเรื่องงบประมาณฯ ก็เอาไปจัดการสร้างที่อยู่อาศัยของกําลังพลกันเอง?
ก็มีการเรียกร้องอยากให้ทหารชั้นปฏิบัติการหรือชั้นประทวนมีชีวิตที่ดีขึ้นไม่ใช่เหรอ? แน่นอนว่าผู้บังคับบัญชาและกองทัพก็อยากให้กําลังพลทุกคนอยู่ดีมีสุขเหมือนกัน ไม่ใช่ต้องทนเงินน้อย ที่อยู่หรือสวัสดิการก็ไม่ดี ต้องกู้ ต้องยืมทุกอย่าง

>>สนามกอล์ฟเอาไว้ปรนเปรอนายพล เป็นแหล่งธุรกิจของทหารตั้งแต่อดีต - ปัจจุบัน
ขอย้ำว่าตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ไม่ใช่แค่สมัยองคมนตรีลุงตู่ ตั้งแต่ในอดีตที่ผ่านมาพื้นที่ว่าง ๆ ของกองทัพ ยังเป็นพื้นที่ว่างเปล่า ในฐานะผู้บริหารจะต้องคิดเอาพื้นที่ที่ว่างนั้นไปทําอะไรที่เป็นประโยชน์ ให้กำลังพลได้ใช้สวัสดิการ ให้คนนอกได้ใช้ในราคาย่อมเยา พื้นที่กองทัพมีทั้งโรงพยาบาล สนามกีฬา หอพัก โรงเรียนแพทย์”

นอกจากนี้ยังกล่าวเสริมอีกว่า “หากไม่ชอบ ไม่พอใจ โกรธเคือง เมื่อมีโอกาสเป็นรัฐบาลก็ค่อยมาหาทางจัดการ สำหรับรัฐบาลลุงตู่ ไม่ได้มานั่งเดือดร้อนเรื่องพวกนี้ เพราะเขารู้ว่าสิ่งพวกนี้เป็นสวัสดิการให้กับกำลังพล คนนอกได้เข้ามาใช้ในราคาถูก และอีกอย่างรัฐบาลลุงตู่เดินหน้าทำเรื่องที่ยิ่งใหญ่กว่านี้แล้ว เช่น ทำอย่างไรให้คนไทยอยู่ดีกินดี หรือเกิดเศรษฐกิจใหม่ เช่น

-รถไฟฟ้าความเร็วสูง (รถไฟฟ้าไทย-จีน) วิ่งจากกรุงเทพฯ ไปหนองคายระยะทาง 500 กิโลเมตร และเชื่อมกับกลุ่ม CLMVT จะแล้วเสร็จในปี 69 

-ภาคการคมนาคม การท่องเที่ยว โครงสร้างพื้นฐาน ระเบียงเศรษฐกิจ EEC รถไฟฟ้าเชื่อม 3 สนามบินดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา

-พัฒนาท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง-มาบตาพุด เพื่อให้ไทยเป็นฮับและเป็นจุดศูนย์กลางแห่งใหม่ เป็นแหล่งเศรษฐกิจใหม่ของอาเซียนและเอเชีย

-สำหรับ EEC สร้างเสร็จไปแล้วกว่า 50 โครงการ คิดประมาณ 30% ส่วนอีก 50% กําลังดําเนินการ และที่เหลืออีกไม่กี่เปอร์เซ็นต์ กำลังรอการอนุมัติอยู่ ซึ่งเป็นท่าเรือน้ำลึก รถไฟฟ้าความเร็วสูง กําลังจะสร้างในปี 2024 คิดว่าจะเสร็จในปี 2027-2028 ใช้เวลาประมาณ 3-4 ปีเอง

และต้องยอมรับนะว่าวันนี้เงินเข้าประเทศกว่า 80-90% มาจาก EEC และยังไม่รวมแลนด์บริดจ์ที่จะทำให้ไทยเป็นฐานการผลิตที่ยิ่งใหญ่ของเอเชียและอาเซียน แถมค่ายรถไฟฟ้าของจีนก็เข้ามาลงทุนที่ไทยแล้ว 3 เจ้า ได้แก่ SAIC ฉางอัน GWM นอกจากนี้ยังมีธุรกิจอวกาศ ดาวเทียม หัวเว่ยเข้ามาลงทุน data base AI ในไทย

สิ่งที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยในยุค ‘ลุงตู่’ ทำให้เรื่องสนามกอล์ฟกลายเป็นเรื่องเล็กไปเลย”

ผู้ใช้ติ๊กต็อกรายนี้ ยังระบุต่ออีกว่า “ตั้งแต่อดีตที่ผ่านมาหลายปี ไม่มีใครบังคับ ทหารเกณฑ์สามารถเลือกได้ว่าจะอยู่กองร้อยกับเพื่อน หรือถ้าคิดว่ามันวุ่นวาย ก็สามารถเลือกที่จะไปอยู่บ้านนายได้ ซึ่งทหารที่ไปดูแลผู้บังคับบัญชา ถือเป็นสัดส่วนที่น้อยมาก แต่ก็ได้เงินเดือน ได้อยู่ใกล้กับผู้บังคับบัญชา แต่ถ้ามองว่าไม่สมควรเพราะใช้ภาษีประเทศจ่าย ก็สามารถพูดได้ แต่ต้องเข้าใจก่อนว่ามันไม่ได้เพิ่งเกิดในยุคพลเอกประยุทธ์ มันเกิดขึ้นมาตั้งนานแล้ว ฉะนั้นจะเอาเรื่องนี้มาโจมตีไม่ได้ และห้ามเหมารวมอาชีพทหารด้วย”

ผู้ใช้ติ๊กต็อกรายนี้ ทิ้งท้ายไว้ว่า “ถึงทหารทั้งประเทศ คุณจะเชื่อได้ยังไงกับคนที่บอกว่าจะทําให้ชีวิตทหารของคุณดีขึ้น ทั้งที่การกระทําของเขาด้อยค่าอาชีพทหารของคุณ สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่าลงมือทํา ‘การกระทํา’ เสียงดังกว่า ‘คําพูด’ เสมอ ขอเซฟทหารไทยทั้งประเทศไทยสุดหัวใจ เซฟนายพลนายพันที่ไม่คอร์รัปชัน และเซฟ ‘องคมนตรีลุงตู่’ สุดที่รักสุดหัวใจ”

‘เพจดัง’ สวด!! ผู้โดยสารโชว์เหนือ ด้อยค่า ‘สายการบินไทย’ ลั่น!! “นักบินหน่อมแน้ม ที่ท่านดูแคลนนี้แหละที่พารอด”

(29 ม.ค.67) จากเพจ ‘กัปตันไฟซอล บิน กิน เที่ยว Captain Faisal’ ได้โพสต์ข้อความตอบคำถามกรณีผู้ใช้บริการสายการบินไทยโพสต์เนื้อหาตำหนิ ‘การบินไทย’ ระบุว่า...

แม้ว่าท่านจะแสดงถึงความไม่รู้ ใช้คำดูถูกด้อยค่า กัปตันและนักบินที่เพิ่งพาท่านรอดมาได้ แต่ผมขออธิบายเป็นวิทยาทาน เผื่อท่านอาจจะได้เข้าใจอะไรมากขึ้น

ช่วงที่ท่านไปถึงเมลเบิร์น อากาศจริงๆ คือ Low visibility จัดมาทัศนวิสัย 200 เมตรและหมอกหนา Fog เอาว่าขนาดขับรถยังแทบไม่เห็นทาง

และจากเมนต์ด้านล่าง ช่วงเวลาเดียวกัน มีเครื่องบิน Divert กันบานเลย

ข่าวอากาศการบินมันเป็นข่าวเฉพาะ ไม่ได้มีแถมมาในมือถือ ท่านลองไปดูในแอปฯ Airport มันบอกท่านชัดเจนว่าอากาศเมืองที่ท่านอยากรู้มันเป็นไง ออกทุก 30 นาที

อ่ะ!! ตอบคำถามที่ถูกสรุปจากความไม่รู้ของท่าน…

1. ใส่น้ำมันมาไม่พอ ไม่เผื่ออะไรเลย?
>> ตอบ #การเติมน้ำมันเครื่องบิน เติมตามกฎหมายที่กำหนดครับ ต่ำกว่านี้ไม่ได้ โดยทั้งหมดมันเผื่อมาให้ระดับหนึ่งแล้ว แต่ถ้าไม่พอ สุดวิสัย ก็ต้องไปลงสนามบินสำรอง เป็นหลักสากลที่คนเดินทางเขาเข้าใจ การไดเวิร์ดโดยเฉพาะจากสภาพอากาศเป็นของคู่กับการบิน

2. กัปตันไม่มีความหนักแน่น หรือ Pushy พอกับ ATC อาจเป็นเพราะพูดภาษาอังกฤษไม่มั่นใจ สู้ความ Hustle ของกัปตัน Aussie เที่ยวบินอื่นที่แย่งกันขอลงไม่ได้ ทั้งที่ low fuel แล้ว ความหน่อมแน้มที่ไม่ควรมีในผู้ชายซักคน?
>> ตอบ #เรื่องภาษาอังกฤษ นักบินต้องมีการสอบ Aviation English ทุกคนและ ‘ต้องผ่าน’ ถ้าไม่ผ่านบินไม่ได้ และสอบกับสถาบันกลาง ไม่ได้งุบงิบสอบกันเอง

#เรื่องการลงสนามก็ตามคิวครับ ถ้าเจออากาศปิดแบบนี้มาถึงก่อน วนรอก่อน อากาศดีขึ้นลงก่อน มาถึงช้าบินวนรอเพื่อลงตามคิว รอได้รอ รอไม่ได้ไปลงสนามบินสำรอง จะมาขอแซงคิวไม่ได้ ไม่มีต่อรองครับ

#ยกเว้น วนจนน้ำมันเหลือต่ำที่เราเรียกว่า Mayday Fuel อันนั้นคืออันตรายสุด คือต่ำกว่าน้ำมันสำรองก้นถัง อันนี้ขอลงก่อนได้ แต่โดนสอบสวนไส้แตกแน่ว่าทำไมเอาตัวไปเสี่ยงแบบนั้น

ถ้านักบินกล้าหาญอย่างที่ท่านว่า เอ๊า วนไป แล้วไปต่อรองเอา ต่อไปเรื่อยๆ ถ้า Low fuel จริงๆ ผลลัพธ์ที่ได้คงไม่ทำให้ท่านปากแจ๋วได้แบบนี้ครับ

#นักบินหน่อมแน้ม ที่ท่านดูแคลนพวกนี้แหละครับที่พาท่านรอด ส่วนพวก Macho หรือ #มานะชาย เหมือนที่ท่านว่า ส่วนใหญ่ตายห่าก่อนเกษียณครับ 

ตอนนี้เขาถอดเคสพวกมานะชายเหมือนที่ท่านว่ามาแบบนี้มาให้นักบินทั่วโลกเขาเรียนชื่อวิชา CRM หรือ Crew Resource Management 

#สุดท้ายก่อนจบ นักบินการบินไทยมาตรฐานระดับโลก ไปสอบที่ไหนเขาก็รับ อยู่เมืองนอกกันก็เยอะแยะครับ 

นักบินเราบินกันด้วยมาตรฐานที่สูงสุด เพราะเราก็กลัวตาย นักบินมีลูก เมีย พ่อ แม่ คนรักที่รอเรากลับบ้านอยู่เช่นกัน

กรุณาให้เกียรตินักบินคนที่ดูแลชีวิตท่านด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top