Sunday, 15 June 2025
NewsFeed

'รองฯต่าย' เผยล่าสุดคดีโรงงานพลุระเบิดคืบหน้าไปมาก กำชับเร่งตรวจอัตลักษณ์ศพเสร็จภายใน 2 วัน ตรวจเสร็จแล้ว 5 ราย อนุญาตให้ญาติรับร่างไปประกอบพิธีทางศาสนาได้วันนี้

วันที่ 18 ม.ค.2567 (13.00 น.) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร.(ปป.)ได้เดินทางมาที่ ศปก.สน. (วัดโรงช้าง สุพรรณบุรี) พร้อมได้เรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกหน่วยมารายงานให้ข้อมูลถึงความคืบหน้าการดำเนินการต่างๆ จากกรณีเกิดเหตุระเบิดโรงงานผลิตพลุไฟ ตามที่ได้สั่งการไปเมื่อคืนที่ผ่านมา โดยมีผลความคืบหน้าในการดำเนินการดังนี้  การค้นหาร่างผู้เสียชีวิตสามารถค้นหาได้ครบ 23 ร่าง ได้ดำเนินการเคลื่อนย้ายร่างผู้เสียชีวิตมาที่วัดโรงช้างเพื่อเข้าสู่กระบวนการขั้นตอนตรวจพิสูจน์อัตลักษณ์

ในที่เกิดเหตุชุดปฏิบัติ EOD และพิสูจน์หลักฐานอยู่ระหว่าง การปฎิบัติงานภาคสนามในที่เกิดเหตุ เพื่อให้การเคลียร์พื้นที่เกิดความปลอดภัยสูงสุดและเก็บพยานหลักฐานต่างๆประกอบการสอบสวน ส่วนการร่วมพิสูจน์อัตลักษณ์ศพผู้เสียชีวิตมีทีมแพทย์จากนิติเวชโรงพยาบาลตำรวจและแพทย์จากโรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช สุพรรณบุรี ร่วมปฎิบัติ ซึ่งขณะนี้ตรวจเสร็จสิ้นแล้ว 10 ร่าง(ศพ) ในประเด็นนี้ รอง ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ดำเนินการตรวจให้เสร็จสิ้นภายในคืนนี้

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวอีกว่า สำหรับในกระบวนการขั้นตอนตรวจพิสูจน์เพื่อยืนยันว่า ร่างผู้เสียชีวิตเป็นใครและเป็นญาติของใคร ได้มีการแบ่งหน้าที่กันระหว่างนิติเวชโรงพยาบาลตำรวจและสำนักงานตรวจพิสูจน์หลักฐาน โดยนิติเวชจะตรวจดีเอ็นเอจากร่างศพผู้เสียชีวิตและสำนักงานตรวจพิสูจน์หลักฐานจะตรวจดีเอ็นเอของญาติผู้เสียชีวิตทั้ง 23 ราย และจะนำมาตรวจพิสูจน์ว่าร่างผู้เสียชีวิตรายใด เป็นของญาติของใคร ในประเด็นนี้ รอง ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายใน 2 วัน เพื่อให้ญาติรับศพไปบำเพ็ญกุศลตามประเพณีต่อไป ซึ่งในการตรวจพิสูจน์ว่าศพเป็นใครสามารถตรวจได้โดย 4 วิธีคือ(1. )ญาติยืนยันจากสภาพทางกายภาพศพ ที่สามารถจำได้อย่างถูกต้อง ชัดเจน (2.)การตรวจพิสูจน์จากลายพิมพ์นิ้วมือ (3.)การตรวจฟันและ (4) การตรวจ DNA  ซึ่งในขณะนี้ สามารถตรวจพิสูจน์จากลายพิมพ์นิ้วมือได้อย่างชัดเจนแล้วจำนวน 5 ราย โดยการคืนศพให้ญาติรับไป ซึ่งในการส่งมอบคืนศพ ผู้เสียชีวิตให้กับญาติรับไป จะดำเนินการโดยคณะกรรมการคืนศพ ที่ พล.ต.ท.นัยวัฒน์ ผะเดิมชิต ผบช.ภ.7ได้แต่งตั้ง ขึ้นมา และทั้ง 5 ราย จะคืนให้ญาติรับศพไปดำเนินการทางพิธีศาสนาในวันนี้ 

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ ยังได้กล่าวอีกว่า “เรื่องการพิสูจน์หาสาเหตุของการเกิดเหตุครั้งนี้ หรือ การดำเนินการตามขั้นตอนต่างๆของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็เป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการตามกระบวนการสืบสวนสอบสวน แต่การดำเนินการที่มีความจำเป็นเร่งด่วนอย่างยิ่ง คือ การตรวจพิสูจน์อัตลักษณ์จากร่างผู้เสียชีวิตว่า เป็นใครและเป็นญาติของครอบครัวใด เพื่อมอบศพให้ญาติได้นำไปบำเพ็ญกุศลตามประเพณีและตำรวจควรจะต้องช่วยเหลือ ดูแล เยียวยา ฟื้นฟูสภาพจิตใจ ให้กับญาติของผู้เสียชีวิตอย่างเต็มกำลังความสามารถ เพื่อเป็นการบรรเทาความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากโศกนาฏกรรมในครั้งนี้ ถือเป็นหน้าที่ที่พึงกระทำอย่างยิ่ง มากกว่า ”
  
ดังนั้นจึงได้สั่งการให้ ผบช.สพฐ.ตร. และ ผบก.นต. รพ.ตร. เร่งรัดตรวจพิสูจน์อัตลักษณ์ศพให้เสร็จสิ้นภายใน 2 วัน เพื่อคืนศพให้ญาติรับไป และ ได้เสนอแนวคิดให้ ผบก.ภ.จว. สุพรรณบุรี เปิดบัญชี เชิญชวนข้าราชการตำรวจ มอบเงินช่วยเหลือตามความสมัครใจและความเหมาะสม เพื่อนำเงินไปช่วยเหลือแก่ครอบครัวของผู้ที่สูญเสียคนอันเป็นที่รักไปในเหตุโศกนาฏกรรมครั้งนี้ ต่อไป ”รอง ผบ.ตร.กล่าว“

กระบี่-บูรณาการร่วมสุ่มตรวจคุ้มครองแรงงานในเรือประมงทะเล ป้องปรามปัญหาการค้ามนุษย์ด้านแรงงานและได้รับสิทธิประโยชน์ตามกฏหมายคุ้มครองแรงงาน

เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2567  ที่บริเวณท่าเทียบเรือศูนย์ป้องกันและปราบปรามประมงทะเล กระบี่ ตำบลไสไทย อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ นายสมชาย หาญภักดีปฏิมา ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่   มอบหมายให้ นายสมปราชญ์ ปราบสงคราม รองผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่
ในฐานะรองหัวหน้าศูนย์บริหารจัดการแรงงานประมงจังหวัดกระบี่ นำคณะทำงานศูนย์บริหารจัดการแรงงานประมงจังหวัดกระบี่ลงเรือตรวจการณ์ ออกตรวจบูรณาการคุ้มครองแรงงานในเรือประมงทะเล เพื่อแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ด้านแรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้ายไม่ให้มีการใช้แรงงานเด็กในเรือประมงทะเล มีการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ มีมาตรการที่ชัดเจนและดำเนินการอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเพื่อคุ้มครองแรงงานในเรือประมงทะเลไม่ให้ตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ด้านแรงงานและได้รับสิทธิประโยชน์ตามกฏหมายคุ้มครองแรงงาน โดยมี นายฉลาดวิทย์ ประเทืองมาศ  สวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดกระบี่ ในฐานะเลขานุการศูนย์ฯ การดำเนินการเป็นการตรวจสภาพการจ้างและสภาพการทำงาน การค้ามนุษย์ด้านแรงงาน พร้อมหน่วยงานตรวจบูรณาการ 17 หน่วยงาน ที่มีภารกิจเกี่ยวข้องกับการป้องกัน แก้ไข และปราบปรามการกระทำประมงผิดกฎหมายที่มีการใช้แรงงานเด็ก แรงงานบังคับ 

และสภาพการทำงานที่ไม่ปลอดภัย ประกอบด้วย ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่หรือรองผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่(ด้านสังคม) กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดกระบี่ ฝ่ายทหาร สำนักงานตำรวจภูธรจังหวัดกระบี่ สำนักงานประมงจังหวัดกระบี่ สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาค สาขากระบี่ สถานีตำรวจน้ำ ๒ กองกำกับการ ๗ กองบังคับการตำรวจน้ำกระบี่ สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองกระบี่ สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดกระบี่ สำนักงานแรงงานจังหวัดกระบี่ สำนักงานจัดหางานจังหวัดกระบี่ ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ ของชาติทางทะเล จังหวัดกระบี่(ศรชล.) ศูนย์ป้องกันและปราบปรามทะเลจังหวัดกระบี่ สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดกระบี่ และสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดกระบี่ ในฐานะเลขานุการศูนย์ฯ การดำเนินการเป็นการตรวจสภาพการจ้างและสภาพการทำงาน การค้ามนุษย์ด้านแรงงาน 

โดยมีล่ามแปลภาษาต่างด้าว หากพบการกระทำความผิดให้ดำเนินการตามมาตรการภายใต้กฎหมายตามภารกิจของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด สำหรับกรณีมีเหตุต้องสงสัยเข้าข่ายการค้ามนุษย์ด้านแรงงานให้ดำเนินการตามแนวทางกลไกการส่งต่อระดับชาติ( NRM) เพื่อการบริหารจัดการคดีและการช่วยเหลือคุ้มครองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์และการบังคับใช้กฎหมายหรือบริการอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลต่อไป 

นายสมปราชญ์ ปราบสงคราม รองผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ เปิดเผยว่า วันนี้ถือเป็นโอกาสดีที่ได้นำคณะทำงานฯออกตรวจบูรณาการด้านแรงงาน โดยออกตรวจเรือในพื้นที่น่านน้ำอันดามันเขตรับผิดชอบ 16 ตำบล 5 อำเภอของจังหวัดกระบี่ สุ่มตรวจเรือประมงพาณิชย์ประเภทเรืออวนล้อม หรือเรืออวนดำ จำนวน 6 ลำ มีแรงงานประมงเป็นชาวกัมพูชา 27 คน เมียนมาร์ 20 คน ชาวไทย 125 คน ไม่พบการกระทำความผิดด้านแรงงานหรือการค้ามนุษย์ด้านแรงงานในกิจการประมงทะเล โดยเฉพาะการใช้แรงงานเด็กต่ำกว่า 18 ปี แรงงานมีการตรวจสภาพการจ้างกสรทำงาน และแรงงานประมงยินยอมลงเรือทำงานด้วยความสมัครใจ..

กระบี่///ณัฏฐพงษ์ ศรีปล้อง รายงาน

‘IMF’ ชี้!! ‘เศรษฐกิจจีน’ ปี 66 โตทะลุเป้า หลังปรับเปลี่ยนจากส่งออกเป็นรูปแบบบริโภค

(18 ม.ค. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า คริสตาลินา จอร์จีวา กรรมการผู้จัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ระบุว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนในปี 2023 ถือเป็นข่าวดีสำหรับจีนและทั่วโลก

จอร์จีวาได้มีการเปิดเผยกับสำนักข่าวนอกรอบการประชุมสภาเศรษฐกิจโลก (WEF) ครั้งที่ 54 ในเมืองดาวอสว่า เศรษฐกิจของจีนบรรลุเป้าหมายระดับชาติซึ่งตั้งไว้ที่ราวร้อยละ 5 และเติบโตสูงกว่านั้น สิ่งนี้เป็นข่าวดีทั้งสำหรับจีน เอเชีย และทั่วโลก เนื่องจากจีนครองส่วนแบ่งการเติบโตหนึ่งในสามของการเติบโตทั่วโลก

เมื่อวันพุธ (17 ม.ค.) สำนักงานสถิติแห่งชาติจีนรายงานว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของจีนในปี 2023 สูงถึง 126.06 ล้านล้านหยวน (ราว 638 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.2 เมื่อเทียบปีต่อปี

จอร์จีวาชี้ว่ารัฐบาลจีนกำลังมุ่งมั่นเดินหน้าสู่การเติบโตที่มีคุณภาพสูง และเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเติบโตจากที่เน้นการส่งออกเป็นหลัก ไปเป็นรูปแบบที่การบริโภคมีบทบาทสำคัญมากขึ้น

จอร์จีวากล่าวว่าเราเป็นพันธมิตรที่ดีมากกับจีน จีนมีศักยภาพอย่างมากในการดึงเอาผลิตภาพออกมามากขึ้น และสร้างแรงงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมเสริมว่าการปฏิรูป การเปิดกว้าง และการบูรณาการในเศรษฐกิจโลกถือเป็นหนทางที่ถูกต้องในการเดินหน้าต่อของจีน

อนึ่ง เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2023 กองทุนฯ ได้ปรับขึ้นการคาดการณ์เศรษฐกิจจีนในปี 2023 จากร้อยละ 5 เป็นร้อยละ 5.4 และในปี 2024 จากร้อยละ 4.2 เป็นร้อยละ 4.6 เมื่อเทียบกับรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่กองทุนฯ เผยแพร่เมื่อเดือนตุลาคม

'ไชยา' ตรวจความพร้อมฟาร์มเอกชนที่ จ.เพชรบุรี เตรียมส่งออกโคมีชีวิตไปเวียดนามทางเรือครั้งแรกสองพันตัว

รมช. ไชยา ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมศูนย์กักกันโรคเพื่อการส่งออกของจังหวัดเพชรบุรี เตรียมส่งออกโคมีชีวิตทางเรือครั้งแรก 2,000 ตัวไปเวียดนาม สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้เกษตรกรอย่างยั่งยืน

เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2567 นายไชยา พรหมา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการดำเนินงานของอดิศรฟาร์ม 88 อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี โดยมีผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วย นางวันเพ็ญ มังศรี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี  และส่วนจังหวัดให้การต้อนรับในพื้นที่ สำหรับวัตถุประสงค์การตรวจเยี่ยมฟาร์มในวันนี้ เพื่อรับฟังปัญหาและให้กำลังใจเกษตรกรผู้เลี้ยงโคเนื้อในพื้นที่ รวมถึงตรวจเยี่ยมการดำเนินงานของฟาร์มอดิศร 88 ที่ได้รับคัดเลือกให้เป็นศูนย์กักกันโรคเพื่อการส่งออกของจังหวัดเพชรบุรี และเป็นศูนย์กลางของภาคใต้ ในการรวบรวมและดูแลโคมีชีวิตให้ปลอดโรค ปลอดภัย ปลอดสารเร่งเนื้อแดง เพื่อทำการส่งออกทางเรือไปยังประเทศเวียดนาม จำนวน 2,000 ตัว

รัฐมนตรีช่วยฯ ไชยา กล่าวว่า รัฐบาลมีแนวทางยกระดับให้การเลี้ยงโคเนื้อเป็นอาชีพหลักที่ช่วยสร้างรายได้ให้กับเกษตรกร และสามารถประกอบอาชีพได้อย่างมีศักดิ์ศรี ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ มีความพร้อมส่งเสริมการเกษตรในทุกด้าน อาทิ การคัดเลือกพื้นที่ในการจัดทำศูนย์กักกันโรคเพื่อการส่งออก การปราบปรามสินค้าเกษตรเถื่อนเพื่อยกระดับราคาสินค้าให้เป็นไปตามกลไกตลาด พร้อมทั้ง มอบหมายกรมปศุสัตว์ให้ผลิตหัวอาหารสัตว์ส่งจำหน่ายสหกรณ์ช่วยลดต้นทุนอาหารสัตว์ให้แก่เกษตรกร และเร่งพัฒนาโรงงานวัคซีนป้องกันโรคระบาดสัตว์ให้มีประสิทธิภาพได้มาตรฐานสากลสามารถส่งออกวัคซีนไปยังประเทศเพื่อนบ้านได้ รวมถึงจัดหาตลาดรองรับการซื้อโคเนื้อและโคมีชีวิต โดยเฉพาะประเทศจีนและเวียดนามที่มีกำลังซื้อสูง ทั้งนี้ ขอให้เกษตรกรดำเนินการเลี้ยงปศุสัตว์ให้ตรงตามมาตรฐานการส่งออก เพื่อลดข้อกีดกันทางการค้า และเพิ่มประสิทธิภาพการส่งออกไปยังต่างประเทศ โอกาสนี้ รมช.ไชยา ได้มอบเสบียงสัตว์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยธรรมชาติ (หญ้าแห้ง) แก่เกษตรกรในพื้นที่ อีกด้วย

หลังจากนั้น รัฐมนตรีช่วยฯ ไชยา เดินทางลงพื้นที่ ณ เขาโป่งพรม หมู่ 2 ตำบลพุสวรรค์ อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี พร้อมหารือกับผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เพื่อเตรียมการทำสถานกักกันสัตว์สำหรับส่งออกนอกราชอาณาจักรต่อไป

10 ประเด็นจาก Pigkaploy ตะลุยชายแดน อาจคลายปมข้อข้องใจ “มีทหารไว้ทำไม?”

หลายท่านที่มีโอกาสได้ติดตามช่อง ‘Pigkaploy’ ของ ‘พลอย’ พลอยไพลิน ตั้งประภาพร นักแสดงอิสระ และยูทูปเปอร์สาวด้านการท่องเที่ยวชาวไทย เมื่อวันที่ 16 ม.ค.67 ที่ผ่านมา โดยเฉพาะกับคนที่มักจะมีคำถามถึง การมีอยู่ของ ‘ทหาร’ ในยุคนี้ จำเป็นแค่ไหน? มีไว้ทำไม? และมักจะขยายความถึงเม็ดเงินภาษีที่ต้องเสียไปเพื่อดูแลเหล่าทหารหาญเหล่านี้ในเชิงลบ คงสะอึกกับภาพที่เกิดขึ้นจริงผ่าน EP ที่มีชื่อว่า ‘ลองใช้ชีวิตเป็นทหารชายแดนเหนือ 3 วัน 2 คืน l ไทย-เมียร์มาร์’ เพื่อติดตามภารกิจการปกป้องอธิปไตยของชาติ ไม่ว่าจะการปราบปรามการลักลอบข้ามชายแดนอย่างผิดกฎหมายผ่านเส้นทางธรรมชาติ การลักลอบขนยาเสพติด และตัดไม้ทำลายป่า และล่าสัตว์โดยผิดกฎหมาย โดยเธอสวมเครื่องแบบทหารจริง

โดยคลิปดังกล่าวจะเป็นตอนที่ 1 จากซีรีส์ตระเวนชายแดนที่ตอนต่อไปจะเป็นการไปเยือนชายแดนภาคอีสาน-เขาพระวิหาร และ ชายแดนใต้ ยะลา-ปัตตานี

สำหรับในส่วนของสาระสำคัญจากคลิปซีรีส์ชายแดนไทย-เมียร์มานั้น หากให้สรุปแล้ว จะมีประเด็นสำคัญให้พิจารณาตาม ดังนี้…

1. การเดินทางจากฐานปฏิบัติการห้วยเป้า อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ไปยังแปกแซม อ.เวียงแหง ซึ่งใช้เวลาเดินทาง 3 ชั่วโมง ด้วยการนั่งรถยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อทางทหาร เป็น 3 ชั่วโมงที่ทรหดมากๆ สำหรับคนธรรมดา

2. สภาพที่นอนปกติของเจ้าหน้าที่ทหารประจำฐานทั้ง 16 นายในฐานที่พัก มีแค่อาคารมุงกระเบื้องขนาดเล็ก สำหรับเป็นที่นอน และที่เก็บสัมภาระส่วนตัวของเจ้าหน้าที่ที่จะต้องประจำการอยู่บนฐานตลอด 1 ปีก่อนที่จะมีการผลัดเปลี่ยน อีกทั้งไม่มีไฟฟ้าใช้นอกจากโซลาร์เซลล์

3. การนอน จะไม่สามารถนอนได้อย่างเต็มที่ ต้องระแวดระวัง ผลัดเวรกันตลอด และก็ต้องไม่มีการติดไฟด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกมองเห็นจากภายนอกได้ง่าย 

4. การกิน เจ้าหน้าที่จะมีการลงเขาไปนำเสบียงขึ้นมาเพื่อใช้ทำอาหาร 5 วันต่อครั้ง โดยจะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำอาหาร ซึ่งทุกคนจะต้องทำอาหารเป็นโดยใช้ฟืน ไม่ได้มีอาหารการกินแบบพร้อมสรรพ

5. น้ำดื่มเป็นน้ำบรรจุขวดที่ขนขึ้นมา เนื่องจากสะดวกใช้งานมากกว่า ในขณะที่น้ำใช้ จำเป็นต้องใช้ปั๊มดูดขึ้นมา แต่ต้องใช้อย่างประหยัด

6. การปฏิบัติหน้าที่ จะเห็นภาพการปฏิบัติการเฝ้าระวังของเจ้าหน้าที่ทหาร ป้องกันการถูกโจมตี ซึ่งถึงแม้ว่าจะไม่มีเหตุการณ์รบเกิดขึ้นเลย แต่จำเป็นจะต้องปฏิบัติเอาไว้เพื่อให้เกิดความคุ้นชิน หากมีสถานการณ์เกิดขึ้นจริง ก็จะสามารถรับมือได้อย่างทันท่วงที7. ต่อเนื่องจากข้อที่ 6 จะไม่มีวันหยุด ไม่มีเสาร์อาทิตย์ ทุกคนจะต้องมาเฝ้าเวรทุกวัน วันละ 2 ชั่วโมงตลอดทั้งปี

8. หากมีการเดินทางไปยังฐานปฏิบัติการใกล้เคียง (ฐานสุบรรณ) ซึ่งตั้งอยู่ใกล้แนวตะเข็บชายแดน เพื่อเอาเสบียงไปให้เจ้าหน้าที่ในฐานนั้น ต้องเดินเท้าไปเท่านั้น โดยมี ‘ล่อ’ ช่วยบรรทุกเสบียงที่ราว 80 กิโลกรัมต่อครั้ง และระหว่างทางอาจต้องพบเจอกับฐานของทหารพม่า และทหารว้า ซึ่งไม่ได้ขึ้นตรงกับกองทัพเมียนมาแต่อย่างใดด้วย

9. พลอยได้ลองแต่งเครื่องแบบทหาร ที่มีเกราะหนัก 5 กิโลกรัม และต้องแบกเป้ทหารหนัก 25 กิโล ซึ่งถ้ารวมกับน้ำหนักปืนและหมวกเข้าไปด้วยแล้ว ก็จะมีน้ำหนักรวมราวๆ 40 กิโลกรัมกันเลยทีเดียว 

10. พลอยได้ลองร่วมเดินลาดตระเวน เพื่อตรวจสอบความผิดปกติ ตรวจตราคนข้ามประเทศ หรือการกระทำความผิดอื่นทุกวัน เช่น ลักลอบขนยาเสพติด เพราะมีโอกาสจับได้ เนื่องจากผู้ลักลอบอาจคิดว่าเจ้าหน้าที่ไม่ทำงาน รวมถึงในบางครั้งอาจจะพบการรุกล้ำอาณาเขตของฝ่ายพม่า ด้วยการเข้ามาสร้างสิ่งปลูกสร้างที่ไม่ใช่ของชาวบ้าน ซึ่งทหารจำต้องผลักดันกลับไป โดยมีเรื่องน่าตื่นเต้น คือ ในระหว่างการเดินทางคณะของพลอยได้พบกับการลักลอบล่าสัตว์ป่าที่ผิดกฎหมาย และพบกับทหารว้าด้วย

ในช่วงท้าย พลอย ได้สรุปถึงการร่วมภารกิจ ที่แม้จะเป็นเพียงแค่การจำลองเหตุการณ์ (ของจริงหนักกว่านี้) แต่เธอมองว่ามันอันตรายมากๆ หลังจากนั้นเธอก็ได้นั่งรอบกองไฟร่วมกับพี่ๆ ทหาร พร้อมกับคำถามที่ว่า “ทหารมีไว้ทำไม?” ซึ่งคำตอบที่ได้ก็มีความแตกต่างกันไป (ไม่ได้ระบุชัด) แต่ทุกคนต่างเคารพในความเห็นของกันและกัน

สำหรับใครที่อยากรับชมเรื่องราวเต็มๆ สามารถคลิกชมได้ที่ >> https://www.youtube.com/watch?v=W_HQ8gBie5M แล้วคุณคงจะได้คำตอบเองว่า ‘ทหารมีไว้ทำไม?’

'ฝรั่ง' งอแง!! ตกหลุมรักเมืองไทยสุดหัวใจ โพสต์ภาพอ้อน ไม่อยากอำลากลับบ้านเกิด

(18 ม.ค.67) กลายเป็นไวรัลชั่วข้ามคืน เมื่อนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติคนหนึ่งได้เดินทางมาใช้ช่วงเวลาสุดพิเศษไปกับการท่องเที่ยวเมืองไทย มีความสุขแฮปปี้ แต่งานเลี้ยงย่อมมีวันต้องเลิกรา เมื่อวันที่ต้องเดินทางกลับมาถึง โดยคุณ Paul O'Connor ได้อัปรูปภาพตัวเองกำลังทำหน้างอแงลงในกลุ่ม ‘Love Thailand’ พร้อมกับแคปชัน “Don’t wanna go home” (ยังไม่อยากกลับบ้าน) 

ก่อนที่อีกภาพถัดมาจะเป็นภาพสนามบินสุวรรณภูมิ พร้อมกับแคปชัน Most painful thing to see wen leaving Thailand 🇹🇭 (สิ่งที่เจ็บปวดที่สุดก็คือต้องเห็นการจากลาประเทศไทย 🇹🇭) แสดงให้เห็นว่านักท่องเที่ยวรายนี้ตกหลุมรักประเทศไทยมากแค่ไหน จนไม่อยากกลับประเทศบ้านเกิดของตัวเองเลยทีเดียว

'ศรีสะเกษ นครหลวงโปรโมชั่น' จดทะเบียนสมรสกับแฟนสาว ด้าน 'เสี่ยฮุย' ร่วมเป็นสักขีพยานรัก ยินดีเริ่มต้นชีวิตใหม่

(18 ม.ค. 67) ‘ศรีสะเกษ นครหลวงโปรโมชั่น’ หรือ ‘เจ้าแหลม’ ได้จดทะเบียนสมรสกับแฟนสาวคนใหม่ชื่อ ‘น้องแนน’ โดยมี ‘เสี่ยฮุย’ เป็นสักขีพยาน ด้านแฟนสาวได้ให้กำลังใจ ‘เจ้าแหลม’ ที่ทุ่มเทในการชกมวยเพื่อกลับมาเป็นแชมป์โลกอีกครั้ง

ด้าน ‘เสี่ยฮุย’ สุรชาติ พิสิฐวุฒินันท์ ผู้จัดการของ ‘เจ้าแหลม’ ศรีสะเกษ นครหลวงโปรโมชั่น อดีตแชมป์โลก WBC ชื่อดังเผยเหตุที่นักมวยในสังกัดต้องเลิกกับ ‘น้องจ.’ เมียเก่า เนื่องจากถูกหลอกทั้งที่ผู้หญิงมีครอบครัวแล้วและยังไม่เลิกกับสามี เมื่อคลอดลูกออกมาไม่ยอมให้ตรวจ DNA และไม่ยอมให้ใช้นามสกุลของ ‘เจ้าแหลม’ อีกด้วย

นอกจากนั้นเงินในบัญชีกว่า 20 ล้านเป็นค่าตัวของ ‘เจ้าแหลม’ ถูกถอนออกหมดจนเกลี้ยง เหลือเพียงรถ Toyota fortuner คันเดียวเท่านั้น 

ขอแสดงความยินดีในการเริ่มต้นบทชีวิตใหม่ของ ‘เจ้าแหลม’ ขอให้โชคดี ต่อหน้าที่การงานและอาชีพนักมวยที่ตัวเองรัก

'อรรถวิชช์' มอง!! ดิจิทัลวอลเล็ตในเชิงเศรษฐศาสตร์ มันจบแล้ว ชี้!! หากแท้ง ลองหวน 'แก้เครดิตบูโร' ช่วยประชาชนได้มากกว่า

(18 ม.ค.67) นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี อดีตรองหัวหน้าพรรคพรรคชาติพัฒนากล้า และอดีต สส.กทม. แชร์มุมมองเกี่ยวกับดิจิทัลวอลเล็ต ในเชิงเศรษฐศาสตร์ โดยระบุว่า…

ผมบอกได้ว่าโครงการดิจิทัลวอลเล็ตมันจบแล้วท่านนายกฯ สำหรับในมุมเศรษฐศาสตร์ มันจบแล้ว และหมายความว่ามันไม่ได้วิกฤต ซึ่งเรากําลังพูดในปี 2567 ในปีนี้ ซึ่งสิ่งที่เรียกว่าวิกฤตเศรษฐกิจมันจะมีดังต่อไปนี้

1.) ‘อัตราแลกเปลี่ยน’ ค่าเงินจะอ่อนตัวค่อนข้างมาก ซึ่งของเราไม่ได้เป็นอย่างงั้นในขณะนี้ และ 2.) ‘ทุนสํารองเงินตราระหว่างประเทศ’ คือ ทองคําก็ดี ดอลลาร์หรือเยนที่ต้องเอามาแบ็คในการพิมพ์แบงค์มันร่อยหรอ ที่เขาบอกเงินหมดเกลี้ยงคลังซึ่งก็คือทุนสํารองเงินตราระหว่างประเทศ ของเราขณะนี้เต็มพิกัดเยอะมาก และมีมากกว่าเงินในระบบหลายเท่าตัวด้วย 

ปัจจุบันเมื่อปี 2566 เขาเพิ่งประกาศว่าสถาบันการเงินกําไรมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ คือ 2.2 แสนล้านบาท ซึ่งมันไม่ใช่แล้ว…อัตราเงินเฟ้อก็ไม่ใช่อีก ก็ไม่ได้เฟ้อหรือเละเทะไปไหน ในปีนี้ GDP ก็ขึ้นแดนบวก เพราะฉะนั้นในมุมความเป็นเศรษฐศาสตร์ในปีนี้มันจบล่ะโครงการนี้ มันไม่มีความชอบธรรมแล้ว

ดังนั้น ในมุมเศรษฐศาสตร์ที่มันจบแล้ว มันมีกฎหมายพรบ.วินัยทางการคลังมาตรา 53 โดยมาตรานี้ได้บอกว่าถ้ารัฐบาลจะออกกฎหมายนี้ออกได้ถ้ามันฉุกเฉินและจําเป็น แต่คุณต้องทําทั้ง ๆ ที่คุณใช้งบประมาณปกติประจําปีไม่ได้แล้ว ปีนี้กําลังคุยงบประมาณปี 2567 กันอยู่ พูดกันในสภาใช่ไหม แล้วมีไหมงบเรื่องดิจิทัลวอลเล็ตข้างใน ซึ่งไม่มี…ก็จบแล้ว ไม่ต้องไปพูดเลยว่าวิกฤตหรือไม่วิกฤต เพราะว่ามันตั้งงบประมาณทัน แต่มันไม่ตั้ง 

แต่มันมีเรื่องหนึ่งที่ท่านนายกฯ มีความชอบธรรม คือความชอบธรรมของท่านนายกฯ มาจากประชาชน ท่านจะมีหน้าที่ต้องแก้ไขวิกฤตที่เกิดขึ้นกับชาวบ้าน ไม่ใช่วิกฤตประเทศ ซึ่งเมื่อกี้ได้ย้ำแล้วนะ GDP เราอยู่แดนบวก มันเป็นวิกฤตของชาวบ้าน พวกเราคนเงินเดือนต้องสู้กับดอกเบี้ยที่สูง สู้กับภาระหนี้นอกระบบ ทําไมธนาคารพาณิชย์ไทยไม่แข่งขันส่วนต่างดอกเบี้ยเงินฝากกับเงินกู้โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 7% ซึ่งสูงมาก ขณะที่ประเทศอื่นเขาอยู่กัน 2-3% แบงก์มันถึงกําไรเยอะ แล้วปีที่แล้วอเมริกาขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพราะกลัวเงินเฟ้อ จึงพิมพ์แบงค์ใช้เอง เพื่อแจกประชาชน พอแจกเยอะก็จะเอาเงินกลับ เพราะเงินเฟ้อเยอะ ก็ดูดขึ้นดอกเบี้ย เราก็ต้องขึ้นดอกเบี้ยตาม ประเด็นมันมีอยู่ว่าตอนขึ้นตามไม่มีปัญหาหรอก มันถึงมีกําไรทุกวันนี้ แล้วตอนกดลง มันกดลงได้เปล่า? ไม่ลงไง…

แล้วก็กลับมาว่าเกิดความตาย แล้วใครตาย? พวกเราไง พวกที่ไปผ่อนบ้านอยู่ 2-3 ล้านกว่า จากดอกหมื่นเดียว 3 ปีตรึงดอกเบี้ย พอขึ้นปีที่ 4 ดอกเบี้ยลอยตัว จากที่เคยจ่าย 10,000 บาท เป็นจ่าย 16,000-17,000 บาท ตายครับ…ไปเที่ยวก็ไม่ต้องไปเที่ยวไหนกันแล้ว

คือรัฐบาลเขามองว่าเขาแจกถ้วนหน้าทุกคน ไม่ใช่การไปช่วยเหลือคนจน เพราะเขามองว่าจะเอารายจ่ายภาครัฐอัดฉีดเครื่องยนต์ตัวนี้ให้ติด เพื่อไปกระตุ้นการบริโภค ซึ่งเขามองเรื่อง GDP ดังนั้นคําถามคืออันนี้ประเทศวิกฤตไหม? คําตอบคือประเทศไม่ได้วิกฤต คุณแจกถ้วนหน้าไม่ได้ในสูตรนั้น ผมจึงบอกมันจบแล้วไง แต่ในกลับกันคนชั้นกลางคนจนนี่แหละที่วิกฤต ทําไมอัตราดอกเบี้ยมันขึ้น ก็ต้องถามว่าทําไมแบงก์พาณิชย์มันกําไรกระฉูดเมื่อปีที่แล้ว เพราะว่าธนาคารพาณิชย์ไทยมันไม่แข่งขันกัน…ทำยังไงคุณให้ธนาคารพาณิชย์แข่งเรื่องดอกเบี้ย ซึ่งไม่ใช่เปิดแบงก์เพิ่มนะ และที่บอกว่าให้เปิดแบงก์เพิ่มเนี่ยผมว่าเป็นความคิดล้าหลังมาก เราเปิดแบงก์เพิ่มทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็น อิสลามแบงก์ เอสเอ็มอีแบงก์ ลายเส้นแบงก์ย่อย เราเปิดหมด ไม่ใช่การเพิ่มแบงก์ เราต้องการเพิ่มในข้อแข่งขันในอัตราดอกเบี้ย เรื่องพวกนี้รัฐบาลต้องทํา ถึงบอกท่านว่าแล้วทําไมท่านไม่ใช้วิธีอื่นบ้าง? แก้กฎหมายเครดิตบูโรใครที่ติดหนี้อยู่แล้วจ่ายหนี้เรียบร้อย ให้ลบออกจากบัญชีไป เครดิตตอนนี้เวลาทําเป็นบัญชีนะ 3 ปี เหมือนบัญชีหนังหมา ดีบ้างไม่ดีบ้างอยู่ 3 ปี ไปปล่อยแบงก์ก็ไม่กล้าปล่อย

ดังนั้น ทําไมคุณไม่ทําแบบอเมริกาเป็น Credit Score บอกเป็นคะแนนเลย ถ้าคะแนนดีดอกต่ำ ถ้าคะแนนต่ำดอกแพง อย่างนี้มันก็เกิดการแข่งขันธนาคารไม่ใช่เพิ่มจํานวนธนาคาร แต่มันคือการให้ธนาคารแข่งขันในเรื่องอัตราดอกเบี้ย

‘รมว.ปุ้ย’ เสียใจ เหตุระเบิดโรงงานพลุ จ.สุพรรณบุรี ลั่น!! แม้ไม่ใช่โรงงาน แต่ก็สั่งดูแลความปลอดภัยรอบด้าน

(18 ม.ค. 67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยความคืบหน้ากรณีเหตุการณ์ระเบิดสถานประกอบการผลิตพลุ จ.สุพรรณบุรี เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2567 ว่า กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าว 

และได้สั่งกำชับหน่วยงานในสังกัด อก. ในการป้องกันการเกิดเหตุอุบัติภัยและอัคคีภัยจากสถานประกอบการและเหมืองแร่ อก. ได้ตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า ผู้ประกอบกิจการรายนี้มีใบอนุญาตเกี่ยวกับดอกไม้เพลิง ซึ่งเป็นการออกให้ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 โดยสถานประกอบการดังกล่าวมีเป็นการผลิต ประกอบประทัดลูกบอลไล่นก ชนวนดำใช้กับพลุ โดยวัตถุดิบที่ใช้ประกอบ ได้แก่ ถ่านดินปืน ซึ่งบด ผสม มาจากที่อื่น และมีโพแทสเซียมคลอเรต (POTASSIUM CHLORATE) ที่เป็นสารประกอบหลัก ซึ่งเป็นสารที่อยู่ในการควบคุมภายใต้ พ.ร.บ.ควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ. 2530 มีคนงานในการประกอบกิจการทั้งหมด ประมาณ 30 คน ไม่มีเครื่องจักรในการประกอบกิจการ จึงไม่ได้อยู่ในขอบข่ายการเป็นโรงงาน ตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม 

“แม้การประกอบกิจการดังกล่าว จะไม่เป็นโรงงานตามกฎหมายโรงงาน แต่กระทรวงอุตสาหกรรมจะประสานบูรณาการกับหน่วยงานที่กำกับดูแลเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด เพื่อให้เกิดความรอบคอบรัดกุม และไม่ให้เกิดเรื่องทำนองนี้อีก โดยกระทรวงฯ จะเข้าไปมีส่วนในการกำหนดเงื่อนไขการประกอบกิจการ เพื่อกำกับดูแลให้เป็นไปตามหลักวิศวกรรม ทั้งด้านความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม ได้อย่างเหมาะสมต่อไป” นางสาวพิมพ์ภัทรา กล่าว

นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า ได้สั่งการให้หน่วยงานในสังกัด อก. แจ้งเตือนและกำชับทุกสถานประกอบกิจการและเหมืองแร่ให้ระมัดระวังการประกอบกิจการในทุกขั้นตอน รวมถึงบริเวณที่มีการผลิต การจัดเก็บวัตถุดิบ สารเคมีและผลิตภัณฑ์ ต้องไม่มีแหล่งกำเนิดประกายไฟ หรืออยู่ใกล้กับเชื้อเพลิงและสารไวไฟทุกชนิด รวมถึงกำชับพนักงานให้ใช้ความระมัดระวังในการปฏิบัติงาน และปฏิบัติตามขั้นตอนการดำเนินงานอย่างปลอดภัยและเคร่งครัด ก่อให้เกิดประกายไฟขึ้น เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของสถานประกอบกิจการ ตลอดจนประชาชนในบริเวณใกล้เคียง และ อก. ได้จัดทำข้อปฏิบัติฯ และคู่มือความปลอดภัยด้านต่าง ๆ สามารถดาวน์โหลดข้อมูลดังกล่าวได้ที่เว็บไซต์ของกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) http://www.diw.go.th 

(สุรินทร์)มณฑลทหารบกที่ 25 จัดพิธีวางพวงมาลาสักการะอนุสาวรีย์พลตรีหลวงวีรวัฒน์โยธิน ผู้ก่อตั้งค่ายวีรวัฒน์โยธิน และพิธีกระทำสัตย์ปฏิญาณตนต่อธงชัยเฉลิมพล เนื่องในวันกองทัพไทย

วันที่ 18 มกราคม 2567 เวลา 07.30 น. ที่ ค่ายวีระวัฒน์โยธิน พลตรี ชินวิช  เจริญพิบูลย์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 25 เป็นประธานในพิธีวางพวงมาลาสักการะ พร้อมกล่าวคำสดุดีต่อหน้าอนุสาวรีย์พลตรีหลวงวีรวัฒน์โยธิน ผู้ก่อตั้งค่ายวีรวัฒน์โยธิน เนื่องในวันกองทัพไทย โดยมีกำลังพลหน่วยขึ้นตรง ข้าราชการบำนาญ กองกำลังสุรนารี หน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 54 โรงพยาบาลค่ายวีรวัฒน์โยธิน หน่วยฝึกนักศึกษาวิชาทหาร มณฑลทหารบกที่ 25 กองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 23 พร้อมใจกันร่วมนำพวงมาลาวางสักการะ ทั้งนี้เพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงดวงวิญญาณ อันศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าทหารกล้า ในฐานะวีรชนผู้ทรงพระคุณอันยิ่งใหญ่ของชาติไทย  โดยในช่วงบ่าย เวลา 15.00 น. พลตรี ชินวิช  เจริญพิบูลย์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 25 เป็นประธานในพิธี ทางพุทธศาสนา และ พิธีกระทำสัตย์ปฏิญาณตนต่อธงชัยเฉลิมพล ประจำปี 2567 เนื่องในวันกองทัพไทย 

ปุรุศักดิ์  แสนกล้า  ข่าว/ภาพ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top