Sunday, 15 June 2025
NewsFeed

กลไกชีวิต!! เปิดเหตุผลที่ยังไม่จำเป็นต้องแนะนำอะไรเด็กวัย 20 เพราะวัยนี้บอกไป คงยากจะฟัง แถมมองผู้ใหญ่งี่เง่า พูดแต่เรื่องไกลตัว

เมื่อวานนี้ (16 ม.ค.67) จากช่องติ๊กต็อก ‘charoenbenjapatfamily’ หรือ ‘ฟีนเล่าให้ฟัง’ ได้โพสต์ข้อความที่ฝากถึงเด็กวัย 20 โดยระบุว่า…

ผมไม่บอกหรอก…เพราะวัยนี้บอกอะไรก็ไม่ฟัง เพราะเขาจะมองว่าผู้ใหญ่งี่เง่า ไม่เข้าใจวัยรุ่น พูดไปเรื่อย เพราะผมจําได้ ตอนผมอายุ 20 ปี ใครบอกอะไรก็ไม่ฟัง มองว่ามันเป็นเรื่องไกลตัว คิดว่ายังมาไม่ถึงหรอก มันอีกนาน…ไม่ว่าคุณจะเจอคนที่เขาสอนคุณดีขนาดไหนสุดท้ายคุณก็จะใช้ชีวิตตามสังคม ตามเพื่อนอยู่ดี กว่าจะนึกถึงคําสอนอายุก็ปาเข้าไปเลข 30 แล้ว และตอนนั้นมันจะเป็นช่วงเวลาที่ชีวิตคุณสะสมปัญหาเน่าเฟะไว้เต็มไปหมด 

ช่วงอายุ 20 มันจะเป็นช่วงเวลาที่คุณจะเริ่มทํางานได้เป็นครั้งแรก เริ่มมีเงินเดือนเป็นของตัวเอง เริ่มสมัครบัตรเครดิต เริ่มดาวน์รถ เริ่มหาคู่ เริ่มกู้บ้าน ขณะที่คุณก็ยังอยากกินอยากเที่ยวไปด้วย…

ซึ่งนึกภาพตามนะ สมมติคุณมีเงินเดือน 15,000 - 20,000 บาท ในช่วงอายุประมาณ 20 ปี ถ้าคุณไปดาวน์รถมา คุณผ่อนเดือนละ 10,000 บาท เติมน้ำมันหรือพาแฟนไปเที่ยวอีกเดือนละ 3,000 บาท จ่ายบัตรขั้นต่ำเครดิตอีกสักเดือนละ 2,000 บาท ดังนั้น 15,000 บาทหมดแล้วยังไม่ได้กินอะไรเลย…แล้วไหนจะค่าเช่าห้อง คอยส่งเงินให้พ่อให้แม่ ส่งน้องเรียน แล้ววัยนี้เกิดปัญหาอกหักบ่อยด้วย อกหักแต่ละทีกินเหล้าทุกวัน เงินมันก็จะเริ่มติดลบมาตลอด 10 ปีที่ผ่านมา คุณจะรู้ตัวอีกทีช่วงอายุ 30 ตอนนั้นมันจะเริ่มหมดหนทางแก้ ซึ่งมันแก้โคตรยาก ดังนั้นก็จะเริ่มหันหาหมอดูหรือไสยศาสตร์ ทั้ง ๆ ที่ตอนวัยรุ่นคุณแอนตี้ไสยศาสตร์มาก คุณไม่เชื่ออะไรเลย แต่จะมาเริ่มเชื่อตอนที่ชีวิตมันตันไปหมดแล้ว

ดังนั้น มันก็จะมีวัยรุ่นไม่กี่คน มีไม่กี่เปอร์เซ็นต์ ที่จะรอดจากกับดักชีวิตในช่วงอายุ 20 ปี...ชีวิตต้องให้คุณลองเอง เจ็บเอง แล้วคุณจะมีบทเรียนที่กระตุกจิตกระชากใจตัวเราเอง... 

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติสั่งการช่วยเหลือกรณีเหตุพลุระเบิดในจังหวัดสุพรรณบุรี พร้อมสั่งตรวจสอบทุกมิติ หากพบมีการกระทำผิดดำเนินคดีทุกราย

พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า จากกรณี วันนี้ (17 ม.ค.67) เมื่อเวลา 15.30 น. เกิดเหตุโรงงานพลุระเบิดในพื้นที่หมู่ 3 ต.ศาลาขาว อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี แรงระเบิดกินวงกว้าง ตรวจสอบเบื้องต้นมีผู้เสียชีวิตแล้วประมาณ 20 ศพ และมีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก  ซึ่งนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้สั่งให้เร่งคลี่คลายสถานการณ์ ช่วยเหลือประชาชนในบริเวณเกิดเหตุและโดยรอบ ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีสั่งการให้ตรวจสอบโรงงานดังกล่าวว่าดำเนินการถูกกฎหมายหรือไม่ และเหตุระเบิดเกิดจากความประมาทหรือไม่ ต้องดำเนินการตามกฎหมายถึงที่สุด 

ทั้งนี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิต พร้อมสั่งการให้ตำรวจภูธรจังหวัดสุพรรณบุรี และตำรวจพื้นที่ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ และเร่งตรวจสอบกรณีดังกล่าวโดยด่วนในทุกมิติ เพราะทราบว่าโรงงานแห่งนี้ เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2565 เคยเกิดระเบิดไฟลุกไหม้แล้วครั้งหนึ่ง มีคนงานถูกไฟคลอกเสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บสาหัส 3 ราย ก่อนจะกลับมาเปิดทำการผลิตพลุอีกและเกิดเหตุระเบิดขึ้นในครั้งนี้ ซึ่งหากพบมีการกระทำผิด จะดำเนินคดีตามกฎหมายทุกราย

'สุดาวรรณ' ประกาศพลิกโฉมท่องเที่ยวและกีฬาไทยในปี 2567

'สุดาวรรณ' ประกาศเป้าหมายการทำงานปี 2567 สร้างรายได้จากการท่องเที่ยว 3.5 ล้านล้านบาท เพิ่มส่วนแบ่งมูลค่ากีฬาไทยให้ได้ 1% ของอุตสาหกรรมกีฬาโลก คิดเป็น มูลค่า 455,800 ล้านบาท วาง 7 นโยบายขับเคลื่อนท่องเที่ยวและกีฬา ใช้ซอฟต์พาวเวอร์เป็นขุมพลังใหม่

นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ในปี 2567 กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาขอประกาศนโยบายที่สำคัญที่จะ “พลิกโฉมการท่องเที่ยว และกีฬาของไทย” ด้วยการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว 3.5 ล้านล้านบาท และเพิ่มส่วนแบ่งมูลค่ากีฬาไทยที่มีเพียง 0.58% ในขณะนี้ให้เป็น 1% จากอุตสาหกรรมกีฬาโลกที่มีขนาด 45.58 ล้านล้านบาท คิดเป็นมูลค่า 455,800 ล้าน บาทให้ได้

“เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาได้มอบนโยบายให้หัวหน้าส่วนราชการทุกหน่วยงานในสังกัด กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาแล้ว มีความมุ่งมั่นและตั้งใจว่าในปี 2567 เราจะเติบโต ไปพร้อมๆ กัน จับมือไปด้วยกันกับทุกภาคส่วน ดิฉันจะเน้นการบูรณาการกับทุกหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ จะพูดจากันมากขึ้น บูรณาการกันมากขึ้น เพื่อให้ไปถึงเป้าหมายได้อย่างว่องไว” สำหรับนโยบายที่กระทรวงฯ จะขับเคลื่อนในปี 2567 มี 7 นโยบายหลักๆ นโยบายแรก คือ การขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในปี 2567 จากเชิงปริมาณเข้าสู่โหมดของคุณภาพ ทั้งมิติของในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งนายกรัฐมนตรีต้องการให้บรรยากาศการท่องเที่ยวของประเทศไทยคึกคักตลอดทั้งปี ทั้งจากนักท่องเที่ยวต่างชาติและนักท่องเที่ยวไทย“

“ประเทศไทยต้องมี High season on year round tourism destination คือ เที่ยวได้ทั้งปี หรือเที่ยวได้ ทั้ง 365 วัน จึงได้เตรียม Event ต่างๆ ไว้มากมาย อาทิ เทศกาลตรุษจีน เทศกาลสงกรานต์ ที่จะจัดให้ยิ่งใหญ่กว่าทุกปี เพราะยูเนสโก้เพิ่งประกาศขึ้นทะเบียนให้สงกรานต์ในประเทศไทย เป็นรายการในบัญชีตัวแทนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมวลมนุษยชาติ จึงต้องยกระดับกิจกรรม Event ต่างๆ ในระดับชุมชนให้เป็น Event ในระดับนานาชาติ เป็นการกระตุ้นการไปท่องเที่ยวเมืองรอง จะทำให้ประเทศไทยสามารถรักษาตลาดเดิม และเจาะตลาดนักท่องเที่ยวใหม่ๆ ได้ต่อเนื่อง”

นโยบาย 2 กระทรวงฯจะใช้ Soft Power เป็นพลังในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมการกีฬาของประเทศไทยให้เป็น “Engine the New Power” และจุดเด่นของ Soft Power ก็จะมีในเรื่องของกีฬาเข้ามาเป็นตัวช่วยในการขับเคลื่อนด้วยและเป็นการสร้างภาพลักษณ์ใหม่ของประเทศไทยในสายตาชาวโลกที่สำคัญ และเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อน demand ของการท่องเที่ยวและการกีฬาได้เป็นอย่างดี

นโยบายที่ 3 ประเทศไทยให้ความสำคัญกับเรื่องความปลอดภัยทั้ง Hospitality และ Safety โดยต้องทำให้นักท่องเที่ยวเชื่อมั่นว่า “เมืองไทยปลอดภัย” มาแล้วได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ต้องเข้มงวดการบังคับใช้กฎหมายและปราบปรามการเอาเปรียบ หลอกลวงนักท่องเที่ยว เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับประเทศไทยของเรา

นโยบายที่ 4 เรื่อง Responsibility เราต้องทำให้การท่องเที่ยวนั้นยั่งยืน ซึ่งเรื่องนี้ เป็นนโยบายที่พูดกันมานานแล้ว แต่ในปี 2567 จะนำเรื่องนี้มาขับเคลื่อนให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้นจริงๆ การท่องเที่ยวจะยั่งยืนได้ต่อเมื่อ “ท้องถิ่น” ต้องมาร่วมขับเคลื่อนด้วยกัน

นโยบายที่ 5 จะใช้การท่องเที่ยวเป็นเครื่องมือในการกระชับความสัมพันธ์ของประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อสานต่อนโยบายของนายกรัฐมนตรีที่ให้ความสำคัญกับการเดินทางเชื่อมโยงภายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยในการประชุมคณะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ณ กรุงเวียงจันทน์ สปป.ลาว ปลายเดือนนี้ จะมีประเด็นพูดคุยที่สำคัญคือ ASEAN Connect ที่จะทำให้เกิดการเดินทางเชื่อมโยงทางอากาศ ทางน้ำ และทางบก

นโยบายที่ 6 มีนโยบายที่จะขับเคลื่อนด้านกีฬาพื้นฐาน โดยวางระบบการพัฒนาทั่วประเทศเพื่อให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายที่เกี่ยวข้อง ส่งเสริม พัฒนาการการออกกำลังกายและการเล่นกีฬา ทุกคนสามารถออกกำลังกายเป็นวิถีชีวิต สามารถเข้าถึงกีฬาได้ทุกกลุ่มเป้าหมาย ทั้งคนทั่วไป ผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้ด้อยโอกาส รวมทั้งจะมีการส่งเสริมกีฬาเพื่อความเป็นเลิศ กีฬาเพื่อการอาชีพที่จะต้องพัฒนากีฬาทุกระดับและบุคลากร รวมทั้งการพัฒนาบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์การกีฬา และนำวิทยาศาสตร์การกีฬามาเพิ่มสมรรถนะให้กับนักกีฬาไทยให้แข็งแกร่งขึ้นเพื่อแข่งขันในระดับนานาชาติ หรือกีฬาอาชีพ และต้องผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการแข่งขันมหกรรมกีฬาระดับนานาชาติและระดับโลก สร้างแรงบันดาลใจให้กับเยาวชนรุ่นใหม่ สุดท้ายคือ E-Sport ถือเป็นกิจกรรมกีฬาใหม่ที่ต้องส่งเสริมเพราะสามารถสร้างทักษะให้กับเยาวชนและ สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้เป็นอย่างมาก

นโยบายที่ 7 การเตรียมพร้อมสำหรับมหกรรมกีฬาระดับนานาชาติ ซึ่งปี 2567 จะมีรายการแข่งขันระดับนานาชาติหลายรายการทั้งการส่งนักกีฬาไปร่วมแข่งขันกีฬา โอลิมปิกปารีส 2024 และการเตรียมตัวเป็นเจ้าภาพจัดแข่งขัน ได้แก่/ เอเชียนอินดอร์ และมาร์เชียลอาร์ตเกมส์/ จักรยานยนต์โมโตจีพี/ เจ็ตสกีชิงแชมป์โลก/ ฮอนด้า แอลพีจี เอ ไทยแลนด์ 2024/ รวมถึงการเตรียมตัวเป็นเจ้าภาพซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ในปี 2568 ซึ่ง มี 3 จังหวัดร่วมเป็นเจ้าภาพ คือ กรุงเทพ ชลบุรี และสงขลา

รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า สำหรับความสำเร็จของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ปี 2566 ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ ทั้งสิ้น 28 ล้านคน เศษ เกินกว่าเป้าหมายที่เราตั้งไว้ ส่วนรายได้รวมจากนักท่องเที่ยวปี 2566 ตั้งเป้าไว้ที่ 2.38 ล้านล้านบาท แต่สรุปตัวเลขเมื่อสิ้นปีที่ผ่านมา พบว่า ประเทศไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยวรวม 2 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 100 จากปี 2565

ส่วนผลงานด้านกีฬาในปี 2566 นักกีฬาของเรามีผลงานในชนิดกีฬาสากลที่ดีขึ้น และนอกจากนี้ ประเทศไทยได้มีการจัดกีฬาในระดับนานาชาติ ได้แก่ ฮอนด้า แอลพีจีเอ ไทยแลนด์ 2023 ครั้งที่ 16 การแข่งขันรายการโมโตจีพี 2023 การจัดการแข่งขันรายการวอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์เอเชีย 2023 ซึ่งทุกรายการมีแฟนกีฬาทั้งชาวไทย และชาวต่างประเทศเข้าชมเป็นจำนวนมาก สามารถสร้างรายได้ให้กับคนในท้องถิ่น และผู้ประกอบการได้เป็นจำนวนมาก

“กมธ.ป.ป.ง.” จี้ กรมป่าไม้ - ป.ป.ง. จับมือสางคดีเขมือบป่า ภูเรือ-ด่านซ้าย พบกว่า 6,900 ไร่

“กมธ.ป.ป.ง.” จี้กรมป่าไม้-ป.ป.ง.พิจารณาคดีเขมือบป่า ภูเรือ - ด่านซ้าย กว่า 6,900 ไร่ ใหม่ ให้ ป.ป.ง. เร่งดำเนินคดีในการยึด อายัดทรัพย์ ที่พบว่ามีความผิดทั้งหมด และขอให้ กรมป่าไม้ได้ดำเนินการพิจารณาแจ้งความดำเนินคดีนี้ใหม่ พร้อมกับเข้าจัดการทรัพย์สินที่ยึดอายัดนี้ให้ชัดเจนเพื่อประโยชน์ต่อแผ่นดิน

เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2567 ที่ห้องประชุมกรรมาธิการ N 407 ชั้น 4 อาคารรัฐสภาเกียกกาย นายเลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุล ประธานคณะกรรมาธิการการป้องกันปราบปรามการฟอกเงินและยาเสพติด สภาผู้แทนราษฎร (กมธ.ป.ป.ช.) พร้อมคณะ กมธ. ที่ปรึกษา ผู้เชี่ยวชาญ เลขานุการ ร่วมกันพิจารณาข้อเท็จจริงกรณีการครอบครองหรือการแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติในอำเภอภูเรือ และอำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย ของ บริษัท ซี.พี.เค. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กับพวก ซึ่งเข้าข่ายความผิดมูลฐานตามกฏหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน โดยได้เชิญเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันปราบปรามการฟอกเงินและอธิบดีกรมป่าไม้ แต่ได้ส่งผู้แทน ประกอบด้วย นายวิทยาพร จันทวาส นักสืบสวนสอบสวนชำนาญการพิเศษ และ นายกรกฤษณ์ ปราบเขต นักสืบสวนสอบสวน สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และ นายบรรณรักษ์ เสริมทอง รองอธิบดีกรมป่าไม้ นายคม ศรีสวัสดิ์ ผอ.ส่วนยุทธการด้านป้องกันและปราบปราม นายสราวุฒิ บุญเกื้อ ผอ.สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 6 อุดรธานี และ นายยุทธศักดิ์ ไชยศักดา นักวิชาการป่าไม้ชำนาญการ กรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 

การพิจารณา กมธ.ป.ป.ง. พิจารณาประเด็นการตรวจสอบข้อมูลเดิมที่มีการสอบสวนและข้อมูลเชิงลึกที่ถูกนำเสนอผ่านสื่อ กรณี บริษัท ซี.พี.เค. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กับพวก บุกรุกยึดครองหรือทำประโยชน์ในอุทยานแห่งชาติและป่าสงวนฯกว่า 6,200 ไร่ ใน อ.ภูเรือ จ.เลย  โดยขั้นตอนที่ คณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงในคดีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดีบริษัท ซี.พี.เค. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กับพวก และข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับสภาพของที่ดินจำนวน 6,200 ไร่ ใน อ.ภูเรือ จ.เลย ที่อยู่ในความครอบครองของ บริษัท ซี.พี.เค. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ปัจจุบันเป็นอย่างไร ซึ่งที่ประชุมมีการเปิดเผยข้อมูลที่เป็นประโยน์และพบช่องว่างในการติดตามทรัพย์และความเสียหายที่มีช่องว่างที่สามารถตรวจสอบได้ โดยปรากฏข้อมูลความเสียหายในภาพรวมมีมากกว่า 6,900 ไร่ 

นายเลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุล ประธาน กมธ.ป.ป.ง. กล่าวว่า จากข้อมูลที่ได้รับการชี้แจงจากผู้แทนสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริต และ กรมป่าไม้ พบว่า ความเสียหายภาพรวมมีมากถึง 6,900 ไร่ ครอบคลุมพื้นที่ อ.ภูเรือ และ อ.ด่านซ้าย ที่ยังคงรอให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องติดตามทวงคืนที่ดินและเรียกคืนความเสียหาย กมธ.ป.ป.ง. จึงมีมติให้ สำนักงาน ป.ป.ง. ให้เร่งดำเนินคดีในการยึด อายัดทรัพย์ ที่พบว่ามีความผิดทั้งหมด และขอให้ กรมป่าไม้ได้ดำเนินการพิจารณาแจ้งความดำเนินคดีนี้ใหม่ พร้อมกับเข้าจัดการทรัพย์สินที่ยึดอายัดนี้ให้ชัดเจนเพื่อประโยชน์ต่อแผ่นดินและให้แจ้งเป็นรายลักษณ์อักษรต่อ กมธ.ป.ป.ช. ด้วย

งานมหัศจรรย์ วันมวยไทย ดังไกลสู่ชาวโลก ประจำปี ๒๕๖๗ 'Amazing MuayThai World Festival 2024'

​เมื่อวันพุธที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๖๗ ที่ สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก โดย พลเอก นิรันดร ศรีคชา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ผู้แทน กองทัพบก ร่วมกับ นางสาว วราพรรณ ชัยชนะศิริ รองอธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ผู้แทน กระทรวงวัฒนธรรม, นาย คมกริช เจริญพัฒนสมบัติ รองผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์, นายพลัฏฐ์ สุวรรณาเมธากร ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกีฬามวย ผู้แทน การกีฬาแห่งประเทศไทย, นาย ณัฐ ครุฑสูตร ผู้อำนวยการฝ่ายกิจกรรมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ผู้แทน การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ชัยฤทธิ์ ศิลาเดช อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฎหมู่บ้านจอมบึง, พันเอก ธนพล ภักดีภูมิ ประธานสภามวยโลกมวยไทย, นาย นพรัตน์ พุทธรัตนมณี ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิตและการตลาด บริษัท ไทยไฟท์ จำกัด และ นาย จิติณัฐ อัษฎามงคล ประธาน บริษัท วัน แชมเปียนชิพ ประเทศไทย จำกัด ร่วมแถลงข่าวการจัดงานมหัศจรรย์ วันมวยไทย ดังไกลสู่ชาวโลก ประจำปี ๒๕๖๗ “Amazing MuayThai World Festival 2024” ทั้งนี้ กำหนดจัดขึ้นในวันที่ ๔ - ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗  ณ อุทยานราชภักดิ์ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพื่อส่งเสริมกีฬามวยไทย การท่องเที่ยว และยกระดับมวยไทยสู่มาตรฐานสากล รวมทั้งพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงกีฬาให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางด้านกีฬามวยไทยของโลก ตลอดจนส่งเสริมมวยไทยให้เป็น soft power ของประเทศไทย ซึ่งการจัดงานในครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจากคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านกีฬาของรัฐบาล และความร่วมมือของกองทัพบก กับภาครัฐ และภาคเอกชน ลักษณะงานเน้นไปถึงการย้อนอดีตในแง่ ประวัติศาสตร์ จารีต ประเพณี วัฒนธรรม ประกอบด้วย

“มหัศจรรย์มวยไทย จากรากเหง้าแห่งสยาม ศิลปะการต่อสู้มรดกไทยสู่สากล” เป็นพิธีย้อนประวัติศาสตร์รากเหง้าสู่ความยิ่งใหญ่มวยไทย การแปรรูปขบวนทหาร การแสดงย้อนอดีตของมวยไทย ประวัติศาสตร์ บิดามวยไทย ๓๒๒ ปี มวยไทยในทางกีฬาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน มวยไทยในทางทหารตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน แม่ไม้ ลูกไม้มวยไทย การไหว้ครู
 
​“จารีตวิถีโบราณ การมอบตัว การขึ้นครูและการครอบครู มนต์ขลังวัฒนธรรมมวยไทย” เป็นพิธีแห่งความศักดิ์สิทธิและมีความขลัง ในการมอบตัวเป็นศิษย์ การขึ้นครู และการครอบครูของผู้ที่มาร่วมในพิธีทั้งคนไทยและต่างชาติอันตระการตา และประกอบแสง สี เสียงเพื่อการสร้างมูลค่าและคุณค่าของมวยไทย อันยิ่งใหญ่

“สืบศิลป์การร่ายรำไหว้ครู แม่ไม้มวยไทย สู่โดรนแปรอักษร แสงสีสุดตระการตา” เป็นพิธีการแสดงศิลปะแม่ไม้มวยไทยและรำไหว้ครู อันงดงามยิ่งใหญ่ของคนที่มาร่วมในพิธีทั้งคนไทยและต่างชาติประกอบแสงสีเสียง และการแปรอักษรด้วยโดรน และการจุดพลุ อย่างยิ่งใหญ่

​ทั้งนี้ ในวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ จะมีพิธีเปิดงานในเวลา ๑๗๓๐ โดยเรียนเชิญ ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นประธานในพิธีฯ และในเวลา ๑๘๐๐ - ๒๑๔๐ เป็นการแข่งขันชกมวย THAI FIGHT (ถ่ายทอดสดทางช่อง 8) และในวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ ได้กราบเรียนเชิญนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ในพิธีปิดงานฯ เวลา ๑๘๐๐ โดยในวันงานมีกิจกรรมที่สำคัญประกอบด้วย การแสดงศิลปะมวยไทย ๓ องก์ ได้แก่ การแสดงองก์ที่ ๑ มหัศจรรย์มวยไทย จากรากเหง้าแห่งสยาม ศิลปะการต่อสู้มรดกไทยสู่สากล, การแสดงองก์ที่ ๒ จารีตวิถีโบราณ การมอบตัว การขึ้นครูและการครอบครู มนต์ขลังวัฒนธรรม มวยไทย, การแสดงองก์ที่ ๓ สืบศิลป์การร่ายรำไหว้ครู แม่ไม้มวยไทย สู่โดรนแปรอักษร แสงสีสุดตระการตา รวมทั้งการแปรอักษรโดยโดรน การจุดพลุประกอบการแสดง และการแข่งขันมวยไทย

​สำหรับผู้ที่สนใจสามารถเข้าชมได้ฟรี ข้อมูลเพิ่มเติม www.amazingmuaythaifestival.com

“หมอชลน่าน”ห่วงหญิงไทย ถูกมะเร็งเต้านมคุกคาม ป่วยเพิ่มปีละกว่า 1.7 หมื่นคน เอันดับหนึ่งของมะเร็งในผู้หญิง เหตุต้องรีบทำนโยบายมะเร็งครบวงจร

นางสาวตรีชฎา ศรีธาดา โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ฝ่ายการเมือง เปิดเผยถึงหลังกรณีการเสียชีวิตของ นางสาวจุฬาลักษณ์ อิสมาโลน หรือ หญิง จุฬาลักษณ์ ในวัย 45 ปี ด้วยโรคมะเร็งเต้านม ว่า นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รมว.สาธารณสุข  มีความห่วงใยสตรีไทยที่ต้องตกเป็นเหยื่อโรคมะเร็งเต้านม เพราะเป็นโรคมะเร็งที่พบบ่อยที่สุดในหญิงไทยและทั่วโลก โดยมีอุบัติการณ์เกิดในผู้ป่วยใหม่ ปีละประมาณ 12% โดยในปี 2566 พบผู้ป่วยรายใหม่ 17,742 คน หรือวันละ 49 คน และพบการกลับมาเป็นซ้ำของมะเร็งเต้านมหรือการแพร่กระจายของโรคค่อนข้างสูงกว่ามะเร็งชนิดอื่น ทำให้ผู้ป่วยหลายรายหมดกำลังใจในการรักษา  อย่างไรก็ตาม มะเร็งเต้านม หากตรวจพบเร็ว เข้ารับการรักษาเร็ว และดูแลตนเองอย่างถูกวิธี จะทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและสามารถใช้ชีวิต อยู่กับคนที่รักได้อีกนาน

นางสาวตรีชฎา กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขเล็งเห็นปัญหาของเรื่องนี้จึงได้กำหนดให้การดูแลรักษามะเร็งเป็นหนึ่งในนโยบายควิกวิน (QuickWin) ภายใน 100 วัน ผ่านนโยบายมะเร็งครบวงจรซึ่งเป็นอีกหนึ่งนโยบายที่ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขทันทีที่เขัามารับตำแหน่งเจ้ากระทรวงนี้ จึงตั้งเป้าดูแลประชาชนอย่างครบวงจร ทั้งการส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรคมะเร็ง การดูแลรักษา บำบัด ฟื้นฟูทันที

“มะเร็งครบวงจร เป็นอีกนโยบายยกระดับ 30 บาทรักษาทุกที่เพิ่มคุณภาพชีวิตประชาชน มุ่งเน้น 5 โรคที่พบบ่อย คือ มะเร็งตับ มะเร็งท่อน้ำดี มะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง มะเร็งเต้านม และมะเร็งปากมดลูก” และสำหรับประเทศไทย พบผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่ปีละ 140,000 คนและเสียชีวิต 84,000 คนต่อปี นโยบายของนพ.ชลน่าน เกี่ยวกับมะเร็ง มุ่งเน้นจัดบริการด้านโรคมะเร็งที่ครบวงจร ครอบคลุมทั้งระบบ ตั้งแต่การส่งเสริมป้องกัน การคัดกรอง การตรวจวินิจฉัย การรักษา จนถึงการดูแลผู้ป่วยระยะท้าย 

ดังนั้นประชาชนที่มีสิทธิ์หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า 30 บาทรักษาทุกที่สงสัยและกังวลในเรื่องนี้สามารถเข้าไปรับการปรึกษาและการตรวจที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน เพื่อจะได้รับการวินิจฉัยและป้องกันอย่างทันท่วงที่ เพราะมะเร็งรู้เร็วรักษาได้ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขต้องการให้พี่น้องประชาชนคนไทยทุกคนรู้เท่าทันโรค และมีสุขภาพที่ดี’ นางสาวตรีชฎา 

สตูล เปิดปฏิบัติการตรวจสกัดแรงงานต่างด้าวในประมงผิดกฏหมาย


นายสุขเกษม ศรีงาม หัวหน้าหน่วยป้องกันและปราบปรามประมงทะเลเกาะหลีเป๊ะ(สตูล)  และเจ้าหน้าที่หน่วยป้องกันและปราบปรามประมงทะเลเกาะหลีเป๊ะ  บูรณาการการกำลังการตรวจร่วมเรือประมง (ซึ่งประกอบด้วย  จัดหางาน,สวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน,ตำรวจน้ำ,ตม.สตูล ,ศรชล,ฯลฯ ประมงจังหวัดสตูล  )โดยนำเรือตรวจประมงทะเล 614 พร้อมเรือยาง 14 ตรวจตามแผนงานยุทธศาสตร์จัดการปัญหาแรงงานต่างด้าวและการค้ามนุษย์โครงการจัดการปัญหาแรงงานต่างด้าวและการค้ามนุษย์ด้านการประมง ที่บริเวณปากร่องน้ำปากบารา  และหลังเขาใหญ่ เขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา น่านน้ำติดอำเภอละงู  จังหวัดสตูล  

หลังการข่าวกองทัพเรือพบว่าในห้วงเดือนธันวาคมไปจนถึงเดือนมีนาคม   เป็นห้วงที่มีการอพยพของชาวโรฮิงญา  จากรัฐยะไข่ ผ่านมาทางน่านน้ำชายแดนจังหวัดสตูลที่อาจจะมีการพลัดหลงเข้ามาตามเกาะแก่งได้  พร้อมกันนี้การตรวจตราเฝ้าระวังแรงงานต่างด้าวที่ทำงานบนเรือประมงพาณิชย์ให้ปฏิบัติถูกต้องตามกฎหมาย

โดยแผนปฏิบัติการในครั้งนี้ได้สุ่มตรวจเรือประมง 6 ลำ  เป็นเรือพาณิชย์ขนาดใหญ่ตั้งแต่ขนาด 10 ตันกรอสขึ้นไป  ตรวรความพร้อมของเรือให้เป็นไปตามกฎหมาย  ตรวจใบอนุญาตใช้แรงงาน และแรงงานตรงตามที่ขออนุญาตหรือไม่ โดยมีการตรวจอุปการณ์ในเรือ สัตว์น้ำ อุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินที่อาจเกิดกับเรือได้  

นายสุขเกษม ศรีงาม หัวหน้าหน่วยป้องกันและปราบปรามประมงทะเลเกาะหลีเป๊ะ(สตูล)  กล่าวว่า การตรวจในครั้งนี้เป็นการบูรณาการร่วมกันของชุดสหวิชาชีพ  หลังการข่าวพบว่าช่วงนี้จะมีโรฮิงญาอาจพลัดหลงเข้ามาทางทะเลน่านน้ำจังหวัดสตูลได้จึงมีการออกมาตรวจตราและกลั่นกรองทางทะเล  และการตรวจแรงงานต่างด้าว  ที่ทำงานในเรือประมงว่ามีเอกสารครบถ้วนหรือไม่ รายชื่อและสัตว์น้ำบนเรือตรงตามเอกสารที่รายงานหรือไม่โดยเรือที่ตรวจจะเป็นเรือประมงพาณิชย์โดยเน้นขนาด 10 ตันกรอสขึ้นไป หัวหน้าหน่วยป้องกันและปราบปรามประมงทะเลเกาะหลีเป๊ะ(สตูล)  กล่าวฝากผู้ที่ทำกิจการเรือประมงจะต้องมีเอกสารที่ถูกต้องตามกฎหมายและตรงตามที่ระบุไว้สำหรับพื้นที่ทำกิน ตามพิกัดที่ได้ระบุแจ้งไว้กับทางราชการ  ซึ่งเรือประมงขนาด 30 ตันกรอสขึ้นไปจะมีระบบติดตามเรือประมงหากไม่เป็นไปตามที่ระบุแจ้งระวังโทษ ซึ่งการตรวจแรงงานผิดลำ มีโทษปรับ400,000 ถึง800,000 บาทปรับเจ้าของเรือ ตาม พรก.2558 การประมง ฉบับแก้ไข ฉบับ60 

นิตยา แสงมณี // ผู้สื่อข่าวภูมิภาคประจำจังหวัดสตูล

‘คูดักรถถัง’ ยุทธศาสตร์ที่ ‘กองทัพไทย’ ผุด!! หวังป้องลัทธิคอมมิวนิสต์ ปัจจุบันพัฒนาเป็นแหล่งกักเก็บน้ำตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา


ส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์อันสำคัญของชาติไทยและมีส่วนช่วยให้คนไทยรอดพ้นจากภัยของลัทธิคอมมิวนิสต์ ก็คือ ‘คูคลองยุทธศาสตร์’ (ชายแดนไทย-กัมพูชา) และต่อมาได้รับการพัฒนาให้เป็นแหล่งเก็บกักน้ำสำหรับพี่น้องคนไทยที่อาศัยอยู่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาจนทุกวันนี้ ซึ่งเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อ 40 ปีก่อน เป็นหนึ่งเรื่องสำคัญในประวัติศาสตร์ที่คนไทยที่โตและเกิดไม่ทันยุคที่กองทัพไทยต้องเผชิญหน้ากับกองทัพเวียดนามในกัมพูชา ภายหลังจากพรรคคอมมิวนิสต์ของเวียดนาม ลาว และกัมพูชาเรืองอำนาจโดยสามารถเอาชนะรัฐบาลที่สหรัฐอเมริกาสนับสนุนได้ และแสดงท่าทีที่ชัดเจนในการรคุกคามต่ออธิปไตยของไทย เป็นเรื่องราวที่ตอกย้ำให้เห็นความจำเป็นของไทยที่จะต้องมีกองทัพแห่งชาติที่เข้มแข็งและมีอาวุธยุทโธปกรณ์อันทันสมัยในการป้องกันเอกราชและอธิปไตยของชาติ 


ที่มาของ ‘คูคลองยุทธศาสตร์’ เกิดจากเหตุปะทะชายแดนไทย-เวียดนาม เมื่อกำลังทหารเวียดนามบุกเข้ากัมพูชาในวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2521 เพื่อล้มล้างระบอบเขมรแดง กำลังทหารกัมพูชาส่วนใหญ่ได้อพยพมาอยู่ทางด้านตะวันตกและตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศที่ติดกับชายแดนไทย โดยมีกลุ่มชาวกัมพูชาที่ต่อต้านการยึดครองของเวียดนามอยู่ 3 กลุ่ม ได้แก่ 

1.) กลุ่มกัมพูชาประชาธิปไตย (Democratic Kampuchea) หรือกลุ่มเขมรแดงของ พล พต และเขียว สัมพันธ์ มีสมาชิกประมาณ 40,000 คน มีฐานที่ตั้งอยู่บริเวณพนมกระวันและบริเวณตะวันตกของจังหวัดพระตะบอง
2.) กลุ่มแนวร่วมปลดแอกแห่งชาติของประชาชนเขมร (Khmer People’s National Liberation Front - KPNLE) ภายใต้การนำของซอนซาน มีสมาชิกประมาณ 4,000 คน 
3.) กลุ่มแนวร่วมแห่งชาติเพื่อเอกราช ความเป็นกลาง และสันติภาพในกัมพูชา (Front d"union national pour un Cambodge independant, pacifiaue et cooperatif - FUNCINPEC) ภายใต้การนำของสมเด็จนโรดม สีหนุ 


การที่กลุ่มต่อต้านทั้ง 3 กลุ่มนี้มีฐานกองกำลังใกล้กับชายแดนไทยเพื่อเป็นง่ายต่อการหลบหนีเมื่อกำลังเวียดนามบุกเข้ามา กำลังกัมพูชาก็หลบหลีกเข้าสู่ดินแดนไทย ในการนี้เวียดนามเห็นว่า ไทยนั้นยินยอมให้กัมพูชาฝ่ายต่อต้านใช้พื้นที่เป็นที่หลบหนีและคุ้มกันการโจมตีของกำลังเวียดนามและกำลังของเฮงสัมริน


โดยปฏิบัติการที่สำคัญเกิดขึ้นระหว่างกองทัพไทยกับกองทัพเวียดนาม มีดังนี้

- การโจมตีบ้านโนนหมากมุ่น อำเภอตาพระยา จังหวัดปราจีนบุรี ในวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2523 เวียดนามได้ส่งกองกำลังมากกว่า 2 กองร้อยล้ำเข้ามาในดินแดนไทยเข้าโจมตี การปะทะกันดังกล่าวก่อให้เกิดการบาดเจ็บและล้มตายทังสองฝ่าย
- ช่วงเดือนมกราคม พ.ศ. 2524 กองทัพเวียดนามและกำลังของของเฮง สัมริน ล่วงเข้าดินแดนไทยลึก 500 เมตร ที่หมู่บ้านสะแดง อำเภอตราพระยา จังหวัดปราจีนบุรี และได้ปะทะกับทหารไทย ทำให้ทหารไทยเสียชีวิต 2 นาย บาดเจ็บ 1 นาย และเมื่อวันที่ 3 มกราคม มีการยิงกระสุนอาวุธหนักเข้ามาในเขตไทย ทำให้เจ้าหน้าที่และราษฎรของไทยเสียชีวิตรวม 10 คน
- กองทัพเวียดนามและกองกำลังของเฮง สัมริน ได้บุกเข้ามาในเขนไทยที่บ้านซับสารี ตำบลปะดง อำเภอโป่งน้ำร้อน จังหวัดจันทบุรี ในวันที่ 17 กุมพาพันธ์ พ.ศ. 2525 และได้ปะทะกับตำรวจตระเวนชายแดน ทำให้มีผู้เสียชีวิต 5 นาย และตลอดทั้งปีได้มีการลุกล้ำเข้ามาในเขตอธิปไตยของไทยหลายครั้ง
- เมื่อวันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2526 เวียดนามได้ส่งกำลังโจมตีค่ายอพยพชาวกัมพูชาที่ตรงข้ามบ้านหนองจาน อำเภอตราพระยา จังหวัดปราจีนบุรี โดยได้เผาทำลายที่พักอาศัยและโรงพยาบาลจนหมดสิ้น มีชาวกัมพูชาบาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก ชาวกัมพูชาประมาณ 23, 000 คน ได้หลบหนีเข้ามาในอธิปไตยของไทย เวียดนามยังได้ยิงกระสุนปืนใหญ่เข้ามาตกในดินแดนไทยหลายสิบนัด เป็นผลให้ราษฎรไทยเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนหนึ่ง และบ้านเรือนได้รับความเสียหาย
- ระหว่างวันที่ 28 มีนาคม - 2 เมษายน พ.ศ. 2526 กำลังทหารเวียดนาม 1 กองพล สนับสนุนด้วยปืนใหญ่และรถถัง ได้เข้าโจมตีชาวกัมพูชาที่จังกาโก เขาพนมฉัตร และค่ายผู้อพยพตรงข้ามบ้านโคกทหาร ทำให้ชาวกัมพูชาเสียชีวิตหลายคน ที่พักและโรงพยาบาลถูกเผา และมีชาวกัมพูชาประมาณ 20,000 คน อพยพเข้าสู่เขตไทย


- วันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2527 เวียดนามได้ส่งกองกำลังเข้าโจมตีค่ายผู้อพยพของกัมพูชา ตรงข้ามกับหมู่บ้านสำโรงเกียรติ อำเภอขุนหาร จังหวัดศรีสะเกษ ทำให้ชาวกำพูชาหลายหมื่นคนได้อพยพเข้าสู่ดินแดนไทย และกองกำลังเวียดนาม 1 กองพันได้บุกรุกเข้าสู่ดินแดนไทยทางช่องเขาพระพะลัยและได้ปะทะกับทหารไทย ทำให้มีผู้เสียชีวิต 7 คน และบาดเจ็บจำนวนหนึ่ง
- ช่วงเดือนเมษายน พ.ศ. 2527 เวียดนามได้ส่งกองกำลังพร้อมด้วยปืนใหญ่ และรถถังเข้าโจมตีค่ายอพยพกัมพูชาที่หมู่บ้านตาตูม ค่ายผู้อพยพอัมปิล และค่ายผู้อพยพบ้านสุขสันต์ ทำให้มีชาวกัมพูชาประมาณ 80,000 คน อพยพเข้าสู่เขตไทย
- ช่วงปลายปี 2527 ถึงต้นปี 2528 ทหารเวียดนามได้เข้าโจมตีชุมนุมต่าง ๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นฝ่ายซอนซานตลอดแนวชายแดนไทย โดยสามารถยึดชุมนุมเหล่านี้ได้หมด ทำให้ชาวกัมพูชาได้อพยพเข้ามาในเขตไทยรวม 160,000 คน
- วันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2528 ทหารเวียดนามได้เข้าโจมตีที่ตั้งหมวดตำรวจตระเวนชายแดนที่ 239 บ้านตระเวง อำเภอบัวเชด จังหวัดสุรินทร์ ทำให้เจ้าหน้าไทยเสียชีวิต 18 นาย บาดเจ็บ 34 นาย
- ในปีเดียวกัน ทหารของเวียดนามได้โจมตีค่ายอพยพที่บ้านหนองจาน และมีการปะทะกันทางทหารรัฐบาลผสม 3 ฝ่าย ติดต่อกันหลายวัน ทำให้ผู้อพยพชาวกัมพูชาได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์รวม 62 คน เสียชีวิต 6 คน ค่ายผู่อพยพถูกทำลายเสียหาย และส่งผลให้ผู้อพยพจำนวน 22,262 คน ได้อพยพเข้ามาในเขตไทย
- ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2528 ทหารเวียดนามได้ระดมกำลังโจมตีชุมนุมชาวกัมพูชาซึ่งเป็นกลุ่มเขมรแดง ทำให้ชาวกัมพูชาประมาณ 60,000 คน ได้หลบหนีเข้ามายังเขตไทยในช่วงเดือนกุมพาพันธ์ถึงต้นเดือนมีนาคม เวียดนามได้ปฏิบัติการอย่างรุนแรงที่สุด โดยในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ทหารเวียดนามได้ยิงปืนใหญ่เข้ามายังเขตไทยที่เนิน 347 อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ ทำให้ทหารไทยเสียชีวิต 3 นาย บาดเจ็บเป็นจำนวนมาก
- วันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2528 กองทัพเวียดนามได้โจมตีฐานที่มันของไทยที่เนิน 361, 400 และ 427 โดยยึดพื้นที่บางส่วนของเนิน 361 ทหารไทยเสียชีวิต 7 นาย บาดเจ็บ 34 นาย และสูญหาย 3 นาย โดยก่อนหน้านั้นหนึ่งวัน กองกำลังเวียดนามประมาณ 100 คนได้ลุกล้ำเขตเขตไทยที่อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ห่างจากชายแดนไทย-กัมพูชา 10 กิโลเมตร และจับกุมราษฎรไทย 62 คน ฆ่าตาย 11 คน และทหารไทยที่ส่งไปช่วยราษฎรดังกล่าวได้ปะทะกับกองกำลังเวียดนามทำให้ทหารไทยเสียชีวิต 5 นาย
- ช่วงระหว่างวันที่ 5-10 มีนาคม พ.ศ. 2528 กองกำลังเวียดนามได้ยิงปืนใหญ่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง และรุกล้ำดินแดนไทย ในพื้นที่อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ ทำให้ราษฎรไทยกว่า 7,500 คน ต้องหลบภัยไปยังพื้นที่ปลอดภัยมีราษฎรเสียชีวิต 3 คน บ้านเรือนเสียหาย 40 หลัง และโรงเรียนเสียหาย 1 แห่ง
- วันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2528 กองกำลังเวียดนามได้เข้าโจมตีฐานของเจ้านโรดม สีหนุในเขตกัมพูชา และรุกล้ำเข้ามาในเขตไทยในอำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ มีการปะทะกับทหารไทย ทำให้ทหารไทยเสียชีวิต 11 นาย บาดเจ็บ 68 นาย สูญหาย 3 นาย
- ช่วงปลายปี พ.ศ. 2528 ถึง พ.ศ. 2529 ทหารเวียดนามได้เข้ามาวางระเบิดในเขตไทยหลายครั้ง ซึ่งเป็นผลให้ทหารและราษฎรไทยบาดเจ็บและเสียชีวิต นอกจากนี้ก็ยังมีการรุกล้ำเข้ามายังเขตไทยหลายครั้ง


เมื่อเปรียบเทียบกำลังทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์แล้ว ขณะนั้นถือได้ว่ากองทัพไทยเมื่อเปรียบเทียบกับเวียดนามแล้วนั้นถือได้ว่าเทียบกันไม่ติด เนื่องจากกองกำลังทางทหารของฝ่ายไทยไม่เคยผ่านการรบในลักษณะเต็มรูปแบบมาก่อน นอกจากการบภายในประเทศกับกองกำลังของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พ.ค.ท.) ซึ่งมีลักษณะเป็นการรบแบบจรยุทธ์หรือสงครามกองโจร หรือถ้าผ่านการรบก็เป็นการรบแบบสมัยใหม่มีแนวปฏิบัติในการรบแบบสหรัฐอเมริกา แตกต่างกับเวียดนาม โดยกองกำลังของเวียดนามมีทักษะในการรบที่ดีกว่า ทั้งการทำสงครามเต็มรูปแบบและวิธีการรบแบบกองโจร นอกจากนี้ทหารของเวียดนามก็ยังมีประสบการณ์รบจากสงครามเวียดนามอย่างต่อเนื่องและยาวนาน ขณะที่เวียดนามบุกกัมพูชานั้นกองกำลังทางทหารของเวียดนามมีจำนวนราว 900,000 นาย โดยที่ยังไม่รวมกำลังทหารของฝ่ายเฮงสัมรินที่ไม่ทราบจำนวนที่แน่นอน ด้วยการรบแบบกองโจรและการรบตามแบบสมัยใหม่ ขณะที่ฝ่ายไทยนั้นมีประสบการณ์เพียงเรื่องการรบในการปราบปรามผู้ก่อการร้าย และมีทหารบางหน่วยที่ผ่านสงครามในลาวและเวียดนาม ซึ่งชำนาญการรบตามหลักนิยมของสหรัฐอเมริกา ต้องอาศัยอำนาจการยิงที่เหนือกว่าจึงจะทำการรบได้ นอกจากนี้เวียดนามยังมีอาวุธของสหรัฐอเมริกาที่เหลือจากสงครามเวียดนามอยู่มาก รวมทั้งในระหว่างปี พ.ศ. 2521 - 2531 เวียดนามได้รับความช่วยเหลือทางทหารจากสหภาพโซเวียตอีกเป็นจำนวนมหาศาล เพื่อพัฒนากองทัพให้ทันสมัย และเพื่อการปราบปรามฝ่ายต่อต้านในการกัมพูชา กล่าวได้ว่า ไทยมีขีดความสามารถที่ด้อยกว่าเวียดนามอยู่มาก โดยนักวิชาการด้านการทหารตะวันตกประเมินว่า ขณะนั้นกองทัพเวียดนามน่าจะมีขีดสมรรถะทางทหารอยู่ในอันดับที่ 3-4 ของโลก ในขณะที่กองทัพไทยในขณะนั้นยังไม่ติด 20 อันดับแรกเลย ซ้ำร้ายยังถูกสหรัฐอเมริกาซึ่งเคยเชื่อว่าเป็นมหามิตรตัดความช่วยเหลือทางทหาร แม้กระทั่งอาวุธยุทโธปกรณ์เหลือใช้จากสงครามเวียดนามจำนวนมากก็ไม่ยอมให้กองทัพไทยใช้ และได้ทำการขนย้ายไปเก็บยังฐานทัพอเมริกันในประเทศอื่น ๆ แทน 

(รถถังเวียดนามแบบ T-54 ในกรุงพนมเปญ)

หลังจากที่กองกำลังผสมเวียดนามและเขมรเฮงสัมรินรบชนะกองทัพกัมพูชาสามารถบุกยึดกรุงพนมเปญ และดินแดนที่เขมรแดง (ซึ่งได้ฆ่าล้างเผ่าพันธ์ชาวกัมพูชานับล้าน) ไว้ได้เกือบทั้งหมด และมีความมุ่งหมายที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของไทย โดยเคลื่อนกำลังทหาร อาวุธยุทโธปกรณ์ โดยเฉพาะรถถังจำนวนมากมาประชิดชายแดนไทยด้านตะวันออก ซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่จะเป็นป่าโปร่ง จึงทำให้กองทัพไทยต้องขุดคันคูยุทธศาสตร์ หรือ คูดักรถถัง ตลอดแนวชายแดน ไทย-กัมพูชา เพื่อป้องกันกำลังทหารเวียดนามและเฮงสัมรินด้วย หากไม่มีคูดักรถถังแล้วเมื่อเจอกำลังรถถังเวียดนามแบบ T-54 จากสหภาพโซเวียต ซึ่งมีสมรรถนะเหนือกว่าและมีจำนวนมากกว่ารถถังของกองทัพไทยทุกแบบที่มีอยู่รวมกันในขณะนั้น และมีแนวโน้มที่จะบุกข้ามชายแดนไทยในฤดูแล้งในปี พ.ศ. 2524 


ช่วงที่เกิดการสู้รบระหว่างทหารไทยกับทหารเวียดนามและทหารเวียดนามกับทหารกัมพูชากลุ่มต่าง ๆ ในพื้นที่แนวชายแดน กองทัพไทยได้ส่งกำลังทหารหลายกองพันไปตั้งรับยันกำลังทหารเขมรเฮงสังรินกับทหารเวียดนามไว้ตลอดแนวชายแดนไทย-เขมร โดยเฉพาะพื้นที่ชายแดนแถบอำเภอตาพระยากับอำเภออรัญประเทศ ซึ่งขณะนั้นยังอยู่ในเขตจังหวัดปราจีนบุรี เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ราบป่าโปร่งขนาดใหญ่ที่เรียกว่า ‘ที่ราบฉนวนไทย’ ซึ่งมีความยาวต่อเนื่องมาตั้งแต่จังหวัดนครนายก ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี จนถึง สระแก้ว (ในปัจจุบัน) มีคำกล่าวโดยนายทหารระดับสูงของกองทัพเวียดนามว่า ถ้าหากทหารเวียดนามและทหารเขมรเฮงสัมรินสามารถยกทัพข้ามชายแดนไทยมาได้ จะใช้เวลาเพียง 48 ชั่วโมงเท่านั้นก็มาถึงบริเวณชานเมืองของกรุงเทพฯ ได้อย่างสบาย 


(แนวคันคูยุทธศาสตร์หรือคูดักรถถังบางส่วนในปัจจุบัน)

ดังนั้นรัฐบาลไทยจึงได้ขุดคันคูยุทธศาสตร์ หรือ คูดักรถถัง ยาวเหยียดตั้งแต่อำเภอตาพระยามาจนถึงอำเภออรัญประเทศ และแนวชายแดนในเขตจังหวัดจันทบุรีและตราดด้วย และมีการประจำการปืนใหญ่กับกำลังทหารไว้ตลอดแนวชายแดนของสองอำเภอนี้ ซึ่งจาก FB ของคุณ Sawat Boonmun ได้กรุณาให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับรูปแบบของคันคูยุทธศาสตร์หรือคูดักรถถังว่า สิ่งกีดขวางแนวต้านทาน มี 3 ขั้น ขั้นแรกอยู่ติดเส้นเขตแดน ขั้นสองหน้าแนวคันคู และขั้น สามแนวคือคูเหลด โดยมีการบีบให้เข้าสู่พื้นปฏิบัติการ (สังหาร) ด้วย 


(แนวคันคูยุทธศาสตร์หรือคูดักรถถังบางส่วนในปัจจุบันได้รับการปรับปรุงให้เป็นแหล่งเก็บกักน้ำ
สำหรับพี่น้องประชาชนชาวไทยตามแนวชายแดน)

การเผชิญหน้าระหว่างกองทัพไทยกับกองกำลังผสมเวียดนามและเขมรเฮงสัมรินดำเนินต่อเนื่องเกือบสิบปีจนสิ้นสุดใน ปี พ.ศ. 2532 ด้วยกองกำลังผสมเวียดนามและเขมรเฮงสัมรินไม่สามารถเอาชนะกองกำลังต่อต้านกลุ่มต่าง ๆ ในกัมพูชาเอง ทั้งยังถูกกดดันจากนานาประเทศ จนกระทั่งรัฐบาลเวียดนามได้ลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพเมื่อ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2534 และยอมถอนกำลังทหารทั้งหมดออกจากกัมพูชา และส่วนหนึ่งก็ด้วยนโยบาย ‘เปลี่ยนสนามรบให้เป็นสนามการค้า’ ของพลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น ปัจจุบันแนวคันคูยุทธศาสตร์หรือคูดักรถถังที่มีอยู่บางส่วนก็ตื้นเขิน บางส่วนก็ได้รับการปรับปรุงให้เป็นแหล่งเก็บกักน้ำสำหรับพี่น้องประชาชนชาวไทยตามแนวชายแดนเพื่อใช้ในการเกษตร อุปโภค และบริโภค จนทุกวันนี้

อนาคต 'รถไฟฟ้าสายสีแดง' สู่ บทบาท 'ฮีโร่' ที่มากกว่าการสัญจร สร้างรายได้ กระจายความเจริญ ลดความแออัดของ กทม.

(18 ม.ค.67) หลังจากมีข่าวที่ ครม. จะสร้างส่วนต่อขยาย รถไฟฟ้าสายสีแดง ไปถึง 'อยุธยา' และ 'นครปฐม' ก็มีชุดข้อมูลเพิ่มเติมที่จะเสริมให้เห็นถึงความเจริญที่จะตามมาอีกมากมาย

โดยเมื่อรถไฟฟ้าสายสีแดง ดำเนินการสร้างโครงข่ายไปถึง 'อยุธยา' และ 'นครปฐม' แล้วเสร็จ อาจจะเห็นความคึกคักของการท่องเที่ยว โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวต่างประเทศ เพราะสามารถนั่งรถไฟฟ้าชิลๆ ไปถึง 'อยุธยา' หรือ 'นครปฐม' ได้ง่ายๆ แถมถ้าดูจากความเร็วสูงสุดแล้ว จะสามารถเดินทาง ไปถึง 'อยุธยา' ภายในเวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมง และประมาณ 1 ชั่วโมงสำหรับ 'นครปฐม' (อาจมีการจัดการเดินรถเป็นแบบ ด่วน กับ ท้องถิ่น) เป็นการสร้างรายได้อย่างมหาศาลให้กับท้องถิ่นอีกด้วย

นอกจากนี้ รถไฟสายนี้ ยังจะช่วยลดความแออัดของประชากรใน กทม. ได้เป็นอย่างดี เพราะเมื่อมีระบบขนส่งมวลชนที่มีประสิทธิภาพ ก็สามารถกระจายตัวออกไปอาศัยชานเมืองไกลมากขึ้น ซึ่งย่อมเป็นการกระจายความเจริญสู่ 'จังหวัด' ที่รถไฟฟ้าสายนี้เดินทางถึงอีกด้วย ถือเป็นการเพิ่มคุณภาพชีวิต และ ลดค่าครองชีพได้อย่างมหาศาล 

ยกตัวอย่างง่ายๆ นาย A ทำงานอยู่ในย่านอโศก ปกติเช่าคอนโดอยู่ใจกลางเมือง เดือนละ 30,000 บาท เพื่อสะดวกในการมาทำงาน แต่ถ้ามีรถไฟฟ้าสายสีแดง นาย A อาจจะไปซื้อบ้านอยู่แถวๆ บางปะอิน หรือศาลายา ผ่อนเดือนละหมื่นกว่าบาท โดยมีค่าเดินทางเพิ่มขึ้นมาเดือนละ 6,000 เท่ากับว่านาย A นอกจากจะได้บ้านเป็นของตัวเองแล้ว ยังมีเงินเก็บเพิ่มขึ้นอีกเดือนละเกือบหมื่นบาท เป็นต้น

ทุกท่านคิดว่ารถไฟฟ้าสายสีแดงนี้ จะเป็นฮีโร่ ที่มาช่วยสร้างอนาคตแก่ทุกเส้นทางที่พาดผ่าน ได้จริงได้จริงแค่ไหน? ลองมาแชร์มุมมองกันได้ตามสะดวก...

'นักวิจัยจีน' พบไวรัสโคโรนาตัวใหม่ 'GX-P2V'  ชี้!! เชื้อรุนแรง อัตราการตาย 100% หลังทดลองกับหนู

(18 ม.ค.67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่าทีมนักวิจัยชาวจีน จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีชีวภาพชั้นนำในกรุงปักกิ่ง ได้ค้นพบไวรัสที่มีความสามารถในการกลายพันธุ์สูง มีชื่อรหัสว่า GX-P2V (จีเอ็กซ์ พี 2 วี) ซึ่งเป็นไวรัสคล้ายกับโคโรนาไวรัส ซึ่งได้ทดลองกับ 'หนู' จากการทดลองพบว่าไวรัสมีความรุนแรง รวดเร็วและน่าตกใจมาก สามารถทำให้สัตว์ทดลองตายภายใน 8 วัน มีอัตราการตาย 100 % และพบว่าเชื้อไวรัสนั้นสามารถทำลายสมองโดยตรง 

ทีมนักวิจัยยังค้นพบอีกว่า มีปริมาณเชื้อจำนวนมากในสมองและดวงตาของหนูที่ถูกทดลอง แม้ว่าเชื้อ GX-P2V จะมีลักษณะทางพันธุกรรมที่ใกล้เคียงกับเชื้อโคโรนาไวรัส แต่ก็มีความแตกต่างในด้านการแบ่งตัวและการแพร่กระจายในร่างกายการทดลองนี้มีความสำคัญเนื่องจากหนูมีการผลิตโปรตีนที่คล้ายมนุษย์ ทำให้ผลที่ได้จากการทดลองในหนูอาจสะท้อนถึงผลที่อาจเกิดขึ้นกับมนุษย์ได้ อย่างไรก็ตามรายงานการทดลองนี้ยังไม่ได้เปิดเผยแก่สาธารณะ

ไวรัส GX-P2V ถูกค้นพบครั้งแรกในปี 2017 จากตัวนิ่มในมาเลเซีย เป็นที่ทราบกันดีว่าตัวนิ่มนั้นเป็นแหล่งรวมของเชื้อไวรัสโคโรนาหลายชนิด ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นตัวกลางที่แพร่เชื้อไวรัสไปสู่ค้างคาวและต่อยอดไปถึงมนุษย์

ทีมนักวิจัยจีนได้ทำการเพาะเชื้อ GX-P2V และเก็บรักษาเป็นอย่างดีไว้ในห้องแล็บที่กรุงปักกิ่ง พบว่า เชื้อนี้มีการกลายพันธุ์เกิดขึ้นก่อนที่จะถูกนำมาทดลองในหนูแต่ไม่มีการระบุชัดเจนว่าการทดลองเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ 

ศาสตราจารย์ ฟรองซัวส์ บัลลูซ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ จากมหาวิทยาลัยคอลเลจ แสดงความคิดเห็นผ่านทาง X (ทวิตเตอร์) ว่าเขาเห็นถึงความไม่เป็นประโยชน์ต่อการทดลองครั้งนี้และแสดงความคิดเห็นในเชิงกังวลว่าการทดลองนี้จะนำไปสู่ความผิดพลาดที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ โดยการทดลองนี้ “เป็นการศึกษาที่แย่มาก ไร้จุดหมายทางวิทยาศาสตร์โดยสิ้นเชิง”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top