Sunday, 15 June 2025
NewsFeed

'หนุ่มเมืองจันท์' ยกคำคนแบงก์ชาติ เปรียบตัวเองเป็น 'ผู้รักษาประตู' ชี้!! ไม่เข้าใจเกมฟุตบอลสมัยใหม่ที่นายทวารมีดีกว่าป้องกันประตู

(17 ม.ค. 67) สรกล อดุลยานนท์ หรือ หนุ่มเมืองจันท์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

คุยแบบคนชอบดูฟุตบอลนะครับ

เมื่อวานฟังผู้บริหารแบงก์ชาติเปรียบตัวเองเป็น 'ผู้รักษาประตู' มีหน้าที่รักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว  

ไม่ได้เป็น 'กองหน้า' กระตุ้นเศรษฐกิจ

ฟังแล้วรู้เลยว่าท่านไม่เข้าใจเกมฟุตบอลสมัยใหม่

เพราะฟุตบอลยุคนี้ 'ผู้รักษาประตู' จะไม่ได้มีหน้าที่ป้องกันประตูเก่งเพียงอย่างเดียว

เขาจะขึ้นสูงตอนทีมกำลังบุก ทำตัวเป็นกองหลังคนสุดท้าย ผู้รักษาประตูไม่ต้องขึ้นไปเป็นกองหน้าเพื่อยิงประตูเอง

แต่ฟุตบอลยุคใหม่ไม่ว่าแมนเชสเตอร์ ซิตี้, ลิเวอร์พูล, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, สเปอร์ ฯลฯ

จุดเริ่มต้นของ 'เกมรุก' จะมาจาก 'ผู้รักษาประตู'

ค่อยๆ ต่อบอลขึ้นไปจากแดนหลัง

ผู้รักษาประตูยุคนี้ จึงต้องเล่นบอลด้วยเท้าได้ดี ไม่มองแต่ลูกบอลบนฟ้า ต้องก้มหน้ามองดิน มองลูกฟุตบอล ทำความเข้าใจกับผืนหญ้า และเข้าใจพื้นดิน #อลิสซอนเบ็กเกอร์ #เอแดร์สัน ไม่ใช่ 'โอนาน่า' 555

'อ.พงษ์ภาณุ' ซัด!! แบงก์ชาติไม่ลดดอกเบี้ย เหมือนตบหน้ารัฐบาล-คนไทยทั้งประเทศ

(17 ม.ค. 67) อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ได้เผยถึงกรณีแบงก์ชาติไม่ลดดอกเบี้ย ถือเป็นการตบหน้ารัฐบาลและคนไทยทั้งประเทศผ่าน THE STATES TIMES ว่า...

การปฏิเสธไม่ลดดอกเบี้ยเมื่อวานนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทย ไม่มีการระบุเหตุผลที่น่าเชื่อถือ เพียงแต่กล่าวว่าอัตราดอกเบี้ยปัจจุบันเหมาะสมแล้ว ถือเป็นการไม่ให้เกียรติคนไทยและรัฐบาล ทั้ง ๆ ที่ขณะนี้เครื่องชี้ทางเศรษฐกิจหลายตัวบ่งบอกว่าเศรษฐกิจไทยกำลังดิ่งลงสู่ภาวะเงินฝืด (Deflation) และถดถอย (Recession) ไม่ว่าจะเป็นอัตราเงินเฟ้อติดลบ 3 เดือนติดต่อกัน อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Real Innterest Rate) สูงสุดเป็นประวัติการณ์และอาจจะสูงที่สุดในโลก อัตราเติบโตของสินเชื่อธนาคารพาณิชย์ติดลบต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปี

"เราไม่สามารถหาคำอธิบายอื่นที่เหมาะสมกว่าที่จะกล่าวว่าธนาคารแห่งประเทศไทยไม่มีความรับผิดชอบ และบกพร่องต่อหน้าที่อย่างร้ายแรง การที่แบงก์ชาติกล่าวอ้างปัญหาโครงสร้างของเศรษฐกิจไทย เป็นเพียงความพยายามที่จะบิดเบือนประเด็นเพื่อโยนความผิดให้กับคนอื่น ทั้ง ๆ ที่เป็นที่ยอมรับในทางวิชาการว่าเสถียรภาพของราคาเป็นเรื่องของนโยบายการเงิน ภายใต้กรอบ Inflation Targeting โดยตรง และผลการทำงานที่ผ่านมา 2 ปีพิสูจน์แล้วว่าธนาคารแห่งประเทศไทยล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในการดูแลเสถียรภาพราคา จากเงินเฟ้อสูงสุดในโลกในปี 2565 มาเป็นเงินฝืดในปี 2566 การปัดความรับผิดชอบออกไปจากนโยบายการเงิน ซึ่งเป็นหน้าที่โดยตรงตามกฎหมายธนาคารแห่งประเทศไทย จึงเป็นการแสดงถึงความไม่เป็นมืออาชีพเอาเสียเลย"

อ.พงษ์ภาณุ กล่าวอีกว่า สถานการณ์เช่นนี้ ถือเป็นการตอกย้ำความขัดแย้งระหว่างนโยบายการเงินและนโยบายการคลัง ซึ่งไม่เป็นผลดีกับประเทศเลย และควรถึงเวลาแล้ว ที่จะต้องอ้างความบกพร่องต่อหน้าที่อย่างร้ายแรงตามกฎหมาย เพื่อเปลี่ยนตัวผู้รับผิดชอบนโยบายการเงิน ก่อนที่จะสายเกินไป จนบ้านเมืองเสียหายไปกว่านี้

✨ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล ประจำวันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2567

✨ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล
✨ประจำวันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 256

 📌รางวัลที่ 1: 105979

 📌รางวัลเลขหน้า 3 ตัว: 429, 931  

 📌รางวัลเลขท้าย 3 ตัว: 196, 635  

 📌รางวัลเลขท้าย 2 ตัว: 61  

 📌รางวัลข้างเคียงรางวัลที่ 1: 105978, 105980  

 📌รางวัลที่ 2 : 737099, 366635, 384901, 895860, 451046  

 📌รางวัลที่ 3 :393560, 952140, 603376, 917144, 256000, 926853, 462981, 331010, 908654, 877689  

 📌รางวัลที่ 4: 279938, 979504, 709231, 985733, 740408, 570088, 982583, 145829, 589723, 198599, 951812, 123701, 136850, 647513, 339746, 622322, 437931, 438929, 799973, 767293, 407444, 164205, 490771, 523776, 566915, 378701, 072938, 173399, 190307, 688507, 521485, 533695, 528301, 482266, 444350, 264439, 302768, 102563, 695472, 540216, 630677, 459593, 629599, 658531, 348659, 855710, 001849, 443034, 221194, 775974

 📌รางวัลที่ 5: 379748, 456707, 406083, 775404, 274002, 411270, 611311, 452892, 504395, 434154, 160293, 928876, 340948, 437043, 244844, 913993, 872778, 434879, 530065, 999690, 908319, 195006, 469825, 357344, 870233, 552810, 107539, 647068, 715440, 561075, 195687, 847103, 853126, 764829, 060316, 339085, 826878, 598601, 927603, 191447, 595376, 393639, 568641, 761352, 978944, 254223, 463597, 108601, 014538, 325784, 079858, 471314, 759958, 656085, 912899, 318163, 870954, 332490, 672750, 571897, 160472, 674409, 782471, 075712, 482894, 160195, 277544, 642119, 143813, 106271, 974701, 128632, 733377, 354916, 145712, 391922, 987077, 143041, 626084, 266848, 415321, 871312, 785107, 637039, 079252, 717769, 453016, 455566, 242064, 478465, 242354, 213367, 403314, 908990, 011521, 183238, 968177, 220113, 972651, 617292

ผบ.ตร.เปิดโครงการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อป้องกันและเฝ้าระวังอันตรายจากความร้อนที่เกิดจากการฝึกอบรม รุ่นที่ 2

วันที่ 17 ม.ค.67 เวลา 09:00 น. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์  สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานพิธีเปิดโครงการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อป้องกันและเฝ้าระวังอันตรายจากความร้อนที่เกิดจากการฝึกอบรม รุ่นที่ 2 ณ ห้องแจ้งยอดสุข ชั้น 3 อาคารฝึกอบรมและสวัสดิการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมีผู้บังคับบัญชาระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติและโรงพยาบาลตำรวจเข้าร่วมพิธีฯ

สำหรับโครงการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการฯ ครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ สืบเนื่องมาจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นองค์กรปราบปรามอาชญากรรม และบังคับใช้กฎหมายในระดับมาตรฐานสากลที่ประชาชนเชื่อมั่นศรัทธา ซึ่งการที่จะสามารถไปสู่เป้าหมายดังกล่าวนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีการพัฒนากำลังพลให้มีประสิทธิภาพ มีความรู้ ทักษะทางยุทธวิธี จากการฝึกอบรมหลักสูตรต่างๆ ซึ่งในการฝึกอบรมนั้น ก็มักเกิดปัญหากรณีผู้เข้ารับการฝึกอบรมได้รับบาดเจ็บระหว่างการฝึก โดยเฉพาะสาเหตุที่เกิดจากความร้อนที่ส่งผลให้เกิดภาวะอันตรายต่อร่างกายจนได้รับบาดเจ็บหรือถึงแก่ชีวิต

สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ตระหนักถึงความสำคัญของปัญหา และมีความห่วงใยกำลังพล ซึ่งถือว่าเป็นกำลังหลักที่สำคัญ อีกทั้ง เพื่อเป็นการลดช่องว่างในเรื่องของการขาดความรู้ความเข้าใจหลักการ
ปฐมพยาบาลเบื้องต้น เพื่อลดอัตราการสูญเสียชีวิตได้ จึงมอบหมายให้กองบัญชาการศึกษา จัดทำโครงการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการนี้ขึ้น เพื่อให้ผู้บริหาร, ครูฝึก และผู้ที่ทำหน้าที่พยาบาลประจำสังกัดศูนย์ฝึกอบรมตำรวจภูธรภาค 1-9 หรือหน่วยฝึกอบรมที่ได้รับมอบหมายมีทักษะความรู้ความสามารถและความเข้าใจในการกำกับดูแลหรือวิธีป้องกันกรณีผู้เข้ารับการฝึกอบรมได้รับบาดเจ็บจากการฝึกอบรม รวมไปถึงเพื่อกำหนดแนวทางปฏิบัติในการปรับพื้นฐานผู้เข้ารับการฝึกอบรม  โดยโครงการฝึกอบรมฯ รุ่นที่ 2 มีผู้เข้ารับการฝึกอบรมจากกองบัญชาการศึกษา, ศูนย์ฝึกอบรมตำรวจภูธรภาค 1-9, กองแผนงานกิจการพิเศษ สำนักงานยุทธศาสตร์ตำรวจ, โรงเรียนในร้อยตำรวจ, ศูนย์ฝึกอบรมกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจำนวนรวมทั้งสิ้น 115 นาย

ทั้งนี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้กล่าวขอบคุณทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ให้ความสำคัญ โดยเฉพาะกองบัญชาการศึกษา ที่ได้ดำเนินการจัดโครงการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการในลักษณะนี้ขึ้นมา และ
ขอเป็นกำลังใจให้แก่ข้าราชการตำรวจทุกนายในการปฏิบัติหน้าที่ต่อไป

‘ราชทัณฑ์’ เผย ‘ทักษิณ’ เข้าเกณฑ์พักโทษกรณีพิเศษ เป็นนักโทษเด็ดขาดชั้นกลาง-สูงวัย-เจ็บป่วยหลายโรค

(17 ม.ค. 67) ที่ห้องแถลงข่าว ชั้น 2 อาคารกระทรวงยุติธรรม ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร นายสมบูรณ์ ม่วงกล่ำ ที่ปรึกษา รมว.ยุติธรรม, นายกูเฮง ยาวอหะซัน เลขาฯ รมว.ยุติธรรม พร้อมด้วยนายสิทธิ สุธีวงศ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ฝ่ายบริหาร และนายแพทย์สมภพ สังคุตแก้ว หัวหน้าผู้ตรวจราชการกรมราชทัณฑ์ ร่วมกันแถลงประเด็นสำคัญของกรมราชทัณฑ์ ซึ่งอยู่ในความสนใจของประชาชน

นายสมบูรณ์ กล่าวว่า ภายหลังจากที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งอยู่ระหว่างการนอนพักรักษาตัวภายนอกเรือนจำ เกินกว่า 120 วัน โดยในทุกห้วงเวลานับตั้งแต่รักษาตัวครบ 30 ครบ 60 และเกินกว่า 120 วัน ก็เป็นไปตามขั้นตอนที่อธิบดีกรมราชทัณฑ์ จะต้องมีความเห็นและรายงานไปตามลำดับชั้น ทั้งการรายงานต่อปลัดกระทรวงยุติธรรม เมื่อครั้งรักษาตัวครบ 60 วัน และเมื่อเกินกว่า 120 วัน ก็ต้องรายงานให้รัฐมนตรีรับทราบ ซึ่งเมื่อวันที่ 12 ม.ค.67 ที่ผ่านมา นางพงษ์สวาท นีละโยธิน ปลัดกระทรวงยุติธรรม ได้เซ็นรับทราบการอนุญาตนอนพักรักษาตัวภายนอกเรือนจำ จากนั้นวานนี้ (16 ม.ค.67) พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ได้เซ็นรับทราบถึงการนอนพักรักษาตัวของนายทักษิณ ที่เกินมา 136 วัน ถือว่าเข้าเงื่อนไขและปฏิบัติถูกต้องตามกฎหมาย

นายสมบูรณ์ กล่าวอีกว่า กรณีของนายทักษิณ ที่นอนพักรักษาตัวภายนอกเรือนจำ ต้องยอมรับว่าได้ถูกตรวจสอบจากหลายหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน และสำนักงาน ป.ป.ช. เป็นต้น โดยเฉพาะทางผู้ตรวจการแผ่นดิน มีตัวแทนขึ้นไปบนชั้น 14 รพ.ตำรวจ และได้พบนายทักษิณ ซึ่งส่วนตัวตนเองในฐานะข้าราชการการเมือง เชื่อมั่นว่านายทักษิณนอนพักที่ รพ.ตำรวจ จริง ไม่ได้อยู่ที่คอนโดมิเนียมอย่างที่สังคมเคลือบแคลงสงสัยแน่นอน จึงอยากให้การแถลงข่าววันนี้ได้ลงรายละเอียดลึกเพื่อให้สังคมได้เข้าใจข้อเท็จจริง

ด้านนายสิทธิ กล่าวว่า สำหรับความคืบหน้าของระเบียบกรมราชทัณฑ์ ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ.2566 นั้น เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ทางกรมราชทัณฑ์ ได้มีการประชุมและรายงานต่อคณะกรรมการราชทัณฑ์ให้รับทราบถึงการดำเนินการ เพราะกฎกระทรวงกำหนดให้กรมราชทัณฑ์ต้องออกระเบียบนี้ ส่วนความคืบหน้าของระเบียบแนวทางการปฏิบัติ และกำหนดคุณสมบัติของผู้ต้องขัง ที่จะต้องมารองรับระเบียบกรมราชทัณฑ์ ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ. 2566 หรือ ระเบียบคุมขังนอกเรือนจำ อยู่ระหว่างการดำเนินการ ซึ่งในวันประชุม ทางฝ่ายเลขาก็ได้นำเสนอในที่ประชุมว่าถ้าหากคณะกรรมการราชทัณฑ์ท่านใดมีข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะ ทางกรมราชทัณฑ์ก็จะต้องรับฟัง อีกทั้งในส่วนของผู้ทรงคุณวุฒิก็จะส่งข้อมูลให้กรมราชทัณฑ์ เพื่อเตรียมยกร่างหลักเกณฑ์ประกอบการพิจารณา แต่ ณ วันนี้ระเบียบคุมขังนอกเรือนจำยังไม่ได้มีการดำเนินการใด เพราะต้องรอระเบียบหลักเกณฑ์ แนวทางการปฏิบัตินี้ก่อน

ส่วนกลุ่มผู้ต้องขังในรายคดีใดที่จะได้รับการละเว้นจากระเบียบดังกล่าว เราต้องใช้ในการจำแนกวิเคราะห์เช่นกัน ว่ารายคดีใดจะได้ประโยชน์ หรือรายคดีใดต้องละเว้น แต่ตอนนี้ยังไม่มีความชัดเจน เพราะต้องไปศึกษาให้รอบคอบก่อนว่าจะแบ่งกลุ่มอย่างไร ส่วนจำนวนผู้ต้องขังล็อตแรกที่จะใช้พิจารณาก็ยังไม่สามารถระบุได้ ต้องรอการศึกษาให้รอบด้านก่อน และต้องรอฟังความเห็นจากคณะกรรมการราชทัณฑ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วยเพื่อความรัดกุมที่สุด

นายสิทธิ กล่าวถึงประเด็นโครงการพักการลงโทษกรณีมีเหตุพิเศษ ว่า เรื่องนี้เป็นประโยชน์ของผู้ต้องขังที่มีสิทธิ์ได้รับ แต่การพิจารณาว่าผู้ต้องขังรายใดจะเข้าเกณฑ์โครงการดังกล่าวนั้น ทาง ผบ.เรือนจำฯ แต่ละแห่งจะเป็นผู้พิจารณาว่าใครมีความเหมาะสมหรือผ่านคุณสมบัติได้รับการพักโทษ ทั้งแบบกรณีมีเหตุพิเศษและแบบปกติ ซึ่งผู้ต้องขังจะไม่สามารถเสนอตัวเองได้ เป็นการจัดทำประมวลเรื่องโดยเรือนจำนั้นๆ อย่างไรก็ตาม เรือนจำแต่ละแห่งจะมีการพิจารณาผู้ต้องขังที่ผ่านเกณฑ์พักโทษในทุกเดือน แล้วจึงจะเสนอรายชื่อมายังกรมราชทัณฑ์ เพื่อนำเข้าสู่คณะกรรมการพิจารณาพักการลงโทษ ที่จะประชุมในทุกเดือน ทั้งนี้ ทางกรมราชทัณฑ์ โดยนายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ยังไม่ได้รับรายงานจากนายนัสที ทองปลาด ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ถึงประเด็นรายชื่อของนายทักษิณ ชินวัตร ว่าเข้าเกณฑ์โครงการพักการลงโทษหรือไม่

“สำหรับคุณสมบัติของนายทักษิณ หากดูจากหลักเกณฑ์ที่ว่าเป็นผู้ต้องขังเด็ดขาดชั้นกลาง สูงวัย และมีอาการเจ็บป่วย ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่จะได้รับการพิจารณาในโครงการพักการลงโทษ กรณีมีเหตุพิเศษ เนื่องจากเจ็บป่วยร้ายแรง หรือพิการ หรือมีอายุตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไป (นักโทษเด็ดขาดชั้นกลางขึ้นไป) แต่อย่างไร ณ วันนี้ทางกรมยังไม่ได้รับรายงานจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ จึงยังไม่มีข้อมูลตรงนี้ ส่วนกระบวนการหากนายทักษิณผ่านเข้าโครงการดังกล่าวจริง จะเป็นการดำเนินการโดยเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ซึ่งมีแนวทางปฏิบัติว่าจะจัดทำเรื่องเอกสารอะไรอย่างไร รวมถึงกรณีการติดกำไล EM จะเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการพักการลงโทษที่จะพิจารณาเหตุต่างๆ หากจะไม่ติดกำไล ก็ต้องมีเหตุผลประกอบ” นายสิทธิ กล่าว

นายสิทธิ กล่าวถึงระบบพักการลงโทษว่า หากผู้ต้องขังรายใดเข้าเกณฑ์ได้รับการพักโทษ ตามขั้นตอนแล้วก็จะมีต้องมีรายชื่อของผู้อุปการะ ซึ่งกรมคุมประพฤติจะต้องไปสืบเสาะว่าใครจะเป็นผู้อุปการะผู้ต้องขัง และเมื่อพักโทษจะประกอบอาชีพอะไร และจะต้องรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติอย่างไรบ้าง หรือกำหนดอาณาเขตว่าห้ามพ้นรัศมีเท่าใด หรือห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักร ส่วนบทบาททางการเมือง ในระหว่างการพักโทษ สามารถกระทำได้หากไม่เป็นการฝ่าฝืนหรือไปทำอะไรที่ผิดระเบียบ

'แลนด์บริดจ์' ต้องทำ!! เพื่อสร้างโอกาสในการแข่งขัน แต่ถ้ามองแค่ 'คุ้มเงิน-ไม่คุ้มเงิน' แบบนั้นมันผิดแล้ว

(17 ม.ค.67) จากเฟซบุ๊ก 'KUL' โดย กุลวิชญ์ สำแดงเดช ผู้ดำเนินรายการ Ringside การเมือง ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า...

ก้าวถอยหลัง
#แลนด์บริดจ์

แลนด์บริดจ์ ถ้ามองแค่คุ้มเงิน ไม่คุ้มเงิน แบบนั้นมันผิดแล้ว 

เมื่อมันเป็น Infrastructure ที่ รบ.จัดให้ มันออกได้หลายหน้า แต่มันต้องทำ เพื่อสร้างโอกาสในการแข่งขัน 

ประเทศที่รายล้อมเรา ล้วนมีท่าเรือขนาดใหญ่ ไปจนถึงอภิเขตอุตสาหกรรมชายฝั่งทั้งสิ้น 

ท่าเรือพอร์ตลัง มาเลเซีย
ท่าเรือปริโอห์ อินโดนีเซีย
ท่าเรือไฮฟอง เวียดนาม

แล้วเรา จะอยู่แบบนี้หรอ ??

ปากบอกว่าก้าวหน้า 

แต่การกระทำถอยหลัง

เปิดตัวเลขโครงการ ‘ทำงานเพื่อบรรเทาทุกข์’ ของจีน  สร้างงาน 2.5 ล้านอัตราให้ ‘ผู้มีรายได้น้อย’ ในปี 2023

(17 ม.ค.67) สำนักข่าวซินหัว เผย ข้อมูลทางการที่เผยแพร่เมื่อวันอังคาร (16 ม.ค.) ระบุว่า โครงการทำงานเพื่อบรรเทาทุกข์ของจีนได้สร้างงานมากกว่า 2.53 ล้านอัตราแก่ประชากรผู้มีรายได้น้อย ส่งผลให้รายได้ต่อหัวเพิ่มกว่า 14,000 หยวน (ราว 70,600 บาท)

คณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติจีน ระบุว่าช่วงปีที่ผ่านมาคณะกรรมการฯ ได้ร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐอื่น ๆ ดำเนินงานส่งเสริมโครงการทำงานเพื่อบรรเทาทุกข์อย่างต่อเนื่อง โดยเพิ่มการสนับสนุนการลงทุนเพื่อวัตถุประสงค์พิเศษจากรัฐบาลกลาง และให้คำแนะนำแก่ภูมิภาคท้องถิ่นเพื่อผลักดันแนวทางดำเนินโครงการทำงานเพื่อบรรเทาทุกข์ในโครงการวิศวกรรมสำคัญ รวมถึงโครงการโครงสร้างพื้นฐานด้านการเกษตรและชนบทในหลายท้องถิ่น

รายงานระบุว่าความพยายามดำเนินงานเหล่านี้ได้สร้างช่องทางการจ้างงานสำหรับประชากรชนบทที่มีรายได้น้อย รวมถึงผู้ประสบปัญหาการหางานในเขตเมืองและชนบท

ในขั้นถัดไป คณะกรรมการฯ จะยังคงทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและรัฐบาลท้องถิ่นเพื่อขยายขอบเขตของโครงการทำงานเพื่อบรรเทาทุกข์ รวมถึงเพิ่มขนาดการจัดสรรเงินอุดหนุนแรงงาน ใช้ประโยชน์จากบทบาทสำคัญของนโยบายการทำงานเพื่อบรรเทาทุกข์ในการรักษาเสถียรภาพการจ้างงาน ปกป้องการดำรงชีวิตของผู้คน และส่งเสริมการพัฒนา

อนึ่ง โครงการทำงานเพื่อบรรเทาทุกข์ หมายถึงนโยบายสนับสนุนซึ่งรัฐบาลลงทุนก่อสร้างโครงการโครงสร้างพื้นฐาน และมอบค่าตอบแทนให้กับผู้ทำงานในโครงการเหล่านั้น ซึ่งทดแทนการบรรเทาทุกข์โดยตรง

มหากาพย์เบี้ยวหนี้ ‘หุ้นกู้’ 3.9 หมื่นลบ. ส่อเกิดวิกฤตความเชื่อมั่นตลาดหุ้นกู้

ปี 2566 ที่ผ่านมา นับเป็นปีที่บั่นทอนความเชื่อมั่นต่อตลาดทุนไทยอย่างมาก ทั้งจากกรณีทุจริตทางบัญชีของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ไปจนถึงการผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ ที่ทยอยผุดออกมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงกลางปีมาจนถึงปัจจุบัน

แน่นอนว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ย่อมสร้างผลกระทบต่อความเชื่อมั่น และสร้างความเข็ดขยาดให้กับนักลงทุนรายย่อย รวมไปถึงเจ้าหนี้หุ้นกู้รายใหญ่ ที่ไม่รู้เมื่อไหร่จะได้เงินคืน

อย่างที่ทราบกันดีว่า หุ้นกู้ภาคเอกชน คือ “ตราสารหนี้" เป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงิน ที่ออกโดยภาคเอกชน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อขอยืมเงินจากคนที่มีเงินเอามาใช้ในกิจการต่างๆ ของบริษัท เช่น เพื่อการลงทุนขยายกิจการ ซื้ออุปกรณ์ หรือเพื่อก่อสร้างโรงงาน เป็นต้น ซึ่งเป็นอีกหนึ่งโซลูชั่นที่ช่วยเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินให้กับบริษัท

แต่ทว่า หลังจากเผชิญวิกฤตโควิด-19 มาตั้งแต่ปี 2563 ส่งต่อสภาพคล่องของบริษัทที่ออกหุ้นกู้อย่างหนัก กระทั่งเกิดสถานการณ์การผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ ออกมาให้เห็นอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2566 จนถึงคิดเป็นมูลค่ากว่า 39,000 ล้านบาท 

โดยนายสมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) ระบุว่า จากสภาพเศรษฐกิจที่ท้าทายดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูง สงครามความขัดแย้ง และเศรษฐกิจประเทศที่เกี่ยวข้องกับไทยยังมีปัญหา ทำให้ภาพการลงทุนอยู่ในโหมดระมัดระวัง แต่ยอมรับว่าคาดเดายากว่าจะมีหุ้นกู้ที่มีปัญหาหรือเสี่ยงที่จะเป็นหุ้นกู้ที่ผิดนัดชำระมากน้อยแค่ไหน

ทั้งนี้ จากข้อมูลของสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย พบว่า ในปี 2566 ที่ผ่านมา มีหุ้นกู้ผิดนัดชำระ 6 ราย มูลค่ารวม 16,363 ล้านบาท ได้แก่...

- หุ้นกู้ บมจ.ช.ทวี (CHO) 4 รุ่น มูลค่า 409 ล้านบาท
- หุ้นกู้ บมจ.สตาร์ค คอร์ปอเรชั่น (STARK) 5 รุ่น มูลค่า 9,198 ล้านบาท
- หุ้นกู้ บมจ. ออลล์อินสไปร์ (ALL) 7 รุ่น มูลค่า 2,334 ล้านบาท
- หุ้นกู้ บมจ. เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป (JKN) 7 รุ่น มูลค่า 3,212 ล้านบาท
- หุ้นกู้ บจ. เดซติเนชั่น รีสอร์ทส์ (DR) 2 รุ่น มูลค่า 1,210 ล้านบาท
- หุ้นกู้ บจ. พี พี ฮอลิเดย์ (PPH) 1 รุ่น มูลค่า 392 ล้านบาท

ส่งผลให้มูลค่าคงค้างที่มีปัญหา ณ สิ้นปี 2566 มีมูลค่ารวมอยู่ที่ 39,412 ล้านบาท 

ขณะเดียวกัน เพียงเริ่มต้นปี 2567 ได้เพียงไม่กี่วัน ก็มีข่าวใหญ่ในตลาดทุนไทยออกมาให้นักลงทุนสะท้านกันอีกระลอก เมื่อ หุ้นกู้ บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเม้นต์ (ITD) ยักษ์ใหญ่ในธุรกิจรับเหมาก่อสร้างของไทย ส่อแววจะผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้มูลค่าสูงถึง 14,500 ล้านบาท ซึ่งทางบริษัทจะจัดประชุมผู้ถือหุ้นกู้ 17 มกราคมนี้ เพื่อที่จะเจรจาขอยืดหนี้ 2 ปี

นอกจากนี้ ยังมี บจ.สยามนุวัตร จำกัด (SWD) ได้ขอเลื่อนจ่ายหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในปี 2567 มูลหนี้รวม 520 ล้านบาท ออกไปเป็นปี 2568

จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้นักลงทุนเริ่มเข็ดขยาดและหวาดวิตกต่อการลงทุนในหุ้นกู้เอกชนพอสมควร จนส่งผลต่อแผนระดมทุนด้วยหุ้นกู้ของหลายบริษัทไม่ประสบความสำเร็จ หรือไม่สามารถขายหุ้นกู้ได้หมดตามกรอบวงเงินที่วางไว้

ขณะเดียวกัน จากข้อมูลของสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย พบว่า ในปี 2567 จะมีหุ้นกู้เอกชนระยะยาวที่จะครบกำหนดชำระคืนกว่า 890,000 ล้านบาท โดยหุ้นกู้กลุ่มที่ให้ผลตอบแทนสูง แต่มีอันดับเครดิตตํ่ากว่า BBB- และหุ้นกู้ที่ไม่ได้จัดอันดับเครดิต (Non Rating) คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 10% หรือ 89,000 ล้านบาท ถือเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงว่าอาจไม่สามารถขายหุ้นกู้ใหม่เพื่อไถ่ถอนหุ้นกู้เดิม หรือ Rollover Bond ที่จะครบกำหนดได้ จนส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องของบริษัท 

หากสถานการณ์เลวร้ายลง คงต้องพึ่งพาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาถึงแนวทางแก้ไข ซึ่งอาจจะใช้วิธีก่อตั้งกองทุนดูแลหุ้นกู้ขึ้นให้ความช่วยเหลือ เพราะถ้าปล่อยให้ปัญหาการผิดนัดชำระหนี้ของบริษัทจดทะเบียนมีเพิ่มมากขึ้น ภายหลังจากนี้ จะยิ่งสร้างความหวั่นวิตก และทำให้นักลงทุนเกิดความไม่เชื่อมั่นต่อระบบตลาดทุนไทยอย่างแน่นอน

สำนักข่าวมาเลเซีย เผย!! 'ศุภชัย' แข้งทีมชาติไทยเป็นชาวมลายู ไม่ได้เคลม!! แต่สะท้อนถึงความภูมิใจที่ทำแต้มให้ทีมชาติไทยได้

(17 ม.ค.67) จากผู้ใช้เฟซบุ๊ก 'Mawin Pongin' ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า...

สำนักข่าวมาเลเซียเขียนศุภชัยที่ทำแต้มให้ทีมชาติไทย 2 แต้มเป็นคนมลายู

ศุภชัย ใจเด็ดยิงไป 2 เม็ดได้แต้ม 2-0 กับคีร์กีซสถาน 

ศุภชัยเกิดใน จ.ปัตตานี เป็นชาวมลายูที่ถูกคัดเลือกโดยโค้ชทีมชาติไทยคนปัจจุบัน มาซาทาดะ อิชิอิ

นอกจากศุภชัยที่เป็นคนมลายูที่อยู่ในทีมช้างศึกแล้ว ยังมีคนอื่นๆ อีกที่เป็นคนมลายูในทีมช้างศึก เช่น อดุล หละโสะ, นูรูล ศรียานเก็ม และ นฤบดินทร์ วีรวัฒโนดม

'สส.ก้าวไกล' ถาม 'กองทัพ' ทำไมต้องตั้งงบเทิดทูนสถาบันเพิ่ม  'ปลัด กห.' สวน!! ปรับตามภัยคุกคามที่เกิดขึ้นมาโดยตลอด

(17 ม.ค.67) นายชยพล สท้อนดี สส.ก้าวไกล กมธ.การทหาร ในฐานะ กมธ.พิจารณางบประมาณฯ ปี 2567 ได้ตั้งคำถามถึงกระทรวงกลาโหมและเหล่าทัพ ถึงงบพิทักษ์รักษา เทิดทูนสถาบัน เปรียบเทียบงบประมาณปี 2566-2567 ที่งบประมาณส่วนนี้เพิ่มขึ้น จากเดิม 1,449 ล้านบาท เป็น 1,843 ล้านบาท หรือ 27.18 % โดยเฉพาะกองทัพเรือ ที่เพิ่มจาก 45 ล้านบาท เป็น 395 ล้านบาท หรือกว่า 769 % และกองทัพอากาศ ที่เพิ่มจาก 35 ล้านบาท เป็น 65 ล้านบาท หรือกว่า 81 % จึงขอถามว่าเพิ่มขึ้นมาอย่างไรบ้าง

พร้อมกันนี้นายชยพล ยังได้ถามถึงได้ถามรายละเอียดงบประมาณและการดำเนินการทุกหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างความเข้าใจ เพื่อประชาสัมพันธ์ต่างๆ รวมทั้งถามถึงเงินราชการลับ ที่มีการขอเท่าเดิมไปเรื่อยๆ มีการใช้งานอย่างไรบ้าง เพราะงบประมาณปี 2566-2567 เท่ากัน 469 ล้านบาท ซึ่ง กมธ. จะรับทราบได้หรือไม่ เพราะทางเหล่าทัพจะชี้แจงว่าเป็นชั้นความลับ แต่เป็นงบที่เรามองไม่เห็น จึงอยากให้กองทัพชี้แจงเรื่องนี้

นอกจากนี้ นายชยพล ยังถามเรื่องการตัดลบงบประมาณในส่วนตำแหน่ง ‘ผู้ทรงคุณวุฒิ’ ต่างๆ ที่ไม่จำเป็นต้องขึ้นมายกแผงทั้งรุ่น

อีกทั้งขอระเบียบประกาศการใช้รถประจำตำแหน่และงบประมาณย้อนหลัง 3 ปี และรายละเอียดการลดจำนวนนายพล ไม่ใช่กั้นแค่เพียงการลดจำนวนนักเรียนเตรียมทหาร เพื่อรอเวลานายพลดลดลงไป เพราะตนมองว่าควรจะปรับลดได้เลย

จากนั้น พล.อ.สนิธชนก สังขจันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม ชี้แจงงบราชการลับว่าเป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ปี 2547 ผ่าน 4 ภารกิจ ด้านความมั่นคงและการป้องกันราชอาณาจักร ภารกิจด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ภารกิจด้านข่าว และภารกิจอื่นที่มีลักษณะปกปิด เพื่อประโยชน์ในด้านเศรษฐกิจ สังคม หรือโดยสภาพแห่งเทคโนโลยี ซึ่งงบส่วนนี้ได้รับการตรวจสอบจากสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินเรียบร้อยแล้ว

ส่วนเรื่องรถประจำตำแหน่งยึดตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยรถราชการ ปี 2523 ที่กำหนดรถราชการใช้กับตำแหน่งใดบ้าง ส่วนหลักเกณฑ์ค่าตอบแทนแบบเหมาจ่ายยึดตามมติ ครม. ปี 2457

ส่วนงบประมาณพิทักษ์รักษาเทิดทูนสถาบัน หน่วยทหารกระจัดกระจายทั่วประเทศ มีพื้นที่รับผิดชอบของตนเอง ตั้งอยู่ตามจังหวัดอำเภอ ของแต่ละเหล่าทัพชัดเจนเหมือนกับพื้นที่บรรเทาสาธารณภัยที่เข้าไปช่วยเหลือกับประชาชน ดังนั้นมีความจำเป็นในเรื่องของงบประมาณที่พิทักษ์รักษาเทิดทูนสถาบันจะต้องมีทุกหน่วยงานและงบประมาณที่เพิ่มของสำนักงบประมาณที่ตั้งงบฯมิให้ใช้งบกลางให้ตั้งงบตัวเอง จึงเป็นที่มาของงบปีนี้ที่เพิ่มขึ้น และงบพิทักษ์เทิดทูนสถาบันสัดส่วน 0.93% ของงบกระทรวงกลาโหมทั้งหมด

พล.อ.สนิธชนก ยังระบุต่อว่า กำลังให้กรมพระธรรมนูญดำเนินการแก้ไขกฎหมายที่ล้าหลัง ของกระทรวงกลาโหม ซึ่งขัดกับกฎหมายใหม่ที่ออกมาอยู่ระหว่างการดำเนินการ

จากนั้น พล.อ.สนิธชนก ได้กล่าวสรุปจบการชี้แจงงบประมาณในส่วนของกระทรวงกลาโหมและสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมว่า กระทรวงกลาโหม ยืนยันว่า ได้ปรับตัวตามยุคสมัยตามเหตุการณ์ตามภัยคุกคามมาโดยตลอด ไม่ได้ปล่อยให้ล้าหลัง และจะใช้งบประมาณให้เกิดประโยชน์คุ้มค่ากับประเทศชาติและตระหนักอยู่ตลอดว่าเม็ดเงินมาจากภาษีของราษฎร


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top