Saturday, 14 June 2025
NewsFeed

'ดร.เอ้' แนะ!! กทม. ควรสั่งปิดโรงเรียนเด็กเล็ก ชี้!! ฝุ่นพิษครองเมือง เร่งกวดขันต้นตอเสียที

(19 ม.ค.67) ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ 'ดร.เอ้' รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กทม. ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว 'เอ้ สุชัชวีร์' โดยระบุว่า...

"แดง แดง แดง ทั้งกทม." ฝุ่นพิษครองเมือง กทม. ต้องแจ้งเตือน และ เข้มงวดกับต้นตอ

ดร.เอ้ กล่าวว่า ตนเองไอหนักมากตั้งแต่เช้า โทรหาหมอเพื่อนกัน เขาบอกว่า ฝุ่นพิษ PM2.5 วิกฤตแล้ว คนไข้โรคทางเดินหายใจ คิวเต็มรพ. หมอเครียดมาก ผมห่วงใยเพื่อนๆ และลูกๆ นะครับ เพราะจะใส่หน้ากาก N95 ทั้งวันก็หายใจไม่สะดวก จะซื้อเครื่องฟอกอากาศ ก็ไม่ได้ผลมากนัก เฮ้อ...ไม่รู้จะทำไงดี ครอบครัวคนกทม. เราจำเป็นต้องใช้ชีวิตที่นี่... กรุงเทพเรา อากาศหายใจ ไม่ได้แล้วหรือ เรามาถึงจุดนี้ได้ไง? ใครก็รู้ว่า ต้นกำเนิดฝุ่นมาจากการขนส่ง หนักที่สุด ซึ่งมันแก้ได้

ดร.เอ้ กล่าวว่า สิ่งที่ กทม. ต้องทำเร่งด่วน เป็นอันดับแรก คือ การแจ้งเตือนผู้ปกครอง เพราะวันนี้โรงเรียนเด็กเล็กควรปิด และต้องมีรายงานฝุ่น ขึ้นป้าย LED ที่มีอยู่เต็ม กทม. แจ้งให้ประชาชนระวังตัวใส่หน้ากาก ป้องกันตนเอง และลูกๆ

อันดับสอง รถขนส่งที่ปล่อยฝุ่นพิษ ส่วนใหญ่ไปส่งของ ที่ไซต์งานก่อสร้าง ดังนั้น กทม. มีอำนาจตรวจจับ และบังคับใช้กฎหมายกับเจ้าของสถานที่ก่อสร้างไร้ความรับผิดชอบได้ทันที ให้เขากวดขันกับรถที่ปล่อยฝุ่น เข้า-ออก เพราะเขากลัวถูกพักการก่อสร้าง ซึ่งเสียหายมาก ใครก็กลัว ทุกเมืองทั่วโลก ทำแบบนี้

ทั้งนี้ ดร.เอ้ ยังเชื่อ เรายังแก้ปัญหามลพิษได้ หากผู้นำมุ่งมั่น จริงจัง ดุดัน มากพอ กับการสู้กับต้นกำเนิดฝุ่น ที่วันนี้ยังปล่อยทำร้ายคนกทม. ทุกวันๆ

‘นายกฯ’ ส่งต่อ ‘เงินเดือน-เบี้ยประชุม’ แก่มูลนิธิต่อเนื่อง หวังช่วยต่อยอดทุกโอกาสที่เป็นไปได้ของสังคมไทย

(19 ม.ค. 67) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ส่งต่อเงินเดือน และเบี้ยประชุมที่ได้รับจากการดำรงตำแหน่งให้กับมูลนิธิต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง พร้อมกับรัฐบาลได้จัดสรรเงินเกือบ 1.4 ล้านล้านบาท เพื่อการพัฒนา และเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ 

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การส่งต่อเงินเดือน และเบี้ยประชุมเป็นสิ่งที่สามารถทำได้ทันที เนื่องจากเป็นการให้ของแต่ละบุคคล ไม่ต้องผ่าน พ.ร.บ. ต่าง ๆ ตามกลไกของรัฐสภาที่ต้องใช้เวลานาน โดยมูลนิธิที่นายกรัฐมนตรีส่งต่อตั้งแต่เริ่มในเดือนตุลาคม 2566 เป็นประจำทุกเดือนต่อเนื่องนั้น

- ครั้งที่ 1 เดือนตุลาคม 2566 มูลนิธิเด็ก (FOUNDATION FOR CHILDREN) เพื่อช่วยเหลือ ตั้งแต่ปัจจัยพื้นฐาน การดำเนินชีวิตและสวัสดิการต่าง ๆ 

- ครั้งที่ 2 เดือนพฤศจิกายน 2566 ได้มอบให้กับ 4 มูลนิธิ มูลนิธิละ 50,000 บาท ได้แก่ (1) มูลนิธิอิสรชน องค์กรพัฒนาเอกชนที่พัฒนาทักษะชีวิตแก่คนด้อยโอกาสและผู้ยากไร้ (2) มูลนิธิคนพิการไทย เพื่อส่งเสริมกิจกรรมพร้อมสร้างอาชีพที่เป็นประโยชน์ต่อผู้พิการ (3) มูลนิธิบ้านพระพร องค์กรช่วยเหลือลูกของผู้ต้องขัง ผู้พ้นโทษ และเยาวชนเด็ก ให้คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และ (4) มูลนิธิสายธารสุขใจ เพื่อช่วยเหลือคนชราที่ถูกทอดทิ้ง 

- ครั้งที่ 3 เดือนธันวาคม 2566 ได้มอบให้กับ 3 มูลนิธิ มูลนิธิละ 50,000 บาท ได้แก่ (1) มูลนิธิบ้านนกขมิ้น สมทบทุนให้โอกาสกับเด็กกำพร้า และเด็กด้อยโอกาส รวมทั้งสนับสนุนด้านการศึกษา เพื่อนำไปต่อยอดเป็นอาชีพในอนาคต (2) มูลนิธิอนุเคราะห์คนหูหนวกในพระบรมราชินูปถัมภ์ เพื่อสนับสนุนช่วยเหลือคนหูหนวกให้สามารถใช้ชีวิตได้เหมือนคนทั่วไป และ (3) มูลนิธิสุภา วงค์เสนา เพื่อสนับสนุนเรื่องโครงการแก้หนี้ทั้งระบบ ปฏิรูปสิทธิลูกหนี้ และเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ยระหว่างลูกหนี้ และเจ้าหนี้

นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้จัดสรรงบประมาณเกือบ 1.4 ล้านล้านบาท (ร้อยละ 40.1) ของวงเงินงบประมาณ แบ่งเป็น ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ จำนวน 561,954.2 ล้านบาท เพื่อให้ประชาชนทุกช่วงวัยมีคุณภาพชีวิตที่ดี ครอบคลุมทั้งด้านการกีฬา การปรับเปลี่ยนค่านิยมและวัฒนธรรม  การพัฒนาคุณภาพการศึกษา การพัฒนาศักยภาพคน และการเสริมสร้างสุขภาวะที่ดี เป็นต้น และด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม จำนวน 834,240.6 ล้านบาท เพื่อให้คนไทยได้รับสวัสดิการพื้นฐานอย่างทั่วถึง เป็นธรรม และลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมในทุกมิติ 

“หัวใจหลักของการทำงานของรัฐบาล ที่นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญคือการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ และยกระดับชีวิตของพี่น้องประชาชนให้ดียิ่งขึ้น ด้วยความห่วงใยประชาชนโดยเฉพาะฐานล่างของปิรามิด ซึ่งการจัดสรรงบประมาณถึงร้อยละ 40.1 เพื่อมุ่งส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพของบุคลากรในประเทศให้มีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น ช่วยต่อยอดในทุกโอกาสของความเป็นไปได้ของประเทศไทย และด้วยดำริของนายกรัฐมนตรีส่งต่อ ‘การให้’ ตามแต่กำลังศรัทธาของแต่ละคน จึงได้ส่งมอบเงินเดือนและเบี้ยประชุมให้กับมูลนิธิต่าง ๆ และได้ทำมาอย่างต่อเนื่อง” นายชัย กล่าว

‘นายกฯ’ เตรียมหารือ ‘รมว.อุตฯ’ แก้กฎหมาย เพิ่มความเข้มงวด โรงงานพลุขนาดใหญ่

(19 ม.ค.67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงการเยียวยาครอบครัวผู้เสียชีวิตจากเหตุโรงงานพลุระเบิดที่ จ.สุพรรณบุรี ว่า เรื่องการเยียวยาอยู่ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าสลดใจ เพราะเคยเกิดขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ระหว่างนี้ต้องไปดูเรื่องผู้เสียชีวิตที่ต้องได้รับการเยียวยาอย่างถูกต้อง การพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล เพื่อคืนศพให้ญาติพี่น้อง ได้รับรายงานว่าสามารถพิสูจน์ได้แล้ว 15 ราย และทยอยคืนศพแล้ง เรื่องระยะสั้นคงเป็นเรื่องนี้ก่อน 

ส่วนเรื่องที่ต้องแก้ไขข้อกฎหมาย ต้องดูแลให้ดี เพราะมีโรงงานเหล่านี้อยู่จำนวนมาก หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเข้าไปจัดการให้ดี ส่วนมาตรฐานของโรงงาน หวังว่าจะกำกับดูแลที่ดีและถูกต้อง เข้าใจว่าโรงงานพลุแห่งนี้ไม่ได้อยู่ในกำกับดูแลของกรมโรงงานอุตสาหกรรม เพราะมีขนาดเล็ก ซึ่งต้องดูว่ากฎหมายอะไรที่จะทำให้ประชาชนมั่นใจเรื่อง Public Safety

เมื่อถามว่าควรให้โรงงานผลิตพลุอยู่ในการควบคุมของกรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรมหรือไม่? นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า “มันมีกฎที่จะต้องอยู่ภายใต้การควบคุมดูแล โดยกระทรวงอุตสาหกรรม แต่ที่ถามมาว่าทำไมถึงไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุม เพราะโรงงานนี้มีขนาดเล็ก ซึ่งจะต้องพูดคุยกับทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมว่าจะขยายหรือไม่ เพราะโรงงานที่อันตรายต้องถูกควบคุมให้ใกล้ชิดมากขึ้น อาจจะต้องจำกัดประเภทธุรกิจและสินค้า แม้ว่าขนาดไม่ใหญ่ แต่หากเกิดอุบัติเหตุขึ้น ความหายนะสูงก็ต้องดูแลอย่างใกล้ชิดมากขึ้น ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องกำกับดูแลให้มากขึ้น” 

'จีน' กาง GDP 2023 มูลค่าเกิน 126 ล้านล้านหยวน เติบโต 5.2% กลบเสียงสื่อตะวันตก นิยามเศรษฐกิจจีน 'แย่แล้ว-พังแล้ว'

(19 ม.ค. 67) จากเพจ 'ลึกชัดกับผิงผิง' ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า...

#เศรษฐกิจ #จีน #โลก
เศรษฐกิจจีนไม่พัง เศรษฐกิจโลกไม่พัง 

วันที่ 17 มกราคม ค.ศ. 2024 สำนักงานสถิติแห่งชาติจีนประกาศสถิติว่า ปี 2023 ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศหรือจีดีพี (GDP) เกิน 126 ล้านล้านหยวน โดยสูงถึง 126.0582 ล้านล้านหยวน เติบโตร้อยละ 5.2 เมื่อเทียบกับปี 2022 

ตัวเลขดังกล่าวเป็นการสิ้นสุดคำกล่าวอ้างของสื่อตะวันตกบางแห่งที่ชอบบอกว่า 'เศรษฐกิจจีนแย่แล้ว' / 'เศรษฐกิจจีนจะพังแล้ว'

จีนยังคงเป็นพลังขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจโลกดั่งที่แล้วมาอย่างต่อเนื่อง จีนเป็นกำลังสำคัญในการรักษาความมั่นคงของเศรษฐกิจโลก เน้นการร่วมมือทางการค้ากับต่างประเทศ เศรษฐกิจจีนไม่พัง เศรษฐกิจโลกก็จะไม่พัง

'สส.ก้าวไกล' โว!! มีข้อมูลแฉกองทัพใช้งบหลวงจ้างยูทูบเบอร์ทำคลิป ด้านกองทัพ ไม่หวั่น!! ยัน!! หนุนทุกสื่อที่ขอตามติดภารกิจชายแดน

จากกรณีที่ ยูทูบช่อง Pigkaploy ของ 'พลอย' พลอยไพลิน ปล่อยอีพีล่าสุด ชื่อตอน 'ทหารมีไว้ทำไม EP.1' ตอนลองใช้ชีวิตเป็นทหารชายแดนเหนือ 3 วัน 2 คืน l ไทย-เมียร์มาร์ ซึ่งเป็นการติดตามการทำงานของทหารชายแดนเหนือไทย-เมียนมา โดยมีเพจทางการของเหล่าทัพ พร้อมใจกันแชร์คลิปดังกล่าว จนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า คลิปดังกล่าวเป็นการทำขึ้นตามที่รับบรีฟจากกองทัพบกหรือไม่ จน 'พลอย' ต้องออกมาชี้แจงว่า "โปรเจกต์นี้ไม่มีการรับบรีฟจากกองทัพบก มีเพียงได้รับการสนับสนุนในการถ่ายทำ"

ล่าสุด (19 ม.ค.67) นายจิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะโฆษกกรรมาธิการ (กมธ.) การทหาร ได้โพสต์แสดงความคิดเห็นถึงกรณีดังกล่าว โดยมีเนื้อหาดังนี้...

'เรื่องนี้ขอรวบรวมข้อมูลอีกแป๊บนะครับ ข้อมูลเยอะมาก ที่กองทัพใช้งบประมาณแผ่นดินไปจ้างยูทูบเบอร์ทำคลิป แล้วบิดเบือนประวัติศาสตร์จนน่าเกลียดด้วย วิธีการคือกองทัพจะจ้างบริษัทคนกลาง และคนกลางไปจ้างต่ออีกทอด"

ขณะที่ด้าน กองทัพบก ได้ออกมายืนยัน 'พลอยไพลิน' ไม่ใช่ไอโอกองทัพ และที่ผ่านมาทางกองทัพก็พร้อมอำนวยความสะดวกทุกคน ซึ่งรวมถึงสื่อทุกสำนัก ที่ได้ติดตามภารกิจทหารชายแดนมาแล้วทั้งสิ้น

โดยรายงานข่าวจากกองทัพบก เปิดเผยว่า จริงๆ แล้วทางกองทัพบกได้รับการประสานมาก่อนที่จะประสานไปยังพื้นที่ เพื่อให้อำนวยความสะดวกให้กับยูทูบเบอร์คนดังกล่าว และไม่ว่าจะเป็นใครติดต่อมา และกองทัพบกเห็นว่ามีประโยชน์ก็จะอำนวยความสะดวกให้ทุกคนอยู่แล้ว ไม่เฉพาะเจาะจงว่าจะเป็นคนใดคนหนึ่ง ซึ่งที่ผ่านมาก็มีหลายสำนักข่าวที่ติดต่อไปทำข่าวติดตามภารกิจของเจ้าหน้าที่ทหารตามแนวชายแดนอยู่เรื่อยๆ อยู่แล้ว ไม่ใช่เฉพาะยูทูบเบอร์คนนี้

ขณะที่ แหล่งข่าวจากกองกำลังผาเมือง เปิดเผยว่า ยูทูบเบอร์คนดังกล่าวได้ประสานจากทางส่วนกลางคือกองทัพบก และกองทัพบกได้ประสานมายังพื้นที่ เพื่อให้อำนวยความสะดวกในการเข้าในพื้นที่ถ่ายทำ การทำหน้าที่ของทหารตามแนวชายแดน และที่เป็นข่าวดรามาว่าเป็นไอโอของทางทหารนั้น ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง เนื่องจากการทำหน้าที่ของทหารชายแดนก็ทำอยู่ทุกวันอยู่แล้ว และไม่ใช่คณะของยูทูบเบอร์คนดังกล่าวมาทำเป็นคณะแรก แต่มีคณะสื่อมวลชนหลายคณะที่เคยเข้ามาทำข่าวติดตามการทำงานของเจ้าหน้าที่ทหารตามแนวชายแดน 

" ทหารตามแนวชายแดนของเราได้ปฏิบัติหน้าที่เป็นปกติทุกวัน หากมีสื่อมวลชนสำนักพิมพ์ทีวีหรือ ยูทูบเบอร์คนใดช่องใด ต้องการทำติดตามภารกิจของทหารชายแดนก็สามารถประสานขอมายังกองทัพบกส่วนกลาง หลังจากนั้นทางกองทัพบกจะได้ประสานมายังพื้นที่เพื่อให้อำนวยความสะดวก ยืนยันว่าเรื่องดังกล่าวเป็นภารกิจที่ทำเป็นประจำอยู่แล้ว และมีสื่อมวลชนหลายสำนักได้เคยนำภารกิจตรงนี้ของเจ้าหน้าที่ทหารชายแดนไปเผยแพร่แล้ว จึงไม่น่าใช่ไอโอของกองทัพอย่างแน่นอน" แหล่งข่าวกองกำลังผาเมือง กล่าว

‘ร้านสัจจะเทพ’ จำหน่ายธูปไหว้เทพฮินดู 4 กลิ่น หอมล้ำยาวนาน ปลอดภัย ใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ

ธูปหอมไหว้เทพฮินดู ‘สัจจะเทพ’ ต้นตำรับนำเข้าจากอินเดียแท้ ยืนหนึ่งเครื่องสักการบูชาเทพฮินดูแบบถูกต้องตามตำรา พร้อมกลิ่นหอมที่ช่วยเพิ่มบรรยากาศและคืนความสดชื่น 4 แบบ 4 กลิ่น ตอบโจทย์ครบความต้องการ

หากเอ่ยถึง ‘ธูป’ หรือ ‘INCENSE’ ซึ่งมาจากคำสันสกฤตว่า ‘ธูปะ’ แปลว่า เครื่องหอม (ที่ใช้จุด) นับเป็นเครื่องบูชาสำคัญที่ใช้ในพิธีทางศาสนาทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศแถบเอเชีย ที่นิยมจุดธูปเพื่อบูชาในสิ่งศักดิ์สิทธิ์และเทพเจ้าตามความเชื่อของแต่ละประเทศ ดังนั้น ธูป จึงเป็นสัญลักษณ์ของความศรัทธามาช้านาน

แน่นอนว่า ธูปที่ได้รับการยอมรับว่า เป็นหนึ่งในธูปที่ดีที่สุดในโลกคือ ธูปจากประเทศอินเดีย เพราะชาวอินเดียมีความชำนาญในการผลิตเครื่องหอมมาตั้งแต่อดีตนับพันปี และยังเป็นแหล่งกำเนิดศาสนาสำคัญของโลก อย่างศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และศาสนาพุทธ ซึ่งล้วนแต่ใช้ธูปหรือเครื่องหอม ในการสักการบูชามาอย่างยาวนาน

สำหรับประโยชน์ต่าง ๆ ของธูปหอม ที่นำมาใช้ในปัจจุบัน หลัก ๆ จะมีอยู่ 2 ส่วน 
- ใช้จุดบูชาพระ บูชาเทพ และบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ รวมถึงใช้ในพิธีมงคลต่าง ๆ
- ใช้จุดสร้างบรรยากาศ ให้ความสดชื่น ด้วยกลิ่นหอมแบบต่าง ๆ 

ทั้งนี้ มีความเชื่อมาอย่างยาวนานว่า กลิ่นหอมที่เกิดจากการจุดธูปสักการบูชาเทพฮินดูนั้น ยิ่งกลิ่นธูปมีกลิ่นหอมมากเท่าใด จะช่วยสื่อถึงเทพ และพรที่ขอนั้นจะสำเร็จผลได้เร็วยิ่งขึ้นเท่านั้น

ปัจจุบัน มีผู้ประกอบการหลายรายที่นำเข้าธูปหอมจากอินเดียเข้ามาจำหน่าย และหนึ่งในนั้นคือ ‘ร้านสัจจะเทพ’ ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายธูปหอมอินเดียเกรดพรีเมียมรายแรก ๆ ของประเทศไทย ซึ่งดำเนินธุรกิจมานานกว่า 50 ปี โดยแบรนด์ที่ทางร้านนำเข้ามาจำหน่ายชื่อ ‘MAVANA’ ซึ่งเป็นผู้ผลิตธูปหอมที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในประเทศอินเดีย

จุดเด่นของธูปหอมอินเดีย ที่ทาง ‘ร้านสัจจะเทพ’ นำเข้ามาจำหน่ายนั้น นอกจากจะเป็นธูปอินเดียแท้ ๆ แล้ว ยังได้รับการเลือกสรรอย่างเหมาะสมสำหรับใช้สักการบูชาขอพรเทพฮินดูที่ตรงตามตำรา ผลิตจากวัตถุดิบจากธรรมชาติ ด้วยสูตรลับเฉพาะตัว ให้กลิ่นหอมยาวนาน ควันน้อย ไม่ก่อให้เกิดอันตราย และไม่มีสารพิษที่ส่งผลกระทบต่อร่างกายแต่อย่างใด

ธูปหอมอินเดียจากร้านสัจจะเทพ มีให้เลือก 4 แบบ 4 กลิ่น ตอบโจทย์การใช้งานอย่างเหมาะสม ประกอบด้วย

‘Ganesh’ ธูปอินเดียแท้กล่องสีเขียวเข้ม ที่เหมาะสำหรับใช้จุด บูชาพระพิฆเนศ และเทพฮินดู ที่ให้กลิ่นหอมสดชื่น สร้างความรู้สึกกระปรี้กระเปร่า สดใส 

‘Money Drawing’ ธูปอินเดียแท้กล่องสีเขียวอ่อน สำหรับใช้ไหว้เทพฮินดู ขอพร ขอทรัพย์ เรียกเงินเรียกทอง ที่มีกลิ่นหอมเย็น ๆ ให้ความรู้สึกสงบ แต่แอบแฝงสดชื่น เหมือนอยู่ท่ามกลางสวนดอกไม้สีขาวในยามเย็น

‘Laxmi’ ธูปอินเดียแท้กล่องสีเหลือง สำหรับใช้บูชาพระพิฆเนศ และบูชาเทพฮินดูองค์อื่น ๆ โดยเฉพาะพระแม่ลักษมี เทพีแห่งความงาม ผู้ประทานพรด้านความรัก ที่ให้กลิ่นหอมสดชื่น สดใส เฉกเช่นเครื่องประทินผิวของผู้หญิง ที่มีความหอมหวานสดชื่น

‘Amor’ ธูปอินเดียแท้กล่องสีชมพู สำหรับจุดไหว้เทพฮินดู เหมาะสำหรับขอพรในเรื่องของความรัก กลิ่นหอมอบอวลชวนหลงใหล ของบรรดาดอกไม้นานาพรรณ โดยเฉพาะกลิ่นหลายที่หอมหวาน ชวนเข้าสู่ภวังค์แห่งความรัก

ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าธูปหอมอินเดีย ทั้ง 4 แบบ 4 กลิ่น จากร้านสัจจะเทพ ไม่เพียงแต่จะใช้สำหรับจุดบูชาเทพเท่านั้น แต่ยังสามารถจุดเพื่อสร้างบรรยากาศภายในห้อง สร้างความสดชื่น ผ่อนคลาย ด้วยกลิ่นหอมที่หลากหลายตอบโจทย์ทุกความต้องการ ที่สำคัญไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย สามารถใช้เพิ่มความหอมได้ทุกโอกาสตามต้องการ

สำหรับธูปหอมอินเดีย 'ร้านสัจจะเทพ' ได้นำเข้าธูปหอมจากอินเดียเป็นรายแรกๆ ของประเทศไทย ตั้งแต่ปี 1953 ปัจจุบันได้พัฒนามาสู่การขายผ่านช่องทางออนไลน์เต็มรูปแบบ โดยล่าสุด ‘คุณวารินทร์ สัจเดว’ ผู้ประกาศข่าว และนักจัดรายการวิทยุชื่อดัง ซึ่งเป็นทายาทรุ่นที่สอง ได้ปรับรูปแบบการจัดจำหน่าย โดยเปลี่ยนช่องทางการขายทั้งหมดมาสู่แพลตฟอร์มออนไลน์ ผ่านช่องทาง Tiktok @shopyupdotco และ Line @shopyupdotco เพื่อขยายช่องทางการขายที่เข้าถึงลูกค้าให้กว้างขึ้น อีกทั้งยังเป็นการตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนยุคดิจิทัล ที่นิยมซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้นอีกด้วย

นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมพิเศษ ขอเชิญชวนผู้ศรัทธาในองค์เทพฮินดู ร่วมสักการบูชาขอพรทวยเทพ ด้วยวิธีการและบทสวดที่ถูกต้อง กับทริปไหว้เทพสุดปัง ที่จะพาคุณขอพรพร้อมไหว้เทพฮินดู ด้วยวิธีการและบทสวดที่ถูกต้อง ตามแบบฉบับอินเดียขนานแท้ ขอพรความรักได้ดังหวัง การงาน การเงินได้ดังใจ ณ เทวาลัยสยาม @ Nomad Castle ในวันอาทิตย์ที่ 28 มกราคม 67 นี้ เพียง 574 บาทต่อท่าน

สนใจร่วมทริป ติดต่อไปได้ที่ โทร 081-489-1116 หรือ Line @shopyupdotco

‘ปิยบุตร’ เตือนสติ ‘สส.ก้าวไกล’ อย่าเอาแต่โทษไอโอ ชี้!! หากปฏิบัติตนอย่างระวัง ใครก็ทำลายชื่อเสียงไม่ได้

(19 ม.ค. 67) นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า อดีตผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า เพจ ‘ก้าวไกลโกหกอะไร’ จ้องจับผิด สส.และคนของพรรคก้าวไกล จนน่ารำคาญ น่าสงสัย นั่นก็ส่วนหนึ่ง แต่ สส.และคนของพรรคก้าวไกล ซึ่งกลายเป็นบุคคลสาธารณะแล้ว มีประชาชนมากมายมหาศาลรัก ชื่นชม ฝากความหวังให้เป็นฟันเฟืองของการเปลี่ยนแปลง ก็ควรต้องตระหนักได้แล้วว่ามีขบวนการปฏิบ้ติการข้อมูลข่าวสารจากทุกสารทิศ สนธิกำลังกันทั้งจากฝ่ายความมั่นคง ฝ่ายอนุรักษ์นิยม ฝ่ายพรรคการเมือง จ้องจับผิดเล่นงานขยายผลอยู่

การไปกล่าวโทษไอโอ ไปร้องแรกแหกกระเชอว่าโดนกลั่นแกล้ง ไปตามจับตามสืบว่าใครไปปล่อยข่าว แอบถ่าย ไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาที่ตรงเป้าควรป้องกัน แก้ไขที่ตนเอง ทำตัวให้มาชัวร์ครองตนอย่างระวัง รอบคอบ แต่กล้าหาญ ควบคุมดูแลคัดกรองทีมงานให้ดี

"วันนี้ เป็น ผู้แทนราษฎรแล้ว วันนี้ เป็นตัวแทนของพรรคก้าวไกลที่คนคาดหวังสูงแล้ว ก็ควรประพฤติปฏิบัติตนให้เข้าที่เข้าทางเสียหน่อย อย่าให้ประชาชนที่ฝากความหวัง ต้องผิดหวัง คิดถึงเสียงกู่ร้อง แววตา ของประชาชนที่เราได้เห็นช่วงหาเสียงให้มา กๆ คิดถึงความตั้งใจของประชาชนที่กลับบ้านไปเลือกพรรคก้าวไกลให้มาก ๆ ถ้าทำได้เท่านี้ จะกี่เพจ จะกี่ปฏิบัติการไอโอ ก็ทำอะไรไม่ได้" นายปิยบุตร ระบุ

นายปิยบุตร ระบุด้วยว่า สส.และคนของก้าวไกลต้องพึงระวังเสมอว่า การครองตน การประพฤติปฏิบัติที่ถูกสังคมติฉิน ตั้งคำถาม ไม่ได้สร้างความเสียหายให้ตนเองตามลำพัง แต่มันกระทบทั้งพรรค คนทำงาน หาคะแนนนิยม สร้างผลงาน แบกพรรคไว้ แต่พอเจอเรื่องของคนในพรรคหรือ สส.ขึ้นมา ก็กระทบกันไปหมด

"ผมคนนอก ขอพูดตรงไปตรงมา เพราะ คนในพรรคอาจไม่กล้าพูดกันตรง ๆ แบบนี้ องค์กรแบบก้าวไกล คือ แบรนด์ แนวคิด อุดมการณ์ ไม่ได้ขายคนคนเดียวหรือไม่กี่คน ทุก ๆ คนที่อยู่ที่นี่ ต่างก็อาศัยพลังของกันและกัน ไม่มีใครคนไหน ออกไปโตเดี่ยวแล้วจะรอด ชนะเลือกตั้งกันมา ก็คือแนวคิดและกระแสพรรคหนุนส่งเป็นสำคัญดังนั้น ทำอะไร ต้องคิดถึงพรรค เพื่อนร่วมพรรค สมาชิกพรรค และประชาชนที่เลือกมาให้มาก ๆ" นายปิยบุตร ระบุ

‘จีน’ ทดสอบ ‘รถตำรวจสายตรวจไร้คนขับ’ ครั้งแรก นำร่อง 15 คัน พร้อมลาดตระเวนตลอด 24 ชั่วโมง

เมื่อวานนี้ (18 ม.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สำนักงานประจำเขตสาธิตการขับขี่อัตโนมัติระดับสูงของเทศบาลกรุงปักกิ่งของจีน เริ่มทดสอบวิ่งรถตำรวจสายตรวจไร้คนขับบนท้องถนนเมื่อวันอังคาร (16 ม.ค.) ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นการทดสอบวิ่งรถประเภทนี้ครั้งแรกในจีน

รายงานระบุว่ารถตำรวจสายตรวจไร้คนขับจำนวน 15 คัน วิ่งบนท้องถนนสาธารณะในเขตสาธิตฯ พร้อมปฏิบัติหน้าที่ตลอด 24 ชั่วโมง ภายใต้การประสานงานร่วมกับเจ้าหน้าที่จากสำนักความมั่นคงสาธารณะเทศบาลกรุงปักกิ่ง สาขาต้าซิง

การทดสอบครอบคลุมหน้าที่การลาดตระเวน การรับรองความปลอดภัยสำหรับงานขนาดใหญ่ การออกประกาศสาธารณะ การออกคำแจ้งเตือน และงานกู้ภัยฉุกเฉิน โดยทีมรถสายตรวจจะลาดตระเวนในเขตสาธิตฯ บนพื้นที่ 60 ตารางกิโลเมตร

จางเว่ยหลิง รองประธานอาวุโสของนีโอลิกซ์ (Neolix) ผู้ผลิตรถสายตรวจดังกล่าว ระบุว่า รถสายตรวจไร้คนขับใช้เทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติระดับ 4 (L4) โดยสามารถเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้ภายใน 30 วินาที และมาพร้อมระยะการขับขี่ 100 กิโลเมตร

ยานยนต์ดังกล่าวยังประกอบด้วยศักยภาพการรับรู้แบบรวมภาพจำนวนหลายเซนเซอร์ครอบคลุม 360 องศา และระยะการตรวจจับสูงถึง 120 เมตร ซึ่งแพลตฟอร์มการประมวลผลอันทรงพลังที่ติดตั้งบนยานยนต์สามารถคำนวณและทำการตอบสนองตามสภาพถนนได้แบบเรียลไทม์ จึงรับประกันความปลอดภัยในการเคลื่อนที่

นับตั้งแต่ปักกิ่งเริ่มก่อตั้งเขตสาธิตฯ เมื่อเดือนกันยายน 2020 มีการสร้างพื้นที่ที่มีถนนเชื่อมต่ออัจฉริยะขนาด 160 ตารางกิโลเมตรและเครือข่ายเมืองอัจฉริยะในเขตสาธิตแห่งนี้

ปัจจุบันบริษัททดสอบรถยนต์จำนวน 28 แห่งเปิดดำเนินการในเขตสาธิตฯ โดยมียานยนต์กว่า 800 คันกำลังทำการทดสอบและการสำรวจเชิงพาณิชย์ และมีระยะทางการทดสอบสะสมกว่า 20 ล้านกิโลเมตรแล้ว

‘เมืองเวนิส’ เตรียมเก็บค่าเข้าเมือง นทท. 5 ยูโร/คน เพื่อแก้ปัญหา นทท. ล้นเมือง กระทบชีวิตคนในท้องถิ่น

(19 ม.ค. 67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า 'เวนิส' เมืองท่องเที่ยวอันดับต้นของอิตาลี เผชิญกับปัญหานักท่องเที่ยวล้นเมือง โดยในแต่ละวันมีนั่งท่องเที่ยวมากกว่า 60,000 คนทำให้ถนนสายเล็กแออัดไปด้วยจำนวนของนักท่องเที่ยว 

โดยในเดือนเมษายนนี้ จะเริ่มเก็บเงินนักท่องเที่ยวเป็นค่าเข้าเมืองคนละ 5 ยูโร หรือประมาณ 190 บาท โดยจะเป็นการเดินทางเข้าเมือง 1 วันเท่านั้น จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 25 เมษายน ซึ่งเป็นช่วงวันหยุดยาวของอิตาลี และจะเก็บค่าเข้าเมืองในช่วงวันหยุด และวันเสาร์อาทิตย์ จนถึงกลางเดือนกรกฎาคม

การจ่ายค่าเข้าเมืองทั้งสามารถทำได้ทั้งออนไลน์ ซึ่งนักท่องเที่ยวจะได้รับ QR Code เป็นหลักฐานการจ่ายค่าเข้าเมืองสำเร็จแล้ว โดยจะเข้าออกเมืองเวนิสได้ตั้งแต่ 08.30-16.00 น. เท่านั้น โดยทางเมืองได้คิดมาตรการไว้แล้วสำหรับผู้ที่คิดจะลักลอบเข้าเมืองโดยที่ไม่ลงทะเบียนจ่ายค่าเข้าเมืองนั้น หากเจอเจ้าหน้าที่ตำรวจสุ่มตรวจแล้วไม่พบ QR Code มาแสดงเป็นหลักฐานจะถูกปรับในวงเงินสูงสุดถึง 300 ยูโร หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 11,000 บาท

ซึ่งไม่ใช่แค่นักท่องเที่ยวต่างชาติเท่านั้นที่ต้องจ่ายค่าเข้าเมืองเวนิส คนอิตาลีเองก็ต้องจ่ายด้วยเช่นกัน ไม่มีข้อยกเว้นแม้เป็นพลเมืองของประเทศ ซึ่งก็จะมีผู้ที่ได้รับการยกเว้น ‘ไม่ต้องจ่ายค่าเข้าเมืองเวนิส’ ได้แก่ นักเรียน, คนที่ทำในในเมืองเมนิส, เจ้าของบ้านพักอาศัยในเวนิส เท่านั้น

โดยในช่วงแรกของการเริ่มเก็บค่าเข้าเมืองจะยังไม่จำกัดคนเข้าในแต่ละวันเพื่อที่จะประเมินว่าเมื่อทางเจ้าหน้าที่เก็บค่าเข้าเมืองจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวลดลงมากน้อยเพียงใด โดยปัญหานักท่องเที่ยวล้นเมืองนั้นเกิดขึ้นในหลายเมืองท่องเที่ยวยอดนิยม แม้ว่ารายได้จะเข้าสู่ร้านอาหาร โรงแรม ร้านค้าได้มากมาย แต่ก็นำพาความลำบากมาสู่ประชาชนพื้นถิ่น เพราะบ่อยครั้งที่พลเมืองไม่สามารถที่จะเดินทาง หรือ ขึ้นรถโดยสารสาธารณะได้เลยจากจำนวนของนักท่องเที่ยวที่มากขึ้น อีกทั้งค่าครองชีพในเมืองสูงลิบมากขึ้นเพราะบ้านเมืองของคนท้องถิ่นจะถูกเปลี่ยนให้เป็นโรงแรม ร้านค้าสำหรับขายให้นักท่องเที่ยวอีกด้วย

‘อรรถวิชช์’ ดัน!! ปฏิรูปเครดิตบูโร ล่า 10,000 รายชื่อ แก้กฏหมาย

จากรายการ THE TOMORROW มหาชนต้องรู้ ออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ ดร.อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี อดีต สส.กทม. ซึ่งได้ให้คำแนะนำรัฐบาลถึงการแก้หนี้นอกระบบ พร้อมทั้งการปฏิรูปกฎหมายเครดิตบูโร ยุติแช่แข็งลูกหนี้ และเตรียมรวม 10,000 รายชื่อ เสนอกฎหมายเข้าสภาฯ เมื่อวันที่ 20 ม.ค.67 ระบุว่า...

ปัญหาเรื่องหนี้นอกระบบมีปัจจัยหลายประการ โดยเฉพาะคนที่ติดหนี้นอกระบบแล้วโดนดอกเบี้ยสุดโหด ไม่สามารถกลับเข้ามากู้เงินในระบบได้ เนื่องจากธนาคารไม่ปล่อยกู้ให้ เพราะติดแบล็กลิสต์กับธนาคาร ถึงแม้จะจ่ายหนี้หมดแล้วก็ตาม เนื่องจากมีประวัติข้อมูลต่างๆ ค้างอยู่ในระบบข้อมูลเครดิตถึง 3 ปี ซึ่งทางธนาคารจะใช้มาประกอบการพิจารณาอนุมัติเงินกู้ ทำให้ประชาชนผู้ที่มีประวัติ เสียโอกาสในการขอสินเชื่อจากธนาคารเพื่อนำมาลงทุนธุรกิจ 

ขณะที่ประชาชนบางท่านที่ไม่ได้มีเจตนาหนีหนี้ แต่เกิดจากการหลงลืม เช่น ลืมจ่ายค่าบัตรเครดิตไปเพียงครั้งเดียวก็สามารถติดแบล็กลิสต์เครดิตบูโรได้เช่นกัน ทั้งที่จริงๆ แล้วควรพิจารณาจากนิสัยการใช้เงินของลูกหนี้ประกอบด้วยว่ามีพฤติกรรมอย่างไร 

จากจุดนี้ ผมจึงพยายามผลักดันให้เกิดการปฏิรูปกฎหมายเครดิตบูโร เช่น ชำระหนี้หมดแล้วต้องลบข้อมูลหนี้บัญชีนั้นทันที หรือกลับมาจ่ายได้ปกติหกเดือนติดต่อกัน ก็ควรลบข้อมูลค้างเก่าในบัญชีนั้นเช่นกัน ลูกหนี้จะได้มีโอกาสกู้ในระบบได้บ้าง ซึ่งผมนำเสนอให้ใช้ระบบคะแนนเครดิต Credit Scoring ใครคะแนนเครดิตดีได้ดอกเบี้ยต่ำ ใครคะแนนเครดิตต่ำได้ดอกเบี้ยสูง ถ้าทำแบบนี้ จะเกิดการแข่งขันเรื่องดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์กันมากขึ้น

ส่วนคำถามที่ว่าการเปลี่ยนเป็นระบบ Credit Scoring มีผลดีหรือผลเสียอย่างไร ขอตอบว่าไม่มีผลเสีย แต่จะมีผลดี คือ ธนาคารปล่อยกู้ได้ง่ายขึ้น โดยมีระบบการประเมินที่เป็นสากล การใช้ระบบ Credit scoring เป็นการแจ้ง ‘คะแนน’ ที่จะนำเอา ‘ข้อมูลดี’ มาประกอบด้วย เช่น รายได้ การจ่ายเงินค่าน้ำ ค่าไฟ ระบบการจ่ายเงินทางอิเล็กทรอนิกส์บนแอปพลิเคชันต่างๆ 

ตัวอย่างที่มีให้เห็นชัดเจน ก็เช่นกรณี ‘บังฮาซัน’ สู้ชีวิต อินฟลูเอนเซอร์คนดัง ขายอาหารทะเลให้ชุมชน เก็บเงินสด 30 ล้าน สร้างบ้านเอง เพราะไม่สามารถเข้าถึงเงินกู้ได้ เนื่องจาก ‘เคย’ ติดหนี้บัตรเงินสดสมัยที่ยังทำงานสู้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯ แต่จะมีสักกี่คน ที่มีความสามารถหาเงินได้แบบนี้ โดยไม่ต้องใช้ทุนตั้งตัว

อย่างไรเสีย เรื่องนี้จะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ สามารถทำโดยการเสนอร่างแก้ไข พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจข้อมูลเครดิต พ.ศ.2545 ซึ่งเกี่ยวข้องกับการทำหน้าที่ของบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด โดยเฉพาะ ด้วยการแก้ไขให้ใช้ระบบ Credit Scoring เป็นรูปแบบการจำแนกคุณภาพสินเชื่อของบุคคลตามจริง แทนที่ระบบแบล็กลิสต์ เพื่อเพิ่มโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้น และรักษาระบบสินเชื่อให้เป็นไปตามความจริง ซึ่งขณะนี้ได้ร่างกฎหมายปฏิรูปเครดิตบูโร โดยจะรวบรวมรายชื่อประชาชนไม่น้อยกว่า 10,000 รายชื่อ คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ภายในเดือนพฤษภาคม 2567 นี้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top