Thursday, 3 July 2025
NewsFeed

'จีน' คว่ำบาตร 5 บริษัทค้าอาวุธอเมริกัน  ตอบโต้นโยบายขายอาวุธให้ไต้หวันของสหรัฐฯ

เมื่อวันอาทิตย์ (7 ม.ค.67) ที่ผ่านมา รัฐบาลปักกิ่งประกาศคว่ำบาตร 5 บริษัทค้าอาวุธสัญชาติอเมริกันทันที เพื่อตอบโต้นโยบายสนับสนุนอาวุธให้กับไต้หวัน ซึ่งจีนถือว่าเป็นการยุยงปลุกปั่นการแบ่งแยกดินแดนของเกาะไต้หวันอย่างจงใจ ขัดต่อหลักการนโยบายจีนเดียวของจีนแผ่นดินใหญ่ 

โดยบริษัทที่ถูกขึ้นบัญชีดำ คว่ำบาตรโดยรัฐบาลปักกิ่ง ได้แก่...

- BAE Systems Land and Armaments
- Alliant Techsystems Operations
- AeroVironment
- ViaSat 
- Data Link Solutions 

กระทรวงการต่างประเทศจีนได้ระบุชัดเจนในแถลงการณ์ว่า มาตรการคว่ำบาตรนี้ จะประกอบด้วยการอายัดทรัพย์สินของบริษัทเหล่านั้นในจีน รวมถึงสังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์ของทั้งองค์กร และตัวบุคคลที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการห้ามองค์กรและบุคคลของจีนทำธุรกรรมและให้ความร่วมมือองค์กรทั้ง 5 แห่งนี้ด้วย 

รัฐมนตรีต่างประเทศจีนยังเสริมอีกว่า การขายอาวุธของสหรัฐฯ ให้กับไต้หวันที่ถือว่าเป็นภูมิภาคส่วนหนึ่งของจีน ส่งผลเสียร้ายแรงต่ออธิปไตยและผลประโยชน์ด้านความมั่นคงของจีน จึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลจีนที่จะต้องปกป้องอธิปไตย ความมั่นคง สิทธิ และผลประโยชน์ขององค์กรและพลเมืองของจีนตามกฎหมาย 

มาตรการคว่ำบาตรของจีนในครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่สหรัฐอเมริกาได้อนุมัติงบประมาณช่วยเหลือด้านการทหารแก่ไต้หวันมูลค่า 300 ล้านเหรียญ เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ที่ครอบคลุมถึงการสนับสนุนด้านยุทโธปกรณ์ การฝึกอบรม และการซ่อมบำรุง เพื่อเสริมศักยภาพด้านการสั่งการ ควบคุม และการสื่อสารให้แก่กองทัพไต้หวัน

กระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ ยังย้ำอีกว่า งบช่วยเหลือด้านการทหาร และ การขายอาวุธของสหรัฐฯให้ไต้หวัน จะช่วยให้ไต้หวันขยายขีดความสามารถในการรับมือกับภัยคุกคามที่จะเกิดขึ้นทั้งในปัจจุบัน และอนาคต

จึงเป็นเหตุให้รัฐบาลจีนปักกิ่งต้องออกมาตอบโต้ด้วยมาตรการคว่ำบาตรบริษัทค้าอาวุธทั้ง 5 แห่งของสหรัฐอเมริกาในวันนี้ แม้นักวิเคราะห์ตะวันตกจะมองว่าการคว่ำบาตรของจีนเป็นเพียงการตอบโต้เชิงสัญลักษณ์ เนื่องจากบริษัทผู้ผลิตอาวุธของสหรัฐฯ ไม่สามารถขายอาวุธให้กับรัฐบาลจีนได้อยู่แล้ว 

แต่อย่างน้อยก็เป็นการส่งสัญญาณแสดงความไม่พอใจจากรัฐบาลปักกิ่ง ถึงสหรัฐฯ ที่พยายามใช้ไต้หวันเป็นตัวจุดชนวนความขัดแย้งกับจีน ที่อาจลุกลามไปสู่การเผชิญหน้าทางทหารอย่างจริงจังระหว่างชาติมหาอำนาจตะวันตก กับ จีน ในเขตพื้นที่ช่องแคบไต้หวัน ซึ่งการขายอาวุธของสหรัฐฯ ถือเป็นหนึ่งรูปแบบของความพยายามในการแทรกแซงกิจการภายในของจีน ที่จะบ่อนทำลายความสัมพันธ์ระหว่างจีน และ ไต้หวัน 

รัฐบาลจีนจึงจำเป็นต้องตอบโต้ ผ่านนโยบายคว่ำบาตรที่สหรัฐอเมริกาชอบใช้กดดันประเทศที่เป็นอริกับตนอยู่เสมอ แต่อาจไม่เห็นผลมากนัก เพราะตราบใดที่การครอบครองอาวุธ หมายถึงการรักษาสันติภาพในมุมมองของสหรัฐฯ และรัฐบาลไต้หวันเห็นพ้องไปในทิศทางเดียวกัน ความขัดแย้งระหว่างจีน-ไต้หวัน ก็คงคลี่คลายได้ยาก

'นายกฯ' มอบคำขวัญวันครู ปี 2567 "ครูวางฐานคิด ส่งเสริมศิษย์สร้างสรรค์"

(9 ม.ค. 67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์ข้อความผ่าน X มอบคำขวัญวันครู ประจำปี 2567 ว่า...

'ครู' คือผู้นำความรู้ทั้งจากทั้งในตำรา และจากประสบการณ์ที่สั่งสมมาถ่ายทอดให้กับศิษย์ งานของครูในโลกยุคใหม่ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้ จึงไม่ใช่แค่การสอนหนังสือให้ความรู้ตามตำรา แต่ครูยังต้องใส่ใจสอนวิธีคิด และวิธีจัดการกับข้อมูลที่มีอยู่อย่างหลากหลาย เพื่อให้ศิษย์สามารถจัดระเบียบความคิดได้ รวมถึงเติบโตขึ้นเป็นคนที่มีความสามารถในการแสวงหาความรู้ได้ด้วยตัวเองอย่างมีคุณภาพ

คำว่าครูสำหรับผม คือ ผู้สร้าง และ ผู้ให้ ครับ 'สร้าง' คือ สร้างบุคลากรที่มีคุณภาพให้กับสังคม 'ให้' คือ ให้หลักคิดแก่ผู้คนเพื่อนำไปต่อยอดได้ 

ดังคำขวัญวันครูแด่ครูทุกท่านที่เสียสละดังนี้ครับ... “ครูวางฐานคิด ส่งเสริมศิษย์สร้างสรรค์”

หุ้น ‘Nvidia’ พุ่งแตะ!! 6.4% และปิดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังประกาศเปิดตัวการ์ดจอ AI หวังมัดใจผู้ชื่นชอบวิดีโอเกม

(9 ม.ค. 67) หุ้นอินวิเดีย (Nvidia) ซึ่งเป็นบริษัทผลิตชิปที่มีมูลค่าตลาดมากที่สุดในโลกจากสหรัฐ พุ่งขึ้นสู่ระดับปิดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในวันจันทร์ (8 ม.ค.) หลังอินวิเดียเปิดตัวหน่วยประมวลผลภาพกราฟิก (GPU) หรือ การ์ดจอ รุ่นใหม่ที่ใช้ประโยชน์จากปัญญาประดิษฐ์ (AI)

ทั้งนี้ หุ้นอินวิเดียปรับตัวขึ้น 6.4% ปิดที่ 522.53 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้นในวันจันทร์ ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังอินวิเดียประกาศเปิดตัวการ์ดจอรุ่น GeForce RTX 40 SUPER Series โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อเอาใจกลุ่มผู้ชื่นชอบวิดีโอเกม

นอกจากนี้ ก่อนถึงกำหนดจัดงานแสดงสินค้าอิเล็กทรอนิกส์เพื่อผู้บริโภค (Consumer Electronics Show) ในลาสเวกัส อินวิเดียยังได้ประกาศเปิดตัวชิ้นส่วนและซอฟต์แวร์ที่เกี่ยวข้องกับ AI

หุ้นอินวิเดียพุ่งขึ้นกว่า 3 เท่าตัวในปี 2566 เนื่องจากถูกมองว่าเป็นผู้นำในแวดวงซัพพลายเออร์ด้านการประมวลผลที่ใช้ในการคำนวณ AI

ด้าน แอลเอสอีจี (LSEG) ระบุว่า หุ้นอินวิเดียมีปริมาณการซื้อขายมูลค่ากว่า 3.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในวันจันทร์ ซึ่งสูงที่สุดในตลาดหุ้นวอลล์สตรีท โดยปัจจุบันมูลค่าตลาดของอินวิเดียอยู่ที่เกือบ 1.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

การปรับตัวขึ้นครั้งล่าสุดของหุ้นอินวิเดียหนุนให้ดัชนีชิปเซมิคอนดักเตอร์ PHLX พุ่งขึ้น 3.3%

‘White Hands’ ธุรกิจ ‘บริการทางเพศ’ สุดเหลือเชื่อของญี่ปุ่น มุ่งสนองความต้องการ ‘ผู้พิการ’ ที่ไม่สามารถช่วยตัวเองได้

จากหนังสือ Sex Volunteers (2004) แต่งโดย Kawai Kaori นักข่าวสาวชาวญี่ปุ่นของ Shukan Post ซึ่งบรรยายถึงเรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับ ‘อาสาสมัครทางเพศ (Sex Volunteers)’ ในญี่ปุ่น อันมีตั้งแต่กิจกรรมต่าง ๆ  มากมาย ตั้งแต่ผู้ที่เพียงเต็มใจให้บริการขนส่งไปยังสถานที่ให้บริการทางเพศ ไปจนถึงผู้ที่มีร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงที่สามารถมีเพศสัมพันธ์ด้วย หรือให้บริการทางเพศในรูปแบบอื่นสำหรับชายและหญิงที่มีความพิการ แม้จะเรียกชื่อโดยรวมว่า ‘อาสาสมัคร’ ผู้ให้บริการก็รวมทั้งผู้ที่รับเงินค่าจ้าง และผู้ที่ไม่ได้รับค่าจ้าง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์

Sex Volunteers (2004) เป็นหนังสือที่บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับการที่ผู้พิการได้รับการ ‘บริการ’ ทางเพศโดยอาสาสมัครทางเพศที่มีชื่อเดียวกันนี้ อันเนื่องมาจากการขาดคู่รักทางเพศของผู้พิการ สิ่งนี้จุดประกายให้เกิดประเด็นในระดับชาติเกี่ยวกับความเหลื่อมล้ำระหว่างความพิการและเรื่องเพศ และหนังสือชื่ออื้อฉาวอีกมากมาย อาทิ ‘ฉันเป็นคนขายบริการทางเพศสำหรับผู้พิการ (I Was a Sex Worker for People with Disabilities)’ ความตื่นตระหนกทางศีลธรรมที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้เกิดความกังวลอย่างมากมายต่อความพิการและครอบครัว ประชาธิปไตยและความรับผิดชอบต่อสังคม และอนาคตของระบบการดูแลสุขภาพของประเทศ จากประสบการณ์ของ Kawai ในการติดตามผู้ป่วย ผู้พิการ ฯลฯ อาทิ ชายอายุ 72 ปี ที่ต้องพึ่งถังออกซิเจนหลังการผ่าตัด ขณะที่เขาไปที่สถานที่ให้บริการทางเพศพร้อมกับผู้ดูแล โดย Kawai มองว่า แม้เพศสัมพันธ์จะเสี่ยงต่อชีวิตของชายผู้นั้นเป็นอย่างมาก แต่พฤติกรรมของชายคนนั้นแสดงให้เห็นว่าเซ็กซ์ยังคงเป็นหนึ่งในข้อกำหนดพื้นฐานของชีวิต 

ซึ่งในอีกด้านหนึ่ง เธอได้เขียนเรื่องเกี่ยวกับผู้หญิงคนหนึ่งที่มี ‘สะโพกเคลื่อนแต่กำเนิด (Congenital dislocation of the hip)’ ซึ่งจ้างพนักงานชายจากบาร์โฮสต์ให้มาที่บ้านของครอบครัวของเธอเป็นประจำทุกสัปดาห์ ด้วยความเต็มใจของพ่อแม่ของเธอ พนักงานจะอาบน้ำให้เธอ แล้วอุ้มเธอไปที่เตียงซึ่งเขาจะมีกิจกรรมทางเพศกับเธอ โดย Kawai บอกว่า หญิงคนนี้ใช้เวลารอคอยทั้งสัปดาห์เพื่อให้คนโปรดของเธอมาให้บริการ ตัวอย่างที่สองนี้ ทำให้หญิงพิการที่มีแนวคิดสตรีนิยมโกรธเคือง เช่น Asaka Yūho (2009) ได้โต้แย้งว่า หญิง (และชาย) ที่มีความพิการจำเป็นต้องเอาชนะความเห็นแก่ตัวและความเฉื่อยชาของตนเอง และต้องรับผิดชอบเรื่องเพศของตนเองด้วยการหาคู่รักที่จริงใจ และต้องยอมรับในอย่างที่เป็นและมีเพศสัมพันธ์ด้วยความเต็มใจ ไม่ใช่เพื่อเงินหรือด้วยความสงสาร 

‘White Hands’ เป็นองค์กรเอกชนของญี่ปุ่น ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 30 มิถุนายน 2008 โดยมีสำนักงานอยู่ที่จังหวัด Niigata ทางภาคเหนือของญี่ปุ่น อันเป็นที่อยู่ของ ‘Sakatsume Shingo’ ผู้ก่อตั้ง บริการที่ White Hands เสนอแก่ผู้พิการคือ ‘ความช่วยเหลือในเรื่องของการหลั่ง’ สำหรับชายที่มีความพิการที่ไม่สามารถช่วยตัวเองได้เนื่องจากอัมพาต กล้ามเนื้อลีบ ป่วยด้วยโรคที่รักษาไม่หาย หรือมีความพิการทางสมอง ซึ่ง 80% ของผู้รับบริการเป็นชาย ไม่ว่าจะเป็นคนโสดที่ไม่สามารถช่วยตัวเองได้เนื่องจากเป็นอัมพาต หรือแต่งงานแล้วและไม่สามารถมีเพศสัมพันธ์ โดยไม่ได้รับความช่วยเหลือด้วยเหตุผลเดียวกัน โดย White Hands ใช้เว็บไซต์ในการโฆษณาเรื่องของ ‘อาสาสมัครทางเพศ’ บนอินเทอร์เน็ต เช่นเดียวกับหลาย ๆ องค์กรธุรกิจในลักษณะเดียวกัน ซึ่งไม่สามารถแยกความแตกต่างจากบริการทางโทรศัพท์ในการจัดส่งหญิงเพื่อบริการสุขภาพได้ ตัวอย่างเช่น อาสาสมัครทางเพศ (SV) Sakura No Kai อธิบายตัวเองว่า เป็นองค์กร ‘ที่ช่วยให้ผู้พิการช่วยตัวเอง’ และมีรายการราคาสำหรับ ‘อาสาสมัคร’ หญิง ซึ่งอยู่ระหว่าง 6,000 ถึง 7,500 เยน สำหรับบริการ ‘การดูแล’ ครั้งเดียวในพื้นที่กรุง Tokyo และนคร Osaka สามารถให้บริการดูแลได้ในห้องน้ำสำหรับผู้พิการของสถานีรถไฟ หากลูกค้าไม่มีพื้นที่ส่วนตัวที่บ้าน ทั้งยังรับรองว่าการให้บริการต่าง ๆ มีไว้สำหรับผู้ที่มีความพิการทางร่างกายเท่านั้น (ส่วนใหญ่เป็นโรคสมองพิการ) และไม่มีการให้บริการสำหรับบุคคลที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาหรือจิตเวช White Hands เน้นการให้บริการด้านสวัสดิการสังคม ทั้งยังโฆษณาว่า พวกเขากำลังสร้าง ‘ความเป็นสาธารณะทางเพศในรูปแบบใหม่’ พวกเขาเสนอทั้งความช่วยเหลือในการช่วยตัวเองและสิ่งที่ใกล้เคียงกับสิ่งที่ในอเมริกาเรียกว่า การตั้งครรภ์แทนทางเพศ (การอุ้มบุญแทนผู้แปลงเพศ) และการให้คำปรึกษาด้านการบำบัดทางเพศ White Hands ยังเผยแพร่เอกสารบทความเกี่ยวกับความต้องการทางเพศของผู้ที่มีความพิการ (ทางร่างกาย) และคู่มือสำหรับผู้ให้บริการรายอื่น ๆ เกี่ยวกับวิธีการที่เหมาะสมในการให้บริการช่วยตัวเองสำหรับผู้พิการ 

โดยมีวิธีการดังนี้ : “หญิงสาวคนหนึ่งสวมถุงมือแบบใช้แล้วทิ้ง เธอถอดกางเกงและชุดชั้นในของชายคนนั้นออกแล้วคลุมด้วยผ้าเช็ดตัว เธอจุ่มผ้าลงในน้ำอุ่นแล้วถูร่างเขา เธอสวมถุงยางอนามัยให้เขา หญิงคนนั้นไม่ได้ถอดเสื้อผ้า ไม่มีเพศสัมพันธ์อย่างอื่น ไม่ใช้ DVD หรือหนังสือโป๊ และขั้นตอนทั้งหมดโดยเฉลี่ยใช้เวลาประมาณ 5 ถึง 10 นาที”

ในเดือนกุมภาพันธ์ 2012 Kawai ได้เดินทางไปพบปะและพูดคุยกับ Sakatsume Shingo ประธานและผู้ก่อตั้ง White Hands ซึ่งสรุปได้ว่า เดิมทีเขาได้รับแรงบันดาลใจให้ศึกษาเรื่องเพศเมื่อตอนที่เขาเป็นนักศึกษาวิทยาลัยที่มหาวิทยาลัยแห่งโตเกียว ได้ศึกษากับ Ueno Chizuko นักวิชาการสตรีนิยมผู้มีชื่อเสียง โดยได้รับแรงบันดาลใจจากการสัมมนาครั้งหนึ่งของเธอ เขาเริ่มค้นคว้าเกี่ยวกับสภาพของผู้ขายบริการทางเพศ และพบว่าหลายคนต้องทนทุกข์ทรมานจากการเลือกปฏิบัติทางสังคม Sakatsume คิดว่าเขาอาจจะเปลี่ยนทัศนคติของสังคมที่มีต่องานบริการทางเพศได้ด้วยการเน้นย้ำถึงผลประโยชน์ทางสังคมของงานบริการนั้น เมื่อนึกถึงวิธีผสมผสานประเด็นเรื่องเพศและสวัสดิการสังคมที่ไม่เข้ากัน เขาจึงได้เกิดแนวคิดในการสร้างสถานที่ที่ผู้ขายบริการทางเพศสามารถตอบสนองความต้องการของผู้ทุพพลภาพได้ 

ในการให้สัมภาษณ์กับนิตยสารฉบับหนึ่ง Sakatsume ตั้งข้อสังเกตไว้ดังนี้…ปัญหาทางเพศมี 3 แง่มุม : 1.) การแสดงความรัก 2.) ความพึงพอใจทางเพศ และ 3.) ปรากฏการณ์ทางสรีรวิทยา การสัมมนาระดับชาติส่วนใหญ่เกี่ยวกับปัญหาความช่วยเหลือทางเพศมักทำให้ทั้ง 3 ประเด็นเกิดความสับสน เขากล่าวว่า “เซ็กซ์ ก็เหมือนกับการทานอาหาร การนอนหลับ หรือการขับถ่าย ถือเป็นการทำงานพื้นฐานของร่างกาย” เมื่อ Kawai ถาม Sakatsume เกี่ยวกับพนักงานและสภาพการทำงานของพวกเขา เขาตอบว่า อายุเฉลี่ยของพวกเขาคือ 40 ปี เป็นผู้หญิงทั้งหมด และเขาให้ความสำคัญกับผู้ที่มีใบรับรอง Home Helper ระดับ 2 หรือพยาบาลวิชาชีพก่อน เขาดำเนินการภายใต้โมเดลสุขภาพหลังการคลอดบุตร โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่บ้านพ่อแม่ของเขาในเมือง Niigata และเขาติดต่อกับลูกค้าทางโทรศัพท์และส่งไปยังลูกค้าทั่วประเทศญี่ปุ่น ภายใต้กฎหมายญี่ปุ่น ได้รับการจดทะเบียนเป็นธุรกิจการค้าประเวณีเพื่อสุขภาพด้วยบริการจัดส่ง ซึ่งเป็นประเภทที่ทำให้ค่อนข้างลำบาก เนื่องจากทำให้ยากลำบากในการโฆษณาหาลูกค้าและรับสมัครพนักงานใหม่ วิธีแก้ปัญหาหลักประการหนึ่งของเขาคือ การจัดบรรยายสาธารณะและการเสวนาในหลักสูตรสังคมสงเคราะห์ การพยาบาล และการศึกษาด้านความพิการของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ  ทั้งได้ตีพิมพ์หนังสือหลายเล่มเกี่ยวกับการกระตุ้นทางเพศสำหรับคนพิการโดยผู้ดูแล 

ทั้งนี้ ลูกค้าประจำรายหนึ่ง Akio Sudo วัย 54 ปี อาศัยอยู่ที่เขต Joetsu จังหวัด Niigata เขาเป็นลูกคนสุดท้องในบรรดาลูกแปดคน ไม่เคยไปโรงเรียนเลย พ่อของเขาไปล่าหมีโดยมีเด็กพิการผูกไว้ด้านหลัง เขาอายุ 20 ปีเมื่อพ่อของเขาเสียชีวิต ต้องไปอาศัยอยู่ในบ้านพักผู้พิการ เขาสาบานว่าสักวันหนึ่งจะออกจากบ้านพักผู้พิการ และใช้ชีวิตอย่างอิสระ เขาใช้เวลา 20 ปีในการพัฒนาทักษะและความมั่นใจ การนั่งรถเข็นดูเหมือนจะทำให้เขาอึดอัดไม่ได้ เขาเดินทางด้วยรถไฟบ่อยครั้งจาก Joetsu ไปยังกรุง Tokyo เพื่อใช้บริการทางเพศที่นั่น นี่คือก่อนยุคแห่งความสะดวกสบายที่ไร้อุปสรรค หากรถเข็นของเขาติดหรือพลิกคว่ำ การสังเกตปฏิกิริยาตอบสนองต่อเขาของผู้คนกลับกลายเป็นส่วนหนึ่งของความสนุกสนานไป ด้วยทัศนคติเช่นนั้นก็ทำให้เขารู้สึกยิ่งแย่ ต่อมาโรคของเขากำเริบ อาการอัมพาตมากขึ้น ดังนั้นเขาจึงหันไปใช้อินเทอร์เน็ตและค้นพบ White Hands ที่มีค่าบริการ 3,500 เยนต่อ 15 นาที 5,500 เยนต่อ 30 นาที 9,500 เยนต่อชั่วโมง รวมค่าเดินทาง 

แม้ว่า Sakatsume จะรู้สึกสงสัยอยู่เสมอและบอกกับ Kawai ว่า เหตุใดทั้งลูกค้าและผู้ให้บริการจึงดูรู้สึกผิดกับสิ่งที่พวกเขาทำอยู่ เขาไม่แน่ใจว่าเขาต้องการทำอะไรกับชีวิตของเขา แต่ยังคงมีความคิดที่ว่าคนพิการยังมีความต้องการทางเพศ ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในประเทศตะวันตกเท่านั้น การพัฒนาบริการต่าง ๆ ในญี่ปุ่นสำหรับคนพิการ เช่น อาสาสมัครทางเพศ ผู้ช่วยทางเพศ และสถานที่บริการทางเพศที่ปราศจากสิ่งกีดขวาง ได้ท้าทายแนวคิดเรื่องความไม่รู้เรื่องเพศของคนพิการ และก่อให้เกิดประเด็นในการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับความพิการและเรื่องเพศเพิ่มขึ้นอีกด้วย สำหรับบ้านเราแล้วเรื่องราวเช่นนี้ไม่ค่อยจะปรากฏเป็นข่าวมากนัก ทั้งนี้ด้วยเหตุที่สังคมไทยจะประสบพบเห็นการใช้ชีวิตคู่ของผู้พิการด้วยกันหรือระหว่างผู้พิการกับคนปกติอยู่ทั่วไป ทั้งเรื่องราวที่เกี่ยวกับเพศแม้ปัจจุบันจะปรากฏอยู่แพร่หลายทั่วไปโดยเฉพาะบนอินเทอร์เน็ต แต่คนในสังคมส่วนไทยส่วนใหญ่มาก ๆ แล้วสามารถครองตัวและครองตนในขอบเขตและกรอบของศีลธรรมได้ ทั้งความเชื่อในพุทธศาสนาเกี่ยวกับเรื่องกฎแห่งกรรม จึงทำให้นานมาก ๆ จะมีเรื่องราวเช่นนี้เกิดขึ้นสักครั้งหนึ่ง หรือเป็นประเด็นที่ถูกหยิบยกนำมากล่าวถึงในสังคมไทย

เรื่อง : ดร.ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล
ที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการสมัยใหม่ อาจารย์พิเศษหลักสูตรปริญญาโทและเอก นักเล่าเรื่องมากมายในหลากหลายมิติ เป็นผู้ที่ชื่นชมสนใจในประวัติศาสตร์สงครามสมัยใหม่ตลอดจนอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ

ปิดตำนาน 'เบคเคนเบาเออร์' แข้งเทพแห่งเมืองเบียร์ในวัย 78 ผู้คว้าแชมป์บอลโลกในฐานะ 'นักเตะ-โค้ช' คนที่ 2 ของโลก

(9 ม.ค.67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาครอบครัวเบ็คเคนเบาเออร์ เผยข้อความผ่าน ‘ดีพีเอ’ สำนักข่าวชื่อดัง ว่า “เรามีความเสียใจอย่างสุดซึ้ง ที่จะประกาศให้ทราบว่า ฟรานซ์ เบคเคนเบาเออร์ เสียชีวิตลงแล้วด้วยอาการสงบ เมื่อวานนี้ (วันอาทิตย์) โดยมีสมาชิกครอบครัวอยู่ดูใจ และในช่วงเวลานี้ เราอยากขอร้องทุกท่านให้เราได้อยู่กับความเศร้าครั้งนี้ด้วยความสงบ และของดตอบคำถามใด ๆ ทั้งสิ้น”

สำหรับ ฟรานซ์ เบ็คเคนเบาเออร์ ถูกยกย่องให้เป็นตำนานของวงการลูกหนังเยอรมนี ลงสนามให้อินทรีเหล็กไป 103 นัด เคยพาเยอรมนีตะวันตกคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 1 สมัย ในปี 1974 ในฐานะกัปตันทีม แชมป์ยูโรเปียน แชมเปียนชิพ หรือฟุตบอลยูโร 1 สมัย ในปี 1972 ก่อนจะแขวนสตั๊ดแล้วผันตัวมาเป็นกุนซือ พาเยอรมนีตะวันตกคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 1 สมัย ในปี 1990 กลายเป็นคนที่ 2 ของโลกที่คว้าแชมป์ทั้งในฐานะนักฟุตบอลและโค้ช ต่อจาก มาริโอ ซากัลโล ของบราซิล

ในส่วนของสโมสร ‘ไกเซอร์ฟรานซ์’ ลงสนามให้ ‘เสือใต้’ บาเยิร์น มิวนิค 582 นัด พาทีมคว้าแชมป์ยูโรเปียน คัพ หรือยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก มาครองถึง 3 สมัยติดต่อกัน ในช่วงระหว่างปี 1973/74, 1974/75 และ 1975/76 คว้าแชมป์บุนเดสลีกา เยอรมนี 4 สมัย ก่อนโยกไปค้าแข้งกับ นิวยอร์ก คอสมอส ในสหรัฐฯ ร่วมทีมกับ เปเล ตำนานดาวเตะทีมชาติบราซิลผู้ล่วงลับ ย้ายมาฮัมบูร์กในช่วงสั้นๆ ก่อนไปแขวนสตั๊ดกับ นิวยอร์ก คอสมอส อีกครั้งในปี 1983

'นักวิชาการ' ชี้!! แบงก์ไทย กำไรไม่สูงผิดปกติ ระบุ!! หากลดดอกเบี้ยอาจสร้างปัญหาเพิ่ม

จากกรณี นายสรกล อดุลยานนท์ หรือหนุ่มเมืองจันท์ นักเขียนและคอลัมนิสต์ชื่อดัง ตั้งคำถามถึงกำไรของธนาคารไทย ที่พุ่งสูง 2.2 แสนล้าน โดยส่วนใหญ่เกิดจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย พร้อมตั้งคำถามถึงธนาคารแห่งประเทศไทย ว่ารู้สึกถึงความผิดปกติหรือไม่นั้น

(9 ม.ค. 67) สฤณี อาชวานันทกุล นักวิชาการอิสระด้านการเงิน โพสต์เฟซบุ๊ก Sarinee Achavanuntakul - สฤณี อาชวานันทกุล ระบุว่า เดี๋ยวจะหาเวลาเขียนอธิบายเป็นซีรีส์บทความนะคะ เพราะ ‘การแข่งขันในภาคธนาคาร’ เป็นประเด็นที่ตัวเองสนใจอยู่แล้ว แต่อยากเขียนอะไรสั้น ๆ ก่อนนะคะ

‘กำไรธนาคาร’ ไม่ได้สูง ‘ผิดปกติ’ ในมุมการเงินทั่ว ๆ ไป เพราะถ้าเทียบกับเงินทุนที่ใช้ไป (อัตราผลตอบแทนต่อส่วนทุนหรือ ROE) หรือตัวชี้วัดในการทำกำไรอย่าง NIM มันก็ไม่ได้สูงขนาดนั้น

แต่ในสายตาประชาชนที่เดือดร้อนจากส่วนต่างดอกเบี้ยเงินกู้กับเงินฝากที่สูงมาก เพราะนี่คือสิ่งที่ตัวเองเจอ หลายคนอาจโวยวายว่า ธนาคารได้กำไรผิดปกติ

ปัญหาจริง ๆ อยู่ตรงไหน สมมุติเราตีความปัญหาว่า ธนาคารได้กำไรผิดปกติ เกิดจากการที่ ธปท. ยอมให้ธนาคารทั้งหลายคิดดอกเบี้ยแพง ดังนั้น ธปท. ควรสั่งให้ธนาคารลดดอกเบี้ยซะ —> แต่ถ้าปัญหาจริง ๆ ไม่ได้อยู่ตรงนี้ แก้แบบนี้แทนที่จะแก้ปัญหาอาจเพิ่มปัญหา เพราะถ้าแบงก์มองว่าลูกหนี้จำนวนมากเสี่ยงเกินกว่าที่เขาจะปล่อยสินเชื่อ ยิ่งให้ลดดอกเบี้ยเขายิ่งไม่ปล่อย ปล่อยแต่ลูกค้าชั้นดีดีกว่า

แล้วปัญหาจริง ๆ อยู่ตรงไหน ส่วนตัวมองว่า น่าจะเป็นส่วนผสมระหว่าง ต้นทุนสูงบางส่วนเกิดจากความไร้ประสิทธิภาพ (เช่น ทุ่มเงินลงทุนในระบบ IT แต่ล่มแล้วล่มอีก) บวกกับ ทัศนคติอนุรักษนิยมเกินขนาดเวลากลั่นกรองสินเชื่อ ซึ่งเป็นผลพวงมาจากวิกฤติต้มยำกุ้ง 26 ปีที่แล้ว

ประเด็นความไร้ประสิทธิภาพ แก้ได้ด้วยการให้ ธปท. กำกับอย่างจริงจังในทางที่จูงใจให้ลงทุนในประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น เช่น เลิกกฎแย่ ๆ ที่สั่งปรับ 5 แสนบาทเมื่อระบบ e-banking ล่มถึง 8 ชั่วโมง (สิบนาทีก็มากแล้ว) ต้องเพิ่มบทลงโทษให้หนักเหมือนในต่างประเทศ, เพิ่มการกำหนดเกณฑ์ privacy + cybersecurity ที่ได้มาตรฐานสากล, บังคับให้ใช้ตัวชี้วัดด้านประสิทธิภาพ เป็น KPI ในการประเมินผลตอบแทนของผู้บริหารและกรรมการ เป็นต้น

ส่วนประเด็น ทัศนคติอนุรักษนิยมเกินขนาด แก้ได้ด้วยการให้ ธปท. เปิดเสรีการแข่งขันที่เป็นธรรมจากคู่แข่งหน้าใหม่ที่ไม่มี ‘legacy’ นี้ + พัฒนาโครงสร้างที่ช่วยลดต้นทุนความเสี่ยงของลูกหนี้โดยเฉพาะ SME - เช่น ใบอนุญาต virtual bank ห้ามธนาคารเดิมสมัคร, ผลักดันกฎหมาย open data บังคับธนาคารใหญ่เปิดข้อมูล, แก้กฎกติกาต่าง ๆ ที่เป็นอุปสรรคของฟินเทคหน้าใหม่ (เช่น ให้ บสย ค้ำประกันให้ฟินเทคได้), ปลดล็อกอำนาจผูกขาดในธุรกิจ credit scoring, promptpay และ national digital ID (หรือกำกับให้เป็นธรรมขึ้น), ทำทะเบียนหลักประกันออนไลน์, ฯลฯ

จริง ๆ มีประเด็นอื่นอีกมากที่น่าทำ เช่น มาตรการจูงใจให้คนโดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยเปิดบัญชีเงินออมระยะยาว คล้าย Individual Retirement Account ในอเมริกา - ไว้จะค่อย ๆ ทยอยเขียนนะคะ

'อดีตบิ๊กข่าวกรอง' ชี้!! 3 จว.ใต้จมหนักสุดรอบ 50 ปี  มีแต่ทหารเข้าช่วย แต่ 'นายกฯ รถแห่' ดีแต่มาหอบแสง

(9 ม.ค. 67) นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กหัวข้อ ‘หิวแสง’ มีรายละเอียดว่า…

น้ำท่วมสามจังหวัดชายแดนใต้ หนักที่สุดในรอบห้าสิบปี เห็นแต่ทหารและกู้ภัยเข้าช่วยเหลือ อพยพชาวบ้านและแจกอาหาร ทำงานกันอย่างไม่กลัวเหน็ดเหนื่อย ทุ่มเทกำลังช่วยเหลืออย่างเต็มที่

แต่พอน้ำลด คนหิวแสงก็มา นายกรถแห่มาโชว์ตัวบนรถทันที แห่ถ่ายรูป เอาหน้า พูดหล่อ ๆ หาคะแนนจากความเดือดร้อน เก่งแต่เรื่องเซลฟี่ เก่งแต่สร้างภาพ

‘นายกฯ’ เล็งลงพื้นที่ดูแล ศก. 3 จว.ชายแดนใต้ สิ้นเดือน ก.พ. หาทางพัฒนา-ยกระดับ ‘ของดีพื้นถิ่น’ ให้มีมูลค่าสูงยิ่งขึ้น

(9 ม.ค. 67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า สิ้นเดือน ก.พ. ตนจะลงพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้ ไม่ใช่ไปดูเรื่องความมั่นคง แต่ไปดูเรื่องเศรษฐกิจ ไปพร้อมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เพื่อไปดูเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ศิลปะ วัฒนธรรม อาหาร ซึ่งหลายอย่างเชื่อว่ามีของดีอยู่มากใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

รัฐบาลนี้ใส่ใจ หลาย ๆ อย่างจะถูกนำขึ้นมา อย่างเมืองยะลา เป็นเมืองที่มีผังเมืองสวยที่สุดในประเทศและพร้อมรับนักท่องเที่ยว อาหารใต้มีเสน่ห์ มีเอกลักษณ์ แต่ขาดการโปรโมตในเวทีโลก ดังนั้น หากผู้ใหญ่ในรัฐบาลลงพื้นที่และสนับสนุนต่อเนื่อง ก็เชื่อว่าสิ่งดี ๆ เหล่านี้จะนำเงินเข้าประเทศได้จำนวนมาก ทำให้พี่น้องประชาชนภาคใต้มีกินมีใช้ขึ้นอีก

“อย่างประเทศฝรั่งเศส หลายท่านดื่มไวน์ก็รู้ว่าองุ่นกิโลกรัมละไม่กี่ร้อย แต่ถ้านำไปทำเป็นสินค้าที่มี Value added จริง ๆ กลายเป็นไวน์ขวดหนึ่งก็เป็นหลายหมื่นได้ ตัวอย่างมีอยู่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งผมจะลงไปดูในครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปลาหน้าตก หรือ ปลานิลสายน้ำไหล ที่เลี้ยงโดยว่ายสวนน้ำขึ้นไปที่มีราคาสูงถึงตัวละ 3,000 บาท ไม่มีใครทราบ ไม่มีใครโปรโมต แต่ผมเชื่อว่า หลังจากสิ้นเดือนหน้าแล้ว รัฐบาลนี้ลงไปจะสร้างตลาดให้กับสินค้าประเภทนี้และอีกหลายประเภท ซึ่งยังไม่มีใครสร้าง” นายกรัฐมนตรีกล่าว

‘นายกสมาพันธ์ฯ’ เตือน!! ‘ชาวสวน’ อย่านิ่งนอนใจ ชี้ ควรเร่งปรับตัว หลัง ‘เวียดนาม’ จี้ติด!! ส่ง 'ทุเรียน' ไปจีน เกือบครึ่งหนึ่งของไทยแล้ว

(9 ม.ค. 67) นายชลธี นุ่มหนู นายกสมาพันธ์ชาวสวนทุเรียนไทยภาคตะวันออก ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลการสำรวจราคาค้าส่งทุเรียนไทยและทุเรียนเวียดนาม ที่ตลาดเจียซิง มณฑลเจ้อเจียง สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ 1-31ธ.ค.2566 โดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายเกษตร ประจำสถานกงสุลใหญ่ ณ นครเซี่ยงไฮ้ ว่า ราคาทุเรียนหมอนทองของไทย เมื่อวันที่ 1 ธ.ค.2566 ที่ผ่านมาอยู่ประมาณ 1,000-1,200 หยวนต่อกล่องบรรจุ 6 ลูก 

ส่วนราคาทุเรียนหมอนทองของประเทศเวียดนาม 1 กล่อง 6 ลูกอยู่ที่ 900-1,000 หยวน (1 หยวนประมาณ 5 บาท) ขณะที่ทุเรียนก้านยาวเวียดนาม 1 กล่อง 3 ลูก ราคา 400 หยวน

และเมื่อเปรียบเทียบปริมาณการส่งออกทุเรียนไปตลาดเจียซิง มณฑลเจ้อเจียง ประเทศจีน ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา พบว่า จำนวนการส่งออกทุเรียนไปตลาดดังกล่าวที่มีประมาณ 49 ตู้ต่อครั้ง เป็นทุเรียนไทยจำนวน 27 ตู้ ส่วนทุเรียนเวียดนาม จำนวน 22 ตู้

ส่วนการเปรียบเทียบการส่งออกทุเรียนจากไทยไปตลาดดังกล่าวเมื่อวันที่ 29 ธ.ค.66 ที่ผ่านมา พบว่าราคาส่งออกทุเรียนหมอนทองไทย 1 กล่อง กล่องละ 6 ลูก ลดลงเหลือเพียง 950-1,100 หยวน เช่นเดียวกับทุเรียนหมอนทองเวียดนาม 1 กล่องละ 6 ลูก ราคา 500-520 หยวน ส่วนก้านยาวเวียดนาม 1 กล่อง 3 ลูก ราคา 380-400 หยวน

โดยปริมาณการส่งทุเรียนไปตลาดเจียซิง มณฑลเจ้อเจียง ประเทศจีน ในวันดังกล่าวที่มีจำนวนรวม 39 ตู้ เป็นทุเรียนไทยจำนวน 25 ตู้ ส่วนทุเรียนเวียดนาม 14 ตู้

นายชลธี เผยว่า หากพิจารณาข้อมูลการส่งออกทุเรียนของเวียดนามไปตลาดจีน จะเห็นว่าสัดส่วนการส่งออกเติบโตเกือบถึงครึ่งหนึ่งของการส่งออกทุเรียนไทยไปจีนแล้ว จึงแสดงให้เห็นว่า เวียดนามมีการพัฒนาคุณภาพทุเรียนส่งออกที่ได้มาตรฐานมากขึ้น

ขณะที่ภาครัฐของเวียดนามเอาใจใส่กับผลผลิตทางการเกษตร และยังเร่งส่งเสริมให้ความรู้กับเกษตรกร สอดรับกับข้อได้เปรียบของเวียดนามที่มีชายแดนติดกับประเทศจีน จึงทำให้เกษตรกรสามารถตัดทุเรียนคุณภาพ (แก่) เพื่อส่งออกได้ทันที

“สิ่งที่เกษตรกรไทยต้องเร่งปรับตัว คือ ทำทุเรียนคุณภาพตั้งแต่ขั้นตอนการตัด คัด ส่งออก ซึ่งในทุกขั้นตอนต้องสัมพันธ์กันทั้งหมด และหากเกษตรกรยังไม่คำนึงถึงคุณภาพทุเรียนส่งออก สุดท้ายจะทำให้ตลาดปลายทางเสียหาย และผลกระทบจะย้อนกลับมาที่ตัวเกษตรกรเอง”

นายกสมาพันธ์ชาวสวนทุเรียนไทยภาคตะวันออก อดีตมือปราบทุเรียนอ่อน ยังบอกอีกว่าที่ผ่านมาได้มีความพยายามในการรณรงค์ให้เกษตรกรทำทุเรียนคุณภาพ และไม่ตัดทุเรียนก่อนกำหนดอย่างต่อเนื่อง

เพราะหากต้นฤดูมีทุเรียนไม่ได้คุณภาพออกสู่ตลาด จะทำให้ทุเรียนทั้งภาคตะวันออก และทั่วประเทศ ตลอดไปจนถึงหน้าทุเรียนในพื้นที่ภาคใต้มีคำสั่งซื้อน้อยลง

ส่วนการจัดทำโครงการหมู่บ้านปลอดทุเรียนอ่อน นำร่องในพื้นที่ จ.ตราด เป็นพื้นที่แรกนั้น นายกสมาพันธ์ชาวสวนทุเรียนไทยภาคตะวันออก บอกว่า เพื่อเป็นการกระตุ้นให้ชาวสวนทุเรียนไทยต้องหันมามองเรื่องการสร้างแบรนด์สินค้าให้เป็นที่ยอมรับของตลาด และกระบวนการผลิตจะต้องสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ถึงที่มาของแหล่งผลิตนั้น

“วันนี้ยังคงยืนยันได้ว่าทุเรียนไทยยังคงเป็นที่ต้องการของตลาดมาก ซึ่งหากเกษตรกรสามารถทำผลผลิตได้ตามคุณภาพตามที่ตลาดปลายทางต้องการจะทำให้ตลาดทุเรียนไทยเติบโตแบบยั่งยืน ขณะเดียวกัน ภาครัฐของไทยต้องเข้มงวดในเรื่องกระบวนการตรวจสอบคุณภาพก่อนส่งออกไปต่างประเทศด้วยเช่นกัน” นายชลธี กล่าว

ภาคีเครือข่าย ’ร่วมขับเคลื่อน’ โครงการอิ่มท้องเพื่อน้องๆ โรงเรียนชุมชนบ้านโคกค่าย ส่งต่อคุณภาพชีวิต 'ปลูกฝัง-บ่มเพาะ' วิถีถิ่นตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

(9 ม.ค.67) บ่อปลาแห่งนี้เกิดจากความร่วมมือของภาคีเครือข่าย โดยองค์การบริหารส่วนตำบลควนรู อำเภอรัตภูมิจังหวัดสงขลา ครู ผู้ปกครอง นักเรียน ลงความเห็นชอบที่จะเลี้ยงปลา ตามโรงเรียนชุมชนบ้านโคกค่าย หมู่ที่ 8 บ้านโคกค่าย ตำบลควนรู อำเภอรัตภูมิ จังหวัดสงขลา สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสงขลา เขต2

ร่วมภาคีเครือข่าย นักเรียน น้อมนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในหลวงรัชกาลที่ 9 บูรณาการจัดการเรียนการสอนถึงตัวผู้เรียน รูปแบบ active learning นักเรียนลงมือปฏิบัติจริง วันนี้กิจกรรมจับปลาในบ่อปลา จากความต้องการของนักเรียนและชุมชน ให้เมนูอาหาร สอดคล้องกับไทยสกูลลั้นวัตถุดิบในท้องถิ่น ได้ทานตามหลักโภชนาการ 

นางกัลยวรรธน์ จันทร์รัตน์ ผู้อำนวยการโรงเรียนชุมชนบ้านโคกค่าย กล่าวขอบคุณภาคีเครือข่ายที่ร่วมขับเคลื่อน โครงการฯ ที่นอกจากเลี้ยงปลาแล้ว มีปลูกผัก เลี้ยงไก่ไข่ เพาะเห็ดนางฟ้า สู่โครงการอาหารกลางวันที่มีประสิทธิภาพสำหรับนักเรียนทุกคนเรียนรู้จากการน้อมนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในหลวงรัชกาลที่ 9 บูรณาการรูปแบบ  active learning ให้นักเรียนมีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ มีสมรรถนะ สู่การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 อย่างแท้จริงตั้งแต่ชั้นอนุบาลปีที่ 2 ถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยเน้น ครู เป็นแกนหลักสำคัญในการขับเคลื่อน มีภาคีเครือข่ายสนับสนุนแรงผลักมีฟันเฟืองอย่างนักเรียน เน้นลงมือทำโครงการการอิ่มท้องเพื่อน้อง  

วันนี้จับปลาจากบ่อ ส่งต่อเมนูอาหารกลางวัน พัฒนาคุณภาพการศึกษา นำความรู้ นำทักษะด้านโภชนาการและการเกษตรแผนใหม่ ไปประกอบอาชีพต่อไป โครงการอาหารกลางวันฯ ตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เนื้อหา บูรณาการและนำพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดังพระบรมราโชวาท  

โครงการตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสู่สถานศึกษา เพื่ออาหารกลางวันทำให้เด็กอิ่มท้อง เจริญเติบโตอย่างสมบูรณ์  นักเรียน ผู้ปกครองทำการเกษตร ปลูกพืชผัก เลี้ยงสัตว์ ทำปุ๋ย เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และมุ่งเน้นให้เกิด เพื่อพัฒนาจิตและปลูกฝังจริยธรรม คุณธรรม และศีลธรรม ตามหลักพุทธศาสนาส่งเสริมจิตสำนึกในการรักชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ ,เพื่อเสริมสร้างสุขภาวะของนักเรียนให้มีสุขภาพแข็งแรง ทั้งทางร่างกาย ทางจิตใจ ที่ส่งผลต่อการเรียนรู้ และสามารถอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างมีความสุข, เพื่อส่งเสริมการดำเนินงานด้านโภชนาการและสุขาภิบาล นักเรียนได้รับการเฝ้าระวังภาวการณ์เจริญเติบโต มีพัฒนาการสมวัย 

นอกจากนี้ ส่งผลให้ โรงเรียนเป็นแหล่งเรียนรู้ ฝึกทักษะด้านการเกษตร ส่งต่อโภชนาการ อาการกลางวัน อิ่มท้อง พร้อมเรียนรู้พัฒนาคุณภาพการศึกษา พัฒนาอาชีพ มีคุณภาพชีวิตและปลูกฝังบ่มเพาะ เป็นคนดีที่สมบูรณ์ทุกด้านตามปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพียง ในพระองค์ท่าน รัชกาลที่ 9 ที่นี่โรงเรียนชุมชนบ้านโคกค่าย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top