Thursday, 3 July 2025
NewsFeed

นครพนม -นบ.ยส.24 แถลงข่าวตรวจยึดยาบ้าล๊อตใหญ่ จำนวน 139 มัด ประมาณ 278,000 เม็ด พร้อมผู้ต้องหาขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติ จำนวน 1 คน

เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2567 เวลา 15.00 น. พลโท อดุลย์ บุญธรรมเจริญ แม่ทัพภาคที่ 2/ผู้บัญชาการหน่วยปัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด สารตั้งตัน และเคมีภัณฑ์ชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ผบ.นบ.ยส.24) มอบหมายให้ พันเอก กันตภณ จันทะนันท์ รองหัวหน้าส่วนส่วนปราบปราม หน่วยปัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด สารตั้งตัน และเคมีภัณฑ์ชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  (รอง หน.ปราบปราม นบ.ยส.24)  เป็นประธาน พร้อมด้วย พันเอก พิเชษฐ์   ดาศรี เสนาธิการหน่วยปัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด สารตั้งตัน

และเคมีภัณฑ์ชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (เสธ.นบ.ยส.24) พันเอก สุริวัชร์  อัครพรเดชาพงษ์  ผู้บังคับการกรมทหารพรานที่ 21/ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 21  นายชินวัต ทองปรีชา นายอำเภอบ้านแพง, พันตำรวจเอกสุนันท์  สร้อยสุด ผู้กำกับสถานีตำรวจภูธรบ้านแพง และหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ อำเภอบ้านแพง จังหวัดนครพนม แถลงข่าวตรวจยึดยาบ้าล๊อตใหญ่ จำนวน 139 มัด ประมาณ 278,000 เม็ด พร้อมผู้ต้องหาขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติ จำนวน 1 คน บริเวณริมถนนทางหลวงชนบทหมายเลข 2390 บ้านอ้วนน้อย หมู่ที่ 9 ตำบลหนองแวง อำเภอบ้านแพง จังหวัดนครพนมโดยในห้วงที่ผ่านมาหน่วยได้รับแจ้งจากแหล่งข่าวว่าจะมีการลักลอบนำเข้ายาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 (ยาบ้า) ไม่ทราบจำนวน จากขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติล๊อตใหญ่จากฝั่ง สปป.ลาว เข้ามายังฝั่งประเทศไทย บริเวณ อำเภอบ้านแพง จังหวัดนครพนม เพื่อลำเลียงขนส่งเข้าสู่พื้นที่ตอนในให้กับกลุ่มขบวนการค้ายาเสพติดภายในประเทศ จึงสั่งการให้ร้อยโท วันชาติ  เหมือนปืน

ผู้บังคับกองร้อยเฉพาะกิจทหารพรานที่ 2101 หน่วยเฉพาะกิจทหารพรานที่ 21 บรูณาการกำลังวางแผนร่วมกับหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ อำเภอบ้านแพง จังหวัดนครพนม ทำการลาดตระเวนซุ่มเฝ้าตรวจตามภาพข่าวที่ได้รับแจ้ง ตรวจสอบพื้นที่เพ่งเล็งคอสะพาน หลักกิโลเมตร ป้ายบอกทาง  บริเวณพื้นที่ ริมถนนทางหลวงหมายเลข 212 และทางหลวงชนบทหมายเลข 2390  ขณะที่เจ้าหน้าที่ทำการลาดตระเวนมาถึงจุดป้ายบอกความเร็ว (75 กม.) บ้านอ้วนน้อย หมู่ที่ 9 ตำบลหนองแวง อำเภอบ้านแพง จังหวัดนครพนม ได้ตรวจพบกระสอบสิ่งของต้องสงสัยวางอยู่บริเวณป่าใกล้กับป้ายบอกทาง จึงได้เข้าไปตรวจสอบพบว่าภายในกระสอบเป็นยาเสพติดประเภท 1 (ยาบ้า) บรรจุอยู่ภายใน จำนวน 1 กระสอบ และอีก จำนวน 1 แพ็คใหญ่ ชุดลาดตระเวนจึงได้ทำการวางแผนซุ่มเฝ้าตรวจบริเวณใกล้กับจุดที่พบกระสอบยาเสพติดประเภท 1 (ยาบ้า)วางอยู่ และในเวลาต่อมาได้ตรวจพบรถยนต์ยี่ห้อ อีซูซุ ดีแม็คซ์ สีบรอนซ์เงิน ขับมาจอดยังจุดที่มีการวางตัวกำลังพลชุดซุ่มรออยู่และมีบุคคลต้องสงสัยภายในรถยนต์รีบลงมาจากรถคันดังกล่าว เพื่อจะมาเอากระสอบยาเสพติดฯ(ยาบ้า) เจ้าหน้าที่ที่ทำการซุ่มอยู่จึงได้แสดงตัว และทำการตรวจค้นจับกุม สามารถจับกุมผู้ต้องหา ได้จำนวน 1 คน ทราบชื่อ นายคนองศักดิ์  วงจันทา อายุ  34 ปี ที่อยู่ตามบัตรประชาชน บ้านเลขที่ 80/2 หมู่ที่ 4 ตำบลท่าไข่ อำเภอเมือง  จังหวัดฉะเชิงเทรา พร้อมของกลางยาบ้า จำนวน 1 กระสอบ กับอีก จำนวน 1 แพ็คใหญ่ จำนวน 139 มัด ประมาณ 278,000 เม็ด  

ขั้นต้นหน่วยได้ตรวจยึดและควบคุมผู้ต้องหาพร้อมของกลางดังกล่าว มายังกองร้อยเฉพาะกิจทหารพรานที่ 2101 หน่วยเฉพาะกิจทหารพรานที่ 21 เพื่อทำการสอบสวนขยายผลเพิ่มเติมอย่างละเอียด และดำเนินการประสานหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ร่วมตรวจสอบซักถามขยายผล พร้อมส่งผู้ต้องหาพร้อมของกลางทั้งหมดส่งให้ สภ.บ้านแพง จังหวัดนครพนม เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป 

โดยขณะเดียวกันจังหวัดนครพนมได้ประกาศพื้นที่พิเศษที่มีความจำเป็นเร่งด่วน ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 5(10) กำหนดให้จังหวัดนครพนม ในพื้นที่ 4 อำเภอชายแดน ได้แก่ อำเภอท่าอุเทน อำเภอเมืองนครพนม อำเภอธาตุพนม และ อำเภอบ้านแพง เป็นพื้นที่พิเศษที่มีความเป็นเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยมีการจัดตั้งหน่วยบัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด เคมีภัณฑ์และสารตั้งต้นชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (นบ.ยส.24) โดยมีที่ตั้งอยู่ที่มณฑลทหารบกที่ 210 ค่ายพระยอดเมืองขวาง ตำบลกุรุคุ อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม เพื่อให้เกิดการดำเนินการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด เคมีภัณฑ์และสารตั้งต้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ภาพ/ข่าว พรพิพัฒน์ เพ็ชรสังหาร 
เดวิท โชคชัย รายงาน 092-5259-777

รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ชื่นชมตำรวจท่องเที่ยว ร่วมปฎิบัติงานช่วยเหลือนักท่องเที่ยวและการจราจรปีใหม่ได้ดี ขอบคุณอาสาสมัครตำรวจท่องเที่ยว ที่ช่วยเหลือแบ่งเบางานตำรวจไม่ย่อท้อ

วานนี้ (9 ม.ค.67) เวลา 18.00 น. พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วยรองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ได้รับมอบหมายจากผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติให้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมบำรุงขวัญ ตำรวจท่องเที่ยวอุดรธานี ส.ทท.5 กก.1 บก.ทท.2 จังหวัดอุดรธานี 

การตรวจเยี่ยมครั้งนี้ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มอบถุงยังชีพ และนำหน้ากากอนามัย รวมทั้งข้าวสาร  ไปมอบให้กับเจ้าหน้าที่ เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจ ในการดูแลสุขภาพตัวเอง ในขณะปฎิบัติหน้าที่ เนื่องจาก ตำรวจท่องเที่ยวมีหน้าที่หลักในการคอยดูแลอำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยว ในที่ชุมชน ซึ่งปัจจุบันยังพบปัญหาฝุ่น PM 2.5 และการระบาดของไวรัส ทั้งไข้หวัดใหญ่และโควิด

รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติยังได้กล่าวชื่นชมตำรวจท่องเที่ยวว่าที่ผ่านมาได้มีส่วนร่วมในการปฎิบัติการดูแลนักท่องเที่ยวช่วงปีใหม่ และยังร่วมอำนวยการจราจรทำให้สามารถลดอุบัติเหตุและยอดผู้บาดเจ็บเสียชีวิตอย่างได้ผล มีสถิติเสียชีวิตและบาดเจ็บน้อยที่สุดในรอบ 10 ปี ดังนั้นขอให้ตำรวจท่องเที่ยว ปฏิบัติหน้าที่อย่างแข็งขัน หมั่นพัฒนาศักยภาพอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ ความสำเร็จนี้ ส่งผลไปถึงเทศกาลอื่นๆที่กำลังจะมาถึง เป็นเทศกาลถัดไป โดยเฉพาะเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งจะมีการเดินทางกลับภูมิลำเนาครั้งใหญ่อีก เพื่อไปเฉลิมฉลองกับครอบครัว

นอกจากนี้ยังได้กล่าวชื่นชมอาสาสมัครตำรวจท่องเที่ยว ซึ่งพบว่าที่ผ่านมาได้เข้ามามีส่วนร่วมในการแบ่งเบาภาระให้กับเจ้าหน้าที่ โดยเฉพาะอาสาสมัครที่เป็นชาวต่างชาติ เพราะนี่เป็นกลไกสำคัญอีกด้าน ที่จะส่งเสริมให้การท่องเที่ยวเป็นซอฟพาวเวอร์ เพราะนักท่องเที่ยวจะมีความเชื่อมั่นว่าสามารถพึ่งพาเจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยวได้ เมื่อเกิดปัญหาในการท่องเที่ยวภายในประเทศไทยและจะได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที โดยขอให้ทุกคนรักษา ศักยภาพในการปฎิบัติหน้าที่ให้ดี เพื่อเป็นแบบอย่าง ให้ชาวต่างชาติ ที่เข้ามาท่องเที่ยวเกิดความเชื่อมั่นและชื่นชม จะได้เลือกไทยเป็นเป้าหมายในการเข้ามาท่องเที่ยว ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจฐานรากในการจับจ่ายใช้สอยภายในชุมชนที่มีชาวต่างชาติมาเยือน

‘สุวัจน์’ มอง!! สภาผ่านงบฯ 67 สะท้อนเสถียรภาพรัฐบาล เชื่อ!! สร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน คาด!! ดัน GDP โต 3%

ภายหลังที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 วงเงินกว่า 3.48 ล้านล้านบาทแล้วนั้น

เมื่อวานนี้ (9 ม.ค. 67) นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ถือเป็นบรรยากาศที่ดี เพราะจะสามารถนำเงินไปใช้จ่ายในการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะขณะนี้เราต้องการเม็ดเงิน ในการสร้างกิจกรรมทางเศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เนื่องจากปีที่ผ่านมาต้องยอมรับว่า เศรษฐกิจเราเติบโตไม่เป็นไปตามเป้า จีดีพีเพียง 2% กว่าเท่านั้น

ดังนั้นในจำนวนเงินงบประมาณที่ได้สภาให้ความเห็นชอบนั้น รัฐบาลต้องเร่งรัดในการดำเนินการใช้จ่ายเพื่อให้เงินถึงมือประชาชน เพราะอีก 3-4 เดือนข้างหน้า ก็จะมีงบประมาณปี 2568 เข้ามาแล้ว 

สำหรับข้อห่วงใยและข้อคิดเห็นจากสภาฯ นั้น นายสุวัจน์ เชื่อว่า รัฐบาลและกรรมาธิการวิสามัญ จะรับฟัง และนำไปปรับปรุงแก้ไข เพื่อให้การใช้จ่ายเม็ดเงินต่าง ๆ ของงบประมาณ มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งนี้ในส่วนของพรรคชาติพัฒนากล้า นายเทวัญ ลิปตพัลลภ หัวหน้าพรรคฯ ก็ได้รับการแต่งตั้งไปเป็นกรรมาธิการด้วย ท่านก็จะใช้ประสบการณ์ช่วยกันปรับปรุงรายละเอียดตามข้อเสนอแนะของ ฝ่ายค้านและรัฐบาล เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อพี่น้องประชาชน

อย่างไรก็ตาม นายสุวัจน์ เชื่อว่าปีนี้เศรษฐกิจมีแนวโน้มเข้มแข็งกว่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากการเมืองมีเสถียรภาพ จาก 300 กว่าเสียง ซึ่งจะส่งผลให้รัฐบาลสามารถเดินหน้าโครงการต่าง ๆ ได้ดี และเศรษฐกิจก็น่าที่จะกระเตื้องขึ้น ประกอบกับมาตรการ ๆ ของรัฐบาลที่ออกมาเพื่อสร้างแรงจูงใจให้กับนักท่องเที่ยว ทั้งมาตรการฟรีวีซ่า อำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยว ลดภาษีต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวต่าง ๆ ในประเทศไทย ก็เป็นตัวเร่งดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ นายสุวัจน์ ยังเชื่อว่าปีนี้ นักท่องเที่ยวจะกลับเข้ามาใกล้เคียงก่อนเกิดสถานการณ์โควิดคือ 40 ล้านคน อย่างน้อยปีนี้จะต้องได้ 35 ล้านคน ถ้าเร่งเครื่องกันเต็มที่ ช่วยกันโปรโมต จัดกิจกรรมแบบอินเตอร์โดยนำซอฟต์พาวเวอร์มาใช้ นอกจากนี้การส่งออกปีที่แล้ว ยังไม่ขยายตัว ทำให้ฐานต่ำ เชื่อว่าปีนี้การส่งออกจะดีขึ้นกว่าเดิม เช่นเดียวกับการลงทุน ปีที่ผ่านมารัฐบาลไปเชิญชวน นักลงทุนไว้มากหากทำให้เกิดผลสัมฤทธิ์ มีนักลงทุนมาลงทุนจริง ๆ ก็จะมีเม็ดเงินมาสร้างงานเพิ่มมากขึ้น 

“เมื่อประกอบกับการเมืองที่มีเสถียรภาพ ก็จะเป็นโครงสร้างพื้นฐานให้กับระบบเศรษฐกิจอย่างหนึ่ง คือเรื่องความเชื่อมั่นต่าง ๆ เชื่อขยายตัวได้ จีดีพีอย่างน้อยต้อง 3% กว่า ซึ่งก็ต้องรอดูเรื่องดิจิทัลวอลเลต อีกนิดขณะนี้อยู่ระหว่างการรอกฤษฎีกามาให้ความเห็นอีกครั้ง ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลจะต้องปรับปรุงในการดำเนินการ” นายสุวัจน์ กล่าว

ต่อข้อถามที่ว่า หากมีการตั้ง นางสาวแพรทองธาร ชินวัตร หรืออุ๊งอิ๊ง ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทนนายเศรษฐา ทวีสิน นายสุวัจน์ กล่าวว่า ด้วยคุณสมบัติของคุณอุ๊งอิ๊ง ซึ่งเป็นแคนดิเดทนายกรัฐมนตรีอยู่แล้ว และเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยด้วย ดังนั้นด้วยคุณสมบัติ และประสบการณ์ต่าง ๆ ก็สามารถเป็นนายกฯ ได้อยู่แล้ว อย่างไรก็ตามเป็นเรื่องภายในของพรรคเพื่อไทย ที่จะดำเนินการ ในส่วนของพรรคชาติพัฒนากล้า เราเป็นพรรคร่วมรัฐบาล และพรรคเพื่อไทยเองก็เป็นแกนนำด้วย ดังนั้นชาติพัฒนากล้าก็สนับสนุนพรรคเพื่อไทยอยู่แล้ว เพื่อให้เกิดการบริหารประเทศที่ต่อเนื่อง ยิ่งรัฐบาลมีเสถียรภาพที่มั่นคง ก็ยิ่งทำให้เกิดการแก้ปัญหาเศรษฐกิจต่าง ๆ ก็จะเป็นไปด้วยความเรียบร้อย

เมื่อถามว่า โดยส่วนตัวมองว่ารัฐบาลจะอยู่ครบ 4 ปี หรือไม่ นายสุวัจน์ กล่าวว่า การเมืองเป็นเรื่องไม่แน่นอน เหมือนขับรถออกจากบ้าน เราไม่มีโอกาสรู้เลยว่าจะเกิดยางแตกเมื่อไหร่ หรือจะเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นกับเรา แต่โดยพื้นฐานของรัฐบาลที่มี 300 กว่าเสียง ก็ถือว่ามีเสถียรภาพที่มั่นคง ดังนั้นจึงมีโอกาสที่บริหารประเทศครบ 4 ปีก็มีสูง แต่ทั้งนี้ก็ไม่แน่ อาจจะมีอุบัติเหตุทางการเมืองได้ แต่หากอยู่ครบ ก็จะเป็นสัญญาณที่ดีต่อประเทศ รัฐบาลจะอยู่ครบหรือไม่ครบวาระ 4 ปี ก็เป็นเรื่องปกติในระบอบประชาธิปไตย

‘นายกฯ’ ตั้งเป้าลดจำนวนเด็กไทยหลุดออกระบบการศึกษา พร้อมแย้ม!! 13 มกราคมนี้ จะมีข่าวดีสำหรับเด็กไทยทุกคน

(10 ม.ค.67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์ข้อความผ่าน X ว่า “ผมขับเคลื่อนเรื่องลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาด้วยตัวเองมาตั้งแต่ก่อนเข้ามารับตำแหน่งนายกฯ หลายปีแล้วครับ เพราะผมปรารถนาที่จะเห็นเด็กไทยได้รับความเท่าเทียมในเรื่องนี้ โดยตั้งเป้าให้จำนวนเด็กที่ต้องหลุดระบบการศึกษาเป็น ‘ศูนย์’ ครับ

ทันทีที่เข้ารับตำแหน่งผมได้สั่งการทันทีให้ ‘กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา’ (กสศ.) DES และกระทรวงมหาดไทย บูรณาการรวบรวมข้อมูลนักเรียนที่หลุดจากระบบการศึกษา ให้เป็นฐานข้อมูล Big Data ขึ้นเป็นครั้งแรกของประเทศไทย เพื่อนำไปสู่การช่วยเหลือเด็กและเยาวชนที่ต้องออกจากการศึกษากลางคัน ซึ่งในวันเสาร์ที่ 13 ม.ค.นี้จะมีข่าวดี ที่จะเป็นก้าวสำคัญก้าวหนึ่งที่ประเทศไทยก้าวไปสู่ Thailand Zero Dropout ครับ”

'แอมมี่' ขอโทษ 'เมรี' หลังก่อนหน้านี้ ไม่เป็นสุภาพบุรุษ ยอมรับ!! ไม่ใช่ 'คนรัก-พ่อที่ดี' แต่ขอโอกาสทำหน้าที่พ่อ

(10 ม.ค. 67)หลังปล่อยให้เหตุการณ์ดรามาบานปลาย จนชาวเน็ตต้องตามเผือกกันจนขอบตาดำคล้ำ ล่าสุดวันนี้ถึงบทสรุปเรื่องทำสาวท้องแล้วไม่ยอมรับของ ‘แอมมี่ The bottom blues’ หรือ ‘แอมมี่ ไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์’ หลังจากที่เจ้าตัวได้โพสต์ข้อความในอินสตาแกรม ขอโทษ ‘เมรี คำภีร์’ ลูกสาว ‘ปู พงษ์สิทธิ์ คำภีร์’ แล้ว พร้อมลั่นอารมณ์และโทสะครอบงำจนไม่สามารถเคียงข้างได้ในวันที่อีกฝ่ายต้องการ อยากขอโอกาสแก้ไขความผิดพลาด อยากทำหน้าที่พ่อของลูก โดยแอมมี่ได้โพสต์ข้อความไว้ว่า…

“หลังจากออกจากเรือนจำ นับเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดช่วงนึงของชีวิต การเป็นนักดนตรีของผม การดิ้นรนกลับมาทำเพลง เป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้ ณ เวลานั้นได้มีผู้หญิงคนนึงเดินเข้ามาในชีวิต เธอหยิบกีต้าร์ใส่มือผมอีกครั้ง เธอคือคนเล่นกีต้าร์กับผมคนแรก เธอคือผู้ฟังคนแรก คนที่ได้ยินทั้งเนื้อร้อง ทำนองของเพลงที่กำลังจะถูกแต่งออกมาอีกครั้งจากปากของผมบ้างก็ดี หรือบางทีเธอก็หยิบมันมาฟังคนเดียว ผ่านโทรศัพท์เครื่องเก่า ๆ ที่เราใช้ในการทำเดโม่

นับว่านานพอดูเลยแหละ จนกระทั่งโชคก็เข้าข้าง เราได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลง สถานการณ์ทุกอย่างค่อย ๆ กลับมาดี ในเส้นทางสายดนตรี เราเริ่มกลับมาทำวงดนตรีเริ่มมีงาน เราทำเอ็มวีด้วยกัน ทีมเราเริ่มใหญ่ขึ้น มีเพื่อนร่วมงานมากขึ้น ขณะเดียวกันความสัมพันธ์ของเราสองคนเริ่มไปในทิศทางที่แย่ลง จนถึงขั้นเลิกรากันไปในที่สุด ซึ่งในส่วนนี้ผมผิดเองที่ไม่รักษาความรักของเราไว้ได้

ในวันที่เมบอกผมว่าท้อง ผมขอโทษที่ช่วงนั้นผมไม่สามารถทำหน้าที่อย่างที่พ่อควรจะทำ ผมขอโทษนะ เมรี ตอนนั้นอารมณ์และโทสะครอบงำ จนไม่สามารถเคียงข้างในวันที่เมต้องการ การนัดหมายต้องพังลงในทุกครั้ง ผมขอโทษที่ตอบโต้คุณผ่านสื่อ นั่นเป็นการกระทำที่ผมถือว่าไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษเอาเสียเลย ผมอยากขอโทษคุณอีกครั้งเพราะที่ผ่านมาไม่เคยได้ขอโทษเลย

ต่อจากนี้หากมันยังพอมีทาง ผมอยากขอโอกาสที่จะได้แก้ไขมันสำหรับความผิดพลาดของผม ผมไม่ใช่คนรักที่ดีและพ่อที่ดี แต่ผมพร้อมเป็นพ่อของลูก พร้อมดูแลลูกของเรา ผมเชื่อว่ามันคงเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากมาก ๆ กับคุณที่ต้องเผชิญมันเพียงลำพัง ขอโทษที่ไปต่อด้วยกันไม่ได้ แต่สัญญาว่าจะพยายามทำหน้าที่พ่อให้ดีที่สุดเพื่อลูกของเรา”

ตามด้วยแคปชันว่า “ผมขอโทษนะเมรี”

‘เกาหลีใต้’ ไฟเขียว!! กฎหมายห้าม ‘กิน-ซื้อขาย’ เนื้อสุนัข รับแรงหนุน 'กระแสแอนตี้-ปธน.เป็นคนรักสัตว์ตัวยง'

(10 ม.ค. 67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า รัฐสภาเกาหลีใต้ผ่านร่างกฎหมายห้ามการจำหน่ายและบริโภคเนื้อสุนัขเมื่อวันอังคาร(9 ม.ค.) ซึ่งจะส่งผลให้ประเพณีการรับประทานเนื้อสุนัขที่มีมานานนับร้อยๆ ในแดนโสมกลายเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ท่ามกลางกระแสรณรงค์ต่อต้านการกินเนื้อสุนัขจากบรรดานักปกป้องสิทธิสัตว์ รวมถึงบุคคลทั่วไป

กฎหมายแบนการรับประทานและจำหน่ายเนื้อสุนัขผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาอย่างท่วมท้น ด้วยคะแนน 208 เสียง งดออกเสียง 2 เสียง โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้หลังผ่านช่วงเวลาผ่อนผัน (grace period) 3 ปี

ผู้ที่ฝ่าฝืนจะมีโทษจำคุกสูงสุด 3 ปี หรือปรับเงินสูงสุด 30 ล้านวอน (ราว 795,000 บาท)

คนเกาหลีใต้สมัยก่อนเชื่อกันว่า การรับประทานเนื้อสุนัขจะช่วยให้ร่างกายทรหดอดทนต่อสภาพอากาศในฤดูร้อน ทว่าปัจจุบันสุนัขกลายเป็นสัตว์เลี้ยงในบ้าน บวกกับมีการรณรงค์ต่อต้านการเชือดสุนัขเพื่อเป็นอาหาร ทำให้ความนิยมในการกินเนื้อสุนัขลดลงไปมาก และยังคงรับประทานกันเฉพาะในหมู่คนสูงวัยเสียเป็นส่วนใหญ่

นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิสัตว์ชี้ว่า สุนัขมักจะถูกฆ่าด้วยวิธีใช้ไฟฟ้าช็อตหรือแขวนคอให้ตาย ก่อนจะถูกนำมาแล่เนื้อ  แต่เจ้าของฟาร์มและผู้ค้าสุนัขก็ออกมาแย้งว่าพวกเขามีความพยายามที่จะปรับไปใช้วิธีการฆ่าที่ทารุณน้อยลง

กระแสต่อต้านการกินเนื้อสุนัขเริ่มแพร่หลายขึ้นในยุคของประธานาธิบดี ยุน ซุกยอล ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นคนรักสัตว์ และเลี้ยงสุนัขเอาไว้ถึง 6 ตัว แมวอีก 8 ตัว ขณะที่นางคิม คยอน-ฮี สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง ก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ออกมาวิจารณ์การรับประทานเนื้อสุนัขเช่นกัน

ผลสำรวจความคิดเห็นที่เผยแพร่เมื่อวันจันทร์ (8 ม.ค.) โดยสถาบัน Animal Welfare Awareness, Research and Education ในกรุงโซลพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถาม 94% ไม่ได้รับประทานเนื้อสุนัขเลยในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา และ 93% บอกว่าคงจะไม่รับประทานอีกในอนาคต

จับตา!! ‘คปท.’ ปักหลักชุมนุม 12-14 ม.ค.นี้ ไล่ล่าความยุติธรรม-หยุดระบอบทักษิณภาค 2

ในที่สุด ก็ต้องลงท้องถนนจนได้ ส่วนเมื่อลงแล้วจะเป็นอย่างไรต่อไป ชวนให้ติดตามเป็นอย่างยิ่ง...

ครับ ‘เล็ก เลียบด่วน’ กำลังหมายถึงการลงถนนชุมนุม กรณีนักโทษเทวดา ‘ทักษิณ ชินวัตร’ ของเครือข่ายประชาชนเพื่อการปฏิรูป (คปท.) ซึ่งนึกถึง คปท. นาทีนี้ใบหน้าของสามหนุ่มก็ผุดลอยขึ้นมา ได้แก่ ทนายนกเขา นิติธร ล้ำเหลือ ดาราหน้าจอคู่กับจตุพร พรหมพันธ์ แห่งคณะหลอมรวม, ตั้ม พิชิต ไชยมงคล อดีตเลขาธิการสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.) 2546 และเคยเป็น ‘เพื่อนเอก (ธนาธร)’ และ น้านัส นัสเซอร์ ยี่หมะ คนสงขลา อดีตหัวหน้าการ์ดคปท. ที่ผ่านคุกผ่านตะรางคดีพันธมิตรฯ มาแล้ว

วันก่อนเห็นภาพพิชิต-นัสเซอร์ ไปวัดพื้นที่ตั้งเวทีชุมนุมเชิงสะพานชมัยมรุเชษฐ์ แถว ๆ ทำเนียบรัฐบาลแล้วได้แต่บอกตัวเองว่า…ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุปัจจัย…จะเข้ากฎอทิปปัจจยตาหรือเปล่าก็มิอาจวิสัชชนาได้..

ก่อนตั้งเวทีชุมนุม 12-14 ม.ค.นี้ ดูเหมือนว่าคปท.ได้เดินสายทำเอ็มโอยู หาพันธมิตรการชุมนุมหลายกลุ่ม วันก่อนโน้นไปพบ ‘นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม’ แห่งพรรคไทยภักดี วันอังคารที่ 9 ม.ค. กินเข้าแถลงข่าวกับ ‘นิพิษฏ์ อินทรสมบัติ’ อดีตสส.หลายสมัย และวันพุธที่ 10 ม.ค. นัดแถลงข่าวตอนบ่ายโมง เชิญใครต่อใครที่ไปร่วมแถลงรวมทั้ง ‘เดอะแจ๊ค’ วัชระ เพชรทอง อดีต สส. 2 สมัยที่วันนี้เล่นบทนักร้อง (เรียน) ที่สู้ไม่ถอย..

อ่านกันไม่ยาก เหตุที่ คปท. เลือกเอาวันที่ 12 ม.ค. เป็นวันแรกของการชุมนุมแบบ ‘ปักหลักพักค้าง’ ก็เพราะวันที่ 12 ม.ค. เป็นวันเดียวกับที่คณะกรรมาธิการการตำรวจ ของสภาฯ ที่มีชัยชนะ เดชเดโช เป็นประธานกมธ. ประกาศว่าจะนำทีมไปตรวจรพ.ตำรวจชั้น 14 เพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับนช.ทักษิณว่าเป็นนักโทษเทวดา ตามที่เขากล่าวหากันจริงหรือไม่…

งานนี้ สส.แทนชัยชนะ มีเดิมพันติดปลายนวมสูง...ถูกจับตามองว่าทำจริงหรือทำเล่น ถ้าทำเล่นคนเมืองคอน (นครศรีฯ) คงไม่ให้อภัยและเสื่อมเสียถึงพรรคปชป.ที่พระแม่ธรณีกำลังร่ำไห้อยู่ในเพลานี้...แน่นอน

ประสาเหยี่ยวชราอย่าง ‘เล็ก เลียบด่วน’ ก็ต้องวิเคราะห์ว่า การชุมนุมของ คปท. หนนี้ค่อนข้างถูกที่ถูกเวลาอยู่พอสมควร แต่ถ้าจะให้บอกว่าเงื่อนไขสุกงอมหรือยังต้องบอกว่า ‘ยัง’ แกนนำ คปท. ก็คงรู้ แต่ก็นั่นแหละการจะนั่งรอให้เงื่อนไขสุกงอม ก็อาจต้องรอจนถึงวันทักษิณพักโทษไปนอนตีพุงอยู่ที่บ้านแล้วก็เป็นได้…

สรุปว่า..อย่างน้อย ๆ การชุมนุมโดยสันติ เป็นไปตามพ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2560 หนนี้น่าจะทำให้ความจริงอันชั่วร้ายหลายอย่างถูกเปิดเผย ซึ่งเป็นไปได้ว่าข้อเท็จจริงเหล่านั้นจะยิ่งทำให้ทั้งคนที่เคยขับไล่ระบอบทักษิณและคนที่เคยเป็นองครักษ์พิทักษ์ทักษิณเจ็บปวดรวดร้าว…

‘เล็ก เลียบด่วน’ เลาะเลียบไปตามสภากาแฟวันนี้…ได้ยินเสียงซุบซิบสนทนาของบางโต๊ะว่า...ที่สุดของที่สุดใช่หรือไม่ว่า...บ้านนี้เมืองนี้ระบอบทักษิณกำลังกลับจะกินรวบอีกครั้ง…ทั้งเหลืองทั้งแดงที่หวังบ้านเมืองสมานฉันท์ล้างไพ่มาปรองดองกันใหม่ถึงขั้นนิรโทษกรรมดูท่าจะถูกต้มอีกรอบ…

เหตุผลหลักเพราะวันนี้ ‘แม้วถึงฝั่งแล้ว’
ข้ามขั้ว-ปรองดองทั้งที ทั้งทักษิณกินคนเดียว…

ซึ่งประเด็นนี้อาจจะเพิ่มจุดเดือดให้กับการชุมนุม!!??

‘หนุ่ม’ โพสต์ชื่นชม!! ‘พรรคก้าวไกล’ ทำงานอย่างมีคุณภาพ อ่านงบฯ 67 กว่า 2 หมื่นหน้าใน 7 วัน สอดไส้อะไรไว้ รู้หมด!!

เมื่อไม่นานมานี้ จากติ๊กต็อกช่อง ‘buskung’ ได้โพสต์คลิปแสดงความคิดเห็นและชื่นชมในการทำงานของพรรคก้าวไกลในสภา โดยระบุว่า…

การอภิปรายถือว่าทําได้ดีเกินคาดมาก ๆ และยังมาเจอกล่าวจบ ถือว่าปิดได้แบบทําคนอึ้งกันทั้งสภา โดยเฉพาะ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หรือ สส.เท้ง จากพรรคก้าวไกล เพราะพูดได้ดีมากขณะที่ผมนั่งฟังยังรู้สึกว่ามันเปี่ยมด้วยคุณภาพจริง ๆ ซึ่งเขาบอกว่า…“เวทีพิจารณางบ 3 วันที่ผ่านมามันไม่ใช่เวทีที่พวกผมจะมาทําลายล้างพวกท่าน…แต่มันคือเวทีที่พวกผมจะมาซ้อมมือเพื่อเอาชนะพวกท่าน โจทย์การเลือกตั้งครั้งหน้าของพรรคก้าวไกลไม่ใช่คําถามว่าเราจะชนะการเลือกตั้งไหม?...แต่มันคือคําถามว่าเราพร้อมจะบริหารประเทศหรือเปล่า…พวกเราจะเอาชนะท่านด้วยการทํางานที่เต็มเปี่ยมด้วยคุณภาพ” ซึ่งทุกวันคุณภาพจนไม่รู้จะคุณภาพยังไงแล้ว…

พวกคุณลองคิดดูนะว่าเขาเป็นฝ่ายค้านมา 4 ปี และถ้าอยู่ครบไปอีก 4 ปี แปลว่าเขาจะมีประสบการณ์ด้านการทํางานเป็นฝ่ายค้านรวมเป็น 8 ปี หากคิดดูว่าสำหรับคนที่เคยเป็นฝ่ายค้านมา 8 ปีเต็ม สมมติวันหนึ่งได้เป็นรัฐบาลขึ้นมามันจะมีคุณภาพมากขนาดไหน? เพราะขนาดแค่งบประมาณที่ฝั่งรัฐบาลฟาดมาให้อ่าน 20,000 กว่าหน้า และมีเวลาแค่ 7 วัน เขายังทําออกมาได้ดีขนาดนี้ ดูงบว่ามีอะไรสอดแทรกมาบ้าง แล้วอภิปรายที่มันหมกเม็ดอยู่ได้เกือบทั้งหมด มันก็ไม่รู้ว่าจะคุณภาพยังไงแล้ว

โดย สส.ก้าวไกล ยังกล่าวต่อไปอีกว่า…”พวกเราจะเอาชนะท่านด้วยการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่ทํางานอย่างเข้าใจปัญหาและรู้วิธีการแก้ปัญหาไม่แพ้กับท่าน” 

ซึ่งบอกได้เลยว่าก่อนหน้านี้พรรคเพื่อไทยจะชอบชูโรงว่าเคยทํามาก่อนสามารถทําได้ และรอบนี้ถ้าเลือกตนเป็นรัฐบาล เขาก็จะทําได้อย่างแน่นอน ซึ่งคนก็เลยเชื่อ เพราะมีดีกรีของทักษิณ มีดีกรีของยิ่งลักษณ์ เป็นแบบภาพชูโรงทําให้คนจดจํา แต่บอกเลยว่าหลังจากนี้ยิ่งระยะเวลาผ่านไปนานมากเท่าไหร่ ยุคนั้นจะยิ่งถูกคนลืมลงไปมากเท่านั้น ถ้าพรรคเพื่อไทยไม่ปรับเปลี่ยนวิธีการทํางาน คุณแพ้แน่ ๆ…

สุดท้าย สส.ก้าวไกล บอกต่อว่า “พวกเรามาแข่งกันเอาชนะใจประชาชนกันดีกว่า วันนี้อํานาจอยู่ในมือพวกท่านรักษามันไว้ให้ดีอีก 4 ปีข้างหน้าประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินเองผ่านการเลือกตั้ง”

'สรรเพชญ' ชี้!! รัฐบาลควรยึดโยง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังรัฐ แนะ!! นโยบาย Digital Wallet ถ้าทำต้องถูกต้องตามกฎหมาย

(10 ม.ค.67) นายสรรเพชญ บุญญามณี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสงขลา ได้ให้ความเห็น กรณีสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาส่ง ความเห็นกรณี การออก พ.ร.บ. กู้เงิน 5 แสนล้านบาท เพื่อจัดทำนโยบาย Digital Wallet กลับมายังกระทรวงการคลัง ว่าตามที่ตนได้รับทราบข่าวกฤษฎีกาไม่ได้ฟันธงว่ารัฐบาลสามารถจัดทำนโยบาย Digital Wallet ได้หรือไม่ แต่กฤษฎีกาทำหน้าที่ส่งความเห็นในเชิงกฎหมายเพียงเท่านั้น โดยตนเห็นว่ากฤษฎีกากำลังบอกรัฐบาลว่าหากจะจัดทำนโยบาย Digital Wallet ต้องพิจารณาภายใต้กฎหมายใดเป็นพิเศษ ทั้งนี้ ตนเห็นว่านโยบายรัฐบาล คือฉันทามติของสังคมที่ไม่สามารถหักล้างได้ ขณะเดียวกัน หากสุดท้ายมันผิดกฎหมายจริงๆ รัฐบาลจำเป็นรับผิดชอบทั้งทางกฎหมายและการเมืองเป็นอย่างน้อย เพราะมันคือนโยบายหาเสียงที่จำเป็นตรวจสอบความถูกต้องตามกฎหมายตั้งแต่ก่อนจะประกาศหาเสียงเลือกตั้ง

กรณีตัวนโยบาย Digital Wallet 10,000 บาท เป็นนโยบายเรือธงของพรรคเพื่อไทยที่ประกาศโดยนายเศรษฐา ทวีสิน ซึ่งสร้างความฮือฮาให้กับประชาชนเป็นอย่างมาก แต่ภายใต้ความฮือฮาก็มีข้อกังขาถึงความเป็นไปได้ของนโยบาย มาจนถึงวันนี้ ความชัดเจนของนโยบายก็ยังไม่คืบหน้า เพราะรัฐบาลไม่มีเงินที่จะมาทำนโยบาย อีกทั้งรัฐบาลเองก็มีความสับสนในช่วงแรกว่าจะกู้หรือไม่กู้ จะใช้เงินผ่าน Platform หรือ Application ซึ่งรัฐบาลเองก็ยังไม่มีความ โดยนโยบาย Digital wallet ที่พรรคเพื่อไทยได้ยื่นไว้กับ กกต. ตามมาตรา 57 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 เรื่องของการกำหนดนโยบายของพรรคการเมืองที่ต้องให้จ่ายเงิน พบว่าเป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล วงเงิน 560,000 ล้านบาท ซึ่งที่น่าสังเกตคือที่มาของเงินที่จะใช้ในการดำเนินการโดยจะมาจาก 4 แหล่ง คือ...

1) รายได้ที่รัฐจัดเก็บได้เพิ่มขึ้นในปี 2567 จำนวน 260,000 ล้านบาท
2) ภาษีที่ได้มาจากผลคูณต่อเศรษฐกิจจากนโยบาย 100,000 ล้านบาท
3) การบริหารจัดการงบประมาณ 110,000 ล้านบาท
4) การบริหารงบประมาณที่ซ้ำซ้อน 90,000 ล้านบาท

ซึ่งไม่มีเรื่องของการกู้ จึงหมายความว่า นโยบายนี้จะสามารถดำเนินการได้โดยใช้เงินที่มีอยู่แล้วโดยไม่ต้องสร้างภาระให้กับประเทศเพิ่ม

นอกจากนี้ นายสรรเพชญ ยังได้ตั้งข้อสังเกตว่าการทำนโยบาย Digital Wallet หากรัฐบาลจะดึงดันให้สามารถดำเนินการภายในปี 2567 เท่ากับรัฐบาลนายเศรษฐาจะต้องกู้เงินถึง 1.1 ล้านล้านบาท เพราะเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาสภาผู้แทนราษฎรได้พิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ซึ่งในรายละเอียดไม่ปรากฎนโยบาย Digital Wallet และร่าง พ.ร.บ. งบ 67 มีการกู้เงินเพื่อชดใช้เงินคงคลังกว่า 600,000 แสนล้านบาท และหากจะดำเนินการ นโยบาย Digital Wallet รัฐบาลจะต้องกู้อีก 560,000 ล้านบาท รวมแล้วรัฐบาลนายเศรษฐา จะสร้างหนี้กว่า 1.1 ล้านล้านบาท

ทั้งนี้ การกู้เงินของรัฐบาลจะต้องเป็นไปตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะมาตรา 53 มาตรา 6 มาตรา 7 และมาตรา 9 ที่ระบุไว้ว่า “คณะรัฐมนตรีต้องไม่บริหารราชการแผ่นดินโดยมุ่งสร้างความนิยมทางการเมืองที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศและประชาชนในระยะยาว”

อีกทั้งหากพิจารณาเรื่องของหนี้สาธารณะคงค้าง ณ เดือน พฤศจิกายน 2566 รัฐบาลมีหนี้สาธารณะคงค้างอยู่ที่ 11 ล้านล้านบาท ซึ่งหากต้องกู้เพื่อทำนโยบาย Digital Wallet ตนไม่เห็นด้วยกับแนวทางดังกล่าว การกระตุ้นและพัฒนาเศรษฐกิจระยะยาวมันมีอยู่หลากหลายแนวทาง หลายแนวทางมันนำไปสู่การสร้างงาน สร้างอาชีพ การฝึกทักษะใหม่ๆ ในการประกอบอาชีพ การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน ฯลฯ 

นายสรรเพชญ กล่าวในตอนท้ายว่า “ความท้าทายของรัฐบาล หรือพรรคเพื่อไทย คือมาตรฐานนโยบายการเมืองกับความถูกต้องทางกฎหมาย และจำเป็นต้องกลับไปสู่จุดเริ่มต้นของนโยบายที่ให้ไว้เป็นสัญญาประชาคมว่า Digital Wallet จะเป็นนโยบายที่ไม่ต้องกู้เงิน ซึ่งรัฐบาลจะต้องนำไปปฏิบัติให้เกิดขึ้นจริง”

พิษณุโลก ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก เน้นย้ำ ให้หน่วยทหารพัฒนาระบบการส่งกำลังบำรุงให้สามารถตอบสนองภารกิจของกองทัพบก    

วันที่ 10 มกราคม 2567 เวลา 09.30 นาฬิกา พลเอก ธราพงษ์ มะละคำ  ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมหน่วยด้านส่งกำลังบำรุง ประจำปีงบประมาณ 2567 ในพื้นที่กองทัพภาคที่ 3 โดยมี พลโท ประสาน  แสงศิริรักษ์ แม่ทัพภาคที่ 3 ให้การต้อนรับ ณ กองบัญชาการกองทัพภาคที่ 3 ค่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก โดย ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบกและคณะ ได้เข้ารับฟังบรรยายสรุปภารกิจของกองทัพภาคที่ 3 ปัญหาข้อขัดข้องทางการส่งกำลังบำรุงของหน่วยขึ้นตรงกองทัพภาคที่ 3 พร้อมกับได้รับทราบความก้าวหน้าของงานด้านการส่งกำลังบำรุง พร้อมกันนี้ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก ได้ขอบคุณกองทัพภาคที่ 3 ที่ได้ดำเนินการในโครงการต่างๆ ที่มีประโยชน์ พร้อมทั้งเน้นย้ำให้หน่วย ได้ใช้งบประมาณที่มีอยู่อย่างคุ้มค่า พัฒนาระบบการส่งกำลังบำรุงให้สามารถตอบสนองภารกิจของกองทัพบกได้ รวมทั้งงานอื่นๆ ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาล และให้มีการเตรียมความพร้อมด้านการส่งกำลังบำรุงและวิธีการดำเนินงาน เพื่อตอบสนองงานสำคัญเร่งด่วน ตามนโยบายของหน่วยเหนือต่อไป

ปรีชา นุตจรัส รายงานข่าวพิษณุโลก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top