Thursday, 3 July 2025
NewsFeed

‘นักวิจัย มข.’ เปลี่ยน ‘กากต้นเฉาก๊วย’ เป็น ‘เชื้อเพลิงอัดเม็ด-ตัวซับสารพิษ’ ช่วยลดปริมาณขยะฝังกลบ-ต่อยอดของเสีย สู่ ‘ผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่า’

(9 ม.ค.67) มข.วิจัย ‘กากต้นเฉาก๊วย’ หนุนภาคอุตสาหกรรมไทย ต่อยอดจนนำไปสู่การสร้างขยะหรือของเสียให้มีมูลค่าเพิ่ม จนกลายเป็นผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิงอัดเม็ด และตัวดูดซับสารปนเปื้อนได้สำเร็จ ยกระดับจาก Zero waste ให้กลายเป็น Waste to value ได้สำเร็จ

มหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) ภายใต้การอำนวยการของ รศ.นพ.ชาญชัยพาน ทองวิริยะกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น รายงานถึงสถานการณ์ ท่ามกลางความพยายามในการจัดการกับของเสียหรือขยะจากภาคอุตสาหกรรม นักวิจัยมหาวิทยาลัยขอนแก่น ไม่เพียงเล็งเห็นถึงความสำคัญของการแก้โจทย์ปัญหา Zero waste แต่ยังต่อยอดจนนำไปสู่การสร้างขยะหรือของเสียให้มีมูลค่า หรือ Waste to value ซึ่งเป็นเทรนด์ของภาคอุตสาหกรรมทั่วโลกในขณะนี้ รศ.ดร.ยุวรัตน์ เงินเย็น อาจารย์ประจำสาขาวิชาวิศวกรรมเคมี คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ร่วมกับ น.ส.ฉัตรลดา ไชยวงค์ นักศึกษาปริญญาโท และทีมนักศึกษาปริญญาตรี จึงได้จับมือกับเฉาก๊วยแบรนด์ดังอย่าง “เฉาก๊วยเต็งหนึ่ง” นำกากต้นเฉาก๊วยซึ่งเป็นของเสียจากกระบวนการผลิตที่ถูกฝังกลบทิ้งไปอย่างเปล่าประโยชน์ปีละหลายพันตันมาเพิ่มมูลค่าจนกลายเป็นผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิงอัดเม็ด

รศ.ดร.ยุวรัตน์ เงินเย็น อาจารย์ประจำสาขาวิชาวิศวกรรมเคมี คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เปิดเผยว่า “ทีมวิจัยของเรานับเป็นที่แรกของโลกที่นำกากต้นเฉาก๊วยมาสร้างเป็นเชื้อเพลิงอัดเม็ดและตัวดูดซับสารปนเปื้อนได้สำเร็จ มีประสิทธิภาพสูง ใช้งานได้จริง ยกระดับจาก Zero waste ให้กลายเป็น Waste to value ได้สำเร็จ”ด้วยคุณสมบัติของกากต้นเฉาก๊วยที่ให้ค่าความร้อนที่สูงอยู่แล้ว การนำมาแปรรูปเป็น ‘เชื้อเพลิงอัดเม็ด’ จะยิ่งช่วยลดพื้นที่ในการจัดเก็บ รวมทั้งลดต้นทุนการขนส่ง ผลิตภัณฑ์ที่ได้ก็มีความแข็งแรงทนทานมาก และไม่ต้องใช้ตัวประสานในการอัดเม็ด จึงทำให้ลดต้นทุนในการผลิตต่างจากชีวมวลชนิดอื่น ทั้งยังมีคุณลักษณะเป็นไปตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวมวลอัดเม็ด (มอก.) ไม่เพียงเชื้อเพลิงอัดเม็ด รศ.ดร. ยุวรัตน์ ยังชวนทำความรู้จักกับถ่านชีวภาพ (Biochar) และถ่านกัมมันต์ (Activated carbon) หรือชื่อที่หลายคนคุ้นเคย คือ ชาร์โคล ซึ่งเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ

โดยทีมวิจัยได้นำกากต้นเฉาก๊วยมาผ่านกระบวนการสร้างรูพรุนด้วยการให้ความร้อนและสารเคมี เพื่อเพิ่มพื้นที่ผิวของวัสดุให้มีคุณสมบัติในการดูดซับ ก่อนจะพัฒนาเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในด้าน wastewater treatment โดยดูดซับไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) ที่ปนเปื้อนในแหล่งน้ำ และดูดซับสีย้อมเมทิลีนบลู (Methylene Blue Dye) ซึ่งเป็นสีย้อมที่นิยมใช้ในอุตสาหกรรมหลากหลายประเภท เพื่อลดมลพิษตกค้างในสิ่งแวดล้อม ‘ประสิทธิภาพของถ่านชีวภาพจากกากต้นเฉาก๊วยนั้นดียิ่งกว่าถ่านชีวภาพจากซังข้าวโพดหรือเมล็ดทานตะวันด้วย รวมถึงถ่านกัมมันต์จากวัสดุชีวมวลอีกหลาย ๆ ชนิด’

ทั้งนี้ รศ. ดร. ยุวรัตน์ กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า ผลงานวิจัยที่ถูกสร้างสรรค์ออกมาเป็นผลิตภัณฑ์เหล่านี้ แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของพืชเฉาก๊วยที่ไม่น้อยไปกว่าชีวมวลชนิดอื่น ๆ โดยหลังจากนี้ ทีมวิจัยจะยังคงเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์จากกากต้นเฉาก๊วยอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการนำขี้เถ้าที่เหลือภายหลังการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงอัดเม็ดจากกากต้นเฉาก๊วยมาทำให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้น เช่น อาจนำมาสร้างเป็นอิฐบล็อกจากขี้เถ้ากาก ซึ่งต้องบูรณาการการทำงานกับคณะหรือสาขาอื่น ๆ เพื่อนำองค์ความรู้มาร่วมกันต่อยอดต่อไป ไม่ให้งานวิจัยหยุดอยู่เพียงบนหิ้งเท่านั้น

ควันหลงเคาท์ดาวน์ปีใหม่! เพจ “มนุษย์ควัน” ชี้ โลกออนไลน์แห่ถกประเด็น “บุหรี่ไฟฟ้า” หนัก จี้ต้องควบคุมด่วน!

เพจ “มนุษย์ควัน” ยกกระแสข้อพิพาทบนโลกออนไลน์เกี่ยวกับประเด็น “บุหรี่ไฟฟ้า” ที่เพิ่งกลับมาเป็นที่ถกเถียงอีกครั้งในวงกว้างหลังเทศกาลเฉลิมฉลองปีใหม่่ โดยมีผู้ร่วมแสดงความคิดเห็นเกือบ 1 พันราย ตั้งแต่ประเด็นการใช้บุหรี่ไฟฟ้าของคนดัง รัฐมนตรี นักการเมือง ส.ส. การใช้บุหรี่ไฟฟ้าในเด็กวัยรุ่น รวมถึงการตั้งคำถามว่าเหตุใดผลิตภัณฑ์ที่ถูก “แบน” จึงถูกใช้งานอย่างแพร่หลาย พร้อมจี้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำบุหรี่ไฟฟ้ามาควบคุมให้ถูกกฎหมายรับปี 2024

นายสาริษฏ์ สิทธิเสรีชน แอดมินเพจเฟซบุ๊กและ X (ทวิตเตอร์) “มนุษย์ควัน” ซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 26,000 ราย ระบุในโพสต์อ้างอิงจากกรณีที่มีบัญชีผู้ใช้รายหนึ่ง กล่าวถึงประเด็นการใช้บุหรี่ไฟฟ้าว่า ‘เรื่องดูดพอตนี่มีคนพูดยัง’ ไปเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2567 ซึ่งข้อความดังกล่าวมีการเข้าชมกว่า 7.8 ล้านครั้ง และได้รับการแชร์ต่อกว่า 5,000 ครั้ง นอกจากนี้ยังมีผู้เข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็นนับ 800 ราย โดยประเด็นที่เป็นที่กล่าวถึงมีตั้งแต่ประเด็นมารยาททางสังคม การใช้บุหรี่ไฟฟ้าในที่สาธารณะ การใช้บุหรี่ไฟฟ้าในเด็กวัยรุ่น รวมถึงมีผู้ใช้จำนวนมากตั้งคำถามไปในทำนองเดียวกันว่า การที่บุหรี่ไฟฟ้าผิดกฎหมายในประเทศไทย แต่กลับมีผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าอย่างแพร่หลาย สรุปแล้วบุหรี่ไฟฟ้าผิดกฎหมายจริงหรือไม่

“มาฟังเสียงชาว X (หรือทวิตเตอร์) ถกกันเรื่องบุหรี่ไฟฟ้ารับปีมังกรกันครับ คาดว่าน่าจะฟิวส์ขาดหลังงานปีใหม่ เพราะเท่าที่ผมเจอมา ไม่ว่าจะงานเคาท์ดาวน์ไหนๆก็เจอคนสูบบุหรี่ไฟฟ้ากันเกลื่อนแบบไม่เลือกเวลาและสถานที่ ไม่แปลกที่จะโดนสาป (เพราะงั้นถึงได้บอกให้ควบคุมให้ชัดเจนสักที จะได้พูดได้เต็มปากว่าตรงไหนห้ามสูบ ตรงไหนสูบได้ ไม่งั้นก็ตีมึนกันไปเรื่อยแบบนี้นั่นแหละ)”
พร้อมกันนี้ นายสาริษฏ์ยังได้แนบข้อความของผู้ใช้ทวิตเตอร์รายอื่น ที่ออกมาแสดงความคิดเห็นต่อประเด็นดังกล่าวในเรื่องการใช้งานบุหรี่ไฟฟ้าที่แพร่หลายในไทยว่า “มันผิดกฎหมาย แต่คนไทยถ้ามี 60 ล้านคนก็คือดูดไปละ 50 ล้านคน ไม่แบ่งแยกอะไรดูดหมดทุกอาชีพ ทุกวัย ทุกเพศ ไม่เลือกดารา นักร้อง คนธรรมดา สรุปแล้วมันผิดกฎหมายจริงมั้ย งง”

นอกจากนี้ผู้ใช้ที่แสดงความเห็นเกี่ยวกับประสิทธิภาพของกฎหมายการแบนบุหรี่ไฟฟ้าระบุว่า “เป็นเรื่องปกติช่วง?? คนไทยมองเรื่องแบบนี้ปกติกันละหรอ เพราะกฎหมายมันไม่แข็งแรงรึเปล่า ละเลยกันจนคิดว่าไม่ผิดทั้งที่มันผิดละมั้ง จะบอกว่านี่โทษกฎหมายก็ได้นะ ก็กฎหมายมันง่อยจริง เคสตัวอย่างก็มีให้เห็นเรื่อยๆ แล้วก็ไม่ต้องภูมิใจหรือทำเป็นเรื่องปกตินะถ้าคนรอบข้างสูบอะ มันอุ” โดยข้อความนี้มีการเข้าชมกว่า 266,000 ครั้ง และได้ถูกแชร์ต่อไปกว่า 8,300 ครั้ง

ทั้งนี้ นายสาริษฏ์ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า การใช้บุหรี่ไฟฟ้ากลายเป็นความปกติใหม่ของสังคมไทย ที่แม้ทุกคนทราบดีแก่ใจว่ายังผิดกฎหมายอยู่ และไม่ควรมีการใช้อย่างแพร่หลายเช่นนี้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าการใช้บุหรี่ไฟฟ้าเป็นพฤติกรรมผู้บริโภคใหม่ที่กลายเป็นเรื่องปกติของสังคมแล้ว และการไม่มีกฎหมายควบคุมอย่างในปัจจุบัน ทำให้เกิดแต่ปัญหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของมารยาทการใช้งานในที่สาธารณะ จนทำให้เกิดการตั้งคำถามและวิพากวิจารณ์ถึงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกันอย่างแพร่หลาย จึงควรเป็นการบ้านสำหรับคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ บุหรี่ไฟฟ้า ในสภาผู้แทนราษฎร ที่ ส.ส. ทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลจะต้องหาทางแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับคนทั่วไปอย่างเร่งด่วน โดยทางเพจ จะยื่นหนังสือเพื่อขอเข้าไปร่วมให้ข้อมูลต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ภายในสัปดาห์นี้

ครั้งแรกของโลก EA เริ่มส่งมอบคาร์บอนเครดิตแก่สวิตเซอร์แลนด์จากโครงการ E - Bus ในพื้นที่กรุงเทพฯ ภายใต้ข้อตกลงปารีส Article 6.2 ขับเคลื่อนสู่เป้าหมาย NDC

บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA ได้เริ่มส่งมอบคาร์บอนเครดิตจากโครงการ “รถโดยสารประจำทางไฟฟ้าในพื้นที่กรุงเทพมหานคร” (“Bangkok E-Bus Programme”) ซึ่งเป็นโครงการซื้อขายคาร์บอนเครดิตระหว่างประเทศโครงการแรกของโลกที่มีการซื้อขายกันเกิดขึ้น ภายใต้ความตกลงปารีส Article 6.2  ซึ่งเป็นการร่วมมือกันระหว่างไทย-สวิตเซอร์แลนด์ ผ่านกรอบความร่วมมือกันระหว่างประเทศที่มีการระบุชัดเจนว่าจะต้องเป็นโครงการการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจที่อยู่นอกเหนือจากแผนการดำเนินงานของประเทศ (Nationally Determined Contributions : NDC) มีการปฏิบัติตรงตามมาตรฐานด้านคุณภาพต่อสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชน โดยมี Klik Foundation เป็นผู้ซื้อ Carbon Credit ที่เกิดขึ้นและนำ Carbon Credit ดังกล่าวไปลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ตามเป้าหมายที่ได้วางไว้

นายฉัตรพล ศรีประทุม ผู้อำนวยการโครงการกลยุทธ์ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการพัฒนาอย่างยั่งยืน บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า โครงการแลกเปลี่ยนคาร์บอนเครดิตภายใต้ข้อตกลงปารีส 6.2 ซึ่งรถโดยสารประจำทาง EV นี้เป็นโครงการอันดับแรกๆ ของโลกที่มีการแลกเปลี่ยนคาร์บอนเครดิตสำเร็จ โดยทาง EA มีความมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำในการส่งเสริมความร่วมมือกันระหว่างประเทศในด้านการรักษาสิ่งแวดล้อม การเดินหน้าของโครงการดังกล่าวจะเป็นการสนับสนุนให้เราก้าวเข้าสู่สังคม เศรษฐกิจแบบปลอดคาร์บอนฯ  อีกทั้งสามารถเข้าถึงเงินทุนระหว่างประเทศเพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และช่วยเป็นแรงกระตุ้นที่ดีสำหรับภาคเอกชนในการพัฒนาโครงการที่ช่วยรักษาและปกป้องสิ่งแวดล้อม

Mr. Michael Brennwald Head International, Klik Foundation กล่าวว่า “โครงการแลกเปลี่ยนคาร์บอนเครดิตภายใต้ความตกลงปารีส ของรถโดยสารประจำทาง EV นี้ เป็นโครงการนำร่อง เพื่อการสนับสนุนกิจกรรมการรักษาสิ่งแวดล้อมแบบยั่งยืน การแลกเปลี่ยนคาร์บอนเครดิตภายใต้ข้อตกลงปารีส 6.2 นั้น มีการร่วมกันพัฒนามาอย่างแข็งขันจากทุกภาคส่วน นอกจากนี้ยังมองหาโอกาสในการร่วมมือกับภาคเอกชนในประเทศไทยและประเทศข้างเคียง เพื่อที่จะสร้างโครงการในการร่วมมือกันระหว่างประเทศกับสวิตเซอร์แลนด์

ทั้งนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของทั้งประเทศไทยและประเทศสวิตเซอร์แลนด์ได้มีการลงนามในความร่วมมือระหว่างประเทศภายใต้ความตกลงปารีส 6.2 เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2565 โดยสัญญาแบบทวิภาคีกำหนดกรอบความร่วมมือกันระหว่างทั้งสองประเทศและสร้างแนวทางสำหรับ การพัฒนาโครงการเพื่อสิ่งแวดล้อม เพื่อจัดทำกรอบความร่วมมือโดยสมัครใจสำหรับการถ่ายโอนผลการลดก๊าซเรือนกระจกระหว่างประเทศและเป็นส่วนสำคัญในการเร่งให้เกิดการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำในประเทศไทยอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป

เลขาฯ อารี พบปะให้โอวาทแรงงานไทยฝึกภาษาอังกฤษ เตรียมความพร้อมก่อนไปทำงานในรัฐอิสราเอล

วันที่ 9 มกราคม 2567 นายอารี ไกรนรา เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานกล่าวให้โอวาทแรงงานไทยที่จะเดินทางไปทำงานในรัฐอิสราเอลจากค่ายฝึกอบรมเตรียมความพร้อมภาษาอังกฤษเพื่อไปทำงานในรัฐอิสราเอล โดยมี คุณอรัญญา สกุลโกศล ประธานสมาคมนายจ้างส่งเสริมแรงงานไทย นายบรรจง ฉุดพิมาย ประธานที่ปรึกษาสมาคมนายจ้างส่งเสริมแรงงานไทย พร้อมด้วยผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดปทุมธานี เข้าร่วมด้วย ณ ศูนย์ทดสอบฝีมือแรงงาน เคทีซี ลำลูกกา คลอง 4 ตำบลลาดสวาย จังหวัดปทุมธานี 

นายอารี กล่าวว่า ผมมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับเชิญจากสมาคมนายจ้างส่งเสริมแรงงานไทยให้มาเป็นประธานกล่าวให้โอวาทแก่คนงานที่เดินทางไปทำงานในรัฐอิสราเอลในวันนี้ ซึ่งกระทรวงแรงงาน โดยท่านพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้ฝากความห่วงใยมายังแรงงานไทยทุกคนที่จะเดินทางไปทำงานในรัฐอิสราเอล และขอให้กำลังใจต่อแรงงานไทยที่ต้องห่างไกลจากครอบครัว ซึ่งกระทรวงแรงงาน
ต้องขอขอบคุณสมาคมนายจ้างส่งเสริมแรงงานไทย และศูนย์ทดสอบฝีมือแรงงาน เคทีซี ลำลูกกา จังหวัดปทุมธานีแห่งนี้ ที่ได้สร้างหลักสูตรการฝึกอบรมการพัฒนาศักยภาพแรงงานไทย ทางด้านภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร 
และการฝึกอบรมความรู้พื้นฐานการทำงาน ประกอบด้วย 1) การฝึกอบรมค่ายภาษาอังกฤษ English Camp คนงานเข้าร่วมอบรม 120 คน เป็นเวลา 5 วัน 2) การฝึกอบรมความปลอดภัยการใช้บูมลิฟท์ และ เอ็กซ์ลิฟท์ 3) การฝึกอบรมผู้ให้สัญญาณเครน (Rigger) 4) การฝึกอบรมการปฐมพยาบาลเบื้องต้น (CPR) 5) การฝึกการติดตั้งนั่งร้าน ( Ringlock Scaffolding) และการทำงานในที่สูง 6) การฝึกอบรม (เพิ่มเติม) FCAW 3G (ฟลักคอร์ 3 จี) จำนวน 10 คน เพื่อเดินทางไปเกาหลี

“ความรู้ที่คนงานได้รับจะทำให้แรงงานไทยสามารถนำความรู้เหล่านี้ไปใช้เพื่อการแข่งขันในตลาดแรงงานโลก 
ซึ่งในเวทีโลกแรงงานไทยเป็นแรงงานที่มีฝีมือและมีสมรรถนะที่นายจ้างต่างประเทศมีความต้องการสูง เพื่อเป็นประโยชน์และเปิดโอกาสให้แรงงานไทย ให้สมดั่งคำที่ว่า แรงงานไทยสร้างชาติ” นายอารี กล่าวท้ายสุด

สำหรับการฝึกอบรมภาษาอังกฤษในครั้งนี้ จัดขึ้นโดยสมาคมนายจ้างส่งเสริมแรงงานไทย ซึ่งได้รับการประสานร่วมกับคณะทำงานเพื่อเตรียมความพร้อมด้านศักยภาพของแรงานไทยเพื่อไปทำงานในรัฐอิสราเอล โดยมีผู้เข้าอบรม จำนวน 120 คน ในการนี้คณะทำงาน ได้มีการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อเสริมสร้างทักษะภาษาอังกฤษพื้นฐาน การฝึกอบรมการให้ความรู้สัญญาณเครน (Rigger) การฝึกอบรมการขับรถบูมลิฟท์ เอ็กลิฟท์ และการเคลื่อนย้ายสิ่งของในที่สูง รวมทั้งอบรมให้ความรู้ทางด้านความปลอดภัยในที่ทำงาน เพื่อสร้างความตระหนักและจิตสำนึกด้านความปลอดภัยในที่ทำงานสำหรับแรงงานไทยก่อนเดินทางไปทำงานต่างประเทศอีกด้วย

คุณอรัญญา สกุลโกศล ประธานสมาคมนายจ้างส่งเสริมแรงงานไทย กล่าวว่า มีแรงงานไทยกว่า 200 คน ที่เดินทางไปทำงานในอิสราเอลแล้ว และมีแรงงานไทยกำลังฝึกภาษาอังกฤษพื้นฐาน และอบรมการขับรถบูมลิฟท์ เอ็กลิฟท์ อยู่อีกจำนวน 120 คน เพื่อเตรียมความพร้อมรอทางรัฐบาลไทยอนุญาตให้แรงงานไทยเดินทางไปทำงานที่อิสราเอลอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งการจะเดินทางไปทำงานในอิสราเอล อัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) ประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ จะมีการตรวจสอบไซต์งานก่อนจะอนุมัติให้แรงงานไทยเดินทางไปทำงาน อีกทั้ง ขณะนี้ทางอิสราเอลมีการเจรจากับจัดหางานเพื่อให้โควตาภาคก่อสร้าง จำนวน 6,000 ตำแหน่งกับรัฐบาลไทย จึงขอให้ทางรัฐบาล กระทรวงแรงงาน ช่วยเร่งพิจารณาผ่อนผันให้แรงงานไทยได้เดินทางกลับไปทำงานในอิสราเอลในโซนสีเขียวที่มีความปลอดภัยเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับแรงงานไทย รวมถึงต้องขอขอบคุณ ท่านอารี ไกรนรา เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ที่เป็นตัวแทน ท่านพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มาร่วมกล่าวให้โอวาทกับแรงงานไทยที่จะเดินทางไปทำงานในรัฐอิสราเอลในครั้งนี้

ร้อยเอ็ด…ออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. บำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างรอยยิ้มให้ประชาชน 

เมื่อวานนี้(9 มกราคม 2567) เวลา 09.30 น. นายทรงพล ใจกริ่ม ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด เป็นประธานกิจกรรมหน่วยแพทย์ พอ.สว. ครั้งที่ 4 และจังหวัดร้อยเอ็ดเคลื่อนที่ บำบัดทุกข์ บำรุงสุข และสร้างรอยยิ้มให้ประชาชน ครั้งที่ 3 เนื่องในวันสิ้นพระชนม์ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ โดยมี หัวหน้าส่วนราชการ เหล่ากาชาดจังหวัดร้อยเอ็ด นายอำเภอเมืองสรวง และพี่น้องประชาชน เข้าร่วมกิจกรรม ที่ โรงเรียนบ้านเมืองสรวง อำเภอเมืองสรวง จังหวัดร้อยเอ็ด 

ด้วยหน่วยแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ปฏิบัติงานโดยอาสาสมัครประกอบด้วยแพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร พยาบาลและเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ออกไปให้บริการประชาชนในพื้นที่ทุรกันดาร หลังจากที่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เสด็จเยี่ยมราษฎรตามพื้นที่ประชาชนห่างไกล ทรงพบว่าราษฎรเหล่านั้นเมื่อเจ็บป่วยไม่มีโอกาสได้รับรักษาจากแพทย์แผนปัจจุบัน จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ตั้งหน่วยแพทย์เคลื่อนที่โดยเสด็จฯอยู่เสมอ ทรงพระราชทานทุนทรัพย์ส่วนพระองค์จำนวน 1 ล้านบาทเป็นทุนเริ่มแรก 

โดยมีกิจกรรมการมอบสิ่งของพระราชทานแก่ราษฎรณ์ในพื้นที่ ประกอบไปด้วย ถุงยังชีพ และทุนการศึกษาแก่นักเรียน พร้อมมีการจัดบริการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ เช่น การตรวจคัดกรองภาวะสุขภาพ ทั้งนี้ ยังมีการจัดโครงการจังหวัดร้อยเอ็ดเคลื่อนที่ บำบัดทุกข์ บำรุงสุข จากทุกหน่วยงาน ที่จะเป็นประโยชน์ ในการรับบริการ ข้อมูลข่าวสาร และการส่งเสริมอาชีพ ซึ่งสามารถบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่พี่น้องประชาชนห รวมถึงสามารถแก้ไขปัญหา ตอบสนองความต้องการของประชาชน ต่อไป 

โกสิทธิ์/ร้อยเอ็ด(ห)
087-864-4400  081-377-2689

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติประชุมติดตามคดียาเสพติดรายสำคัญ ภ.จว.เชียงราย กำชับบูรณาการทุกภาคส่วนป้องกันปราบปรามยาเสพติดอย่างมีประสิทธิภาพ

พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เดินทางไปตรวจราชการในพื้นที่จังหวัดเชียงราย วันที่ 8-9 มกราคม 2567 โดยวานนี้ (8 ม.ค.67) ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้เดินทางไปยังตรวจเยี่ยมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.แม่สรวยพบ พ.ต.อ.ปริญญา เพชรมี ผกก.สภ.แม่สรวย พร้อมด้วยข้าราชการตำรวจ สภ.แม่สรวย รับการตรวจเยี่ยม โดยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและคณะผู้บังคับบัญชาได้สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำสถานีตำรวจ และร่วมรับประทานอาหารกับผู้ใต้บังคับบัญชา พร้อมมอบของบำรุงขวัญแก่ข้าราชการตำรวจในสังกัด เป็นการสร้างขวัญและกำลังแก่ข้าราชการตำรวจ โดยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้ขอบคุณกำลังพลทุกนาย และขอให้ทำหน้าที่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ด้วยหัวใจเป็นข้าราชการตำรวจของพระราชาในสายตาประชาชน 

วันนี้ (9 ม.ค.67) ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้บินสำรวจบริเวณจุดที่ตำรวจยิงปะทะกับขบวนการค้ายาเสพติด ต.แม่สลองใน อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย เมื่อวันที่ 7 ม.ค.67 ซึ่งสามารถตรวจยึดกระเป๋าเป้ จำนวน 21 ใบ ตรวจสอบภายในพบบรรจุยาไอซ์ใบละ 15 ห่อ น้ำหนักรวมทั้งหมด 323 กิโลกรัม 

จากนั้นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้เดินทางไปยัง ภ.จว.เชียงราย เพื่อประชุมติดตามความคืบหน้าการตรวจยึดคดียาเสพติดรายสำคัญของ สภ.แม่ฟ้าหลวง จว.เชียงราย โดยมี พล.ต.ท.กฤตธาพล ยี่สาคร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 , รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 , พล.ต.ต.มานพ เสนากูล ผบก.ภ.จว.เชียงราย , ข้าราชการตำรวจในสังกัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม 

ทั้งนี้ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 กล่าวว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2566 ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้มาประชุมขับเคลื่อนนโยบายและมาตรการในการป้องกัน สกัดกั้นและปราบปรามการลักลอบลำเลียงยาเสพติดตามแนวชายแดนภาคเหนือ ณ ห้องประชุม ด่านศุลกากรเชียงแสน อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ได้มอบนโยบายให้บูรณาการทำงานทุกภาคส่วน คุมเข้มมาตรการสกัดกั้นการลักลอบลำเลียงยาเสพติดตามแนวชายแดนภาคเหนือ ไม่ให้เข้าสู่พื้นที่ตอนในของประเทศ ให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม ให้ปราบปรามอย่างเข้มข้นและจริงจัง เพื่อตัดวงจรการค้าให้สิ้นซาก ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี รัฐบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทั้งนี้ ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2566 เป็นต้นมา ตำรวจภูธรภาค 5 ได้ร่วมบูรณาการกับทุกภาคส่วน ทั้งตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง สำนักงาน ป.ป.ส. และหน่วยที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีหน้าที่ในการสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดเข้าสู่ประเทศไทย ดำเนินการตามมาตรการสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติด การแก้ไขปัญหายาเสพติดของรัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อลดปริมาณยาเสพติดในพื้นที่ตอนในของประเทศ ให้ได้ผลอย่างเป็นรูปธรรมอย่างเข้มข้น จริงจัง และเด็ดขาด โดยมีผลการปฏิบัติในปีงบประมาณ 2567 ในห้วงเดือนตุลาคม 2566 ถึงต้นเดือนมกราคม 2567 จับกุมคดียาเสพติดรายสำคัญ เป็นยาบ้ามากถึง 60 ล้านเม็ด , ไอซ์ 520 กิโลกรัม เกิดเหตุปะทะ 12 ครั้ง ตรวจยึดยาบ้า 7 ล้านเม็ด , ไอซ์ 323 กิโลกรัม ผู้ต้องหาเสียชีวิต 20 คน 

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ครั้งนี้ได้มาเยี่ยมบำรุงขวัญ และให้กำลังใจผู้ปฏิบัติงาน ขอให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งตำรวจภูธรภาค 5 กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด กองกำลังผาเมือง ฝ่ายปกครอง บูรณาการการปฏิบัติ เพื่อ ป้องกันปราบปราม และสกัดกั้น ยาเสพติด ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะดำเนินการจัดหางบประมาณและเครื่องมือพิเศษ เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน และเกิดประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมกำชับผู้บังคับบัญชาให้ดูแลขวัญและกำลังใจของผู้ใต้บังคับบัญชา เพื่อไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับผลประโยชน์จากขบวนการยาเสพติด เน้นย้ำการใช้เทคโนโลยีมาใช้ในการปฏิบัติงานเพื่อให้เกิดความปลอดภัย และให้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ ทุกงานทุกด้านทุกเรื่อง กำชับข้าราชการตำรวจไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติดโดยเด็ดขาด ให้ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเข้มแข็ง

กสทช. และ สตช. ลงพื้นที่ชายแดนแม่สาย จับกุมสถานีโทรคมนาคมเถื่อน ลักลอบส่งสัญญาณแรงสูงข้ามประเทศไกลกว่า 40 กม. พร้อมเร่งออกมาตรการตีกรอบเสาสัญญาณแนวชายแดน

เมื่อวันที่ 9 ม.ค.66 เวลา 15.00 น. ศ.คลินิก นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธาน กสทช., พล.ต.อ.ดร.ณัฐธร เพราะสุนทร กสทช.ด้านกฎหมาย, พล.ต.ท.ดร.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. ดูแลงานด้านป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมเทคโนโลยี, พล.ต.ต.จิตติพนธ์ ผลพฤกษา ผบก.สอท.4, , นายสมบัติ ลีลาพตะ รกน.รองเลขาธิการ กสทช., นายพิชัย สุวรรณกิจบริหาร ผู้ทรงคุณวุฒิ กสทช., นายจาตุรนต์ โชคสวัสดิ์ รกน.ผู้ช่วยเลขาธิการ กสทช., นายสุธีระ พึ่งธรรม ผอ.สำนักกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคม, นายมนต์ชัย ณ ลำพูน ผอ.สำนักงาน กสทช. ภาค 3 พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ กสทช. ร่วมกันแถลงผลการจับกุมสถานีโทรคมาคมผิดกฎหมาย พบส่งสัญญาณแรงสูงข้ามไปประเทศเพื่อนบ้านไกลกว่า 40 กม. จากการขยายผลพบเชื่อมโยงแก๊งคอลเซ็นเตอร์ พร้อมหารือเร่งออกประกาศ กสทช. เรื่อง การอนุญาตและกำกับดูแลสถานีวิทยุคมนาคมบริเวณแนวชายแดน เพื่อแก้ไขการปัญหาการลักลอบส่งสัญญาณเอื้อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 

ศ.นพ.สรณฯ กล่าวว่า สำนักงาน กสทช. ขานรับนโยบายของภาครัฐในการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีโดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์และเว็บพนันออนไลน์ ที่มีฐานปฎิบัติอยู่ตามแนวชายแดนฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน โดยได้มอบหมายให้ พล.ต.อ.ณัฐธรฯ ขับเคลื่อนการทำงานร่วมกับ สตช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งที่ผ่านมามีผลการจับกุมอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงการขับเคลื่อนในการแก้ไขกฏหมายและระเบียบต่างๆ เพื่อให้การแก้ไขปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 
พล.ต.อ.ณัฐธรฯ กล่าวว่า ที่ผ่านมา กสทช. ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เดินหน้ากวาดล้างจับกุมสถานีโทรคมนาคมผิดกฎหมาย, จับกุมแหล่งจำหน่ายอุปกรณ์โทรคมนาคมผิดกฎหมาย, การเร่งจัดระเบียบเสาสัญญาณตลอดแนวชายแดนทั่วประเทศไม่ให้สัญญาณข้ามไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อตัดปัจจัยที่เอื้อแก๊งคอลเซ็นเตอร์และองค์กรอาชญากรรมรูปแบบต่างๆ ที่มาตั้งฐานอยู่ตามแนวชายแดน ควบคู่ไปกับการออก 7 มาตรการที่สำคัญของ กสทช. อาทิเช่น การระงับการโทรเข้าจากต่างประเทศในบางรูปแบบ, การจัดทำบริการ *138 ปฏิเสธการรับสายต่างประเทศ, การจัดทำระบบลงทะเบียนสำหรับผู้ส่งข้อความจำนวนมาก, การจำกัดลงทะเบียนซิมการ์ดจำนวนมากจะต้องทำการยืนยันตัวตน และ การยกเลิกการส่ง SMS จากสถาบันทางการเงินแนบลิงค์ต่างๆ การจับกุมในครั้งนี้พบข้อมูลเชิงลึกที่น่าสนใจว่า จากการวิเคราะห์เชิงเทคนิคโดยผู้เชี่ยวชาญของ กสทช. พบว่าสถานีโทรคมมาคมเถื่อนที่ถูกจับกุมในครั้งนี้ สามารถแพร่สัญญาณแรงสูงทั้งในส่วนของสัญญาณโทรศัพท์และอินเตอร์เน็ตข้ามไปยังประเทศเพื่อนบ้านไกลกว่า 40 กิโลเมตร รองรับผู้ใช้งานพร้อมกันได้เป็นจำนวนหลักพันราย ครอบคลุมพื้นที่เศรษฐกิจหลายร้อยตารางกิโลเมตร ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีแก๊งคอลเซ็นเตอร์แฝงตัวอยู่เป็นจำนวนมาก เรื่องนี้ถือเป็นโจทย์ใหญ่ที่ทุกฝ่ายต้องร่วมกันแก้ไข โดยล่าสุด กสทช. ได้ยกร่างประกาศ กสทช. เรื่อง การอนุญาตและกำกับดูแลสถานีวิทยุคมนาคมบริเวณแนวชายแดน กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการที่ชัดเจนสำหรับผู้ประกอบการที่มีความประสงค์จะตั้งเสาสัญญาณใหม่ในพื้นที่ชายแดน กำหนดให้มีระยะร่นจากเส้นเขตแดน และต้องหันทิศทางแพร่สัญญาณเข้ามาในประเทศไทย และตนได้กำชับให้ สำนักงาน กสทช. ส่วนภูมิภาคทุกแห่ง ออกตรวจสอบสถานีโทรคมนาคมและเสาสัญญาณในพื้นที่รับผิดชอบ หากพบการแพร่สัญญาณข้ามไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ให้รีบประสานผู้ประกอบการแก้ไขปรับปรุง หากผู้ประกอบการรายใดละเลยไม่ปฏิบัติตาม ให้ดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องทุกราย 

พล.ต.ท.ธัชชัยฯ กล่าวว่า ในวันนี้เป็นการดำเนินการร่วมกันระหว่าง สตช. และ กสทช. ตามนโยบายที่ได้รับมอบหมายจากท่าน พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. ที่ได้สั่งการให้ พล.ต.ท.ธัชชัยฯ เป็นตัวแทน ในการลงพื้นที่ตรวจสอบสถานีโทรคมนาคมและเสาสัญญาณตลอดแนวชายแดนด้าน จ.เชียงราย พบว่ามีการตั้งสถานีโทรคมนาคมและเสาสัญญาณผิดกฎหมายหลายแห่ง จึงได้สั่งการให้ สอท. ดำเนินการสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขอหมายศาล จนนำไปสู่การจับกุมผู้กระทำผิดพร้อมของกลาง โดยมีรายละเอียด ดังนี้

สอท. ร่วมกับ กสทช. เข้าตรวจสอบและจับกุมสถานีวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต พบการลักลอบส่งสัญญาณโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ในพื้นที่ ต.เวียงพางคำ อ.แม่สาย จับกุมผู้กระทำผิดพร้อมด้วยของกลาง ประกอบด้วย เครื่องวิทยุคมนาคม, อุปกรณ์การจ่ายสัญญาณพร้อมกระแสไฟฟ้า และสายนำสัญญาณพร้อมหัวต่อ เป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นความผิดฐาน “มีและใช้ซึ่งเครื่องวิทยุคมนาคมและตั้งสถานีวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับใบอนุญาต” ตาม พรบ.วิทยุคมนาคมฯ และฐาน “ประกอบกิจการโทรคมนาคมซึ่งต้องได้รับใบอนุญาตแบบที่หนึ่งโดยไม่ได้อนุญาต” ตาม พรบ.ว่าด้วยการประกอบกิจการโทรคมนาคมฯ ในการนี้ชุดจับกุมได้ทำการรื้อถอนอุปกรณ์ทั้งหมดนำส่ง สภ. แม่สาย จ.เชียงราย เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป ในเรื่องนี้ตนได้กำชับไปยังตำรวจทุกหน่วย ให้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่สืบสวนหาข่าว การลักลอบตั้งสถานีโทรคมนาคมผิดกฎหมายในลักษณะกล่าว เพื่อสกัดกั้นไม่ให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์เข้าถึงสัญญาณได้โดยง่ายเหมือนในอดีตที่ผ่านมา

กรมอู่ทหารเรือ จัดกิจกรรมเนื่องในวันคล้ายวันสถาปนา ครบรอบ 134 ปี

วันที่ 9 ม.ค.67 พลเรือโท ธิติ  นาวานุเคราะห์ เจ้ากรมอู่ทหารเรือ จัดกิจกรรมเนื่องในวันคล้ายวันสถาปนากรมอู่ทหารเรือ ครบรอบปีที่ 134 โดยมีนายทหารชั้นผู้ใหญ่ อดีตผู้บังคับบัญชา และผู้แทนหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในพื้นที่สัตหีบ เข้าร่วมในพิธี ณ กองบังคับการกรมอู่ทหารเรือ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี

การจัดกิจกรรมเนื่องในวันคล้ายวันสถาปนากรมอู่ทหารเรือวันนี้ ได้จัดพิธีสงฆ์โดยนิมนต์พระสงฆ์ 10 รูป มาเจริญพระพุทธมนต์ เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่หน่วยงาน ข้าราชการ และเพื่อเป็นการอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับอดีตผู้บังคับบัญชา ข้าราชการในสังกัดที่ล่วงลับไปแล้ว

พลเรือโท ธิติ  นาวานุเคราะห์ เจ้ากรมอู่ทหารเรือ กล่าวว่า กรมอู่ทหารเรือ ดำเนินการซ่อมสร้างเรือตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ซึ่งในสมัยนั้น ได้มีเรือกลไฟใช้ราชการในยุคนั้นมีชื่อเรียกว่า อู่เรือหลวง กรมอู่ทหารเรือ ตั้งอยู่ด้านใต้ของวัดระฆังโฆสิตาราม จังหวัดธนบุรี มีเนื้อที่ 40 ไร่ กาลเวลาต่อมา เรือหลวงมีมากขึ้นและมีขนาดของเรือใหญ่ขึ้นมาเป็นลำดับ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าโปรดให้สร้างอู่ไม้ขนาดใหญ่ และเสด็จพระราชดำเนิน ประกอบพิธีเปิดอู่เรือหลวงเป็นปฐมฤกษ์ 

เมื่อวันศุกร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ.2433 จึงได้ถือเอาวันที่ 9 มกราคม ของทุกปี เป็นวันคล้าย วันสถาปนากรมอู่ทหารเรือ กิจการอู่เรือก็ได้เริ่มดำเนินการและได้มีการเปลี่ยนแปลง ปรับปรุงในด้านองค์วัตถุที่สำคัญ ๆ เพื่อเพิ่มพูนขีดความสามารถให้พอเพียงกับจำนวนเรือ และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี วันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ.2465 ได้ทรงกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พลเรือเอกพระบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เสนาธิการทหารเรือ มาเป็นผู้บัญชาการในหน้าที่เจ้ากรมยุทธโยธาทหารเรืออีกตำแหน่งหนึ่ง ปี พ.ศ.2475 สร้างอู่ใหม่ขนาดกว้าง 9.8 เมตร ยาว 130 เมตร ลึก 4 เมตร เรียกว่าอู่หมายเลข 2 
          
ปัจจุบันกรมอู่ทหารเรือมีภารกิจ คือ มีหน้าที่อำนวยการ ประสานงาน แนะนำ กำกับการ และดำเนินการในเรื่องการซ่อม สร้างดัดแปลง ทดสอบ วิจัยและพัฒนาเกี่ยวกับเรือ อากาศยาน ยานรบ และอุปกรณ์ การช่างที่เกี่ยวข้อง การส่งกำลังพัสดุสายช่างตลอดจนให้การฝึก และศึกษา วิชาอื่นๆ ตามที่ได้รับมอบหมายซึ่งมีเจ้ากรมอู่ทหารเรือเป็นผู้บังคับบัญชารับผิดชอบ

‘อุ๊งอิ๊ง’ เซ็นตั้ง ‘นนกุล’ นั่งอนุกรรมการซอฟต์พาวเวอร์ พร้อมเดินหน้าผลักดันอุตสาหกรรม ‘ภาพยนตร์’ เต็มที่

เมื่อวานนี้ (9 ม.ค.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ที่ 1/2567 ออกคำสั่ง เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านภาพยนตร์ เพิ่มเติม ระบุว่า…

ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 268/2566 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ลงวันที่ 6 ตุลาคม 2566 นั้น เพื่อให้การดำเนินงานของคณะกรรมการดังกล่าวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ อาศัยอำนาจตามความในข้อ 2 (6) ของคำสั่งดังกล่าวข้างต้น 

คณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ จึงมีคำสั่งให้ปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านภาพยนตร์ เพิ่มเติม ดังต่อไปนี้

1. นายชานน สันตินธรกุล เป็น อนุกรรมการ

ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป 
สั่ง ณ วันที่ 9 มกราคม 2567
(ลงชื่อ) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร 
ประธานกรรมการพัฒนาชอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ 

'จีน' ล้ำ!! พัฒนา 'ผิวหนังอิเล็กทรอนิกส์’ ควบคุมอุณหภูมิให้คงที่ได้ เล็งใช้เป็นส่วนประกอบสำคัญของหุ่นยนต์อัจฉริยะแห่งอนาคต

(10 ม.ค. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า คณะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหนานฟาง (SUSTech) ได้พัฒนาผิวหนังอิเล็กทรอนิกส์ควบคุมอุณหภูมิได้ หรือ เทอร์โม-อี-สกิน (thermo-e-skin) ที่ประกอบขึ้นจากโครงสร้างลอกเลียนแบบทางชีวภาพ ซึ่งเลียนแบบกลไกการควบคุมอุณหภูมิของร่างกายมนุษย์ ผ่านการผสมผสานอุปกรณ์เทอร์โมอbเล็กทริกที่มีความยืดหยุ่นเข้ากับวัสดุไฮโดรเจลคอมโพสิท (hydrogel composite)

ผิวหนังอิเล็กทรอนิกส์ดังกล่าว สามารถรักษาอุณหภูมิพื้นผิวให้คงที่อยู่ที่ 35 องศาเซลเซียส ตลอดช่วงอุณหภูมิแวดล้อมตั้งแต่ 10-45 องศาเซลเซียส ด้วยความสมดุลของการสร้างและการกระจายความร้อนช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาผิวหนังอิเล็กทรอนิกส์บรรลุการทำงานของระบบสัมผัสเสมือนมนุษย์ และสร้างการตอบสนองของระบบประสาทที่เสถียร ผ่านการเลียนแบบร่างกายมนุษย์ในระดับที่แตกต่างกันออกไป ส่งผลให้มันเป็นส่วนประกอบสำคัญสำหรับหุ่นยนต์อัจฉริยะแห่ง

อนาคต ทว่าฟังก์ชันการควบคุมอุณหภูมินี้จำกัดอยู่ที่เพียงการทำความร้อนหรือทำความเย็นแบบธรรมดา และไม่อาจรักษาการควบคุมอุณหภูมิคงที่เป็นเวลานานในสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อนและมีการเปลี่ยนแปลง

อนึ่ง การศึกษาดังกล่าวได้รับการเผยแพร่ในวารสารนาโนเอ็นเนอร์จี (Nano Energy)


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top