Wednesday, 2 July 2025
NewsFeed

‘สตาร์ตอัปฝรั่งเศส-อเมริกัน’ ผุด ‘ไบโอพ็อด’ โดมเพื่อการเกษตร เตรียมปลูกพืชบนอวกาศ รับการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ในอนาคต

(8 ม.ค. 67) รายงานข่าวจาก บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพ อินเทอร์สเตลลาร์ แล็บ สตาร์ทอัพสัญชาติฝรั่งเศส-อเมริกัน ซึ่งมีสำนักงานตั้งอยู่ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส และในนครลอสแอนเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นผู้ออกแบบโดมเพื่อการเกษตรที่มีชื่อเรียกว่า ‘ไบโอพ็อด’ (BioPod) ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยเกษตรกรสร้างผลผลิตในท้องถิ่น และสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้น้อยลง

บาร์บารา เบลวีซี ผู้ก่อตั้งบริษัท ยกตัวอย่างว่า ในแง่การลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมนั้น การทดลองปลูกต้นวานิลลาภายในโดมไบโอพ็อด จะเป็นการช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการขนส่งวานิลลาจากประเทศหนึ่งไปยังอีกประเทศหนึ่ง

“นอกจากนี้ เรายังใช้ทรัพยากรนํ้าอย่างมีประโยชน์มากขึ้นเทียบกับการเกษตรแบบดั้งเดิม เพราะด้วยวิธีการใหม่นี้ 99% ของนํ้า จะถูกรีไซเคิลและนำกลับมาใช้ใหม่ อีกทั้งยังเป็นการนำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากชั้นบรรยากาศไปเพิ่มระดับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ภายในโดม” เบลวีซีอธิบาย

การจัดวางองค์ประกอบต่าง ๆ ยังช่วยให้สามารถใช้พื้นที่สำหรับการเกษตรอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเน้นการใช้พื้นที่แนวตั้งมากกว่าแนวขยายรูปทรงภายนอกของโดมไบโอพ็อด มีลักษณะกลมรี ตัวฐานใช้วัสดุที่สามารถถอดประกอบได้ง่าย พื้นชั้นล่างสุดจะเป็นที่เก็บอุปกรณ์ระบบภายใน ส่วนหลังคาด้านบนใช้เป็นวัสดุโพลิเมอร์เป่าลมให้พองออกได้คล้ายกับโดม

ด้านในประกอบไปด้วยระบบควบคุมอุณหภูมิ ความชื้น ปริมาณออกซิเจน และคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศ รวมถึงแสง และนํ้า นอกจากนี้ยังมีระบบหมุนเวียนรีไซเคิลทั้งนํ้าและอากาศกลับมาใช้ใหม่ เพื่อความยั่งยืนอีกด้วย

ด้วยแนวคิดให้เป็นโมดูลผลิตอาหารแบบยั่งยืน ภายในโดมซึ่งมีพื้นที่ใช้สอยขนาด 55 ตารางเมตร ได้รับการออกแบบให้มีความทนทานต่อสภาพอากาศที่รุนแรงบนอวกาศ โดยตั้งสมมุติฐาน ถ้ามนุษย์ตั้งถิ่นฐานบนดวงจันทร์ อุณหภูมิที่นั่นเมื่อแสงอาทิตย์ส่องอาจจะร้อนได้ถึง 127 องศาเซลเซียส หรือลดลงต่ำสุดได้ถึง -173 องศาเซลเซียสในเวลากลางคืน

‘ไบโอพ็อด’ โดมปลูกพืชบนดวงจันทร์

ทั้งนี้ จากความร่วมมือกับองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา หรือ นาซ่า (NASA) จะมีการนำโดมเพื่อการเกษตรไบโอพ็อดนี้ ออกไปทดลองปลูกพืชในอวกาศด้วย โดยมีกำหนดใช้งานบนดวงจันทร์ภายในปี 2027เป้าหมายเพื่อพัฒนาเรือนปลูกพืชสำหรับใช้งานในอวกาศ รองรับการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ในอนาคต ซึ่งอาจจะเป็นดวงจันทร์ที่นาซ่ากำลังมีโครงการนำมนุษย์ไปยังดวงจันทร์ภายในปี 2024 นี้

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ผู้บริหารของอินเทอร์สเตลลาร์ แล็บ ได้เข้าร่วมการประชุมสภาพภูมิอากาศ COP28 ที่จัดโดยสหประชาชาติที่เมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) เมื่อเร็ว ๆ นี้ เพื่อแนะนำโครงการและระดมทุนสำหรับ

โครงการนี้ โดยคาดว่าเมื่อบริษัทผลิตโดมไบโอพ็อดออกจำหน่ายเพื่อการพาณิชย์ จะมีราคาอยู่ที่ประมาณ 350,000 ดอลลาร์ หรือราว 12 ล้านบาท

ผู้บริหารของบริษัทกล่าวว่า หลายภูมิภาคทั่วโลกมีอุณหภูมิร้อนขึ้น นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าการผสมพันธุ์ดัดแปรพันธุกรรมอาจนำไปสู่การปรับปรุงพืชให้สามารถทนทานต่อความร้อนได้ดีขึ้น แต่พืชบางชนิดเช่น มันฝรั่ง ก็มีความเสี่ยงที่ผลผลิตจะลดลงเนื่องจากอุณหภูมิที่สูงขึ้น ดังนั้น การนำไบโอพ็อดไปใช้ในพื้นที่ดังกล่าวสามารถทำหน้าที่เป็นวิธีหนึ่งในการรับรองว่าพืชผลบางชนิดจะปลอดภัยจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป

นอกจากนี้ ไบโอพ็อดยังสามารถปกป้องและอนุรักษ์พืชที่อยู่นอกแหล่งที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติของพืชนั้นๆ จึงอาจกล่าวได้ว่า นี่คืออีกเครื่องมือหนึ่งของมนุษย์ในการปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพทางการเกษตร นอกเหนือไปจากธนาคารเมล็ดพันธุ์และสวนพฤกษศาสตร์

อย่างไรก็ตาม การพัฒนาไบโอพ็อด เป็นเพียงขั้นตอนแรกของภารกิจที่ยิ่งใหญ่ในการช่วยให้มนุษย์สามารถใช้ชีวิตอย่างกลมกลืนกับสภาพแวดล้อมที่พวกเขาเลือกอยู่ไม่ว่าจะเป็นบนโลก ในอวกาศ หรือบนดวงจันทร์ แนวคิดของอินเทอร์สเตลลาร์ แล็บ ซึ่งเป็นเจ้าของนวัตกรรมนั้น ต้องการให้ไบโอพ็อด สามารถรับมือกับความท้าทายที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ นั่นคือการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และเพื่อปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ การทำฟาร์มอย่างยั่งยืน และการจัดการทรัพยากรอย่างมีความรับผิดชอบ เพื่อเป็นหลักประกันว่า มนุษย์จะมีความมั่นคงทางอาหาร ไม่ว่าพวกเขาเลือกจะอยู่ที่ไหนบนโลกใบนี้ หรือแม้แต่บนดาวเคราะห์

'นายกฯ' ยินดี 'ตุ๊กๆ ออนทัวร์' ผลงานทีมนักศึกษาอาชีวะไทย คว้าอันดับ 1 การแข่งขันแกะสลักหิมะนานาชาติที่จีน

(8 ม.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ชื่นชมความสำเร็จของทีมนักศึกษาอาชีวะไทย สามารถทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม คว้ารางวัลชนะเลิศอันดับ 1 และรางวัลที่ 3 จากการแข่งขันแกะสลักหิมะนานาชาติ ครั้งที่ 16 ประจำปี 2567 (The 16th International Collegiate Snow Sculpture Contest (2024)) ณ เมืองฮาร์บิน สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 4 – 7 มกราคม 2567 ที่ผ่านมา เป็นการนำความรู้และทักษะวิชาชีพมาฝึกประสบการณ์จริงผ่านการแข่งขัน สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศ และแสดงศักยภาพของเยาวชนไทยสู่สายตานานาชาติ 

ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) จัดส่งทีมนักศึกษาอาชีวศึกษาไทย จำนวน 3 ทีม จาก 3 สถาบัน ได้แก่ วิทยาลัยอาชีวศึกษาเสาวภา, วิทยาลัยอาชีวศึกษาสุราษฎร์ธานี และวิทยาลัยอาชีวศึกษาสระบุรี เข้าร่วมการแข่งขันแกะสลักหิมะนานาชาติประจำปี 2567 ซึ่งการแข่งขันนี้มีตัวแทนจาก 6 ประเทศ ได้แก่ จีน, รัสเซีย, อังกฤษ, อิตาลี, ออสเตรเลีย และไทย รวมทั้งหมด 58 ทีมเข้าร่วมแข่งขัน 

โดยผลการแข่งขันปรากฏว่า ทีมนักศึกษาอาชีวะไทย สามารถทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ได้รับรางวัล ดังนี้

- รางวัลชนะเลิศอันดับที่ 1 จากวิทยาลัยอาชีวศึกษาเสาวภา ในผลงานชื่อ 'ตุ๊ก ๆ ออนทัวร์' โดยการนำรถตุ๊กๆ มาเป็นสื่อกลาง สะท้อนวัฒนธรรมและประเพณีของไทย ผ่านศิลปะไทยร่วมสมัย

- รางวัลที่ 3 จากวิทยาลัยอาชีวศึกษาสุราษฎร์ธานี ในผลงานชื่อ ‘มนุษย์ กับ ธรรมชาติ’ สะท้อนความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของมนุษย์ ซึ่งอาจสร้างผลกระทบต่อธรรมชาติ โดยต้องการสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของธรรมชาติ และการสร้างสมดุล

- รางวัลที่ 3 จากวิทยาลัยอาชีวศึกษาสระบุรี ในผลงานชื่อ 'โลกแห่งสันติภาพ' (World of peace) เพื่อให้ทุกคนบนโลก ตระหนักถึงความสำคัญ และงดใช้ความรุนแรง สร้างสันติภาพให้เกิดขึ้น

“นายกรัฐมนตรีชื่นชม และแสดงความยินดีกับทีมนักศึกษาอาชีวะไทยซึ่งเป็นแบบอย่างที่ดี สร้างความภาคภูมิใจเเละชื่อเสียงให้กับประเทศไทยเป็นอย่างมาก พร้อมชื่นชมอาจารย์ที่ฝึกสอน และขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนที่สนับสนุนให้เยาวชนไทยได้ออกไปหาประสบการณ์จริงในระดับโลก โดยหวังว่าความสำเร็จในครั้งนี้ จะเป็นต้นแบบ จุดประกายให้เด็กและเยาวชนรุ่นต่อ ๆ ไป มีความพยายาม และกล้าที่จะทำตามความฝันของตัวเองเพื่ออนาคต” นายชัยกล่าว

‘กมธ.วิสามัญฯ’ โครงการ ‘แลนด์บริดจ์’ ลงพื้นที่ จ.ชุมพร  เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย

(8 ม.ค.67) จากเพจเฟซบุ๊ก Thai PBS ศูนย์ข่าวภาคใต้ โพสต์คลิปเกี่ยวกับ กมธ.วิสามัญฯ รับฟังความคิดเห็น ‘แลนด์บริดจ์’ ชุมพร-ระนอง โดยระบุว่า…

‘โครงการแลนด์บริดจ์’ ที่จังหวัดชุมพร ทางคณะกรรมการวิสามัญพิจารณาศึกษาโครงการนี้ได้ไปลงพื้นที่ตรวจสอบรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้เสีย โดยเฉพาะประชาชนที่อยู่ในพื้นที่อําเภอพะโต๊ะ ปรากฏว่า…ประชาชนนั้นแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ต้องการโครงการแลนด์บริดจ์ ซึ่งเขาบอกว่ามันกระทบกับอาชีพที่มั่นคงอยู่แล้ว

ซึ่งผู้ร่วมรับฟังความเห็นได้มีการนําป้ายคัดค้านโครงการแลนด์บริดจ์ ชุมพร-ระนอง มาแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ภายในหอประชุมองค์การบริหารส่วนตําบลพะโต๊ะ อําเภอพะโต๊ะ จังหวัดชุมพร โดยวันนี้ทางคณะกรรมการวิสามัญพิจารณาโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้เชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน หรือ แลนด์บริดจ์ สภาผู้แทนราษฎรก็ลงพื้นที่รับฟังความคิดเห็น และความกังวลของชาวอําเภอพะโต๊ะ ซึ่งก็คือผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิต โดยเฉพาะการประกอบอาชีพเกษตรที่มีรายได้มั่นคงจากการทําสวนทุเรียน ทําสวนปาล์มอยู่แล้ว

“ท่านโฆษณาว่าเป็นโครงการระดับโลก…แต่ผมคิดว่าเป็นโครงการอธิมหาวินาศภัยครั้งยิ่งใหญ่จริงไหมครับ แล้วยิ่งใหญ่ยังไง ยิ่งใหญ่เพราะแลนด์บริดจ์มาแล้วเกลี้ยง!” ชาวอำเภอพะโต๊ะ จ.ชุมพร ท่านหนึ่งได้กล่าวไว้

ส่วนเวทีรับฟังความคิดเห็นที่อําเภอหลังสวน ประชาชนก็มีทั้งเห็นด้วยและคัดค้าน โดยเรียกร้องให้มีการศึกษาผลกระทบอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะผลกระทบจากการถมทะเลบริเวณแหลมริ้ว เพื่อก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกในฝั่งทะเลอ่าวไทย คนที่เห็นด้วยบอกว่าแลนด์บริดจ์จะเป็นโครงการพัฒนาขนาดใหญ่และจะเป็นจุดเปลี่ยนที่นําไปสู่ความเจริญเข้าพื้นที่และประเทศไทย 

นายชัยภัฎ จันทร์วิไล เครือข่ายประชาชนเพื่อพัฒนาโครงการแลนด์บริดจ์ กล่าวว่า “ถ้าพูดในแง่ภูมิศาสตร์มันเหมาะสมในการที่จะ ‘ทรานสปอร์’ หรือมาตั้งโรงกลั่นน้ำมัน เอาน้ำมันดิบมากลั่นออกไปอีกทาง ญี่ปุ่นใช้น้ำมัน จีนใช้น้ำมัน ทุกคนก็ใช้น้ำมัน มันจึงเกิดระบบโลกใหม่ ผมถึงคิดว่าแลนด์บริดจ์เป็นโปรเจกต์ เป็น Game Changer ซึ่งในวันนี้ทางภาครัฐก็พยายามที่จะผลักดัน”

คณะกรรมการวิสามัญได้ลงพื้นที่ไปดูสถานที่ก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกฝั่งอ่าวไทย บริเวณแหลมริ้ว อําเภอหลังสวน รวมถึงเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน ทั้งในอําเภอพะโต๊ะและอําเภอหลังสวน ซึ่งประธานคณะกรรมาธิการวิมัญบอกว่าการลงพื้นที่ก็เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนได้แสดงความคิดเห็น ซึ่งยังไม่ถือว่าเป็นการตัดสินใจว่าจะมีการเดินหน้าโครงการนี้หรือไม่ เพราะว่าต้องศึกษาข้อมูลอย่างรอบด้านก่อน 

นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ปธ.คณะกรรมาธิการฯ ศึกษาโครงการแลนด์บริดจ์ กล่าวว่า “เราเป็นฝ่ายนิติบัญญัติของสภาผู้แทนราษฎร เพราะฉะนั้นจึงลงมาฟัง ถ้าเราฟังทุกทีอาจจะเชิญผู้ว่าฯ รองผู้ว่านายกอบจ. หรือ อุตสากรรมต่างๆ ไปพูดคุยเรื่องการท่องเที่ยว ก็จะได้ข้อมูลอีกมุมหนึ่ง โดยวันนี้เราทุกคนตั้งใจทั้งหมด เพื่อมารับฟังจากพี่น้องประชาชนจริงๆ ซึ่งก็ดีครับ ได้ฟังหลายบรรยากาศ ได้เข้าใจพ่อแม่พี่น้องประชาชนชาวจังหวัดชุมพรมากขึ้น” 

ส่วนทางนายประเสริฐพงษ์ สอนนุวัฒน์ กรรมาธิการศึกษาโครงการแลนด์บริดจ์จากพรรคก้าวไกลได้บอกว่าโครงการนี้เป็นโครงการขนาดใหญ่ที่ส่งผลกระทบหลายด้าน รวมถึงผลการศึกษาจากหลายหน่วยงานก็ระบุว่าเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่า และไม่ใช่เส้นทางเดินเรือที่เป็นความต้องการของผู้ประกอบการเดินเรือ หากจะเดินหน้าโครงการทางสํานักงานนโยบายและแผนการขนส่ง
และจราจร หรือ สนข. จะต้องมีคําอธิบายที่ชัดเจนว่าคุ้มค่ากับสิ่งที่จะต้องสูญเสียหรือไม่…

น่าน้อยใจ!! คนเก่งแห่งวงการ 'ศิลปะ-ดนตรี-กีฬา' สื่อไทยส่วนใหญ่กลับไม่สนใจเท่ากับเรื่องชู้สาว

บ้านเราเวลาที่มีข่าวคาว ๆ ของชาวบ้านทั่วไป หรือจะเป็นคนดังในวงสังคมก็ตาม เช่น ผัวตบเมีย เมียคบชู้ ผัวมีกิ๊ก เมียหลวงตามตบเมียน้อย แฟนไปแอบมีอะไรกับคนอื่น ฯลฯ สื่อจำนวนไม่น้อยมักจะให้คุณค่าของข่าว 'ชู้สาว' สูงราวกับว่าเป็น 'อาหารสมองชั้นเลิศ' ที่จะทำให้ประชาชนคนในชาติที่ติดตามดูจะมีความฉลาดล้ำ

แต่ที่จริง ยิ่งนำเสนอ และยิ่งผลักดันให้ข่าวเหล่านี้อยู่ในกระแสยาวนานเท่าไหร่ คนไทยก็จะยิ่งโง่ลง ไม่มีทางที่จะทำให้มีโลกทัศน์ ชีวทัศน์กว้างไกลไปกว่าเดิม   

เปรียบได้กับการฉีดผงขาวเข้าเส้นเลือด ป้อนให้เหล่าประชาชนที่มีภูมิต้านทานทางชีวิตที่ต่ำเสพ คอยมอมเมาชนิดที่ไม่ให้หลับไม่ให้นอน ลืมตามาเมื่อไหร่ก็มีใส่พานตั้งรอไว้ที่หน้าฟีดจนเกลื่อน ใครติดแล้วก็ต้องไล่ควานหาข่าวลบ ๆ ของใครสักคนมาเสพเพื่อให้เลือดความอยากรู้ในเรื่องไร้ประโยชน์กับชีวิตมันสูบฉีด 

ตาโหล ตาดำคล้ำ เพราะตามติดข่าวใต้สะดือของครอบครัวคนอื่น จนลืมหน้าที่ความเป็นคนว่าเมื่อมีโอกาสเกิดมามีชีวิตแล้วนั้น ควรหันไปให้ความสำคัญกับสิ่งใดที่จะสามารถสร้างประโยชน์ให้กับตัวเอง และสังคมส่วนรวม ทำให้คนไทยนับถือศาสนาพุทธจำนวนมากยุคนี้ ไม่รู้จักคำสอนดี ๆ ของพระพุทธเจ้าเลย แต่กลับรู้จักว่าใครคนไหนมีเมีย มีผัว มีลูกกี่คน และใครเลิกคบกับใคร?!

กลายเป็น 'มนุษย์เสือก' เรื่องชาวบ้านไปโดยปริยาย

คนที่เก่งกาจด้านศิลปะ ดนตรี หรือกีฬา ที่โลกใบนี้ควรเชิดชู ยกย่อง ควรประกาศก้องให้เป็นแบบอย่างในทางที่ดีแก่มวลมนุษยชาติ สื่อไทยจำนวนไม่น้อยกลับพากันเมิน ทั้ง ๆ ที่ตนเองมีศักยภาพมากพอที่จะทำให้จำนวน 'คนโง่' ลดน้อยลง และยังเพิ่มจำนวนคนที่ 'คิดเป็น' ให้กับประเทศชาติของตนเองได้ ถ้าใส่ใจที่จะคิดผลักดัน 'คนเก่งของสังคม' ให้เป็นแบบอย่างที่ดีงามกันจริง ๆ

สื่อที่ขาดความหวังดีกับสังคม และมีวิสัยทัศน์ที่น้อยนิดก็มักจะให้เหตุผลว่า ถ้านำเสนอเรื่องดี ๆ ของคนดี ๆ แล้วเรตติงจะไม่สูง เพราะคนไม่อยากดู 

แต่สำหรับสื่อที่มีความหวังดีต่อสังคมไทย เขาจะยืนหยัดทำในสิ่งที่จะช่วยให้คนในชาติมีสติปัญญาที่ดีมากขึ้น ยืนหยัดที่จะนำเสนอแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อโลกใบนี้อย่างท้าทาย ซึ่งมีไม่กี่สื่อในประเทศไทย 

ถ้าจะนับนิ้วมือ กับนิ้วตีนรวมกัน ก็ยังเหลืออีกเยอะทีเดียว

‘ภูเขาอู๋จื่อซาน’ ผุดไอเดียสร้างเอกลักษณ์ ‘อาชีพซุนหงอคง’ ไม่ต้องมีพลังวิเศษ แค่ชอบกินกล้วย ทำรายได้พุ่งกว่า 30,000 บาท

(8 ม.ค.67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เผยอาชีพสุดแปลกที่กำลังเปิดรับสมัครในจีนจนเป็นที่ฮือฮาบนโลกโซเชียล โดยอาชีพแปลกนี้คือ ซุนหงอคง คุณสมบัติไม่มีอะไรมากเพียงแค่เป็นแฟนตัวยงของตำนานจีนเรื่อง เห้งเจีย หรือที่เรียกว่า ซุนหงอคง และมีใจรักในการกินกล้วยฟรีที่ไม่จำกัดจำนวนเท่านั้น

ตามรายงานเผยว่า ภูเขาอู๋จื่อซานในเหอเป่ย์ ภูเขาห้านิ้ว ทางตอนเหนือของจีน กำลังมองหาพนักงานมาแต่งตัวเป็นซุนหงอคง โดยผู้สมัครต้องแต่งกายเป็นซุนหงอคง อยู่ในช่องว่างของถ้ำตรงด้านล่างของภูเขา และกินอาหารที่นักท่องเที่ยวป้อนให้เท่านั้น รับรายได้จุกๆ 842 ดอลลาร์ต่อเดือน หรือราว 30,000 บาท

อีกทั้งผู้สมัครไม่จำเป็นต้องเป็นนักกายกรรม มีพลังเหนือธรรมชาติ หรือสามารถขี่บนก้อนเมฆได้ เพียงแค่เป็นแฟนตัวยงของตำนานจีนเรื่อง เห้งเจีย หรือที่เรียกว่า ซุนหงอคง (Sun Wukong) และมีใจรักในการกินกล้วยฟรีแค่นั้น

สำหรับอาหารที่นักท่องเที่ยว ทั้งเด็กและผู้ใหญ่มักนำมาป้อนให้ซุนหงอคงค่อนข้างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น แอปเปิล บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป รวมถึงกล้วยจำนวนมาก โดยซุนหงอคงต้องรับประทานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

อย่างไรก็ตาม ทางด้านผู้จัดการของอู๋จื่อซานเหอเป่ย์กล่าวด้วยว่า ผู้สมัครไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์ ขอแค่หลงใหลในตัวละครซุนหงอคง มีพรสวรรค์ด้านการแสดง และเป็นคนที่สดใสร่าเริง นักท่องเที่ยวเข้าถึงได้ง่ายเท่านั้นก็เพียงพอ

ผู้จัดการกล่าวเสริมด้วยว่า ตอนนี้ที่ภูเขาห้านิ้วมีพนักงานซุนหงอคงประจำอยู่ที่นี่ 2 คนแล้ว ต้องการรับเพิ่มเพียงคนเดียวเท่านั้น ส่วนใครที่สนใจแต่กังวลว่าจะต้องกินอาหารมากเกินไป จริงๆ แล้วพนักงานไม่ต้องกินของที่นักท่องเที่ยวป้อนทั้งหมด สามารถเก็บกล้วยไว้แบ่งกับเพื่อนร่วมงานหลังเลิกกะได้

ทั้งนี้ ผู้สมัครไม่ต้องกังวลเรื่องสภาพอากาศที่หนาวเย็นในถ้ำ เพราะทางบริษัทได้ติดตั้งเครื่องทำความร้อนภายในถ้ำเรียบร้อย รับรองว่าอากาศอบอุ่นแน่นอน

'ลุงป้อม' ชายชาติทหาร ผู้ผ่านมาแล้วทุกสมรภูมิชีวิต ใครจะรู้!! วันหนึ่งอาจผงาดขึ้นเป็น ‘นายกฯ’ คนต่อไป

(8 ม.ค. 67) เปลวสีเงินในนำเสนอบทความ ในหัวข้อ 'ลุงป้อม' ที่ไม่มีวันตาย ความว่า…

ไม่รู้จักตัวท่านหรอก

แต่ในฐานะ FC ขอบอกว่า "คิดถึงท่านนะ" และ "สวัสดีปีใหม่ท่านด้วย"

ก็ ‘พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ’ หรือ ‘ลุงป้อม’ นั่นแหละ

ถ้านับตามอายุ ท่าน ‘น้องผม’

แต่ยกให้เป็น ‘ลุง’ เพราะผมยังหนุ่มกว่าเยอะ

ถ้าพูดถึงความหล่อ ตรงนี้ พอฟัด-พอเหวี่ยง  และขึ้นอยู่กับสเปกใคร-สเปกมัน!

แต่วันนี้ ต้องขอถอนคำพูดที่ว่า ‘ผมหนุ่มกว่า’ เพราะเมื่อวาน (7 ม.ค.67) ลุงป้อมในฐานะผู้นำ ‘พรรคพลังประชารัฐ’ ไปเพชรบูรณ์

เห็นหุ่นท่านแล้ว ต้องร้อง..ว้าวววว!

หลังเลือกตั้ง หายหน้าไป 3-4 เดือน นึกว่าลุงถอดใจ ที่ไหนได้ แอบไปฟิตซ้อม เข้าคอร์ส ‘เสริมหนุ่ม’ มาแหงๆ

เพราะจากที่ตุ้มต๊ะ ตุ้มตุ้ย....

ตอนนี้พุงสเลนเดอร์ หน้าอิ่มเอิบ มีสง่าราศี ยังกะโชกุน ตายิ้มได้ แถมมีประกายสดใส

เห็นแล้วก็ดีใจนะ ไม่บอกหรอกว่า "ลุงป้อม สู้..สู้"

เพราะพูดอย่างนั้น เหมือนหมิ่นชายชาติทหารที่ผ่านมาแล้วทุกสมรภูมิชีวิต

แค่ไม่ได้เป็นนายกฯ วันนี้ ก็ใช่ว่าวันหน้าก็จะไม่มี จริงไหม..ลุง?

ขอเพียงลุงป้อมไม่สลัดนวมทิ้งแล้วลงจากเวทีเท่านั้น โอกาสเป็น ‘แชมป์’ ยังมีเสมอ

ลุงป้อม ไม่ใช่พันธุ์ทหาร ‘แมงป่อง’ ที่ดีแต่ชูหางอวดอ้า

แต่เป็นพันธุ์ ‘ทหารเสือ’!

เสือย่อมมีลาย มีศักดิ์ศรีที่จะไม่กินเนื้อเก่า ไม่มั่นใจ จะไม่สยายกรงเล็บ และเมื่อออกล่า

เพียงสาบเสือโชย สัตว์ทั้งป่า ก็ผวาตื่นว่า ‘เจ้าป่า’ มาแล้ว!

เห็นลุงประกาศ ต่อจากนี้ ในฐานะเจ้าสำนัก ‘พลังประชารัฐ’ จะเดินสายไปพบปะประชาชนในแต่ละจังหวัด

เพื่อแจกแจงให้ทราบว่า....

4 เดือนที่ผ่านมา รัฐมนตรี ‘พลังประชารัฐ’ ทำอะไรให้ชาวบ้านเป็นผลงานสำเร็จแล้วตามสัญญาบ้าง

ผมเชียร์ครับ...ลุง

ไม่ใช่เลือกตั้งที ก็ลงไปที มันต้องแบบนี้ คนไทยทุกจังหวัด เลือก-หรือไม่เลือก ไปว่าเขาไม่ได้

แต่ควรพิจารณา ‘ตัวเรา-พรรคเรา’ ว่ารักเขา จริงใจกับเขา ลงไปพบปะเยี่ยมเยียน ไต่ถามสารทุกข์สุกดิบเขาสม่ำเสมอหรือไม่?

ช่วย ‘ได้มาก-ได้น้อย’ เป็นอีกเรื่อง

ที่สำคัญ อย่าได้หายหน้า-หายตา ‘เป็นคน..ต้องมีหัวใจ’ ส่วนเรื่องตำแหน่ง ‘มี-ไม่มี’ นั่นแค่หัวโขน

แค่เอาใจไปผูกใจ กินข้าวด้วยกันซักคำ ดื่มน้ำจากขันดำๆ ใบเดียวกันซักอึก นั่นมันดื่มด่ำยิ่งกว่า ‘ดื่มน้ำสาบาน’ กันซะอีก!

ภาพลุงป้อม เหมือน ‘พระสังกัจจายน์’

มีเสน่ห์ในตัว ใครเห็นก็รัก เป็น "ลุงป้อมใจดี" ของลูกๆ หลานๆ ของพี่ๆ น้องๆ

ไม่ต้องเอาอะไรไปให้เขาหรอก

แค่ลุงป้อมไปเยี่ยม ไปนั่งให้เขาลูบพุง พกปีโป้ไปแจกเด็กๆ คนละอัน แค่นั้น ชาวบ้านก็แทบจะหอบผ้า-หอบหมอน หนีตามมาอยู่กับลุงแล้ว!

ลุงป้อมเนี่ย เป็นคนมีกรรมอย่างหนึ่ง

อดีตชาติ ‘คงอิจฉา-ริษยา’ คนอื่นไว้มาก มาถึงชาตินี้ ด้วยวัฏฏะแห่งกรงกรรม ลุงป้อมจึง ‘ถูกกระทำ’ ในเชิงริษยาเป็นการชดใช้

ดูซี...พอเข้าการเมือง ในฐานะ ‘พี่ใหญ่ 3 ป.’

ก็เป็น ‘ป้อมปราการ’ ที่ตกเป็นเป้าทำลายจากฝ่ายตรงข้าม

เรื่องจริง-เรื่องไม่จริง ถูกสาดใส่-ระบายสี จนเป็น ‘ลุงป้อมจอมโกง’ ไปทุกเรื่อง

อย่างเรื่อง ‘แหวนแม่-นาฬิกาเพื่อน’

จริงๆ แล้ว เรื่องนาฬิกา มันขี้หมาแท้ๆ พวกเล่นนาฬิกาเรือนละเป็นสิบล้าน-ร้อยล้าน เขามีกลุ่มเขาอยู่

คนในกลุ่ม ชอบเรือนไหน ใครจะเวียนกันเอาไปใส่ เป็นเรื่องธรรมดา ผมก็เคยเห็น ยิ่งกลุ่ม ‘เซนต์คาเบรียล’ ของลุงป้อมด้วยแล้ว

ขอโทษ...ถ้าสังคมโลกนิยมนาฬิกาตีน กลุ่มบ้านาฬิกาของลุงป้อม ก็คงมีนาฬิกาตีนฝังเพชรให้ลุงป้อมยืมมาใส่

ถามว่า ลุงป้อมยากจน ไม่มีเงินแค่ซื้อนาฬิกาแพงๆ เองซักเรือนหรือ ถึงต้องเอาของคนโน้น-นี้มาใส่?

ซื้อซักกระสอบก็ได้

แต่คนมีสมองคิดจึงเป็นเศรษฐี ดังนั้น คนพวกนี้ เขารู้ว่านาฬิกาแพง ผลิตออกมาเพื่อเป็น ‘ของเล่นเศรษฐี’

เมื่อเป็นของเล่น จะบ้าซื้อกันทุกคนทำไม มึงซื้อโน่น-กูซื้อนี่ ใครพอใจใส่เรือนไหน ก็เอาไปใส่ เวียนกันไปในหมู่พวกเขา

เพราะคนส่วนหนึ่ง ไม่รู้วัฒนธรรมเศรษฐี แต่อีกส่วนรู้

จึงอาศัยช่องจากคนไม่รู้ หยิบตรงนั้น เป็นช่องทำลายผ่านตัวลุงป้อม ซึ่งเป็น ‘จุดสลบ’ ของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์

การใส่ร้าย-ป้ายสี เพื่อทำลายคนน่ะ มันง่าย

เพราะพื้นฐานจริตมนุษย์.......

ไม่ชอบเห็น ‘ใครดี-ใครเด่น’ กว่าตัวเอง จะอิจฉา และมองในมุมร้ายไว้ก่อน

ฉะนั้น แค่ลุงป้อมใส่นาฬิกาแพง....

ฝ่ายตรงข้าม ซึ่งมีเป้าหมาย ‘ทำให้ลุงป้อมฉิบหาย เท่ากับได้ทำลายรัฐบาลพลเอกประยุทธ์’ มันก็แค่นั้น

แล้วเห็นไหม.....

วันต่อมา มีนักการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย ขับรถเบนซ์และเบนท์ลีย์ ไปสภาหรือทำเนียบฯ นี่แหละ

นักข่าวไปถาม "แจ้งไว้ในบัญชีทรัพย์สินหรือเปล่า?"

คำตอบจากนักการเมืองนั้น คนหนึ่งบอก "เพื่อนเอามาให้ใช้" อีกคนบอก "ของลูก ยืมมาขับ"

เงียบฉี่ ไม่มีนักสืบโซเชียล ไม่มีสำนักข่าวไหนไปคุ้ยแคะว่าจริงมั้ย เหมือนกรณีนาฬิกาลุงป้อม!?

ไม่ต้องดูอื่นไกล อย่างตอนเศรษฐาเป็นนายกฯ ใหม่ๆ ขับรถป้ายแดงยี่ห้ออะไรก็ลืมไปแล้ว แต่เป็นยี่ห้อหรู-ราคาแพงไปทำเนียบฯ

นายกฯ บอกว่า "ของลูก เอามาขับ"

ก็จบ...ทุกคนเชื่อหมดว่า ‘เอารถลูกมาขับ’

มี ‘ลุงป้อม’ คนเดียวในโลกเท่านั้น ที่ประโคมข่าวกันจนไม่มีใครเชื่อว่า เอานาฬิกาเพื่อนมาใส่?

เพราะอะไร....?

เพราะลุงป้อมเป็น ‘พี่ใหญ่’ ของอีก 2 ป.ที่คว่ำชามข้าวเพื่อไทยทิ้ง ในยุคยิ่งลักษณ์!

ตอนนี้ เมื่อพูดถึง ‘ลุงป้อม’ ลืมหมดแล้วเรื่อง ‘นาฬิกาเพื่อน’ เพราะลุงป้อม หมดความจำเป็นที่ต้องใช้เป็นสายชนวน ‘จุดระเบิด’ ใส่รัฐบาลประยุทธ์แล้ว

ทั้งเชื่อกันว่าลุงป้อม ‘หมดบุญ-หมดบารมี’ ที่จะมาแข่งเก้าอี้นายกฯ กับใครแล้ว

ฉะนั้น ถ้าได้ยินใครยกเรื่อง ‘นาฬิกาลุงป้อม’ มาพูดอีก ก็ขอให้เข้าใจว่า นั่น...รัศมีลุงป้อมกำลังทาบขึ้นมาแข่งอีกแล้ว

การเมืองน่ะ ตัวเองไม่ต้องเป็นนายกฯ ก็ใหญ่ได้

ดูอย่างทักษิณซิ

เป็นนายกฯ ซะที่ไหน นักโทษแท้ๆ แต่ทุกคนก็ให้เครดิตว่าใหญ่กว่าเศรษฐา ส่วนเศรษฐา แค่ ‘ม้าทรง’ ทักษิณ!

เนี่ย...พูดด้าน ‘วิบากกรรม’ ลุงป้อม

ก็ให้ถือซะว่า ‘กรรมเก่าชดใช้-กรรมใหม่ไม่ก่อ’ อย่าไป ‘ผูกพยาบาท-ฆาตพญาเวร’ กับใคร        ลุงป้อม แค่ ๗๘-๗๙ หนุ่มใหญ่ "เดอะ ยัง  วัน" ยังไม่ถึงขั้น "ใกล้ปลิดขั้ว" เหมือนผม

ท่านไม่ใช่ ‘คนขี่หลังเสือ’

แต่ท่าน ‘เป็นเสือ’ ฉะนั้น ทิ้งลายไม่ได้

ประธานาธิบดี ‘โจ ไบเดน’ อายุ 82 ปี

‘โดนัลด์ ทรัมป์’ อายุ 78 ปี

เห็นประกาศ จะลงสู้ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ กันอีก

ลุงป้อมแค่ 79 ถ้าถอดใจ ก็ไปบวชเป็นฤาษี ไกลๆ แม่ชีสาวๆ กินเผือก-กินกลอย อยู่ "บ้านป่ารอยต่อ 5 จังหวัด" โน่นซะ!     

‘ญี่ปุ่น’ น่ะก้าวหน้าวิทยาการระดับโลก แต่ก็ยังไม่สามารถรู้ล่วงหน้าได้ว่า "แผ่นดินจะไหวตรงไหน เมื่อไหร่ในญี่ปุ่น?"

‘การเมืองไทย’ ช่วงนี้ ก็ประมาณนั้น

ญี่ปุ่น ในภาพรวม ก็รู้ทั้งโลกแหละว่า อยู่ในแนวเลื่อนเปลือกโลก ไหวกันจนไม่ไหวจะใส่ใจแล้ว

การเมืองไทย ก็รู้กันทั้งโลกแหละว่า…

อยู่ในแนวเลื่อน ‘ประชาธิปไตยโจร-เผด็จการทหารปราบโจร’ จะไหวหรือไม่ไหวเมื่อไหร่-ตอนไหน ‘ค่าเท่ากัน’ ป่วยการจะใส่ใจแล้ว

เพราะ ‘แผ่นดินไหว’ เป็นเรื่องธรรมชาติเมืองญี่ปุ่น

‘ประชาธิปไตย-เผด็จการทหาร’ ก็เป็นธรรมชาติเมืองไทย!

วันนี้ คุยอะไรไม่เป็นเนื้อ-เป็นหนัง

ที่ ‘เป็นเนื้อ-เป็นหนัง’ เห็นจะเป็นเรื่อง ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ 5 แสนล้านของรัฐบาลส่งคำถามไปให้คณะกรรมการกฤษฎีกาว่าทำได้-ไม่ได้แค่ไหนนั้น

นายกฯ เศรษฐาบอกว่า ทางกฤษฎีกาส่งคำตอบมาแล้วเมื่อวันเสาร์ที่ 6 มกรา.!

ลองนายกฯ เศรษฐาตอบสั้นๆ ก็ไม่ต้องสงสัยว่ากฤษฎีกาตอบว่าไง?

ถ้า Yes ละก็นะ

"เศรษฐา" น้ำท่วมทุ่งไปแล้ว!

-เปลว สีเงิน

8 มกราคม 2567

คนปลายซอย

‘หนุ่มโหราฯ’ ชี้!! ทุกคนมี ‘สิทธิ-เสรีภาพ’ ในการแสดงความเห็นต่าง แต่บางคนชอบอ้าง ‘ประชาธิปไตย’ ทั้งที่ไม่ได้เข้าใจอย่างแท้จริง

เมื่อไม่นานมานี้ ผู้ใช้ TikTok บัญชี @flukepatsmile หรือ นักพยากรณ์โหราศาสตร์ไทย ได้เผยแพร่วิดีโอตอบข้อความของผู้ติดตามที่แสดงความคิดเห็นว่า “ทำไมสลิ่มถึงพูดแต่ ทรงพระเจริญ” โดยระบุว่า…

“ที่ถามว่าทำไม่สลิ่มถึงพูดแต่ทรงพระเจริญ ต้องให้เหมือนคุณไหม? ที่บอกว่าทุกคนมีพ่อมีแม่คนเดียว
แต่ก็ไปเรียกหัวหน้าพรรคว่า “พ่อส้ม” อะไรอย่างนี้”

“ประชาธิปไตย ครึ่งหนึ่งเป็นกฎหมาย อีกครึ่งหนึ่งคือเสรีภาพ มีอยู่วันหนึ่งนะ ผมไปดูหนัง เวลาเพลงสรรเสริญขึ้นผมก็ลุกขึ้นใช่ไหม? สำหรับคนที่ลุกหรือไม่ลุกผมคิดว่ามันไม่ได้เสียหายอะไร เพราะว่ามันคือเสรีภาพส่วนหนึ่ง แต่คุณเชื่อไหม? เด็กที่เขาไม่ลุกหัวเราะเยาะผม ทำหันไปพูดกันเหมือนเยาะเย้ยผม”

“พวกคุณไม่ได้เข้าใจประชาธิปไตยอยู่แล้ว คุณก็แค่ใส่หน้ากากประชาธิปไตย แต่จริง ๆ ตัวคุณอ่ะเป็นเผด็จการในรูปแบบหนึ่งเท่านั้นเอง ในการที่จะเปลี่ยนแปลงให้เป็นตัวคุณต้องการ ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงเข้าหาธิปไตยเลยนะครับ เพราะว่าคุณไม่เคารพสิทธิ์คนอื่น ไม่มีการให้เกรียติ ไม่มีการนับถือคนอื่น อย่างล่าสุด สส. ท่านหนึ่งพูดในสภาที่พลเอกประยุทธ์ไปเที่ยวก็ด้วย”

ทั้งนี้ได้ยกตัวอย่างวิดีโอ สส.ท่านหนึ่งที่พูดถึงพลเอกประยุธ์ในสภา ว่า… “ทรราชที่สร้างความฉิบหายให้ประเทศนี้มา 10 ปี สร้างความโกรธแค้นให้กับพ่อ แม่ พี่ น้อง ประชาชนสร้างความเสียหายให้ประเทศนี้ ไม่รู้ว่าอีก 10 ปี ข้างหน้าจะแก้ไขสิ่งที่สร้างเอาไว้ได้รึเปล่าเลย? ประยุทธ์ จันทร์โอชา วันนี้ลงจากอำนาจลอยหน้าลอยตา”

ผู้ใช้ติ๊กต็อกรายนี้ยังเสริมต่ออีกว่า “คำถามคือ เขาจะอยู่คุณไม่ให้เขาอยู่ พอเขาไปคุณไม่ให้เขาไป ซ้ายก็ไม่ได้ ขวาก็ไม่ได้ อะไรก็ไม่ได้ มันก็คือความเอาแต่ใจนั่นแหละ”

“ผมจะพูดว่าทรงพระเจริญ หรือ ผมจะยืนในโรงหนังก็สิทธิ์ของผมไม่ใช่หรอ? ผมพูดไม่ได้หรอครับ? 
คุณเอาเป็นเรื่องตลก มันเยาะเย้ยคนอื่นเนี่ย มันเรียกว่าการไม่ให้เกียรติ เรื่องง่ายๆ พวกนี้คุณยังคิดไม่ได้เลย คุณจะเอาคำว่าประชาธิปไตยมาอ้าง คุณไม่เข้าใจมันจริง ๆ หรอกครับ”

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เตือนภัยออนไลน์

พลตำรวจเอก ต่อศักดิ์สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ,  พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศปอส.ตร. และ พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ. ศปอส.ตร. ได้มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนที่อาจได้รับความเสียหายจากอาชญากรรมรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งในปัจจุบันมีพี่น้องประชาชนจำนวนมากที่ได้รับความเสียหายจากการหลอกลวงบนโลกออนไลน์อีกทั้งในช่วงนี้คนร้ายยังสร้าง Page Facebook ตำรวจปลอมขึ้นมาแอบอ้างรับแจ้งความออนไลน์ เพื่อหลอกเอาข้อมูลส่วนตัวของเหยื่อ หรือเพื่อหลอกเอาทรัพย์สินเหยื่อซ้ำเติม

ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว จึงขอแจ้งเตือนพี่น้องประชาชนถึงข้อสังเกตการแยกแยะ Page Facebook ของตำรวจปลอมและพฤติการณ์ของ Page Facebook ปลอมของตำรวจ ดังนี้

คนร้ายปลอม Page Facebook ตำรวจแอบอ้างรับแจ้งความ คนร้ายสร้าง Page Facebook ปลอมขึ้นมาโดยตั้งชื่อเพจเป็นหน่วยงานตำรวจหรือศูนย์ช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมทางเทคโนโลยี และยังได้เผยแพร่โฆษณาผ่านทาง Facebook เพื่อเพิ่มโอกาสให้เหยื่อมองเห็น Page มากขึ้น โดยนำคลิปวิดีโอและเนื้อหาจากเพจตำรวจจริงมาใส่ในโฆษณาเพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือ เมื่อเหยื่อซึ่งมีประสงค์ที่จะแจ้งความดำเนินคดีกับคนร้ายพบเห็น Page หรือโฆษณาดังกล่าวเข้า เหยื่อได้ติดต่อ Page ปลอมของคนร้ายไปเพื่อจะแจ้งความ คนร้ายจะให้เหยื่อแจ้งข้อมูลส่วนตัว ส่งหลักฐาน แล้วแอบอ้างว่าจะนำเงินที่เหยื่อถูกโกงไปมาคืนเหยื่อ แต่ต้องโอนเงินเป็นค่าดำเนินการ/ค่าล่อซื้อ/ค่าทนาย ฯลฯ ให้แก่คนร้ายที่แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ สุดท้ายเหยื่อไม่ได้เงินที่ถูกหลอกไปคืน แถมยังเสียเงินเพิ่มจากการถูก Page Facebook ปลอมหลอกซ้ำอีก

ตัวอย่าง Page Facebook ปลอมแอบอ้างเป็นตำรวจรับแจ้งความ

จุดสังเกต
1. ชื่อเพจมักเป็นชื่อหน่วยงานที่ไม่มีอยู่จริง หรือชื่อผิด
2. เพจปลอมไม่มีเครื่องหมายยืนยันตัวตนท้ายชื่อเพจ
3. เพจเหล่านี้มักสร้างมาไม่นาน หรืออาจเป็นเพจที่มีการซื้อต่อมาและเปลี่ยนชื่อในภายหลัง
4. คนร้ายพยายามปลอมยอดผู้ติดตามโดยพิมพ์เลขยอดคนกดถูกใจ/ติดตาม ไว้ที่รายละเอียดของเพจ
5. เพจแท้มีเครื่องหมาย blue tick ( ) จะอยู่หลังชื่อเพจ แต่เพจคนร้ายจะนำ blue tick ( )  มาใส่ไว้ที่หน้าภาพหน่วยงาน

วิธีป้องกัน
1. เพจจริงของทางตำรวจมีเครื่องหมายยืนยันตัวตนท้ายชื่อเพจและมีข้อมูลความโปร่งใสเพจครบถ้วน
2. เพจของทางตำรวจไม่มีการรับเรื่องร้องทุกข์/แจ้งความ/ส่งหลักฐานในการดำเนินคดีผ่านทางเพจ
3. แจ้งความออนไลน์ได้ที่ www.thaipoliceonline.go.th เท่านั้น
4. หากมีข้อสงสัย/สอบถาม โทรปรึกษาศูนย์ AOC 1441 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สำหรับช่องทางรับรู้ข่าวสารเพื่อให้รู้เท่าทันภัยออนไลน์ในรูปแบบใหม่ สามารถติดตามข้อมูลการแจ้งเตือนภัยออนไลน์ได้ผ่านทาง www.เตือนภัยออนไลน์.com Facebook https://www.facebook.com/เตือนภัยออนไลน์ หมายเลขโทรศัพท์สายด่วน 1441 กรณีถูกคนร้ายหลอกลวงแจ้งความตำรวจผ่านระบบ www.thaipoliceonline.go.th

ขอนแก่น -"สภากาชาดไทย" จัดโครงการรถคลินิกจักษุศัลยกรรมเคลื่อนที่

สำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ สภากาชาดไทย จัดโครงการรถคลินิกจักษุศัลยกรรมเคลื่อนที่ ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม  เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2567 ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดขอนแก่น รายงานว่า ที่วัดท่าประชุม ตำบลหนองบัว อำเภอบ้านฝาง จังหวัดขอนแก่น ดร.อภิชาติ ชินวรรโณ ผู้ช่วยเลขาธิการสภากาชาดไทย ฝ่ายวิเทศสัมพันธ์ เป็นประธานเปิดโครงการรถคลินิกจักษุศัลยกรรมเคลื่อนที่ สภากาชาดไทย ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 โดยมีนายศิริวัฒน์ พินิจพานิชย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น พร้อมด้วยนางกรรณิกา กองฉลาด นายกเหล่ากาชาดจังหวัดขอนแก่น และหัวหน้าส่วนราชการทุกภาคส่วน ให้การต้อนรับ

ดร.อภิชาติ ชินวรรโณ ผู้ช่วยเลขาธิการสภากาชาดไทย ฝ่ายวิเทศสัมพันธ์ กล่าวว่าสำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ สภากาชาดไทย จัดโครงการรถคลินิกจักษุศัลยกรรม สภากาชาดไทยในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ดำเนินการในเขตพื้นที่อำเภอบ้านฝาง จังหวัดขอนแก่น เพื่อตรวจรักษาและผ่าตัดตาให้กับพระภิกษุสงฆ์ ผู้นำศาสนาทุกศาสนาในพื้นที่จังหวัดขอนแก่น ให้ได้รับการตรวจและรักษาโรคทางตาโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ 

โดยจังหวัดขอนแก่น มีวัด/สำนักสงฆ์ จำนวน 1,583 แห่ง พระสงฆ์จำนวน 8,376 รูป ล้วนแต่เป็นพระสงฆ์ที่สูงอายุจำนวนมาก มีมัสยิด 8 แห่ง โบสถ์ 52 แห่ง สำหรับการดำเนินโครงการในวันนี้ มีพระสงฆ์เข้ารับบริการตรวจทั้งสิ้น 298 รูป ส่วนผู้นำในศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์ ศาสนาซิกข์ และศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ยังไม่พบผู้มีปัญหาทางด้านสายตา และภายหลังการตรวจเสร็จสิ้นจะดำเนินการรักษาด้วยการผ่าตัด ต่อไป.

‘ซีอีโอหนุ่ม’ แชร์มุมคิด ไม่มีที่ใดสุขใจเท่าประเทศไทย อาหารไม่แพง จอดรถไม่โดนทุบ ไม่มีใครเดินมาปล้น

เมื่อไม่นานมานี้ ผู้ใช้ TikTok บัญชี @ckfastwork หรือ ‘CK Cheong’ CEO แห่งบริษัท Fastwork.co ได้ให้ข้อคิดเกี่ยวกับความภาคภูมิใจที่เกิดเป็นคนไทย อย่ามองว่าประเทศอื่นดีกว่าเรา โดยระบุว่า…

“ทุกประเทศมีปัญหาของเขาพี่ จริงๆ นะเราชอบมองว่าประเทศอื่นดีกว่าเรา เราลืมมองว่าจริงๆ เราน่ะโชคดีขนาดไหน ผมไม่ค่อยชอบความคิดว่าบ้านอื่นมันดี คุณเคยอยู่หรือ คุณถึงรู้ว่าบ้านอื่นมันดี?”

“รู้ไหมแคลิฟอร์เนียตอนจอดรถ คนเอากระจกรถลงนะ เขาบอกว่าอย่าทุบรถ อยากขโมยก็ขโมยเลย
นี่คือแคลิฟอร์เนีย รู้ไหมว่าตอนอยู่ลอนดอนบ้านเรามีอย่างนี้ไหม ค้นหาใช้มีดแทงที่ลอนดอนสิ
มีคนโดนแทงทุกวัน”

“ก่อนเราจะบอกว่าบ้านอื่นดีขนาดไหนคุณเคยรู้สึกโชคดีไหม ที่เราอยู่แผ่นดินไทย ได้โปรดเถอะ หยุดความอิจฉาที่มันมีไปเพื่ออะไรก็ไม่รู้”

“ผมเข้าใจประเทศไทยไม่ได้เพอร์เฟกต์แต่ก็ไม่มีบ้านไหนที่เพอร์เฟกต์ ทุกบ้านมีปัญหาหมด แต่วันนี้ผมถามหน่อย
จอดรถมีคนทุบรถคุณไหม วันนี้มีสงครามไหม เดินไปเดินมามีคนปล้นคุณไหม? วันนี้คุณเอื้อมถึงราคาอาหารไหม?”

“คุณรู้ไหมอยู่ที่สหรัฐน่ะ 35 บาท ซื้อได้แค่พิซซ่าที่ไม่มีหน้าเลย แต่วันนี้  35-40 บาท มีตัวเลือก คุณเคยมองถึงจุดนี้บ้างไหม? คุณรู้ไหมคนยากจนที่ยุโรปเขาไม่มีทางเลือกหน้าหนาว เพราะเค้าต้องจ่ายค่าฮีตเตอร์ เขาจ่ายไม่ไหวเขาก็ต้องปล้น แต่บ้านเราไม่มีหน้าหนาว คุณเคยมองจุดนี้บ้างไหม?”

“หยุดมองว่าบ้านอื่นน่าอยู่กว่าบ้านเรา จริงๆ เราเป็นคนโชคดีเว้ย เราเป็นคนโชคดีที่เป็นคนไทย”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top