Wednesday, 2 July 2025
NewsFeed

งบประมาณ 3.48 ลลบ. ใต้ ‘รัฐบาลเศรษฐา’ กับภารกิจกระตุ้นเศรษฐกิจไทยในปีมังกร 

ต้อนรับศักราชใหม่ ปี 2567 เริ่มต้นปี กับการอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ที่จะผลักดันในเศรษฐกิจไทยใน ‘ปีมังกร’ ที่น่าจะได้เห็นฝีมือทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล นายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ที่รับบทบาท เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง อีก 1 ตำแหน่ง ว่าจะมีศักยภาพในการจัดการเศรษฐกิจของไทย หลังผ่านพ้นวิกฤตต่าง ๆ ทั้ง วิกฤติ Covid-19 ภาวะสงครามรัสเซีย-ยูเครน จนมาถึงสงครามอิสราเอล-กลุ่มฮามาส ทีมเศรษฐกิจชุดนี้ จะมีประสิทธิภาพมากน้อย เพียงใด

การลงมติร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 ในวาระรับหลักการ มีผู้เห็นด้วย 311 เสียงไม่เห็นด้วย 177 เสียง และงดออกเสียง 4 เสียงนั้น ก็เป็นไปตามคาดการณ์ ที่จะต้องรับร่างงบประมาณ เพื่อผลักดันการใช้จ่ายเงินตามโครงการต่าง ๆ ของแต่ละกระทรวงอย่างเร่งด่วน เนื่องจาก การทำงบประมาณปี 2567 ล่าช้าจากเหตุกระบวนการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งหากไม่มีอะไรคลาดเคลื่อน กว่าจะได้เบิกจ่ายเงินงบประมาณ ก็คงเริ่มเบิกจ่ายได้ เมษายน - พฤษภาคม 2567 ถือว่าล่าช้าไปกว่าครึ่งปี

มาดูกันต่อกับวงเงินงบประมาณ ในรอบ 5 ปี ที่ผ่านมา เป็นอย่างไรบ้าง…

ปี 2567 วงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 3.480 ล้านล้านบาท : รัฐบาล เศรษฐา

ปี 2566 วงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 3.185 ล้านล้านบาท : รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์

ปี 2565 วงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 3.100 ล้านล้านบาท : รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์

ปี 2564 วงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 3.285 ล้านล้านบาท : รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์

ปี 2563 วงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 3.200 ล้านล้านบาท : รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์

กลับกลายเป็นว่า วงเงินงบประมาณ 2567 ถือเป็นประวัติการณ์กับวงเงินที่สูงถึง 3.480 ล้านล้านบาท เป็นวงเงินงบประมาณที่มากที่สุดเท่าที่รัฐบาลที่ผ่านมาเคยได้จัดทำ และยังมีอัตราส่วนที่สูงขึ้นกว่าปีงบประมาณที่แล้ว กว่า 9.3% และถือว่าเป็นการเพิ่มวงเงินในสัดส่วนที่มากที่สุดในรอบ 5 ปี อีกด้วย 

อีกประเด็นที่รัฐบาลชุดที่ผ่านมา ของ พล.อ.ประยุทธ์ เคยถูกพิพากษ์วิจารณ์อย่างต่อเนื่องว่า ได้ตั้งงบกลางสูงมากเกินไป เพราะงบกลาง จะไม่มีรายละเอียดในการใช้งบประมาณ มีเพียงหัวข้อ และวงเงินของแต่ละโครงการ แต่เมื่อดูงบกลางของรัฐบาล เศรษฐา จะพบว่า วงเงินงบกลางกลับเพิ่มสูงขึ้นกว่า 2.8% โดยตั้งงบกลางไว้ที่ 6.06 แสนล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 16,295 ล้านบาท จากปีงบประมาณ 2566

ปี 2567 วงเงินงบกลาง 6.067 แสนล้านบาท 

ปี 2566 วงเงินงบกลาง 5.904 แสนล้านบาท งบค่าใช้จ่ายบรรเทา เยียวยาโควิด 3,000 ล้านบาท

ปี 2565 วงเงินงบกลาง 5.874 แสนล้านบาท งบค่าใช้จ่ายบรรเทา เยียวยาโควิด 16,362 ล้านบาท

ปี 2564 วงเงินงบกลาง 6.146 แสนล้านบาท งบค่าใช้จ่ายบรรเทา เยียวยาโควิด 40,326 ล้านบาท

ปี 2563 วงเงินงบกลาง 5.187 แสนล้านบาท 

และหากพิจารณาในหัวข้อรายการใช้จ่ายงบกลาง 5 ปี ย้อนหลัง (ปี 2563-2567) ก็พบว่า งบกลางที่มีการตั้งวงเงินที่สูงที่สุด ในยุครัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ มีการตั้งงบกลาง ในปี 2564 อยู่ที่ 6.146 แสนล้านบาท แต่สาเหตุที่ตั้งงบกลางไว้สูง เนื่องจาก มีหัวข้อค่าใช้จ่ายในการบรรเทา เยียวยา ผลกระทบจากโควิด-19 จำนวน 40,326 ล้านบาท หากไม่นับหัวข้อนี้มารวมในงบกลาง วงเงินงบกลางจะอยู่ที่ 5.74 แสนล้านบาท ซึ่งงบกลาง ในงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ไม่มีหัวข้อค่าใช้จ่ายด้านนี้ 

คงเริ่มเห็นภาพบางอย่าง ในยุคที่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศไทย ที่บริหารจัดการโดย ‘นักการเมือง’ และภาพที่คนบางกลุ่มชอบเรียกว่า ‘รัฐบาลประชาธิปไตย’ กับเม็ดเงินงบประมาณ ที่จะใช้ในการกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ เพื่อยกระดับรายได้ ของประชาชนคนไทย 

‘กรมควบคุมโรค’ เผย คนไทยป่วย ‘ไข้หวัดใหญ่’ แล้ว 4.6 แสนราย ชี้!! ‘นครราชสีมา’ น่าห่วง หลังยอดพุ่งไม่หยุด แนะ ปชช.ดูแลสุขภาพ

(7 ม.ค.67) สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 9 นครราชสีมา รายงานสถานการณ์โรคไข้หวัดใหญ่ในประเทศไทย ล่าสุดว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-26 ธันวาคม 2566 พบผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่แล้ว 467,899 ราย อัตราป่วย 707.10 ต่อประชากรแสนคน โดยมีผู้เสียชีวิต 13 ราย เป็นผู้ป่วยเพศหญิงมากกว่าเพศชาย และพบมากที่สุดในกลุ่มอายุ 10-14 ปี รองลงมาคือ กลุ่มอายุ 0-4 ปี และกลุ่มอายุ 7-9 ปี ตามลำดับ

ทั้งนี้ เนื่องจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นจากอิทธิพลของความกดอากาศสูง หรือมวลอากาศเย็นจากประเทศจีน แผ่ลงมาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จึงทำให้มีอากาศเย็นในตอนกลางคืน และเช้า ส่วนตอนกลางวันอาการจะค่อนข้างร้อน ซึ่งสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงดังกล่าวนี้ มีผลทำให้เชื้อไวรัสอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นาน แพร่กระจายได้ง่าย และเร็วขึ้น

อีกทั้งทำให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายลด โดยเฉพาะกลุ่ม 608 และเด็กเล็ก จะมีความเสี่ยงสูง สามารถติดเชื้อได้ง่าย โดยรับเชื้อที่ปนเปื้อนอยู่ในอากาศขณะที่ผู้ป่วยไอ จาม ในพื้นที่ที่มีคนอยู่รวมกันหนาแน่น และเชื้อยังแพร่ผ่านการสัมผัสฝอยละอองน้ำมูก น้ำลาย หรือเสมหะของผู้ป่วย หรือใช้สิ่งของร่วมกับผู้ป่วย เช่น ลูกบิดประตู ราวบันได ปุ่มกดลิฟต์ รถสาธารณะ เป็นต้น ความเสี่ยงการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่จึงเพิ่มสูงขึ้นในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาว ซึ่ง 4 จังหวัดในพื้นที่ดูแลของเขตสุขภาพที่ 9 ได้แก่ จังหวัดนครราชสีมา, ชัยภูมิ, บุรีรัมย์ และสุรินทร์

นพ.ทวีชัย วิษณุโยธิน ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 9 นครราชสีมา เปิดเผยว่า สถานการณ์โรคไข้หวัดใหญ่น่าเป็นห่วงอย่างมาก โดยรายงานล่าสุด พบว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-23 ธันวาคม 2566 มียอดผู้ป่วยสะสมมากถึง 58,430 ราย และมีรายงานผู้เสียชีวิต 3 ราย เป็นผู้ป่วยเพศหญิงมากกว่าเพศชาย ซึ่งสถานการณ์การระบาดของโรคในช่วง 8 สัปดาห์ ตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม-24 ธันวาคม 2566 หรือประมาณ 2 เดือนที่ผ่านมา พบผู้ป่วย 10,808 ราย โดยพบมากที่สุดในกลุ่มอายุ 5-9 ปี รองลงมาคือ กลุ่มอายุ 0-4 ปี และกลุ่มอายุ 10-14 ปี ตามลำดับ

เมื่อจำแนกสถานการณ์ 8 สัปดาห์ย้อนหลังในแต่ละพื้นที่ พบว่า ช่วงวันที่ 29 ตุลาคม-23 ธันวาคม 2566 จังหวัดที่มีอัตราป่วยสูงสุดคือ นครราชสีมา พบผู้ป่วยมากถึง 6,043 ราย รองลงมาคือ สุรินทร์ 2,019 ราย, ชัยภูมิ 1,645 ราย และบุรีรัมย์ 1,101 ราย โดยอำเภอที่มีอัตราป่วยสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา คิดเป็นอัตราป่วย 551.71 ต่อประชากรแสนคน รองลงมาคือ อ.หนองบัวระเหว จ.ชัยภูมิ คิดเป็นอัตราป่วย 533.59 ต่อประชากรแสนคน และ อ.ห้วยแถลง จ.นครราชสีมา คิดเป็นอัตราป่วย 511.38 ต่อประชากรแสนคน

ซึ่งจำนวนผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ปี พ.ศ. 2566 เมื่อเปรียบเทียบกับค่ามัธยฐาน 5 ปีย้อนหลัง (พ.ศ.2561-2565) พบความผิดปกติของการเกิดโรคเนื่องจากมีผู้ป่วยมากกว่าค่ามัธยฐานตั้งแต่สัปดาห์ ที่ 6 คือในช่วง 1 มกราคม-6 กุมภาพันธ์ 2566 เป็นช่วงฤดูหนาว และมีแนวโน้มผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้นตั้งแต่สัปดาห์ที่ 21 ช่วงวันที่ 21-27 พฤษภาคม ซึ่งเข้าฤดูฝนแล้ว และมีแนวโน้มลดลงตั้งแต่สัปดาห์ที่ 39 ช่วงวันที่ 24-30 กันยายน 2566

จึงขอให้ประชาชนระมัดระวังรักษาสุขภาพ ดูแลอนามัยส่วนบุคคล โดยเฉพาะประชาชนใน 7 กลุ่มเสี่ยง ที่ป่วยแล้วจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนและอาการรุนแรง ได้แก่ ผู้มีโรคประจำตัว เด็กเล็ก เด็กวัยเรียน และผู้สูงอายุ ต้องดูแลสุขอนามัย รักษาความอบอุ่นร่างกาย และควรฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ปีละ 1 ครั้ง และในกรณีที่มีอาการระบบทางเดินหายใจ ให้สวมหน้ากากอนามัย หลีกเลี่ยงไปในที่มีฝูงชนจำนวนมาก หมั่นล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำ และสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ

สำหรับอาการของโรคไข้หวัดใหญ่ นอกจากจะมีอาการไข้สูงเฉียบพลัน ไอ จาม มีน้ำมูก เจ็บคอ ตาแดง และหนาวสั่นแล้ว มักจะมีอาการปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และอ่อนเพลียร่วมด้วย ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่จะหายได้เอง แต่ในกลุ่มเสี่ยงหากรับประทานยาเบื้องต้นแล้วอาการรุนแรง ไม่ดีขึ้น ขอให้รีบไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยรักษาโดยเร็ว

โดยหากมีข้อสงสัย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422

‘ธนกร’ หนุนเที่ยวไทยเชิงศรัทธา กระตุ้น ศก.หมุนเวียนในชุมชน เชื่อ!! ดึง นทท.จีนทะลักแน่นอน หลังยอดปี 66 ทำได้ตามเป้า

(7 ม.ค.67) นายธนกร วังบุญคงชนะ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) และอดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากข้อมูลการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ‘ททท.’ เปิดตัวเลขการท่องเที่ยวไทย ที่เป็นจุดหมายปลายของนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะการท่องเที่ยวสายศรัทธา สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้อย่างมีนัยสำคัญ ตนจึงสนับสนุนให้รัฐบาลส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงศรัทธา เชื่อว่าจะดึงดูดนักท่องเที่ยวสายบุญกลุ่มที่ชื่นชอบท่องเที่ยวไหว้พระขอพร ขอโชค สายมูเตลู ซึ่งจะสามารถสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนในชุมชน วัด แหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมตามภูมิภาคต่าง ๆ ซึ่งมีแหล่งท่องเที่ยวจำนวนมากอยู่ทั่วประเทศ จะช่วยทำให้ทั้งเมืองหลักและเมืองรองเกิดการกระตุ้นการท่องเที่ยวเป็นอย่างดี

ทั้งนี้ จากที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รายงานตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาเที่ยวไทยสะสมตลอดปี 66 (1 ม.ค.-24 ธ.ค. 66) มีกว่า 27 ล้านคน เป็นไปตามเป้าหมายของรัฐบาล โดย 5 ลำดับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทย มาเลเซีย 4,439,480 คน, จีน 3,418,732 คน, เกาหลีใต้ 1,616,858 คน, อินเดีย 1,587,090 คน และรัสเซีย 1,428,985 คน

เมื่อถามว่าหากเริ่มนโยบายเปิดฟรีวีซ่า ‘ไทย-จีน’ ถาวรเริ่ม 1 มี.ค. 67 จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจอย่างไร นายธนกร กล่าวว่า หากยกเลิกการใช้วีซ่าระหว่างไทย-จีน ตนมั่นใจ ว่า จะสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจีนที่ชื่นชอบเที่ยวสายศรัทธา เข้ามาท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว เป็นไปตามเป้าที่รัฐบาลตั้งไว้ได้สำเร็จ

ซึ่งในปี 67 รัฐบาลและ ททท.ตั้งเป้าดึงนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าไทย ประมาณ 8.5 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปี 66 ที่มา 3.4-3.5 ล้านคน และคาดการณ์ว่าในปี 67 การท่องเที่ยวภาพรวมจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเที่ยวในประเทศไทย สร้างรายได้ ที่ 3.5 ล้านล้านบาท (จากเดิม 3 ล้านล้านบาท) ตนเชื่อว่า จะเป็นไปตามเป้าหมายได้อย่างแน่นอน

‘เกาหลีใต้’ ฮึ่ม!! ซ้อมรบด้วยกระสุนจริงตอบโต้ ‘เกาหลีเหนือ’ หลังรัวยิงปืนใหญ่ กว่า 60 นัด ใกล้ชายแดนพิพาททางทะเล

เมื่อวันที่ 6 ม.ค. 67 สถานการณ์บนคาบสมุทรเกาหลียังคงตึงเครียด ล่าสุด เสนาธิการทหารร่วมของเกาหลีใต้ แถลงอ้างว่า กองทัพเกาหลีเหนือได้ยิงปืนใหญ่มากกว่า 60 นัด ใกล้กับเกาะยอนพยองขึ้นอีกเมื่อวันเสาร์ที่ 6 ม.ค.ที่ผ่านมา 1 วันหลังจากทั้ง 2 ฝ่ายต่างซ้อมรบด้วยกระสุนจริงใกล้กับชายแดนทางทะเลที่มีข้อโต้แย้งกัน

“กองกำลังเกาหลีเหนือได้ทำการยิงปืนใหญ่มากกว่า 60 นัด จากพื้นที่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะยอนพยองระหว่างเวลาประมาณ 16.00-17.00 น. ของวันนี้” เสนาธิการทหารร่วมเกาหลีใต้ระบุ พร้อมเตือนเกาหลีเหนือให้หยุดการกระทำดังกล่าวที่คุกคามสันติภาพ และเพิ่มความตึงเครียดบนคาบสมุทรเกาหลี

การยิงปืนใหญ่ครั้งล่าสุดของเกาหลีเหนือ ดำเนินมาต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 หลังจากเมื่อวันศุกร์ที่ 5 ม.ค.ที่ผ่านมา เกาหลีเหนือได้ยิงปืนใหญ่ราว 200 นัด ในการซ้อมรบด้วยกระสุนจริงใกล้กับชายแดนทางตะวันตก ของเกาะยอนพยองและเกาะแบงยอง ซึ่งจุดความตื่นตระหนกให้กับผู้ที่อาศัยอยู่บนเกาะดังกล่าว ที่ต้องหาที่หลบภัยเพื่อความปลอดภัย และทำให้กองทัพเกาหลีใต้ทำการซ้อมรบด้วยกระสุนจริงเป็นการตอบโต้

‘หนุ่มตาบอด’ โพสต์หาเพื่อนเที่ยวเกาะล้าน เจอ ‘หนุ่มใจดี’ อาสาพาเที่ยว อึ้ง!! ที่แท้เป็นนักกีฬาว่ายน้ำพาราลิมปิก เผย “มีความสุขมากกว่าที่คิด”

(7 ม.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง เปิดเผยว่า ตนเป็นผู้พิการทางสายตา ได้โพสต์ในกลุ่ม ‘หาเพื่อนเที่ยวเพื่อนกิน’ เพื่อหาคนที่จะพาตัวเองไปเที่ยวในวันหยุดสุดสัปดาห์ที่เกาะล้าน จ.ชลบุรี แล้วก็เจอคนใจบุญตอบรับและพาไปเที่ยวจริงๆ

‘นายปริพล ทู้ไพเราะห์’ ผู้ใช้เฟซบุ๊กที่พาชายตาบอดไปเที่ยว เปิดเผยว่า ตนเป็นสมาชิกกลุ่มเฟซบุ๊กดังกล่าวอยู่แล้ว และปกติก็มักจะไปเที่ยวคนเดียว จนมาเจอโพสต์ดังกล่าวของคนตาบอดรายนี้เข้า จึงติดต่อไปและอาสาพาไปเที่ยวด้วย

ยอมรับว่าทีแรกก็กังวลว่าจะพาไปเที่ยวอย่างไร จะดูแลอย่างไร แต่พอได้พูดคุยกับเจ้าตัวแล้วเขาบอกว่าเป็นนักกีฬาว่ายน้ำพาราลิมปิกด้วย ดูแลตัวเองได้ ไม่ต้องเป็นห่วง ตนก็สบายใจขึ้นและพาไปเที่ยวที่เกาะล้าน พร้อมเช่ารถ จยย. พาเที่ยวรอบเกาะตั้งแต่บ่ายจนถึง 16.00 น.

นายปริพล กล่าวต่อว่า ส่วนตัวมองชายคนนี้เป็นคนธรรมดา ซึ่งตนก็ไปเที่ยวมาหลายที่ และพอนึกภาพว่าเขาตาบอด มองไม่เห็นอะไรเลย ตนจึงพยายามถ่ายทอดสิ่งที่มองเห็นให้ชัดเจนที่สุด และทุกครั้งที่พูดไป ชายคนนี้จะมีท่าทีตื่นเต้น นั่นก็ทำให้รู้สึกใจฟูมากๆ

จากนี้หากมีโอกาสได้พบผู้พิการที่อยากไปเที่ยว ก็อยากจะพาไปอีก ซึ่งเรื่องนี้ทุกคนก็ทำได้ ไม่ว่าจะพาผู้พิการเที่ยวหรือไม่พิการก็ตาม

"ชลน่าน" ควง "อุ๊งอิ๊ง" ตรวจความพร้อมระบบประกันสุขภาพ ยกระดับบัตรประชาชนใบเดียวรักษาได้ทุกที่ ก่อนนายกฯ ลงพื้นที่ร้อยเอ็ด คิกออฟอย่างเป็นทางการ นำร่อง 4 จังหวัดทั่วประเทศ เย็นนี้

นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนางสาวแพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะรองประธานคณะกรรมการพัฒนาระบบสุขภาพแห่งชาติ และนพ.พรหมมินทร์ เลิศสุริยเดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี , นายสมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (ฝ่ายการเมือง), นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เลขานุการคณะกรรมการพัฒนาระบบสุขภาพแห่งชาติ , นายเศกสิทธิ์ ไวยนิยมพงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดร้อยเอ็ด , นายสรวงศ์ เทียนทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย สส.สระแก้ว รวมทั้งสส.พรรคเพื่อไทย อาทิ นางสาวขัตติยา สวัสดิผล นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด นางสาวชนก จันทาทอง นางสาวปิยะรัฐชย์ ติยะไพรัช และ สส.ร้อยเอ็ด นายฉลาด ขามช่วง นางสาวจิราพร สินธุไพร นางสาวชญาภา สินธุไพร

ลงพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ด ติดตามความคืบหน้าการดำเนินนโยบาย"บัตรประชาชนใบเดียวรักษาได้ทุกที่" ที่โรงพยาบาลจตุรพักตรพิมาน อ.จตุรพักตรพิมาน ตรวจเยี่ยมดูระบบการตรวจสอบประวัติสุขภาพอิเลกทรอนิกส์ , การออกใบรับรองแพทย์ดิจิทัล , ใบสั่งยา/ใบสั่งแล็ปออนไลน์ การแพทย์ทางไกล เภสัชกรรมทางไกล การนัดหมายออนไลน์ และระบบส่งยาและเวชภัณฑ์ที่บ้าน รวมถึงระบบความปลอดภัยทางไซเบอร์ ก่อนที่เริ่มคิกออฟโครงการอย่างเป็นทางการในช่วงเย็นวันนี้ ซึ่งจะมีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการพัฒนาระบบสุขภาพแห่งชาติ เป็นประธานเปิดโครงการ ณ ลานสาเกตุนคร หน้าหอโหวด 101 จังหวัดร้อยเอ็ด และนำร่องพร้อมกันในอีก 3 จังหวัด คือ แพร่ , เพชรบุรี และนราธิวาส รองรับการให้บริการประชาชนครอบคลุมทั่วทุกภาคของประเทศ 

สำหรับการยกระดับระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติครั้งนี้ ถูกยกระดับเป็น "30 บาทรักษาทุกที่" หรือเรียกสั้นๆว่า "30 บาทพลัส" ที่ใช้บัตรประชาชนเพียงใบเดียวเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลทุกเครือข่ายทั้งภาครัฐ และเอกชนได้ โดยไม่ต้องใช้ใบส่งตัว เนื่องจากสามารถเชื่อมโยงข้อมูลผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ และที่สำคัญ ยังสามารถเข้ารับการรักษามะเร็งได้ครบวงจร ครอบคลุมตั้งแต่การฉีดวัคซีน การคัดกรองมะเร็งปากมดลูก มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งเต้านม หากตรวจพบก็จะถูกส่งต่อเข้ารับการรักษาต่อไป

นอกจากนี้ ยังเข้าถึงบริการในเขตเมือง โดยเฉพาะกรุงเทพฯ ประสานความร่วมมือระหว่างภาครัฐ และเอกชน โดยเชิญเอกชนเข้ามาร่วมให้บริการมากขึ้น ทั้งร้านยา คลินิกทันตกรรม คลินิกกายภาพบำบัด  นับเป็นการลดความเหลื่อมล้ำด้านสาธารณสุข และอำนวยความสะดวกในการรับบริการของประชาชนอย่างแท้จริง

ส่วนการขยายนโยบายในเฟส 2 นั้น ภายในเดือนมีนาคมนี้ จะครอบคลุมพื้นที่อีก 8 จังหวัด คือ เพชรบูรณ์, นครสวรรค์, สิงห์บุรี, สระแก้ว, หนองบัวลำภู, นครราชสีมา, อำนาจเจริญ และพังงา

‘ด่านมองโกเลีย’ รับรองรถไฟสินค้าจีน-ยุโรป 3,294 เที่ยวในปี 2023 หนุนขนส่งสินค้านับ 1,000 รายการ ดันระเบียงเศรษฐกิจโตต่อเนื่อง

เมื่อวันที่ 6 ม.ค. 67 สำนักข่าวซินหัว, ฮูฮอต รายงานว่า ‘ด่านเอ้อร์เหลียนฮ่าวเท่อ’ ในเขตปกครองตนเองมองโกเลียในทางตอนเหนือของจีน ได้รับรองการเดินรถไฟสินค้าจีน-ยุโรป ในปี 2023 จำนวน 3,294 เที่ยว เพิ่มขึ้นร้อยละ 30.8 เมื่อเทียบปีต่อปี

รายงานระบุว่า ด่านเอ้อร์เหลียนฮ่าวเท่อรับรองการขนส่งสินค้านำเข้าและส่งออก ในปี 2023 รวม 4.08 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 34.5 เมื่อเทียบปีต่อปี และรับรองการขนส่งสินค้า 375,000 ทีอียู (TEU : หน่วยนับตู้คอนเทนเนอร์ยาว 20 ฟุต) เพิ่มขึ้นร้อยละ 39.4

อนึ่ง ด่านเอ้อร์เหลียนฮ่าวเท่อ เป็นด่านบกขนาดใหญ่ที่สุดบนพรมแดนจีนและมองโกเลีย และเป็นด่านเข้า-ออกแห่งเดียวบนระเบียงตอนกลางของการบริการรถไฟสินค้าจีน-ยุโรป

สินค้าที่ขนส่งโดยรถไฟสินค้าจีน-ยุโรป ซึ่งเดินรถผ่านด่านเอ้อร์เหลียนฮ่าวเท่อ ประกอบด้วย รองเท้าและเสื้อผ้า, ผลิตภัณฑ์จักรกลและไฟฟ้า, ยานพาหนะและชิ้นส่วนรถยนต์ รวมถึงสินค้าโภคภัณฑ์ราว 1,000 รายการ

‘พาณิชย์-ททท.’ ชูแคมเปญ ‘เที่ยว ฟิน กิน Thai SELECT’ เดินหน้าหนุนอาหารไทยสู่ ‘ซอฟต์พาวเวอร์’ ทั้งใน-นอกประเทศ

(7 ม.ค. 67) นโยบายผลักดัน Soft Power ของไทยสู่ตลาดโลกเพิ่มมากขึ้น ถือเป็นนโยบายหลักของรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี โดยใช้ ‘อาหาร’ เป็นสินค้า ‘Soft Power’ ของไทยที่สำคัญ เพราะอาหารไทยถือเป็นหนึ่งในอาหารยอดนิยมของคนทั่วโลก ซึ่งเห็นได้ชัดจากการจัดอันดับของเว็บไซต์ที่มีชื่อเสียงเกี่ยวกับอาหารต่างๆ อาทิ CNN Travel ที่ได้จัดอาหารไทยเป็นอาหารที่ดีที่สุด อันดับที่ 8 ของโลก และ Taste Atlas Awards 2023/2024 ที่ได้ยกย่องให้ 5 เมนูอาหารไทย ได้แก่ ผัดกะเพรา, ข้าวซอย, แกงพะแนง, ต้มข่าไก่ และแกงมัสมั่น เป็นเมนูที่ดีที่สุดของโลกที่ติดอันดับ 100 เมนูแรก จากรายการอาหารทั้งหมด 10,927 เมนู

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (ผอ.สนค.) กระทรวงพาณิชย์ ให้ข้อมูลว่า ปัจจัยสำคัญที่ช่วยส่งเสริมให้ความนิยมอาหารไทยเติบโตอย่างก้าวกระโดดในต่างแดน มาจากการสนับสนุนของภาครัฐ ซึ่งตั้งแต่ปี 2002 รัฐบาลได้ยกระดับ ‘การทูตผ่านอาหาร’ หรือ ‘Gastrodiplomacy’ ผ่านโครงการ ‘Global Thai Restaurant Company’ ส่งผลให้จำนวนร้านอาหารไทยในต่างประเทศเพิ่มขึ้นประมาณ 3 เท่า จาก 5,500 ร้าน เป็น 15,000 ร้าน รวมทั้ง กระทรวงพาณิชย์ ยังมีส่วนช่วยสนับสนุนความน่าเชื่อถือด้วยการมอบตราสัญลักษณ์ Thai SELECT เพื่อรับรองมาตรฐานร้านอาหารไทยทั้งในและต่างประเทศ 

ปัจจุบันแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจร้านอาหารไทยในต่างประเทศเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งถือเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่จะช่วยเผยแพร่และขับเคลื่อน Soft Power ไทยสู่สากล และเป็นช่องทางการสร้างโอกาสทางธุรกิจ และเสริมรายได้ให้กับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ของไทย ซึ่งการเติบโตของร้านอาหารไทยในต่างประเทศ จะส่งผลให้อุตสาหกรรมอื่นๆ ได้รับอานิสงส์ทั้งทางตรงและทางอ้อมตามไปด้วย

ในส่วนของการส่งเสริมอาหารไทยเป็น ‘ซอฟต์พาวเวอร์’ (Soft Power) ประเทศ จำเป็นต้องอาศัยร้านอาหารไทยเป็นช่องทางหลักในการรับรู้ กระทรวงพาณิชย์ ได้มีนโยบายและแผนงานในการผลักดันให้ร้านอาหารไทยในต่างประเทศได้รับตราสัญลักษณ์ ‘Thai SELECT’ จะเป็นเครื่องมือช่วยการันตีคุณภาพความเป็นไทย ให้แก่ร้านอาหารไทยที่เปิดขายในต่างแดน และรวมถึงร้านอาหารไทยในประเทศด้วย ซึ่งจะเป็นจุดขายให้ต่างชาติได้ทำความรู้จักคุ้นชิน รวมทั้งจัดให้ร้านอาหารไทยเป็นเหมือนศูนย์จัดแสดงสินค้า (Showroom) และถ่ายทอดผลงานสะท้อนภูมิปัญญาของไทย อีกทั้งสนับสนุนการตกแต่งร้านอาหารที่แสดงถึงเอกลักษณ์ความเป็นไทย เพื่อส่งเสริม Soft Power ในทุกมิติ

สำหรับ ‘Thai SELECT’ เป็นตราสัญลักษณ์ที่กระทรวงพาณิชย์ มอบให้กับร้านอาหารไทย และผลิตภัณฑ์อาหารไทยสำเร็จรูป ที่ให้บริการและจำหน่ายอาหารไทยรสชาติไทยแท้ ผ่านกระบวนการและขั้นตอนของการปรุงอาหารด้วยส่วนผสมตามตำรับอาหารไทย จากข้อมูลของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศพบว่า ปัจจุบันมีจำนวนร้านอาหารไทยในต่างประเทศรวม 17,478 ร้าน ทั่วโลก โดยสหรัฐอเมริกามีจำนวนร้านอาหารไทยมากที่สุดในโลก รวมทั้งสิ้นราว 6,850  กระจายตัวอยู่ทั่วสหรัฐฯ คิดเป็น 39% ของจำนวนร้านอาหารไทยในต่างแดนทั้งหมด ส่วนร้านอาหารไทย Thai Select ทั่วโลกมีจำนวน 1,546 ร้าน

ขณะที่ในประเทศ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า จับมือกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และการท่องเที่ยวแห่งประแทศไทย (ททท.) จัดโครงการ ดัน ‘อาหารไทย Thai SELECT’ เป็น Soft Power ประเทศ ด้วยแคมเปญส่งเสริมการตลาดร่วมกัน ทั้งการส่งเสริมร้านอาหาร Thai SELECT ผ่านแคมเปญ ‘เที่ยว ฟิน กิน Thai SELECT’ กิจกรรมร่วมกับกลุ่มวิสาหกิจชุมชน และศูนย์การเรียนรู้ชุมชนในแต่ละท้องถิ่น เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้าไป ณ ชุมชนมากขึ้น

และเชื่อมเส้นทางท่องเที่ยวเพื่อเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ในทุกๆ วัน ที่จะช่วยส่งเสริมการขายผลิตภัณฑ์ชุมชน ร้านอาหารไทย Thai SELECT ในพื้นที่ ผ่านกิจกรรม ‘ของเด่นพื้นที่ ของดีพื้นถิ่น’ เพื่อสร้างจุดเด่นและความแตกต่างรวมทั้ง จัดทำเส้นทางท่องเที่ยวเมืองหลักและเมืองรองร้านอาหาร Thai SELECT ในทุกภูมิภาค

การชู ‘อาหารไทย’ เป็น Soft Power ทั้งในประเทศและต่างประเทศ จะเป็นจุดขายสำคัญให้กับประเทศ และสร้างโอกาสในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยได้ตามนโยบายของรัฐบาล

"เชียงราย"ฉก.ทัพเจ้าตาก ตำรวจแม่จันและตำรวจภูธรภาค5ยิงปะทะเดือดกลุ่มลักลอบลำเลียงยาเสพติดวิสามัญ1ศพยึดไอซ์ 323 กก."

เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2567 เวลาประมาณ 20.30 นาฬิกา กองกำลังผาเมือง โดย หน่วยเฉพาะกิจทัพเจ้าตาก ได้รับการประสานจาก สถานีตำรวจภูธรแม่จัน ว่ามีกลุ่มขบวนการลักลอบลำเลียงยาเสพติดเข้าสู่พื้นที่ตอนใน บริเวณ บ้านแม่สะแลป ตำบลแม่สลองใน อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย จึงได้จัดกำลังจาก กองบังคับการควบคุมผาแด่น หน่วยเฉพาะกิจทัพเจ้าตาก ร่วมกับ สถานีตำรวจภูธรแม่จัน และ ตำรวจภูธรภาค 5 ทำการลาดตระเวนเพื่อป้องกันและสกัดกั้นการกระทำผิดตาม พระราชบัญญัติยาเสพติด บริเวณดังกล่าว และได้ตรวจพบกลุ่มบุคคลต้องสงสัย พร้อมเป้สัมภาระ จึงได้แสดงตัวเพื่อขอทำการตรวจค้น แต่กลุ่มบุคคลดังกล่าว ได้ใช้อาวุธปืนไม่ทราบชนิดยิงใส่ฝ่ายเรา จึงเกิดการปะทะกัน ประมาณ 5 นาที ผลการปะทะ ฝ่ายเราปลอดภัย หน่วยจึงได้จัดกำลังเพิ่มเติม จำนวน 3 ชุดปฏิบัติการ เข้าควบคุมพื้นที่เกิดเหตุ เพื่อรอพิสูจน์ทราบเมื่อมีแสงทางทหาร

จนกระทั่งเมื่อเวลา 07.00 นาฬิกา ของวันที่ 7 มกราคม 2567 ได้เข้าพิสูจน์ทราบพื้นที่เกิดเหตุ พบกลุ่มขบวนการลักลอบลำเลียงยาเสพติด เสียชีวิต จำนวน 1 ศพ และกระสอบปุ๋ยดัดแปลงเป็นเป้สะพายหลัง จำนวน 21 ใบ ภายในบรรจุยาเสพติให้โทษประเภท 1 (ไอซ์) น้ำหนักรวมทั้งสิ้น 323 กิโลกรัม, รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อ ฮอนด้า เวฟ แดงดำ ทะเบียน 1 กด 988 เชียงราย จำนวน 1 คัน และลูกระเบิดขว้าง จำนวน 1 ลูก

ต่อมาเมื่อเวลา 15.00 นาฬิกา พลตำรวจโท กฤตธาพล ยี่สาคร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 พร้อมด้วย พลตรี สมจริง กอรี รองผู้บัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด สารตั้งต้น และเคมีภัณฑ์ ชายแดนภาคเหนือ, พันเอก กิดากร จันทรา รองผู้บัญชาการกองกำลังผาเมือง, พันเอก ณฑี ทิมเสน ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจทัพเจ้าตาก และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมเข้าตรวจสอบพื้นที่ปะทะดังกล่าว เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย หลังจากนั้นหน่วยได้นำของกลางส่งให้สถานีตำรวจภูธรแม่ฟ้าหลวง เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

สันติ วงศ์สุนันท์/ผู้สื่อข่าวเชียงราย

‘ดร.ชวลิต’ ชี้!! การเจอ ‘ปลาออร์ฟิช’ ไม่ได้ฟังธงว่าจะเกิดแผ่นดินไหว แต่การตระหนักถึงภัยธรรมชาติต่างหาก คือสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ปลอดภัย

(7 ม.ค.67) จากกรณีโลกออนไลน์แชร์ภาพพบ ‘ปลาออร์ฟิช’ (Oarfish) หรือที่เรียกกันว่า ‘ปลาพญานาค’ ติดเรือชาวประมงขึ้นมาที่บริเวณเกาะอาดัง อำเภอละงู จังหวัดสตูล เมื่อไม่นานนี้ ทำให้หลายคนวิตกกังวล เนื่องจากมีความเชื่อกันว่า เปรียบเสมือนตัวแทนผู้ส่งสารจากวังของพญามังกร ที่จะมาเตือนผู้คนว่าภัยพิบัติกำลังจะมาเยือน

ล่าสุด ดร.ชวลิต วิทยานนท์ นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญเรื่องปลา และกรรมการบริหารมูลนิธิสืบนาคเถียร กล่าวถึงเรื่องการเจอ ‘ปลาออร์ฟิช’ (Oarfish) หรือ ‘ปลาพญานาค’ ในน่านน้ำทะเลไทย ซึ่งไม่เคยเจอมาก่อนเลย แต่ตอนนี้เจอถึง 2 ครั้ง 2 ตัวในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันนั้น ว่า แม้ว่ายังไม่มีข้อมูลยืนยันถึงลางบอกเหตุแผ่นดินไหว และสึนามิในทุกครั้ง จากการพบปลาออร์ฟิช แต่การตระหนักถึงภัยธรรมชาตินี้ ก็เป็นทางหนึ่งของความปลอดภัยได้ เช่น ในช่วงนี้นักท่องเที่ยวแถบทะเลอันดามันควรสังเกตเป็นพิเศษ หากพบว่าที่ชายหาดเกิดน้ำลงเร็วผิดรอบจากที่ควรเป็น หรือลงมากกว่าปกติ ก็ควรระวังรีบเผ่นขึ้นที่สูงได้ทัน

สำหรับปลาออร์ฟิช หรือปลาพญานาค เป็นปลากระดูกแข็งในอันดับ Lampriformes อันดับเดียวกับปลาโอปอ (Opahfish) อยู่ในวงศ์ Regalecidae พบแล้ว 3 ชนิดทั่วโลก แต่ที่มีขนาดใหญ่ มี 2 ชนิด คือ 1.) Giant oarfish Regalecus glesne (P. Ascanius, 1772) มีครีบหลังยาวมาก มีก้านครีบ 390-450 อัน กระโดงตอนหน้าที่ยาวเป็นหงอนแรกมี 6-8 ก้าน ตอนสองมี 5-11 ก้าน มักพบในเขตอบอุ่น แถบแอตแลนติกและแคลิฟอร์เนีย เคยพบยาวสุดประมาณ 17 เมตร หนักได้ถึง 270 กิโลกรัม

2.) Russell’s oarfish Regalecus russelii (G. Cuvier, 1816) มีก้านครีบหลังน้อยกว่า 320-370 อัน กระโดงตอนหน้าที่มี 3-6 ก้าน ตอนสองมีก้านเดียว พบในเขตร้อน แถบอินโด-แปซิฟิกตะวันตก เช่น ญี่ปุ่น จีน ถึงคอสตาริกา และพบในมหาสมุทรอินเดีย รวมถึงตัวที่พบในประเทศไทย เมื่อช่วงขึ้นปีใหม่นี้ด้วย เจ้าตัวนี้มีความยาว 2.4 เมตร ได้มาโดยคุณธนิสร วสิโนภาส ไปเสาะหามาเพื่อนำมามอบให้ อพวช. เก็บเป็นตัวอย่างอ้างอิงของไทย

ปลานี้มีลำตัวบาง ยาว คล้ายปลาดาบเงิน ผิวบางมีสีเงินลายประสีคล้ำจางๆ ครีบสีแดง มันได้รับฉายาว่าเป็นปลาที่ตัวยาวมากที่สุด กินกุ้ง ปลาหมึกที่เป็นแพลงค์ตอนขนาดใหญ่ อาศัยอยู่กลางน้ำลึกตั้งแต่ 200 เมตร ลงไป เวลาว่ายน้ำมักเอาหัวตั้งขึ้น

ตามตำนานของญี่ปุ่นเชื่อว่าปลาพญานาค เป็นปลาส่งสารจากวังของพระเจ้าแห่งท้องทะเล เพราะมันจะโผล่มายังบริเวณผิวน้ำ ก่อนเกิดแผ่นดินไหว หรือสึนามิ

โดยตัวอย่างในปี 2011 ก่อนเกิดเหตุการณ์สึนามิ แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่ฟูกูชิมะ ที่คร่าผู้คนร่วมสองหมื่นคน หลายดือนก่อนหน้า พบปลาพญานาคขึ้นมาที่ตื้นราว 20 ตัว เชื่อกันว่ามีความเปลี่ยนแปลงที่ใต้ท้องทะเลก่อนหน้าการเกิดแผ่นดินไหว และมีตำนานของญี่ปุ่นกลาวถึงเรื่องจากปลานี้อยู่มานานแล้ว

ยังไม่มีการอธิบายที่แน่ชัดสำหรับการปรากฎตัวของเจ้าปลานี้ แต่ในทางวิทยาศาสตร์อาจอธิบายได้ว่า ด้วยความที่เจ้าปลาพญานาคเป็นปลาที่อาศัยอยู่บริเวณก้นทะเลลึก จึงไวต่อการรับรู้จากพื้นทะเลได้ก่อน หรือเป็นไปได้ที่มันจะไวต่อการเปลี่ยนแปลงของคลื่นสั่นสะเทือน หรือพลังงานใดๆ ขณะที่แผ่นเปลือกโลกกำลังขยับก่อนแผ่นดินไหว

นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาที่ว่า การพบเห็นปลาออร์ฟิช อาจไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการเกิดลางร้ายแผ่นดินไหวทุกครั้งไป โดยมีการศึกษาถึงความเกี่ยวข้องของการพบเห็นปลาออร์ฟิชในอดีตที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งยังไม่สามารถยืนยันถึงความเชื่อมโยงได้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top