Wednesday, 2 July 2025
NewsFeed

‘หนุ่มจีน’ ถูกพ่อหลอก ‘บ้านจน-ติดหนี้’ ลำบากกว่า 20 ปี สุดท้ายเฉลยว่าบ้านรวยระดับเศรษฐี แถมมีบริษัทใหญ่โต!!

เมื่อไม่นานนี้ นายจาง จื่อหลง ลูกชายของ นายจาง อวี้ย์ตง เจ้าของบริษัทผลิตขนมชื่อดังของจีน เปิเผยว่า เขาถูกพ่อแท้ๆ หลอกมากว่า 20 ปี!!

โดยนายจาง จื่อหลง เข้าใจมาตลอดว่า ครอบครัวของตนมีฐานะยากจน เนื่องจากพ่อของเขาพร่ำบอกเสมอว่ามีหนี้สิน หนำซ้ำบ้านที่อาศัยอยู่ก็เป็นเพียงบ้านหลังเล็กๆ ในอำเภอผิงเจียง เมืองเย่ว์หยาง มณฑลหูหนาน

ดังนั้น ขณะที่เรียนมหาวิทยาลัย นายจาง จื่อหลง จึงมีความฝันว่า หลังจากเรียนจบเขาจะหางานที่ได้รับเงินเดือนมากกว่า 6,000 หยวน (ประมาณ 30,000 บาท) เพื่อหาเงินมาช่วยแบ่งเบาภาระของพ่อ

ทว่าอะไรๆ ก็ไม่ได้เป็นดังหวัง เนื่องจากนายจาง จื่อหลงไม่สามารถหางานได้ตามที่ต้องการ นานวันเข้าพ่อของเขาก็เริ่มทนไม่ไหว เรียกให้เขากลับมาช่วยงานที่บ้าน

“พ่อผมบอกว่าหางานไม่ได้ก็กลับมา ผมบอกพ่อว่า กลับไปแล้วจะไปทำอะไร บริษัทของพ่อขาดทุนทุกปี สู้ผมไปหางานที่มั่นคงทำจะดีกว่า” จางจื่อหลง กล่าว

อย่างไรก็ตาม สุดท้ายเขาก็ต้องกลับบ้านตามคำขอ และเมื่อได้เห็นบริษัทของพ่อซึ่งใหญ่กว่าที่คิด ทั้งยังได้รู้ว่า ตึกบริษัทพ่อก็ไม่ได้เช่า หากแต่เป็นเจ้าของด้วย เขาก็เข้าใจทันทีว่า ตนเองถูกพ่อหลอกมาตลอด 20 ปี!!

หลังจากความจริงถูกเปิดเผย พ่อของเขาก็ไม่คิดปกปิดฐานะที่แท้จริงอีกต่อไป ทั้งครอบครัวจึงย้ายเข้าไปอยู่ในคฤหาสน์หรูหรา ซึ่งแค่ค่าตกแต่งเพียงอย่างเดียวก็ปาเข้าไปกว่า 10 ล้านหยวน (ประมาณ 50 ล้านบาท) แล้ว

ทั้งนี้ ปัจจุบัน นายจาง จื่อหลง ทำหน้าที่รับผิดชอบด้านการขายของในโต่วอิน หรือติ๊กต็อกเวอร์ชันจีนให้บริษัท โดยความฝันอันสูงสุดของเขาในตอนนี้ คือการพาบริษัทของพ่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

หลังเรื่องราวดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป ชาวเน็ตต่างคอมเมนต์ เช่น
- “เรื่องแบบนี้ช่วยเกิดขึ้นกับฉันบ้างจะได้ไหม?”
- “ฉันจะไปถามพ่อตอนนี้เลยว่าพ่อปกปิดไม่ให้ฉันรู้ว่าบ้านเรารวยหรือเปล่า?”
- “ความปรารถนาอันสูงสุดของฉันคือ การที่จู่ๆ วันหนึ่งพ่อกับแม่ก็เดินมาบอกว่า ความจริงแล้วครอบครัวของเราไม่ได้ยากจน เรามีบ้านหลายหลังและมีทรัพย์สินหลายร้อยล้าน”

‘โลเคชันไทย’ สุดฮอต!! ตปท.ยกกองมาถ่ายหนัง-โฆษณา-รายการเพียบ ปี 66 ถ่ายไป 466 เรื่องจาก 40 ประเทศทั่วโลก โกยรายได้ 6.6 พันล้าน!!

เมื่อวันที่ 6 ม.ค. 67 น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว พร้อมกับข้อความ #NewRecord โดยแชร์ข้อมูลเรื่องสถิติการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย ปี พ.ศ. 2566 มีคณะถ่ายภาพยนตร์ต่างประเทศเดินทางเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์ในประเทศไทย จำนวน 466 เรื่อง จาก 40 ประเทศทั่วโลก คาดการณ์รายได้จำนวนกว่า 6,600 ล้านบาท ถือเป็นสถิติจำนวนรายได้สูงสุดนับแต่มีการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย โดยข้อมูลดังกล่าว ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566

จากสถิติปี พ.ศ. 2566 คณะถ่ายทำภาพยนตร์จาก ‘สหรัฐอเมริกา’ เข้ามาลงทุนถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทยมากที่สุด มีเงินลงทุนกว่า 3,184 ล้านบาท จากจำนวนภาพยนตร์ 34 เรื่อง ตามมาด้วยคณะถ่ายทำจากเขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน มีเงินลงทุนกว่า 707 ล้านบาท ตามด้วยประเทศนจีน, เยอรมนี และเกาหลีใต้ ตามลำดับ

1.) กองถ่ายโฆษณาถ่ายทำมากที่สุด จำนวน 203 เรื่อง รายได้จำนวน 955.03 ล้านบาท

2.) สารคดี จำนวน จำนวน 81 เรื่อง รายได้จำนวน 56.90 ล้านบาท

3.) รายการโทรทัศน์ จำนวน 58 เรื่อง รายได้จำนวน 172.46 ล้านบาท

4.) ภาพยนตร์เรื่องยาว จำนวน 35 เรื่อง รายได้จำนวน 1,256.74 ล้านบาท

5.) มิวสิควิดีโอ จำนวน 34 เรื่อง รายได้จำนวน 105.99 ล้านบาท

6.) รายการเรียลลิตี้ จำนวน 30 เรื่อง รายได้จำนวน 668.76 ล้านบาท

7.) ภาพยนตร์ชุดทางโทรทัศน์ (ซีรีส์) จำนวน 17 เรื่อง รายได้จำนวน 3,365.00 ล้านบาท

8.) ละครโทรทัศน์/รายการละเอียดอ่อน/อื่น ๆ จำนวน 8 เรื่อง รายได้จำนวน 21.90 ล้านบาท

58 จังหวัด ที่มีกองถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศเข้าไปถ่ายทำ โดย 10 อันดับจังหวัดที่มีคณะถ่ายทำเดินทางเข้าไปถ่ายทำในพื้นที่มากที่สุด ได้แก่

1.) กรุงเทพมหานคร จำนวน 282 เรื่อง โดยมีสถานที่ถ่ายทำ อาทิ วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร สถานีรถไฟหัวลำโพง ตึกคิง พาวเวอร์ มหานคร เป็นต้น

2.) จังหวัดชลบุรี จำนวน 77 เรื่อง โดยมีสถานที่ถ่ายทำ อาทิ ถนนเลียบชายหาดพัทยา เกาะล้าน เกาะสีชัง เป็นต้น

3.) จังหวัดสมุทรปราการ จำนวน 60 เรื่อง โดยมีสถานที่ถ่ายทำ อาทิ เมืองโบราณ The Studio Park ท่าเรือศุภนาวา เป็นต้น

4.) จังหวัดปทุมธานี จำนวน 52 เรื่อง โดยมีสถานที่ถ่ายทำ อาทิ ACTS Studio มหาวิทยาลัยกรุงเทพ มหาวิทยาลัยรังสิต เป็นต้น

5.) จังหวัดภูเก็ต จำนวน 47 เรื่อง โดยมีสถานที่ถ่ายทำ อาทิ หาดพาราไดซ์ ย่านเมืองเก่าภูเก็ต พระพุทธมิ่งมงคลเอกนาคคีรี เป็นต้น

6.) จังหวัดนนทบุรี จำนวน 41 เรื่อง โดยมีสถานที่ถ่ายทำ อาทิ อิมแพคอารีน่า ถนนบอนด์สตรีท เมืองทองธานี เป็นต้น

7.) จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 39 เรื่อง โดยมีสถานที่ถ่ายทำ อาทิ หมู่บ้านแม่กำปอง ปางช้างแม่สา อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ เป็นต้น

8.) จังหวัดนครปฐม จำนวน 27 เรื่อง โดยมีสถานที่ถ่ายทำ อาทิ ตลาดน้ำดอนหวาย มูวีโอ้ ทาวน์ มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา เป็นต้น

9.) จังหวัดกระบี่ จำนวน 26 เรื่อง โดยมีสถานที่ถ่ายทำ อาทิ หาดพระนาง หาดต้นไทร อ่าวไร่เล เป็นต้น

10.) จังหวัดราชบุรี จำนวน 25 เรื่อง โดยมีสถานที่ถ่ายทำ อาทิ ตลาดน้ำดำเนินสะดวก อุทยานเขาหินงู วัดเขาช่องพราน เป็นต้น

‘นายกฯ’ รับฟัง ‘นิด้าโพล’ หลัง ปชช.ให้คะแนนอยู่ยาวตลอดปี ชี้!! ไม่ว่าผลจะเป็นยังไงก็ยังตื่นเช้ามาทำงาน-ทำทุกอย่างเป็นปกติ

(7 ม.ค.67) ที่ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 (บน.6) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมคณะ ประกอบด้วย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย, นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เดินทางจาก บน.6 ดอนเมือง กรุงเทพฯ ไปยังท่าอากาศยานร้อยเอ็ด ตำบลมะอึ อำเภอธวัชบุรี เป็นประธานกิจกรรม Kick off ‘30 บาท รักษาทุกที่’ ที่ลานสาเกตนคร หน้าหอโหวด 101 ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด นำร่องใช้บัตรประชาชนใบเดียวรักษาได้ทุกที่ในโรงพยาบาลที่ร่วมโครงการ โดยจะคิดออฟพร้อมกันในจังหวัดนำร่อง ร้อยเอ็ด, แพร่, เพชรบุรี และนราธิวาส

ผู้สื่อข่าวสอบถามกรณีที่ศูนย์สำรวจความคิดเห็นนิด้าโพล เปิดเผยผลสำรวจประชาชน เรื่อง ‘การเมือง เศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตในปี 2567’ เชื่อว่าปีหน้าเศษรฐกิจจะดีและรัฐบาลนายเศรษฐาจะอยู่ยาวตลอดปี แต่จะมีเหตุวุ่นวายทางการเมืองอยู่บ้างว่า ก็รับฟัง และพรุ่งนี้เช้าก็ยังตื่นไปทำงานเหมือนปกติ

เมื่อถามว่า โพลสะท้อนว่าประชาชนเชื่อว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้น ทำให้มีกำลังใจทำงานมากขึ้นหรือไม่ นายเศรษฐากล่าวย้ำว่า ถึงอย่างไรก็ต้องตื่นเช้าทำงานเหมือนเดิม ทุกอย่างยังเป็นปกติ ทำงานเหมือนเดิม

‘ลุงเจี๊ยบ’ เจ้าของร้านตามสั่งใจดี ให้ไรเดอร์พ่อเลี้ยงเดี่ยวกินข้าวฟรี หลังโดนลูกค้าเทมาหลายงาน ฝากถึงคนยกเลิกออเดอร์ เห็นใจเขาบ้าง

(7 ม.ค. 67) จากกรณีผู้ใช้ติ๊กต็อก ‘putonyourhair’ ได้ออกมาเเชร์เรื่องราวของไรเดอร์พ่อเลี้ยงเดี่ยวลูก 2 คน ที่ถูกยกเลิกมาหลายงาน เลยตัดสินใจให้กินฟรี โดย ‘ลุงเจี๊ยบ’ เจ้าของร้านครัวลุงเจี๊ยบ บ้านสวนซอย 11 ตำบลหนองข้างคอก อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี เผยว่า…

ตนได้คุยกับน้องไรเดอร์คนนั้นก็ทราบว่าเขามีงานประจำทำ แล้วมาทำงานเป็นไรเดอร์ช่วงเลิกงาน และเหตุการณ์วันนั้นก่อนหน้าที่จะมารับงานที่ร้านตนได้ไปรับงานที่อื่นมาก่อน แต่ว่าร้านนั้นเป็นร้านที่ปิดไปแล้วแต่ยังเปิดรับออเดอร์อยู่ จึงต้องรออยู่ตรงนั้นเพื่อปิดออเดอร์

ระหว่างรอปิดออเดอร์ที่นั่นออเดอร์ร้านตนก็เด้งเข้าไป แต่เขายังไม่สามารถมารับอาหารได้เพราะยังปิดงานไม่ได้ โดยตอนนั้นเขาเล่าว่ารออยู่เป็นชั่วโมง จนทำให้ลูกค้าที่สั่งจากร้านตนก็ยกเลิกออเดอร์เพราะว่าเสียเวลารอนาน

พอมาถึงร้านตนเขาก็เล่าให้ฟังอีกว่า ก่อนหน้านี้โดนเทงานมาหลายงานมาก แล้วยังต้องมาเสียเวลาปิดออเดอร์และโดนออเดอร์ร้านตนยกเลิกอีก ซึ่งตนก็ถามไปว่าทำไมต้องรอนานขนาดนั้น เขาก็บอกว่าต้องรอปิดงานที่นั่นให้ได้ก่อนถึงจะรับออเดอร์อื่นได้

ตนจึงได้ถามว่าอีกว่าตั้งแต่ออกมาวิ่งงานได้เงินเท่าไหร่ น้องเขาก็บอกว่า 150 บาท แล้วก็บ่นอีกว่าเขาเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยวมีลูก 2 คน ต้องหาเงินเลี้ยงครอบครัวเพื่อเป็นรายได้เสริม และออเดอร์ที่ร้านตนที่ลูกค้ายกเลิกไปนั้น ก็ต้องนั่งรอปิดให้ได้อีกประมาณครึ่งชั่วโมง ถ้าปิดออเดอร์นี้เสร็จก็จะเข้าบ้านเลย

แต่ตอนนั้น ออเดอร์ที่ลูกค้าสั่งที่ร้านตนทำเสร็จหมดแล้ว ก็เลยให้น้องไรเดอร์กินอาหารที่ลูกค้ายกเลิกทั้งหมดฟรีไปเลย

ลุงเจี๊ยบ กล่าวต่อว่า ที่ตนได้นำคลิปนี้ไปลงในโซเชียลเพราะว่าไม่อยากให้ไรเดอร์ทุกคนท้อ ซึ่งน้องเขาน่าสงสารมาก เห็นหน้าแล้วดูเบื่อๆ หน้าดูเหนื่อยมาก เพราะน้องเขาตั้งใจทำงานประจำเสร็จแล้วหารายได้เสริมเพื่อเลี้ยงครอบครัว

แล้วมาเจอแบบนี้อีกก็ยิ่งสงสารจับใจ ว่าทำไมเป็นแบบนี้ ก็เลยให้กินฟรี บอกว่า “ลุงเลี้ยงเอง” เขาก็รีบขอบคุณ ซึ่งเขาก็รีบกินจนหมด แต่ตนก็บอกว่ามันไม่เป็นไรตนทั้งขายบ้างแจกบ้างก็มีความสุขดี สงสารเขามากกว่าที่หาเงินเลี้ยงครอบครัว ก็อยากให้กำลังใจเขา

คิดดูว่า 1 วัน วิ่งได้แค่ 150 บาท ถ้าเกิดว่าตนเก็บเงินออร์เดอร์นี้จากเขามา 150 บาทก็เหลือแค่ไม่กี่บาท แล้วลูก 2 คน ตัวเขาเองอีก ค่าน้ำมันอะไรต่างๆ อีกแล้วตอนนั้นก็มืดแล้วตนก็เลยบอกให้น้องเขาเข้าบ้านไปได้เลย

ตั้งแต่ตนเปิดร้านอาหารมาก็เจอเรื่องราวประมาณนี้อยู่เรื่อยๆ ก็เห็นว่าน้องไรเดอร์หลายๆ คนก็สู้ชีวิตมาก ไม่ว่าจะฝนตกแดดออกแค่ไหนเขาก็ยังทำงาน ยิ่งมาเจอเทงานแบบนี้ก็ยิ่งสงสาร ตนทำอาชีพค้าขายอยู่ก็ให้กินไปเลย

สุดท้ายนี้ ตนก็อยากฝากถึงลูกค้าที่สั่งแล้วยกเลิก ก็ไม่อยากไปตำหนิอะไรเขาเพราะเขาอาจมีเหตุผลส่วนตัวที่ยกเลิก แต่ผลกระทบก็คือไรเดอร์โดยตรงที่อยู่บนท้องถนน รับงานมาแล้วถูกกดยกเลิก ก็อยากให้นึกถึงตรงนี้สักหน่อยว่าเขาอาจจะลำบาก กว่าจะได้แต่ละงานบางทีวิ่งเป็น 10 กิโล

เพชรบูรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ลงพื้นที่เมืองโบราณศรีเทพติดตามการเตรียมงานพิธีเปิด และรับมอบใบประกาศการขึ้นทะเบียนมรดกโลก

เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2567  ที่โบราณสถานเขาคลังนอก อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ  อำเภอศรีเทพ  จังหวัดเพชรบูรณ์   พลตำรวจเอก พัชรวาท  วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วย  นายจตุพร  บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  และ ผู้บริหารกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง  ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและติดตาม ความพร้อมในการเตรียมการจัดงานพิธีเปิดและพิธีรับมอบใบประกาศการขึ้นทะเบียนมรดกโลก เมืองโบราณศรีเทพ และโบราณสถานสมัยทวารวดีที่เกี่ยวข้อง  

ทั้งนี้ เมืองโบราณศรีเทพ และโบราณสถานสมัยทวารวดี ที่เกี่ยวข้อง ได้รับการรับรองการขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรม เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2566  ในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ 45 ที่ขยายออกมา ณ กรุงริยาด  ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย นับเป็นแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรมแหล่งที่ 4  และเป็นแหล่งมรดกโลกแหล่งที่  7 ของประเทศไทย

อัปเดต!! งบฯ 67 ถอด 'สายสีแดงส่วนต่อขยาย' กลับไปศึกษาใหม่ หวังลุย 'นครปฐม-อยุธยา' ทีเดียว แต่ที่ศึกษาแล้วก่อนหน้า น่าทำก่อน

(8 ม.ค.67) เพจ 'โครงสร้างพื้นฐาน ประเทศไทย Thailand Infrastructure' ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับโครงการรถไฟสายสีแดงส่วนต่อขยาย ระบุว่า...

สายสีแดงส่วนต่อขยาย มันจบแล้วครับนาย ถูกถอดออกจากงบประมาณ ปี 2567 กลับไปศึกษาใหม่... รมช. จะขยายทีเดียว นครปฐม-อยุธยา ก็ดีนะ แต่ที่ศึกษาแล้วทำก่อนได้ไหม?

หลังจากอ่านงบประมาณประจำปี 2567 ที่เพิ่งเข้าสภาไป ซึ่งผมไปค้นดูในรายละเอียดงบประมาณประจำปี 2567 ของการรถไฟฯ 

มีงบประมาณที่ถูกถอดออกเมื่อเทียบกับปี 2566 ที่สำคัญคือโครงการส่วนต่อขยาย รถไฟฟ้าสายสีแดง ทั้งหมด คือ...

- รังสิต - ธรรมศาสตร์
- ตลิ่งชัน - ศาลายา
- บางซื่อ - หัวลำโพง - หัวหมาก

มีรายละเอียดอยู่ใน งบประมาณ 2567 เล่มบูรณาการ 2 ตามลิงก์นี้ >> https://www.bb.go.th/topic-detail.php?id=16289&mid=544&catID=0 

สอดคล้องกับที่ คุณสุรพงษ์ ปิยะโชติ - Surapong Piyachote รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ได้ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า...

“มีนโยบายให้ต่อขยายเส้นทางสายเหนือออกไปถึง 'อยุธยา' และสายตะวันตกถึง 'นครปฐม' โดยระบุว่า เพื่อใช้เป็นระบบรางหลักรองรับการขยายตัวของเมืองและชุมชนใหม่ๆ รอบกทม.” ... ลิงก์ที่มาข่าว >> https://mgronline.com/business/detail/9660000115263#google_vignette

เท่ากับว่าโครงการเดิมที่ศึกษา มีแผน และ EIA อนุมัติแล้ว ถูกกลืนเข้าไปในโครงการใหญ่ ที่จะขยายปลายทางรถไฟฟ้าสายสีแดงไป นครปฐม และ อยุธยา ระยะทางรวมกว่า 150 กิโลเมตร

มูลค่าการลงทุนจากการศึกษาเดิม...
- รังสิต - อยุธยา - บ้านภาชี 35,000 ล้านบาท
- ตลิ่งชัน - นครปฐม 24,000 ล้านบาท

ถ้ามันเป็นแบบนี้จริงๆ โครงการนี้จะช้าไปอีกอย่างน้อย 3 ปี เพื่อที่จะ Update EIA, เตรียมงบประมาณ และเตรียมการก่อสร้าง 

ส่วนตัวผมอยากให้ขยายไปที่ 'อยุธยา' และ 'นครปฐม' ตามนโยบายรัฐมนตรีช่วย 

แต่!! ช่วยเร่งมาทำในส่วนที่ทำได้เลยทันทีก่อนได้ไหม!! นักศึกษาและบุคลากร มหาวิทยาลัยที่โครงการผ่าน จะได้ใช้ไประหว่างขยายโครงการทั้งเส้น!!

>> รายละเอียดโครงการส่วนต่อขยายสายสีแดงที่ ครม. อนุมัติแล้ว

1. บางซื่อ - หัวลำโพง - หัวหมาก (Missing Link)

ครม. อนุมัติไปแล้วในปี 59 แต่อยู่ระหว่างปรับรายละเอียดโครงการ และให้โครงการรถไฟฟ้า 3 สนามบิน เป็นผู้ก่อสร้างให้ในช่วงทับซ้อน บางซื่อ-มักกะสัน ในรูปแบบคลองแห้ง

รายละเอียดตามโพสต์นี้ >> https://www.facebook.com/491766874595130/posts/756066624831819?sfns=mo

https://www.facebook.com/491766874595130/posts/756658528105962?sfns=mo

2. ธนบุรี (ศิริราช) - ตลิ่งชัน - ศาลายา

ครม. เพิ่งอนุมัติไปตอนต้นปี 62 คาดว่าจะเปิดประมูลในปี 63

รายละเอียดในโพสต์นี้ >> https://www.facebook.com/491766874595130/posts/626617247776758?sfns=mo

https://www.facebook.com/491766874595130/posts/624977717940711?sfns=mo

3. รังสิต - ธรรมศาสตร์ (รังสิต)

ครม. เพิ่งอนุมัติไปตอนต้นปี 62 คาดว่าจะเปิดประมูลในปี 63

รายละเอียดในโพสต์นี้ >> https://www.facebook.com/491766874595130/posts/622993761472440?sfns=mo
 

ที่มา: https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid0vXFjQgpmgWJyf39MWHFBF8GkYcWxPKKhM3YwhN5EHa3Tz8BVLq2BshVFwU655XbZl&id=100067967885448&mibextid=Nif5oz 

ร้อยเอ็ด…ชาวร้อยเอ็ดปลื้ม นายกฯ เศรษฐา Kick off นโยบาย 30 บาท รักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว

วันนี้( 7 มกราคม 2567 ) เวลา 18.00 น. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงาน Kick off นโยบาย 30 บาท รักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว จังหวัดร้อยเอ็ด พร้อมด้วย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร รองประธานคณะกรรมการพัฒนาระบบสุขภาพแห่งชาติ, นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข โดยมี นายทรงพล ใจกริ่ม ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด กล่าวต้อนรับ ตลอดจนผู้บริหาร บุคลากรสาธารณสุข รองผุ้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด หัวหน้าส่วนราชการ ผู้นำชุมชน อสม. และประชาชน เข้าร่วม  จำนวน 10,101 คน ที่ ลานหน้าหอโหวด101 บึงพลาญชัย อำเภอเมืองร้อยเอ็ด

โดยนโยบาย 30 บาท รักษาทุกที่ เป็นการพัฒนาระบบสาธารณสุขของประเทศ ให้เจริญก้าวหน้า ตลอดจนอำนวยความสะดวกในการปฏิบัติงาน ลดภาระงานของบุคลากร จึงกำหนดให้เรื่องดิจิทัลสุขภาพเป็นหนึ่งในนโยบายการดำเนินงาน โดยมีเป้าหมายหลักในการยกระดับนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว ซึ่งมีการ Kick off  ใน 4 จังหวัดนำร่อง เพื่อนำไปขยายผลอีก 8 จังหวัดในระยะที่ 2 และขยายครอบคลุมทุกจังหวัดทั่วประเทศต่อไป

ทั้งนี้ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขที่ให้ความสำคัญกับการเพิ่มคุณภาพชีวิตของประชาชนทุกคน ทุกกลุ่ม ทุกพื้นที่ ผลักดันให้เกิดการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพจากหน่วยบริการทุกระดับ ทุกสังกัด และยกระดับหน่วยบริการให้เป็นโรงพยาบาลอัจฉริยะ (Smart Hospital) นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้จัดบริการสุขภาพ โดยคำนึงถึงความปลอดภัยทางไซเบอร์และการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ทำให้ช่วยลดความแออัดในโรงพยาบาล ลดระยะเวลารอคอย และลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของประชาช

โกสิทธิ์/ร้อยเอ็ด (ห)
087-864-4400  081-377-2689

'ซุน ซ่ง' นักคณิตศาสตร์ชื่อดังของจีน กลับคืนสู่มาตุภูมิ หลังใช้เวลากว่าทศวรรษเป็นอาจารย์อยู่ ม.ชื่อดัง ที่สหรัฐฯ

(8 ม.ค. 67) จากเฟซบุ๊ก 'Jaroensook Limbanchongkit Pone' ได้โพสต์ข้อความ ในหัวข้อ *** กลับสู่มาตุภูมิ *** ระบุว่า...

'ซุน ซ่ง' นักคณิตศาสตร์ชื่อดังของ #จีน ได้โยกย้ายกลับมาสู่บ้านเกิด คือ จีน หลังจากใช้เวลากว่าทศวรรษไปเป็นอาจารย์อยู่ที่ #สหรัฐอเมริกา โดยเขาจะจะเข้าร่วมเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่จีนในตำแหน่งศาสตราจารย์เต็มเวลา

นักคณิตศาสตร์ชื่อดังชาวจีนวัย 36 ปีรายนี้ ได้เริ่มบทบาทของเขาในฐานะอาจารย์ประจำของสถาบันการศึกษาขั้นสูงทางคณิตศาสตร์ (#IASM) ที่มหาวิทยาลัยเจ้อเจียงเมื่อต้นเดือนมกราคมนี้

โดยก่อนมาอยู่จีน เขาไปเป็นศาสตราจารย์ในภาควิชาคณิตศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ ได้รับรางวัลมากมายจากผลงานของเขา เช่น รางวัล Oswald Veblen สาขาเรขาคณิต และรางวัล New Horizons สาขาคณิตศาสตร์

Star mathematician Sun Song leaves US for China.

After more than a decade of research and teaching in the United States, Chinese-born maths star Sun Song has joined a university in eastern China as a full-time professor.

The 36-year-old geometer started his role as a permanent faculty member at the Institute for Advanced Study in Mathematics (IASM) at Zhejiang University earlier this month, according to the university’s official WeChat account.

Before the new appointment, Sun was a professor in the department of mathematics at the University of California, Berkeley. He has received multiple awards for his work, such as the Oswald Veblen Prize in Geometry and the New Horizons in Mathematics Prize. 

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จัดโครงการฝึกอบรมการพัฒนาผู้บริหารระดับสูง เสริมสมรรถนะทรัพยากรบุคคล ด้านการบริหาร ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จัดโครงการฝึกอบรมการพัฒนาผู้บริหารระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระหว่างวันที่ 8 ม.ค.-9 ก.พ.67 เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะ พัฒนาทรัพยากรบุคคล และทักษะ
การบริหารงานแก่บุคลากรผู้ปฏิบัติหน้าที่ด้านบริหาร ตั้งแต่ระดับต้นถึงระดับสูงของหน่วยงาน
วันจันทร์ที่ 8 ม.ค.67 เวลา 08.30 น. ณ ห้องแจ้งยอดสุข ชั้น 3 อาคารศูนย์ฝึกอบรมและสวัสดิการตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ นายเศรษฐา  ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการฝึกอบรมการพัฒนาผู้บริหารระดับสูง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 โดยมี 
พล.ต.อ.ต่อศักดิ์  สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วยผู้บังคับบัญชาระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ, ผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ และผู้เข้ารับการฝึกอบรม เข้าร่วมพิธีฯ ทั้งนี้ หลังเสร็จสิ้นพิธีเปิด ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ให้เกียรติในการปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ “Thailand’s Future : อนาคตประเทศไทย” และต่อด้วยการบรรยายพิเศษจาก พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
สำหรับโครงการฝึกอบรมการพัฒนาผู้บริหารระดับสูง สำนักงานตำรวจแห่งชาติครั้งนี้ 

มีวัตถุประสงค์ในการดำเนินงานเพื่อสนองตอบตามยุทธศาสตร์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 20 ปี (พ.ศ.2561-2580) ซึ่งได้มีการกำหนดยุทธศาสตร์ไว้ 4 ด้าน โดยเฉพาะยุทธศาสตร์ที่ 4 ในเรื่องของการพัฒนาองค์กรให้ทันสมัย มุ่งสู่ความเป็นเลิศ รวมถึงแผนแม่บทการพัฒนาทรัพยากรบุคคลของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (Royal Thai Police HRD Blueprint) เพื่อการพัฒนาสมรรถนะบุคลากรในระดับตำแหน่งที่ทำหน้าที่ด้านการบริหาร ตั้งแต่ระดับต้นไปจนถึงระดับสูง ซึ่งประกอบด้วยภาวะผู้นำ, การวิเคราะห์แก้ไขปัญหา,การจัดการเชิงกลยุทธ์ และศิลปะการจูงใจ เป็นต้น โดยมุ่งเน้นเพื่อพัฒนาผู้บริหารให้เป็นนักคิดที่มีวิสัยทัศน์ (Visionary Thinker) เพื่อนำองค์กรก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงได้ทันต่อสถานการณ์ มีทักษะการบริหารงาน สามารถขับเคลื่อนนโยบายขององค์กรไปสู่การปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดผลสัมฤทธิ์ มีความเป็นผู้บริหารมืออาชีพ (Professional) มีความเชี่ยวชาญ สามารถบริหารงานด้านต่างๆ อาทิ งานด้านป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม, งานบริหารงานยุติธรรม และงานบริการอื่นๆ เป็นต้น รวมถึงความเป็น “ครู” ในการถ่ายทอดองค์ความรู้แก่ผู้อื่นได้ และที่สำคัญ คือ การเป็นผู้บริหารที่มีธรรมาภิบาล (Good Governance)

โครงการฝึกอบรมฯ ครั้งนี้ มีผู้เข้ารับการฝึกอบรมผู้มีความรู้ความสามารถ มีศักยภาพที่จะรับการพัฒนาเป็นนักบริหาร ทั้งสิ้น จำนวน 90 คน ประกอบด้วยข้าราชการตำรวจ จำนวน 50 คน ข้าราชการทหารและข้าราชการประเภทอื่นๆ จำนวน 40 คน ซึ่งจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 8 ม.ค.-9 ก.พ.67 โดยได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้ที่มีความรู้ความสามารถ มีความเชี่ยวชาญด้านการบริหารหรือมีความเชี่ยวชาญในหัวข้อวิชาที่เกี่ยวข้อง รวมถึงผู้ที่ประสบความสำเร็จในด้านการบริหารงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ซึ่งใช้รูปแบบการบรรยายในห้องฝึกบรม หรือใช้รูปแบบออนไลน์ หรือรูปแบบการฝึกอบรมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์

โดยแบ่งขอบเขตเนื้อหาวิชา เป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
1. กลุ่มหัวข้อวิชาก้าวทันสถานการณ์โลก 
2. กลุ่มหัวข้อวิชาภาวะผู้นำและการบริหารสมัยใหม่
3. กลุ่มวิชายุทธวิธีและการบริหารงานตำรวจในมุมมองใหม่

ทั้งนี้ ในการดำเนินงานโครงการฝึกอบรมฯ ได้มีการจัดกิจกรรมจิตอาสา สร้างความเข้าใจและ
ให้เห็นความสำคัญในการทำกิจกรรมเพื่อช่วยเหลือประชาชน ชุมชน และสามารถเป็นแกนนำให้ประชาชนในการทำกิจกรรมจิตอาสาต่อไป รวมถึงการแบ่งกลุ่มในการปฏิบัติ (Workshop) และการศึกษาดูงานหน่วยงาน

ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ในส่วนกลาง (กรุงเทพมหานคร) ส่วนภูมิภาค ในพื้นที่ จ.นครราชสีมา และ 
จ.เชียงใหม่ โดยจะมีพิธีปิดโครงการฝึกอบรมฯ ในวันศุกร์ที่ 9 ก.พ.67 เวลา 13.00 น. ณ ณ ห้องแจ้งยอดสุข ชั้น 3 อาคารศูนย์ฝึกอบรมและสวัสดิการตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

การค้า ‘ไทย-จีน’ สดใส!! หลังเติบโตใต้ปีก RCEP หนุนสินค้าไทยจนได้รับความนิยมสูงในครัวเรือนจีน

เมื่อวานนี้ (7 ม.ค. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ช่วงส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ อากาศหนาวเย็นขึ้นทั่วจีน ทว่าบนโต๊ะอาหารของหลายครัวเรือนกลับอบอุ่นไปด้วยกลิ่นหอมจากหม้อไฟไก่อุ่นๆ ซึ่งใช้น้ำมะพร้าวน้ำหอมของไทยเป็นน้ำซุป

มะพร้าวน้ำหอมจากอำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี ขึ้นชื่อเรื่องกลิ่นหอมและความหวาน ด้วยอานิสงส์จากความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) มะพร้าวน้ำหอมไทยจึงได้รับความกระแสความนิยมอย่างรวดเร็วในตลาดจีนช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยถูกใช้ในการประกอบอาหารอย่างแพร่หลาย อาทิ เค้ก กาแฟ และอาหารที่ใช้เนื้อไก่ ทำให้ยอดจำหน่ายเติบโตอย่างต่อเนื่อง

สองปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่ความตกลงฯ มีผลบังคับใช้ในไทยเมื่อวันที่ 1 ม.ค. 2022 ผัก ผลไม้ สิ่งทอ ยานยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์ และอุตสาหกรรมอื่นๆ ของไทยต่างได้รับประโยชน์จากความตกลงดังกล่าว การค้าภาคอุตสาหกรรมขยายตัวเพิ่ม อัตราภาษีที่ลดลงตลอดจนกรอบการค้าข้ามภูมิภาคที่ได้มาตรฐาน กระตุ้นการเติบโตด้านการค้าและการลงทุนในกลุ่มประเทศสมาชิก และทำให้ห่วงโซ่อุตสาหกรรมระหว่างจีน-อาเซียนสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น

สำนักบริหารศุลกากรทั่วไปของจีน ระบุว่า อาเซียนยังคงเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของจีน ในช่วง 11 เดือนแรก (มกราคม-พฤศจิกายน) ของปี 2023 ด้วยมูลค่าการค้าจีน-อาเซียนที่ 5.8 ล้านล้านหยวน (ราว 28.76 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.1 เมื่อเทียบปีต่อปี

ยกตัวอย่างจากตลาดค้าส่งผลไม้หนานหนิง ไห่จี๋ซิง ตลาดค้าส่งผลไม้ใหญ่สุดในกว่างซี ก็คับคั่งด้วยรถบรรทุกผลไม้จอดเรียงรายอยู่หน้าตลาดเพื่อรอลำเลียงสินค้า ตั้งแต่ต้นปี โม่เจียหมิง ผู้จัดการทั่วไปของบริษัทนำเข้าผลไม้แห่งหนึ่ง กล่าวว่าปีนี้บริษัทฯ จะพึ่งพาช่องทางการตลาดที่หลากหลายและราคาที่ดี อันเป็นผลประโยชน์จากนโยบายความตกลงฯ ในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ พร้อมเสริมว่ามะพร้าวน้ำหอมไทยที่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ นำพาโอกาสมาให้บริษัทฯ ด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้ แผนริเริ่ม ‘หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง’ ที่คืบหน้าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทำให้การค้าจีน-ไทยใกล้ชิดกันมากขึ้น โอกาสจากการระเบียงการค้าทางบก-ทางทะเลระหว่างประเทศสายใหม่ และการบังคับใช้ความตกลงฯ ทำให้รูปแบบการค้าและการขนส่งมีความหลากหลายยิ่งขึ้น สินค้าไทยเข้าสู่ครัวเรือนทั่วจีนด้วยราคาถูกขึ้น และสามารถพบเห็นได้ทั่วไปในซูเปอร์มาร์เก็ตจีน ทั้งข้าวหอมมะลิ เครื่องปรุงรส เครื่องสำอาง ยา หมอนยางพารา ครีมกันแดด ฯลฯ

หลิวเสียง รองผู้อำนวยการสำนักพาณิชย์เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง กล่าวว่าการจัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนต่อด้านอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนระหว่างจีน-อาเซียน ผ่านรูปแบบและคอนเทนต์ที่หลากหลายก็มีส่วนส่งเสริมอุตสาหกรรมของทั้งสองฝ่าย

ขณะเดียวกัน หลายปีที่ผ่านมากว่างซีก็มุ่งสร้างฐานอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนจีน-อาเซียน ซึ่งมีเขตนำร่องอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนระดับประเทศที่ได้รับการอนุมัติแล้วรวม 4 แห่ง และมีเมืองที่เข้าร่วมโครงการนำร่องนำเข้าสินค้าค้าปลีกอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนแล้ว 8 เมือง ส่งผลให้ปริมาณการนำเข้าและส่งออกเติบโตอย่างรวดเร็ว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top