Tuesday, 1 July 2025
NewsFeed

ผู้พิทักษ์ป่า รับข่าวดีปีใหม่ "พัชรวาท" เผย กรมบัญชีกลางอนุมัติให้เบิกจ่ายค่าตอบแทนลาดตระเวนนอกเวลาเพิ่ม สูงสุดเดือนละ 3,000 บาท

พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า ขอแสดงความยินดีกับเจ้าหน้าที่ผู้พิทักษ์ป่าของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ปฏิบัติหน้าที่ เดินลาดตระเวนเพื่อป้องกันปราบปรามการกระทำผิดกฎหมายเกี่ยวกับการป่าไม้ ที่ได้รับข่าวดีในปีใหม่นี้ โดยกรมบัญชีกลางได้อนุมัติให้กรมอุทยานฯเบิกจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษจากเงินอุทยานแห่งชาติ ในการปฏิบัติงานนอกเวลาราชการ ในอัตราชั่วโมงละ 50 บาท วันละไม่เกิน 4 ชม. เป็นการกำหนดอัตราค่าตอบแทนใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับการปฏิบัติงานลาดตระเวนจริง เพื่อเป็นขวัญกำลังใจและพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้พิทักษ์ป่าและครอบครัว ดังนี้ 

1. ปฏิบัติงานลาดตระเวนไม่น้อยกว่า 14 คืนต่อเดือน ให้ได้รับค่าตอบแทนพิเศษ ในอัตรา 2,000 บาทต่อเดือน 
2. ปฏิบัติงานลาดตระเวนไม่น้อยกว่า 17 คืนต่อเดือน ให้ได้รับค่าตอบแทนพิเศษ ในอัตรา 2,500 บาทต่อเดือน 
3. ปฏิบัติงานลาดตระเวนไม่น้อยกว่า 20 คืนต่อเดือน ให้ได้รับค่าตอบแทนพิเศษ ในอัตรา 3,000 บาทต่อเดือน ทั้งนี้ สำหรับการปฏิบัติงานลาดตระเวนไม่ถึง 14 คืนต่อเดือน จะไม่ได้รับค่าตอบแทนพิเศษในเดือนนั้น สำหรับการจ่ายค่าตอบแทนพิเศษแก่เจ้าหน้าที่ผู้พิทักษ์ป่า จะสามารถดำเนินการได้ตั้งแต่เดือน ม.ค. 2567 

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ผู้พิทักษ์ป่าของกรมอุทยานฯ ดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ทั้งทางบกและทางทะเล ออกตรวจลาดตระเวน ป้องกันปราบปราม รวมทั้งจัดทำฐานข้อมูลทรัพยากร ซึ่งหากพบการกระทำความผิดจะมีการตรวจสอบ ตรวจยึด เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย รวมไปถึงการกระทำความผิดนำส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดี โดยภารกิจดังกล่าวเจ้าหน้าที่จะต้องรับความเสี่ยงเผชิญภัยอันตราย เสี่ยงภัยธรรมชาติและภัยคุกคามจากผู้กระทำผิด ดังนั้น จึงเป็นการปรับปรุงค่าตอบแทนให้เหมาะสมสำหรับการปฏิบัติหน้าที่

‘อีลอน มัสก์’ ทำมูลค่าทางการตลาด ‘X’ หายไป 71% นับตั้งแต่ทุ่มเงิน 44 พันล้านดอลลาร์ เข้าซื้อกิจการ

เมื่อวานนี้ (3 ม.ค.67) มูลค่าทางการตลาดของทวิตเตอร์ลดลงไปกว่า 71% นับตั้งแต่โดนเจ้าของเทสลา อีลอน มัสก์ ซื้อออกจากตลาดหลักทรัพย์ไปเมื่อตุลาคมปี 2022 ในดีล 44 พันล้านดอลลาร์ ก่อนจะเริ่มต้นปลดพนักงานครั้งใหญ่ เปลี่ยนชื่อแพลตฟอร์มเป็น X และผจญมรสุมต่างๆ นานา โดนใบเหลืองเตือนจาก EU ข้อหาเผยแพร่ข้อมูลเท็จ และมัสก์โดนกระแสทวีตเหยียดยิวเล่นงานจนโฆษณาหนี

เดอะการ์เดียน สื่ออังกฤษรายงานในวันอังคาร (2 ม.ค.) ว่า บริษัทการลงทุน Fidelity เปิดเผยว่าตั้งแต่หลังจากมหาเศรษฐีพันล้านเจ้าของเทสลา อีลอน มัสก์ ซื้อบริษัททวิตเตอร์ไปเมื่อตุลาคมปี 2022 ได้ในราคา 44 พันล้านดอลลาร์ พบว่ามูลค่าหุ้นตกลงไปกว่า 71.5%

Fidelity ซึ่งถือหุ้นอยู่ในทวิตเตอร์เปิดเผยในการรายงานของสื่อ Axios ของสหรัฐฯ ได้ประเมินว่า แพลตฟอร์ม X ในชื่อปัจจุบันมีมูลค่าอยู่ราว 12.5 พันล้านดอลลาร์ ในการเปิดเผย

ทวิตเตอร์นั้นถูกเปลี่ยนชื่อเป็น X เมื่อกรกฎาคมปี 2023 และยังคงประสบปัญหามาโดยตลอด ตัวเลขผู้ใช้ประจำเดือนตกลงไป 15% ในปีแรกตั้งแต่มัสก์ซื้อท่ามกลางความวิตกการเพิ่มขึ้นของวาทะแสดงความเกลียดชัง หรือ hate speech บนแพลตฟอร์มซึ่งหลังจากที่มัสก์ซื้อทวิตเตอร์ออกมาจากตลาดหลักทรัพย์ เขาสั่งปลดพนักงานออกไปไม่ต่ำกว่า 50% และลดการตรวจสอบลง ส่งผลทำให้ในกันยายนปีที่ผ่านมา สหภาพยุโรป EU ออกคำเตือนไปยังอีลอน มัสก์ หลังจากพบว่าแพลตฟอร์ม X ของเขามีอัตราสูงสุดของการโพสต์ข้อมูลปลอมของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียทั้งหมด

และล่าสุด อีลอน มัสก์ยังทำให้ X โดนแห่ถอนโฆษณาจากบริษัทยักษ์ใหญ่ชื่อดังนับตั้งแต่มัสก์ได้ทวีตให้การสนับสนุนทฤษฎีสมคบคิดเหยียดชาวยิว อ้างอิงจากหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ส และส่งผลทำให้เจ้าของเทสลาออกมาตอบโต้การแห่ถอนโฆษณาจาก X ด้วยการกล่าวว่า “ขอให้บริษัทพวกนั้นไปลงนรกซะ” ระหว่างการให้สัมภาษณ์อยู่ในเมืองนิวยอร์ก ซิตี

มัสก์ซึ่งถูกนิตยสารฟ็อบส์จัดให้เป็นบุคคลที่รวยที่สุดในโลกมีความมั่งคั่ง 251 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเมื่อครั้งที่เขาซื้อทวิตเตอร์ไปเขาแสดงเหตุผลว่า “เป็นการซื้อเพื่อช่วยมนุษยชาติ”

และมัสก์ที่มีแนวคิดทางการเมืองนิยมฝ่ายขวาและพรรครีพับลิกันได้สั่งยกเลิกการแบนบุคคลทางการเมืองอื้อฉาวของสหรัฐฯ ทั้งอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ และนักจัดรายการวิทยุเจ้าของเผยแพร่ทฤษฎีสมคบคิด อเล็กซ์ โจนส์ (Alex Jones) ซึ่งบุคคลทั้งสองต่างมีคดีติดตัว

‘วัดธรรมกาย’ แจงไม่เกี่ยวข้อง ‘ลัทธิโยเร’ ตามสื่ออ้าง ยืนยัน!! ยึดแนวปฏิบัติตามหลักธรรมวินัยสงฆ์เถรวาท

(4 ม.ค.67) มีรายงานข่าวว่ามีเพจ สำนักสื่อสารองค์กร วัดพระธรรมกาย ได้เผยแพร่เอกสารชี้แจง ยืนยันว่า วัดธรรมกาย ไม่เกี่ยวข้องกับกลุ่มโยเร โดยระบุว่า

“วัดพระธรรมกายไม่เกี่ยวข้องกับกลุ่มโยเรแต่อย่างใด” ตามที่สื่อออนไลน์บางสำนักนำเสนอข่าวอันเป็นเท็จว่า “ลัทธิโยเร” เชื่อมโยงเกี่ยวพันกับวัดพระธรรมกายนั้น

วัดพระธรรมกายขอชี้แจงว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับกลุ่มความเชื่อตามที่สื่อกล่าวอ้าง ทั้งนี้ วัดพระธรรมกายเป็นวัดในพระพุทธศาสนา สังกัดคณะสงฆ์ไทย ยึดแนวปฏิบัติตามหลักพระธรรมวินัยของสงฆ์เถรวาท ภายใต้การปกครองของมหาเถรสมาคม (มส.) ดังนั้นการนำเสนอข่าวที่ปราศจากข้อเท็จจริง อาจเป็นการกระทำผิดกฎหมายได้

วัดพระธรรมกายจึงชี้แจงมาเพื่อทราบ และโปรดเผยแพร่ความจริงดังกล่าวแก่สาธารณชนด้วย จักขอบคุณยิ่ง

สำนักสื่อสารองค์กร
วัดพระธรรมกาย
วันที่ 4 มกราคม พ.ศ.2567″

“สืบนครบาลร่วมกับ PCT5 จับกุม เบนซ์ สโนเบล ตระเวนเข้าแอปเดลิเวอรี่ลวงสั่งสินค้าก่อนหลอกพนักงานส่งเติมเงินทรูมันนี่วอเล็ต เติมเงินค่าโทรศัพท์ กว่า 200 ครั้ง เสียหายกว่าสองล้านบาท”

ตามนโยบายของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. , พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. ให้ปราบปรามกลุ่มเครือข่ายองค์กรอาชญากรรมที่กระทำความผิดทุกรูปแบบซึ่งสร้างความเดือนร้อนให้กับประชาชนผู้สุจริตจำนวนมาก โดยชุดลาดตระเวนออนไลน์ กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สส.บช.น. พร้อมด้วยชุด PCT5 ได้รับการร้องเรียนจากพนักงานจัดส่งเดลิเวอรี่ให้ช่วยทำการสืบสวนติดตามจับกุมตัวคนร้ายใช้แอปพลิเคชั่น ในนาม เบนซ์ สโนเบล สั่งสินค้าระบบเดลิเวอรี่โดยคนร้ายจะทำทีแจ้งข้อมูลพิกัดสถานที่จัดส่งและเบอร์โทรศัพท์ให้พนักงานทราบเพื่อจัดส่งและติดต่อ เมื่อพนักงานจัดส่งเดลิเวอรี่ใกล้จะเดินทางไปจัดส่งสินค้าตามคำสั่งซื้อ คนร้ายจะทำทีโทรศัพท์ติดต่อหาพนักงานส่งเดลิเวอรี่เพื่อหลอกให้พนักงานจัดส่งเดลิเวอรี่เติมเงินทรูมันนี่วอลเล็ตออนไลน์ หรือบางครั้งก็ให้เติมเงินค่าโทรศัพท์มือถือให้เพิ่มเติม เมื่อพนักงานเดลิเวอรี่หลงเชื่อเติมเงินให้เรียบร้อย ก็ไม่สามารถติดต่อคนร้ายได้ เป็นเหตุให้ได้รับความเสียหาย ที่ผ่านมามีพนักงานเดลิเวอรี่ถูกก่อเหตุมาแล้วทั่วประเทศกว่า 200 ราย มูลค่าความเสียหายกว่าสองล้านบาท

เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2567 เวลาประมาณ 16.30 น. พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. , พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. , พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. พ.ต.อ.นิวัตน์ พึ่งอุทัยศรี รองผบก.สส.บช.น. พ.ต.อ.เกียรติศักดิ์ สระทองออย รอง ผบก สส.บช.น. , พ.ต.อ.จักราวุธ คล้ายนิล ผกก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สส.บช.น. , พ.ต.ท.พัชรพงษ์ กาญจนวัฎศรี , พ.ต.ท.นิธิ ปิยะพันธุ์ รอง ผกก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สส.บช.น. , พ.ต.ท.สมพงษ์ เกตุระติ สว.กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สส.บช.น. , ร.ต.ต.ทรงศักดิ์ เจียมสกุล รอง สว.กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สส.บช.น. พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการที่ 5 กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สส.บช.น. และชุด PCT5  ได้ร่วมกันสืบสวนติดตามจับกุม 
นางสาวภัณฑิลาหรือเบนซ์  วิศาลจิตร อายุ 26 ปี ที่อยู่เลขที่ 62 ซอยอ่อนนุช 74 แขวงประเวศ เขตประเวศ จังหวัดกรุงเทพฯ    ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัด แม่ฮ่องสอน สาขาปาย ที่ จ.44/2566 ลงวันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ.2566       

ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ ร่วมกันฉ้อโกงทรัพย์ , โดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน

โดยสามารถจับกุมตัวได้ที่บริเวณปากซอยศักดิ์เจริญ จรัญสนิทวงศ์ ซอย 3 แขวงวัดท่าพระ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพฯ กล่าวคือ โดยชุดลาดตระเวนออนไลน์ กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สส.บช.น. พร้อมด้วยชุด PCT5 ได้รับการร้องเรียนจากพนักงานจัดส่งเดลิเวอรี่ให้ช่วยทำการสืบสวนติดตามจับกุมตัวคนร้ายใช้แอปพลิเคชั่นสั่งสินค้าระบบเดลิเวอรี่ และจากการสืบสวนเจ้าหน้าที่ตำรวจทราบข้อมูลว่าหนึ่งในคนร้ายที่เป็นตัวการในการก่อเหตุ คือ นางสาวภัณฑิลา หรือเบนซ์ วิศาลจิตร โดยจากการตรวจสอบข้อมูลประวัติคดี เจ้าหน้าที่ตำรวจพบว่า ณ ปัจจุบัน นางสาวภัณฑิลา หรือเบนซ์ วิศาลจิตร มีหมายจับที่ต้องการต้องตัวเพื่อดำเนินคดี จำนวน 1 หมายจับ คือ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดแม่ฮ่องสอน สาขาปาย ที่ จ.44/2566 ลงวันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ.2566 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ ร่วมกันฉ้อโกงทรัพย์ , โดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ”พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. จึงสั่งการให้ พ.ต.อ.จักราวุธ คล้ายนิล ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ รีบทำการสืบสวนเพื่อติดตามจับกุมตัวคนร้ายรายดังกล่าวมาดำเนินคดีตามกฎหมายให้ได้โดยเร็วเนื่องจากตามพฤติการณ์ที่คนร้ายก่อเหตุนั้น ถือว่าสร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนผู้ทำมาหากินสุจริตเป็นอย่างมาก

ในชั้นจับกุม นางสาวภัณฑิลา หรือเบนซ์ วิศาลจิตร ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยให้การว่าตนเรียนจบ กศน. ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ปัจจุบันทำอาชีพวีเจออนไลน์ แนว 18 บวก ผ่านแอปพลิเคชั่น CallPlay เกี่ยวกับข้อกล่าวหาตามหมายจับตนขอยอมรับว่าตนกับแฟนชื่อ น.ส.สุพัตรา หรือทราย ศรีสงคราม ร่วมกันก่อเหตุ (ยังไม่ถูกจับกุม)โดย น.ส.สุพัตรา หรือทราย ทำหน้าที่เข้าแอปพลิเคชั่นเดลิเวอรี่เพื่อหลอกสั่งสินค้า ให้ข้อมูลพิกัดสถานที่จัดส่งซึ่งปักพิกัดหลอกไว้ พร้อมเบอร์โทรศัพท์สำหรับติดต่อ เมื่อคำนวนเวลาว่าพนักงานเดลิเวอรี่ใกล้ที่จะเดินทางมาถึง ตนจะโทรติดต่อหาพนักงานส่งเดลิเวอรี่ เพื่อหลอกให้พนักงานเดลิเวอรี่เติมเงินทรูมันนี่วอลเล็ตออนไลน์ หรือบางครั้งก็ให้เติมเงินค่าโทรศัพท์มือถือให้เพิ่มเติม เมื่อได้รับเงินทรูมันนี่วอเล็ต หรือเงินค่าโทรศัพท์เสร็จเรียบร้อย ตนก็จะทำนิ่งเฉย ไม่รับสาย ถ้าโทรบ่อยตนก็จะบล็อกเบอร์ของพนักงานเดลิเวอรี่

เมื่อได้เงินทรูมันนี่วอเล็ตเข้ามาในบัญชีแล้วตนจะทำการโอนต่อไปยังบัญชีธนาคารตนเอง และแบ่งเงินให้แฟนที่ร่วมกันก่อเหตุคนละครึ่ง ส่วนกรณีเงินค่าโทรศัพท์ เมื่อหลอกพนักงานส่งเดลิเวอรี่ได้เรียบร้อย ส่วนหนึ่งตนจะเข้าไปที่กลุ่มเฟสบุ๊กแลกค่าโทรเป็นเงินสด เช่น " กลุ่มแลกค่าโทร เป็นเงินสด True  Dtac Ais "  ซึ่งในกลุ่มจะมีการรับแลกเงินในอัตราค่าโทรศัพท์ 500 บาท แลกกับเงินสดโอนเข้าบัญชีธนาคาร 300 บาท ซึ่งในหนึ่งวันจะสามารถแลกได้แต่ 500 บาท ส่วนเงินค่าโทรศัพท์ที่เหลือนำไปเล่นพนันออนไลน์ ซึ่งเข้าเล่นและเติมเงินผ่านเว็บพนันออนไลน์ โดยจะหักเงินจากยอดเงินค่าโทรศัพท์ที่ได้มาจากการหลอกผู้เสียหาย

นอกจากนี้ ในส่วนของเบอร์โทรศัพท์ที่นำมาเปิดบัญชีทรูมันนี่วอเล็ต และเบอร์โทรสำหรับผูกบัญชีแอปพลิเคชั่นเดลิเวอรี่ตนเป็นผู้ว่าจ้างให้คนอื่นมาเปิดใช้งานให้โดยให้ค่าจ้างเปิดซิมพร้อมกับสแกนใบหน้าเพื่อสมัครทรูมันนี่วอเล็ต รายละ 500 บาท ต่อคน โดยใช้วิธีการหาคนมาเปิดเบอร์พร้อมบัญชีทรูมันนี่วอเล็ต หรือเบอร์โทรศัพท์สำหรับผูกบัญชีแอปพลิเคชั่นเดลิเวอรี่ จากการโพสต์เฟสบุ๊กหาคนเปิดในกลุ่ม “ จ้างเปิดบัญชีทรูมันนี่ ”ที่ผ่านมาก่อเหตุมาตั้งแต่ปี 2564 ร่วมกันก่อเหตุมาแล้วกว่า 200 ครั้ง   
เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้นำตัว นางสาวภัณฑิลา หรือเบนซ์ วิศาลจิตร ผู้ต้องหาตามหมายจับ นำส่งพนักงานสอบสวน สภ.ปางมะผ้า ภ.จว.แม่ฮ่องสอน เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย

ด้าน พล.ต.ต.ธีรเดช กล่าวแจ้งเตือนภัยไปยังพี่น้องประชาชนว่าในสังคมปัจจุบัน มิจฉาชีพมีเล่เหลี่ยมกลโกงมากมายหลายรูปแบบ ขอให้ประชาชนได้โปรดใช้สติในการใช้ชีวิตในสังคม อย่างหลงเชื่อกลโกงต่างๆ ของมิจฉาชีพซึ่งมีอยู่มากมาย หากไม่แน่ใจ หรือสงสัยว่าบุคคลที่เข้ามาเสนอผลประโยชน์ นั้นจะเป็นมิจฉาชีพ หรือไม่ ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจสอบ หรือแจ้งเบาะแสการกระทำความผิด มายังเพจ “สืบสวนนครบาล IDMB” ได้ตลอด 24 ชม. แม้จะเป็นคดีที่มีความเสียหายไม่มาก แต่หากเป็นคดีที่ประชาชนเดือดร้อน เราทำทันที ตามนโยบายของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ น.1

'บิ๊กต่าย' แถลงโชว์ผลงานรับปีใหม่ ตามแผนปฏิบัติการตามล่า 100 เครือข่าย ทลายแก๊งทะเลหลวงข้ามชาติ ยึดทรัพย์กว่า 105 ล้านบาท และสกัดจับทีมขนยารายใหญ่เส้นทางเหนือ อีสาน

ตามนโยบายการปราบปรามยาเสพติดของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เน้นการใช้ทุกมาตรการทางกฎหมายเพื่อทำลายเครือข่ายยาเสพติด และยึดทรัพย์ที่ได้มาจากการค้ายาเสพติด ประกอบกับนโยบายของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศอ.ปส.ตร. และ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา, พล.ต.ท.นิรันดร เหลื่อมศรี, พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะ รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร. มุ่งเน้นในการเร่งรัดดำเนินการป้องกันปราบปราม ยาเสพติดในทุกมิติ เนื่องจากปัญหายาเสพติดอาชญากรรมที่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนและเป็นภัยสังคม  

วันนี้ 4 ม.ค.67 เวลา 10.00 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศอ.ปส.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ท.นิรันดร เหลื่อมศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศอ.ปส. ,พล.ต.ท.คีรีศักดิ์ ตันตินวะชัย ผบช.ปส., พล.ต.ต.สมเกียรติ วัฒนพรมงคล, พล.ต.ต.สมบูรณ์ เทียนขาว, พล.ต.ต.ออมสิน  ตรารุ่งเรือง ,พล.ต.ต.พลัฎฐ์ วิเศษสิงห์ รอง ผบช.ปส., พล.ต.ต.ธนรัชน์ สอนกล้า ผบก.ปส.2, พล.ต.ต.พรศักดิ์ สุรสิทธิ์ ผบก.ปส.4, พล.ต.ต.อิทธิพล จันทร์ศรีบุตร ผบก.ขส. และ พล.ต.ต.วิทัศน์ บริรักษ์ ผบก.สกส. ,พล.ต.ต.อาทร ชิ้นทอง  ผบก.ประจำ บช.ปส. และนายอุดมชัย โลหณุต ผอ.ป.ป.ส. กทม. ผู้แทนสำนักงาน ป.ป.ส. ร่วมแถลงผลงาน บช.ปส.ภายใต้แผนปฏิบัติการตามล่า 100 เครือข่าย สามารถจับกุมเครือข่ายยาเสพติดและยึดทรัพย์สินรายสำคัญ 4 คดี ผู้ต้องหา 6 คนของกลางยาบ้ากว่า 16 ล้านเม็ด, เฮโรอีน 27 กก. และยึดทรัพย์สินเครือข่ายได้ประมาณ 105 ล้านบาท

คดีแรก เมื่อวันที่ 9 ธ.ค.66 ตำรวจ กก.3 บก.สกส. ร่วมกับ บก.ขส.ได้รับแจ้งจากสายลับว่ากลุ่มเครือข่ายยาเสพติดของ นายอนุวัฒน์ กับพวก จะลักลอบลำเลียงยาเสพติด และกำลังจัดหาผู้ลำเลียงจากพื้นที่ชายแดนไทยด้าน จว.เชียงราย ไปส่งมอบ ให้กับลูกค้าในพื้นที่ภาคกลาง ตำรวจจึงอำพรางเป็นผู้รับจ้างลำเลียงยาเสพติด เดินทางไปเจรจาเงื่อนไข การรับมอบยาเสพติด ในพื้นที่หมู่บ้าน ม.6 ต.แม่ยาว อ.เมือง จว.เชียงราย ระหว่างทางพบกลุ่มรถจักรยานยนต์หลายคันขับขี่ตามกันในลักษณะ คาราวานเข้าไปในหมู่บ้าน สังเกตตะกร้าหน้ารถพบมีสิ่งของบรรทุกอยู่ทุกคันรถ กระทั่งคนขับรู้ตัวจึงได้เร่งเครื่องหลบหนี และทิ้งสิ่งของที่เอามาด้วยไว้ข้างทาง ตรวจสอบพบยาบ้าประมาณ 503,673 เม็ด จึงได้ตรวจยึดของกลางส่งพนักงานสอบสวน เพื่อดำเนินคดีและสืบสวนสอบสวนขยายผลไปยังผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไป 

คดีที่ 2 เมื่อวันที่ 16 ธ.ค.66 ตำรวจ บก.สกส.พร้อมด้วย กก.2 บก.ปส.2 และ บก.ขส. ร่วมกันจับกุม 2 ผู้ต้องหา คือ นายบุญช่วย และ นายสมเกียรติ หลังสืบทราบว่ามีพฤติการณ์การลักลอบลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ จว.นครพนม เพื่อไปส่ง ให้กับลูกค้าทางพื้นที่ จว.สระบุรี จึงได้สะกดรอยติดตาม พบว่าผู้ต้องหาทั้งสองใช้รถยนต์กระบะสำหรับนำทาง เพื่อเฝ้าระวังเจ้าหน้าที่ และมีรถบรรทุกขนาดกลางสีขาว หมายเลขทะเบียน 82-xxxx มหาสารคาม ขับติดตาม กระทั่งสามารถตรวจค้น จับกุมผู้ต้องหาทั้งสองคน ได้ที่ด่านตรวจยานพาหนะสีคิ้ว ต.ลาดบัวขาว อ.สีคิ้ว จว.นครราชสีมา พร้อมของกลางยาบ้า 8,689,000 เม็ด และเฮโรอีน 225 ก้อน น้ำหนักประมาณ 27 กิโลกรัม ซุกซ่อนอยู่ท้ายรถบรรทุก จากนั้นตำรวจชุดจับกุม ได้นำตัวผู้ต้องหาทั้งสองคนพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดี และสืบสวนสอบสวนขยายผลไปยังผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไป

คดีที่ 3 เมื่อวันที่ 18 ธ.ค.66 ตำรวจ กก.1 บก.ปส.2 ได้สืบสวนกลุ่มเครือข่ายนักค้ายาเสพติดโดยใช้รถยนต์ ในการ ลักลอบลำเลียง หลังพบเคลื่อนไหวขับขี่จากพื้นที่กรุงเทพฯ ขึ้นไปยังพื้นที่ภาคเหนือในพื้นที่ อ.แม่อาย จว.เชียงใหม่ และจะมี การลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ตามแนวชายแดน ไปส่งให้กับลูกค้าในเขตพื้นที่ตอนใน โดยใช้ รถยนต์ HONDA CITY หมายเลข ทะเบียน 8กฐ-xxxx กทม. และ รถยนต์ HYUNDAI หมายเลขทะเบียน ฮฐ-xxx กทม. ชุดจับกุมจึงได้สะกดรอยติดตาม กระทั่ง ช่วงเช้าของวันที่ 19 ธ.ค.66 พบรถยนต์ HYUNDAI วิ่งมาจาก อ.แม่สรวย จว.เชียงราย มาจอดป่าข้างทางประมาณ 20 นาที แล้วขับออกไป โดยมีรถยนต์ HONDA CITY ขับตาม ต่อมาช่วง 21.50 น.พบรถยนต์ทั้ง 2 คัน วิ่งบนถนน หมายเลข 1 มุ่งหน้า ด่านตรวจยานพาหนะพยุหะคีรี ต.ย่านมัทรี อ.พยุหะคีรี จว.นครสวรรค์ จึงประสานเจ้าหน้าที่ประจำด่านให้ทำการ ตั้งจุดตรวจ/จุดสกัด ก่อนที่รถยนต์ HONDA CITY จะขับเข้าด่านตรวจพบนาย สมณะ เป็นผู้ขับขี่ ส่วนรถ HYUNDAI ได้จอดก่อนถึง จุดตรวจ/จุดสกัด ชุดจับกุมที่ติดตามมาจึงเข้าตรวจสอบ พบนายอดิศักดิ์หรือเอส เป็นผู้ขับขี่ ภายในห้องโดยสารพบยาบ้ารวม 6,500,000 เม็ด  สอบสวนผู้ต้องหาทั้ง 2 คน รับสารภาพว่ารับจ้างลำเลียงยาเสพติดจากชายแดนหมู่บ้านห้วยส้าน ตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ นอกจากนี้จากการตรวจสอบพบว่า นายอดิศักดิ์หรือเอส เคยมีประวัติถูกจับกุมข้อหาครอบครองยาเสพติด เพื่อจำหน่าย เมื่อปี 62

คดีที่ 4 สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 4 ส.ค.66 บก.ปส.4 ได้จับกุมกลุ่มเครือข่ายยาเสพติดข้ามชาติรายใหญ่ ได้ที่บริเวณริมถนนหน้าศาลาริมทางบ้านห้วยน้ำเย็น ม.4 ต.ทรายขาว อ.หัวไทร จว.นครศรีธรรมราช ขณะใช้รถยนต์กระบะลำเลียงคีตามีน จำนวนรวม 851 กก. จากจังหวัดระนอง เพื่อนำมาส่งให้ที่ อ.หัวไทร จว.นครศรีธรรมราช จากการสืบสวนทราบว่า เครือข่ายนี้ มีนายอานันท์ เป็นผู้สั่งการและอยู่เบื้องหลังเชื่อมโยงกับเครือข่ายลำเลียงยาเสพติดข้ามชาติหลายคดี อาทิ เมื่อวันที่ 13 พ.ค.66 บก.ปส.3 จับกุมไอซ์ 1.5 ตัน ขณะขนถ่ายลงเรือขนาดเล็กบริเวณท่าเทียบเรือโรงไม้เก่า ในพื้นที่ อ.ท่าศาลา จว.นครศรีธรรมราช 

เมื่อ 28 มิ.ย.66 ป.ป.ส. จับกุมเครือข่ายไอซ์ 960 กก. มาพักไว้ที่บ้านหลังหนึ่งใน จว.ราชบุรี เพื่อเตรียมขนส่งไปยังพื้นที่ภาคใต้ และเมื่อวันที่ 19 ก.ย.66 บก.ปส.3 เข้าจับกุมคนร้ายขณะลำเลียงไอซ์ 1,000 กิโลกรัม มีการยิงปะทะและเป็นเหตุให้ ด.ต.วีระวัฒน์ คำดี ตำรวจ กก.2 บก.ปส.3 เสียชีวิตและคนร้ายถูกวิสามัญในที่เกิดเหตุในพื้นที่ อ.เวียงชัย จว.เชียงราย กระทั่ง เจ้าหน้าที่ กก.2 บก.ปส.4 ได้สืบสวนขยายผล สามารถดำเนินการออกหมายจับนายอานันท์ ผู้สั่งการและบุคคลที่เกี่ยวข้อง ในคดีนี้รวม 4 ราย ภายใต้แผนปฏิบัติการตามล่า 100 เครือข่าย บก.ปส.4 จึงได้เปิด “ยุทธการเด็ดปีกมาร67/1ทลายแก๊งทะเลหลวงข้ามชาติ” ดำเนินการปิดล้อมตรวจค้น เพื่อจับกุม ผู้ต้องหาตามหมายจับและยึดทรัพย์จำนวน 16 เป้าหมาย สามารถจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับได้จำนวน 2 หมาย คือ นายอานันท์ เป็นผู้สั่งการ และนายสุริยา ทำหน้าที่ทางการเงิน รวมทั้งตรวจยึดทรัพย์สิน 34 รายการ รวมมูลค่า 105 ล้านบาท

พล.ต.ท.คีรีศักดิ์ ตันตินวะชัย ผบช.ปส. ระบุว่า ที่ผ่านมาได้สั่งการให้ทุกหน่วยเพิ่มความเข้มในการสกัดกั้น การลักลอบ ลำเลียงยาเสพติด ทั้งตามพื้นที่แนวชายแดนและการลำเลียงเข้ามาสู่พื้นที่ตอนใน และให้ใช้มาตรการทางกฎหมายทุกรูปแบบ เพื่อทำลายเครือข่ายยาเสพติดโดยเด็ดขาด โดยให้สืบสวนขยายผลเพื่อดำเนินคดีและยึดทรัพย์สิน ผู้สั่งการและเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง   ซึ่งนำมาสู่ผลการจับกุมพร้อมยาเสพติดได้จำนวนมากในครั้งนี้ และสำหรับแก็งทะเลหลวงข้ามชาตินั้น มีความเชื่อมโยงกับหลายเครือข่ายที่บช.ปส.ได้จับกุมมาก่อนหน้านี้ ซึ่งชุดสืบสวนจับกุมได้ใช้ความพยายามในการสืบสวนขยายผลอย่างต่อเนื่อง จนสามารถออกหมายจับเครือข่ายผู้สั่งการ และติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดีและยึดทรัพย์ได้ดังกล่าว

สำหรับเดือน ธันวาคม 2566 ตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) ได้จับกุมขบวนการค้ายาเสพติด รายสำคัญ 19 คดี ผู้ต้องหา 23 คน ของกลาง ยาบ้า 15,692,673 เม็ด, ไอซ์ 1,001 กก. เฮโรอีน 39.43 กก., โคเคน 11.18 กก. และคีตามีน 1,200 กก. และตรวจยึดทรัพย์ ไว้ตรวจสอบมูลค่าประมาณ 414.14 ล้านบาท 

‘สหรัฐฯ’ อ่วม!! ‘หนี้สาธารณะ’ ทะลุ 34 ล้านล้านดอลล์ครั้งแรก นับเป็นสถานการณ์ที่น่ากังวล หลังตัวเลขพุ่งเร็วจนน่าห่วง

(4 ม.ค. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า กระทรวงการคลังของสหรัฐฯ รายงานว่าหนี้สาธารณะของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ พุ่งสูงกว่า 34 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.164 พันล้านล้านบาท) เป็นครั้งแรก เพิ่มจาก 33.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.161 พันล้านล้านบาท) เมื่อวันพฤหัสบดี (28 ธ.ค.)

มายา แมคกิเนียส ประธานคณะกรรมการฝ่ายความรับผิดชอบด้านงบประมาณของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ กล่าวว่า หนี้สาธารณะแตะระดับ 34 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.164 พันล้านล้านบาท) เมื่อวันศุกร์ (29 ธ.ค.) ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากพุ่งแตะระดับ 33 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.13 พันล้านล้านบาท) เพียงราวสามเดือน และถือเป็นสถานการณ์ที่น่ากังวลอย่างมาก

“สิ่งที่น่าเศร้าคือผู้นำทางการเมืองของเราไม่ต้องการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่จำเป็นเพื่อพลิกฟื้นสถานการณ์ทางการคลัง” แมคกิเนียส กล่าว

ตัวเลขหนี้ล่าสุดถูกเปิดเผยขณะที่สมาชิกสภาคองเกรสเตรียมแย่งชิงการจัดสรรงบประมาณของรัฐบาลกลาง โดยปัจจุบันงบประมาณสำหรับหน่วยงานและโครงการของรัฐบาลกลางบางส่วนจะหมดอายุในเดือนมกราคมนี้

‘SpaceX’ ลุยส่ง ‘ดาวเทียม’ ชุดแรกขึ้นวงโคจร หวังส่งสัญญาณโทรศัพท์มาสู่สมาร์ทโฟนโดยตรง

(4 ม.ค. 67) จากเพจเฟซบุ๊ก ‘Business Tomorrow’ โพสต์ข้อความ ‘SpaceX’ ส่งดาวเทียมชุดแรกขึ้นสู่วงโคจร เพื่อเตรียมส่งสัญญาณโทรศัพท์สู่สมาร์ทโฟนโดยตรง โดยมีเนื้อหาดังนี้…

T-Mobile บริษัทผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือในสหรัฐฯ ประกาศว่าจรวด Falcon 9 ของ SpaceX ได้ส่งดาวเทียม 6 ดวง ขึ้นสู่วงโคจร ซึ่งเป็นดาวเทียมชุดแรกที่ทำหน้าที่ส่งสัญญาณโทรศัพท์ตรงสู่พื้นโลกไปที่อุปกรณ์สมาร์ทโฟน

เป้าหมายคือการเชื่อมต่อผู้ใช้งานแบบ Direct to Cell (D2C) ให้ได้ทุกที่ในโลก แม้อยู่ในจุดที่ไม่มีสัญญาณ โดยนอกจาก T-Mobile แล้ว SpaceX ยังร่วมทดสอบบริการนี้กับผู้ให้บริการโทรศัพท์อีก 6 ราย ใน 6 ประเทศ ได้แก่ Optus (ออสเตรเลีย), Rogers (แคนาดา), One NZ (นิวซีแลนด์), KDDI (ญี่ปุ่น), Salt (สวิตเซอร์แลนด์) และ Entel (ชิลี)

D2C ในช่วงแรกจะทดสอบด้วยการส่งข้อความตัวหนังสือก่อน จากนั้นจึงขยายมาทดสอบบริการคุยเสียง และการรับส่งข้อมูล ซึ่งจะต้องใช้เวลาอีกหลายปี

ด้าน ‘Elon Musk’ CEO ของ SpaceX ให้ข้อมูลเพิ่มเติมผ่าน X ของเขาว่า การส่งลำแสงจากดาวเทียมแต่ละครั้งรองรับข้อมูลประมาณ 7Mb ทำให้เป็นทางออกที่ดีในพื้นที่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์มือถือ แต่ยังห่างไกลจากการเป็นคู่แข่งผู้ให้บริการเครือข่ายภาคพื้น

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมนายกสมาคมตำรวจ และคณะ ร่วมมอบพิซซ่าพร้อมน้ำอัดลมแก่โรงพยาบาลตำรวจ ส่งต่อแพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อขอบคุณที่ดูแลผู้ป่วยเป็นอย่างดี

วันนี้ (4 มกราคม 2567) พล.ต.อ.วินัย ทองสอง นายกสมาคมตำรวจ พร้อมคณะกรรมการสมาคมฯ นำพิซซ่า 1,600 ถาด พร้อมน้ำอัดลม 800 ขวด มอบให้โรงพยาบาลตำรวจ ส่งต่อแพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อขอบคุณที่ดูแลข้าราชการตำรวจที่เจ็บป่วย หรือบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ รวมถึงผู้ป่วย และผู้มาใช้บริการ เป็นอย่างดี โดยมี พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ , พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว สมาชิกวุฒิสภา/อดีต ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ นายแพทย์ใหญ่ โรงพยาบาลตำรวจ ร่วมรับมอบ ณ ลานเวที ชั้น 2 อาคารมหาภูมิพลราชานุสรณ์ 88 พรรษา โรงพยาบาลตำรวจ นอกจากนี้ พล.ต.อ.อดุลย์ มอบเงิน 50,000 บาท , พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ มอบเงิน 30,000 บาท และนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่นที่ 43 มอบเงิน 30,000 บาท ให้ทางสมาคมตำรวจด้วย

โอกาสนี้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ และ พล.ต.อ.อดุลย์ ร่วมร้องเพลงกับวง PGH BAND สร้างความสุขและรอยยิ้มให้กับผู้ร่วมงานทุกคนด้วย ทั้งนี้ พล.ต.อ. อดุลย์ กล่าวขอบคุณ และอวยพรปีใหม่ให้แก่แพทย์ พยาบาล และบุคลากรของโรงพยาบาล ที่ปฏิบัติหน้าที่ดูแลผู้ป่วยเป็นอย่างดี

ด้านนายแพทย์ใหญ่ โรงพยาบาลตำรวจ กล่าวขอบคุณผู้ที่มาร่วมงานทุกคน ที่มาร่วมแสดงความขอบคุณทีมแพทย์ พยาบาล และบุคลากรของโรงพยาบาลตำรวจ ที่ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่อย่างดีที่สุด พร้อมขอบคุณสมาคมตำรวจและคณะ ที่สนับสนุนและให้การช่วยเหลือบุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลตำรวจมาโดยตลอด ยืนยันว่า บุคคลากรของโรงพยาบาลตำรวจทุกนายจะปฏิบัติหน้าที่ให้ดีที่สุด สมกับที่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชน

‘เคทีซี’ เปิดตัว ‘บัตรเครดิตดิจิทัล’ ตั้งเป้า 1 แสนใบในปีนี้ พร้อมเผยเพิ่มชำระขั้นต่ำ 5% เป็น 8% ไม่กระทบเป้ารวม

(4 ม.ค.67) นางประณตยา นิถานานนท์ ผู้บริหารสูงสุดสายงานการตลาดบัตรเครดิต บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ เคทีซี เปิดเผยว่า เคทีซีได้เปิดตัว ‘บัตรเครดิตเคทีซี ดิจิทัล’ (KTC DIGITAL CREDIT CARD) นวัตกรรมของความปลอดภัยขั้นกว่าครั้งแรกในประเทศไทยด้วย 3 จุดเด่น ดังนี้…

- Digital First สมาชิกสามารถใช้จ่ายได้ทันทีหลังได้รับการอนุมัติกับการใช้จ่ายผ่านช่องทางออนไลน์ รวมถึงการสแกนจ่ายด้วย QR Pay และผูกบัตรกับระบบชำระเงินบนอุปกรณ์ต่างๆ เช่น กูเกิล เพย์ (Google Pay) หรือ สวอทช์ เพย์ (Swatch Pay) เป็นต้น

- Dynamic CVV ตัวเลขหลังบัตรที่เป็นรหัสความปลอดภัย จะเปลี่ยนแปลงทุกครั้งที่มีการร้องขอและสามารถใช้งานได้ภายใน 24 ชั่วโมงต่อการขอ 1 ครั้ง (ไม่จำกัดจำนวนการขอ) เพื่อสร้างความมั่นใจให้สมาชิกเมื่อใช้จ่ายผ่านช่องทางออนไลน์ หรือผูกบัตรที่ร้านค้าออนไลน์ ด้วยเลขหลังบัตร (CW) เพื่อยืนยันการชำระค่าสินค้าหรือบริการ 

- Numberless Card บัตรพลาสติกใสโปร่งแสง ไม่มีหมายเลขบนหน้าบัตร และไร้แถบแม่เหล็ก เพื่อเสริมความปลอดภัยเมื่อสมาชิกใช้จ่ายผ่านบัตรที่ร้านค้าทั่วไป โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการถูกขโมยข้อมูลส่วนตัวบนหน้าบัตร

"ปัจจุบันตัวเลขการใช้งานของผู้ถือบัตรเครดิตเคทีซีเปลี่ยนแปลงไป โดยมีสัดส่วนผู้ใช้บัตรในการใช้จ่ายซื้อสินค้า-บริการ 46% และผู้ที่ไม่ยื่นการ์ดในการใช้จ่ายเท่ากับ 55% จากช่วงก่อนโควิดที่มีสัดส่วน 70% และ 30% เนื่องมาจากความนิยมในการซื้อของผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น ขณะเดียวกัน ความกังวลในเรื่องการถูกมิจฉาชีพขโมยข้อมูลจากบัตรเครดิตก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ดังนั้น การออกบัตรเคทีซี ดิจิทัลถือเป็นการยกระดับความปลอดภัยของบัตรเครดิต โดยจะช่วยลดความกังวลให้ลูกค้าที่ใช้บัตรเครดิต ซึ่งจะรองรับการใช้ทั้งช่องทางดิจิทัล และการใช้บัตรพลาสติกที่เป็น Number Less ซึ่งจะแก้ pain point ของผู้ถือที่กังวลเรื่องตัวเลขสำคัญที่หลังบัตร"

นางประณตยา กล่าวอีกว่า ปัจจุบันเคทีซีมีมาร์เกตแชร์ประมาณ 12% จากมูลค่ารวมการใช้ของอุตสาหกรรมที่ 2.2 ล้านล้านบาท เป้าหมายในปีนี้คาดการณ์ยอดใช้จ่ายผ่านบัตร 15% จากปีก่อนที่เติบโตได้สูงกว่าเป้าหมายที่ 10% เล็กน้อย มีสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) 1.3% ต่ำกว่าอุตสาหกรรมที่ประมาณ 3% และตั้งเป้าหมายยอดบัตรใหม่ในปีนี้ที่ 230,000 บัตร ซึ่งจะรวมถึงบัตร Digital ที่ตั้งเป้าไว้ 100,000 บัตรด้วย โดยในขณะนี้จะเริ่มต้นจากบัตรแพลทินัม และหากผลตอบรับดีไม่มีเหตุผลที่จะไม่ทำต่อเนื่องไปสู่บัตรอื่นต่อไป ทั้งนี้ ปัจจุบันเคทีซีมีจำนวนบัตร 2.62 ล้านบัตร เป็นบัตรแพลทินัม 2.28 ล้านบัตร โดยแบ่งเป็นบัตรเครดิตวีซ่า แพลทินัม 60% และบัตรเครดิตแพลทินัม มาสเตอร์การ์ด 40%

สำหรับการกำหนดเพิ่มการชำระขั้นต่ำจาก 5% เป็น 8% นั้น ไม่น่าจะกระทบมากนัก โดยผู้ถือบัตรเคทีซีมีสัดส่วนจ่ายเต็มจำนวน 70% ที่เหลือจ่ายชำระไม่เต็มและส่วนใหญ่จ่ายสูงกว่า 5% ขณะที่ฐานลูกค้าของเคทีซีเป็นกลุ่มที่มีรายได้ 15,000-30,000 บาทต่อเดือนในสัดส่วน 65% อีก 35% เป็นกลุ่มรายได้ 30,000-50,000 บาท และ 50,000 บาทต่อเดือน ส่วนเกณฑ์การให้สินเชื่ออย่างเป็นธรรมนั้น เคทีซียึดหลักการให้ข้อมูล เงื่อนไข ข้อกำหนดอย่างชัดเจนอยู่แล้ว รวมถึงการไม่กระตุ้นให้มีการใช้จ่ายหรือก่อหนี้อย่างเกินตัวอยู่แล้ว

ด้าน น.ส.สุชชวี บรรจบดี ผู้บริหารสูงสุดฝ่ายการตลาดดิจิทัล ‘เคทีซี’ กล่าวว่า สมาชิกต้องการบัตรพลาสติกสามารถแสดงความประสงค์ขอรับบัตรผ่านแอป KTC Mobile ได้ด้วยตนเอง ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีที่โหลดแอป KTC Mobile ทั้งสิ้นประมาณ 2.2 ล้านราย คิดเป็น 88% ของจำนวนสมาชิกทั้งพอร์ต โดยแอป KTC Mobile จัดเป็นช่องทางที่สมาชิกเข้ามาใช้บริการอย่างสม่ำเสมอ สะท้อนพฤติกรรมของสมาชิกที่มีความคุ้นชินกับดิจิทัลมากยิ่งขึ้น ดังนั้น แอป KTC Mobile จึงถูกออกแบบให้เป็นช่องทางในการขอเพิ่ม ‘บัตรเครดิตเคทีซี ดิจิทัล’ สำหรับสมาชิกปัจจุบันเพียงกดปุ่มสมัครบัตร และเมื่อได้รับการอนุมัติสามารถใช้จ่ายทางออนไลน์ได้ทันที 

กรณีศึกษาอพยพผู้โดยสารสายการบินเจแปนฯ ได้อย่าง 'ปลอดภัย-รวดเร็ว' เพราะพนักงานฝึกฝนมาดี ผู้โดยสารก็ปฏิบัติตัวดี เชื่อฟังทุกคำแนะนำ

(4 ม.ค.67) จากกรณีเครื่องบินโดยสารแบบ แอร์บัส A350 ของสายการบินเจแปนแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 516 (JAL) พุ่งชนเครื่องบินตรวจการณ์หน่วยยามฝั่งที่เตรียมไปช่วยผู้ประสบเหตุแผ่นดินไหว จนไฟลุกท่วมคาสนามบินฮาเนดะ แต่ส่วนผู้โดยสารและลูกเรือเครื่องบินพาณิชย์ 379 ชีวิตปลอดภัยนั้น เหตุผลสำคัญมาจากผู้โดยสารต่างเร่งไปที่ประตูทางออกฉุกเฉินของเครื่องบินที่กำลังลุกไหม้โดยที่ไม่ถือสัมภาระอะไรติดตัว ตามคำแนะนำของพนักงานบนเครื่องบิน

ผู้เชี่ยวชาญ ระบุว่า การไม่นำสิ่งของมีค่าหรือสัมภาระส่วนตัวไปด้วย ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การอพยพทั้ง 379 คนบนเครื่องเป็นไปได้อย่างราบรื่น ก่อนที่เครื่องบินจะถูกไฟลุกท่วมบนรันเวย์ที่สนามบินฮาเนดะในกรุงโตเกียว เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา

ทั้งนี้ สายการบินเจแปนแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 516 ได้กลายเป็นลูกบอลติดไฟขนาดยักษ์หลังจากชนเข้ากับเครื่องบินของหน่วยยามชายฝั่งขณะกำลังลงจอด โดยผู้ที่อยู่บนเครื่องบินซึ่งลำเล็กกว่าของหน่วยยามชายฝั่ง 5 จาก 6 คน เสียชีวิต

การอพยพผู้คนอย่างไร้ที่ติของสายการบินเจแปนแอร์ไลน์ได้รับเสียงชื่นชมจากผู้คนจำนวนมาก ผู้เชี่ยวชาญด้านการบินและผู้ที่เคยเป็นลูกเรือของสายการบินเจแปนแอร์ไลน์บอกกับบีบีซีว่า การอพยพที่ราบรื่นดังกล่าวนี้เกิดขึ้นได้เพราะพนักงานบนเครื่องได้นำการฝึกฝนที่ได้ทำมาอย่างเข้มงวดมาใช้ ส่วนผู้โดยสารก็ปฏิบัติตัวอย่างดีและเชื่อฟังคำสั่งด้านความปลอดภัย

“ผมไม่เห็นผู้โดยสารสักคนที่ลงเครื่องมาแล้วมีกระเป๋าติดตัวเลยสักคน...ถ้าคนบนเครื่องพยายามที่จะขนสัมภาระของตัวเองลงมาด้วยนั่นจะเป็นสถานการณ์ที่อันตรายมาก เพราะว่ามันจะทำให้การอพยพเป็นไปได้ช้าลง” ศาสตราจารย์เอ็ด กาแล ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยจากมหาวิทยาลัยกรีนิช กล่าว

ศาสตราจารย์กาแล ยังบอกด้วยว่า สถานะของเครื่องบินแอร์บัส A350 ลำดังกล่าว ยังทำให้การอพยพคนบนเครื่องเป็นไปได้ยากด้วย

“อุบัติเหตุนี้ห่างไกลจากสภาวะในอุดมคติที่คุณอยากให้เกิดขึ้นมาก ส่วนหัวของเครื่องบินทิ่มลงด้านล่าง ซึ่งหมายความว่ามันเป็นการยากสำหรับผู้โดยสารในเครื่องที่จะเคลื่อนที่” เขากล่าว

ทั้งนี้ มีสไลเดอร์ตรงทางออกฉุกเฉินเพียง 3 อันเท่านั้นที่ใช้การได้ แต่มันก็ไม่ได้ถูกกางอย่างเหมาะสมเนื่องจากลักษณะการลงจอดของเครื่องบิน สไลเดอร์ฉุกเฉินดังกล่าวยังชันมากด้วย ซึ่งอาจเป็นอันตรายได้ด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้ ทางเจแปนแอร์ไลน์ยังระบุด้วยว่า ระบบกระจายเสียงในเครื่องบินลำดังกล่าวยังทำงานผิดปกติในระหว่างการอพยพด้วย ดังนั้นลูกเรือบนเครื่องจึงต้องใช้โทรโข่งและการตะโกนเอาแทน

ทางสายการบินยังระบุด้วยว่า มีผู้โดยสารหนึ่งคนที่มีรอยบอบช้ำ และอีก 13 คนที่ต้องได้รับการดูแลทางการแพทย์

สายการบินเจแปนแอร์ไลน์เที่ยวบินดังกล่าว เดินทางออกจากสนามบินในซัปโปโรในเวลา 16.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น และลงจอดที่ฮาเนดะก่อนเวลา 18.00 น. เพียงไม่นาน สำหรับเครื่องบินของยามชายฝั่งที่ลำเล็กกว่านั้น มีแผนที่จะนำสิ่งของบรรเทาทุกข์ไปให้เหยื่อจากเหตุแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในวันปีใหม่ ทั้งนี้ ยังคงมีการสืบสวนสาเหตุของการชนกันครั้งนี้อยู่

อดีตลูกเรือของสายการบินเจแปนแอร์ไลน์คนหนึ่งบอกกับบีบีซีว่า ผู้โดยสารบนเที่ยวบินดังกล่าวถือว่า “โชคดีอย่างสุดๆ”

“ฉันรู้สึกโล่งใจที่รู้ว่าผู้โดยสารทุกคนปลอดภัย แต่เมื่อฉันเริ่มคิดเกี่ยวกับขั้นตอนในการอพยพเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน ฉันก็รู้สึกประหม่าและกลัวขึ้นมาทันที” เธอกล่าว “ขึ้นอยู่กับว่าเครื่องบินทั้งสองลำชนกันแบบไหน รวมถึงว่าไฟไหม้ลุกลามอย่างไร มันอาจจบลงด้วยเรื่องเศร้ากว่านี้ก็ได้”

ในสถานการณ์จริง มันเป็นเรื่องยากที่จะทำให้ผู้โดยสารไม่ตื่นตระหนก อดีตลูกเรือที่ขอไม่เปิดเผยนาม ระบุ

“แต่สิ่งที่พวกเขาทำสำเร็จมันยากกว่าที่ใครจะจินตนาการออก ข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาสามารถพาทุกคนหนีออกมาได้ เป็นผลมาจากการร่วมมือกันอย่างดีระหว่างลูกเรือและผู้โดยสารที่ปฏิบัติตามคำแนะนำ” เธอกล่าว

อดีตลูกเรือสายการบินเจแปนแอร์ไลน์ผู้นี้ยังระบุด้วยว่า ลูกเรือทุกคนต้องผ่านการฝึกการช่วยเหลือและอพยพที่เข้มงวดกว่า 3 สัปดาห์ ก่อนที่จะได้รับอนุญาตให้ปฏิบัติงานบนสายการบินพาณิชย์ และการฝึกฝนดังกล่าวยังต้องฝึกซ้ำอยู่ทุกปี

“เราต้องผ่านการสอบข้อเขียน การอภิปรายกรณีศึกษา และการฝึกฝนสถานการณ์จำลองหลายๆ แบบ อย่างเช่นในสถานการณ์ที่เครื่องบินต้องลงจอดในน้ำ หรือถ้าเกิดมีไฟไหม้ในเครื่อง พนักงานหน่วยอื่นๆ ที่ดูแลรักษาเครื่องบินก็ต้องเข้าร่วมการฝึกนี้เช่นเดียวกัน” อดีตลูกเรือที่ออกจากบริษัทมา 10 ปีแล้ว กล่าว

นักบินอีกคนหนึ่งซึ่งทำงานในสายการบินหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ให้สัมภาษณ์กับบีบีซีโดยไม่ขอเปิดเผยตัวตนเช่นกันว่า การฝึกฝนอย่างเข้มงวดที่ลูกเรือต้องทำ ช่วยให้การอพยพเป็นไปอย่างรวดเร็ว

“ผมต้องบอกว่ามันน่าทึ่งมาก ผมคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในกรณีนี้คือ การฝึกฝนถูกนำมาใช้จริง คุณไม่มีเวลาคิดในสถานการณ์เช่นนี้ ดังนั้นคุณแค่ทำไปตามสิ่งที่ได้ฝึกฝนมา” เขากล่าว

ทั้งนี้ สำหรับเครื่องบินโดยสารใดๆ ก็ตาม เพื่อที่จะได้รับใบอนุญาตในระดับนานาชาติให้ทำการบินได้ ผู้ผลิตเครื่องบินจะต้องแสดงให้เห็นว่าทุกคนที่อยู่บนเครื่องสามารถออกจากเครื่องบินได้ภายในเวลา 90 วินาที โดยการทดสอบเวลาในการอพยพบางครั้งมีการใช้ผู้โดยสารจริงมาทดสอบด้วย เขาระบุเพิ่มเติม

นักบินคนนี้ยังกล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า การควบคุมความปลอดภัยด้านการบินเข้มงวดขึ้นอย่างมากหลังจากเกิดเหตุไม่คาดฝันและความผิดพลาดในอุบัติเหตุครั้งก่อนๆ

ยกตัวอย่างเช่น การชนกันของเครื่องบินโบอิ้ง 747 สองลำที่สนามบินลอส โรดีโอ ในสเปนในปี 1977 ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไป 583 คนและถือเป็นอุบัติเหตุด้านการบินที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงขั้นตอนที่นักบินต้องปฏิบัติ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับการสื่อสารทางวิทยุ ทั้งนี้ การชนกันดังกล่าวพบว่าเกิดจากการสื่อสารที่ผิดพลาดระหว่างลูกเรือและเจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรทางอากาศ

สายการบินเจแปนแอร์ไลน์เคยพบเจอกับหายนะเช่นกันในเดือน ส.ค. 1985 เมื่อเที่ยวบิน 123 ที่มุ่งไปโอซากา บินชนภูเขาหลังจากออกจากสนามบินฮาเนดะในโตเกียวได้ไม่นาน สำหรับสาเหตุครั้งนั้นพบว่าเกิดจากการซ่อมบำรุงเครื่องบินที่ไม่สมบูรณ์โดยโบอิ้ง ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตเครื่องบินลำดังกล่าว ในอุบัติเหตุครั้งนั้น มีเพียง 4 คนจากคนบนเครื่องทั้งหมด 524 คนที่รอดชีวิต

ในปี 2006 เจแปนแอร์ไลน์ได้เปิดสถานที่ที่คล้ายกับพิพิธภัณฑ์ใกล้กับสนามบินฮาเนดะ และจัดแสดงซากความเสียหายจากอุบัติเหตุครั้งดังกล่าว โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับความตระหนักด้านความปลอดภัยให้กับพนักงานของสายการบิน

“ต่อหน้าความเจ็บปวดและความเศร้าโศกของครอบครัวผู้สูญเสีย และความไม่เชื่อใจของสาธารณชนเกี่ยวกับความปลอดภัยของสายการบิน (หลังเกิดอุบัติเหตุในปี 1985) เราให้คำมั่นว่าเราจะไม่ยอมให้โศกนาฏกรรมเช่นนี้เกิดขึ้นอีก” สายการบินเจแปนแอร์ไลน์ระบุ

“พนักงานทุกคนตระหนักดีกว่า ผู้โดยสารฝากชีวิตและทรัพย์สินอันมีค่าไว้กับงานของเรา”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top