Tuesday, 1 July 2025
NewsFeed

‘วัชระ’ จี้ ‘พีระพันธุ์’ สอบปม ‘ทักษิณ’ จำคุกจริงหรือไม่? กร้าว!! ให้เวลา 7 วัน หากเรื่องไม่คืบเตรียมร้อง ป.ป.ช.

(4 ม.ค. 67) นายวัชระ เพชรทอง อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ เดินทางไปที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ ทำเนียบรัฐบาล เพื่อยื่นหนังสือต่อ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี ผ่าน นายสมพาส นิลพันธ์ ที่ปรึกษาสำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวน 10 ประเด็น กรณี นช.ทักษิณ ชินวัตร โดยหนังสือดังกล่าวระบุว่า

เรื่อง ขอให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนกรณี นช.ทักษิณ ชินวัตร ต้องคำพิพากษาให้จำคุก 1 ปี แต่ไม่ได้จำคุกจริงในเรือนจำแม้แต่วันเดียวจริงหรือไม่ มีอาการป่วยเป็นเท็จหรือไม่ และอยู่พักรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจตลอดเวลาหรือไม่ และขอสำเนาเอกสารตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540

เรียน นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี

อ้างถึง คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 381/2566 เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 25 ธันวาคม 2566

สิ่งที่ส่งมาด้วย 1. คำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษา จำคุก นช. ทักษิณ ชินวัตร จำนวน 3 คดี คือ คดีหมายเลขแดง ที่ อม. 4/2551 ความผิดต่อหน้าที่ราชการ กำหนดโทษจำคุก 3 ปี , คดีหมายเลขแดง ที่ อม. 10/2552 ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ กำหนดโทษจำคุก 2 ปี ซึ่งคดีที่ 1 กับคดีที่ 2 นับโทษซ้อนกันรวมกำหนดโทษจำคุก 3 ปี, คดีหมายเลขแดง ที่ อม. 5/2551 ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ การขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวมกำหนดโทษจำคุก 5 ปี จำนวน 1 ชุด

2. ราชกิจจานุเบกษา ลงวันที่ 1 กันยายน 2566 จำนวน 1 ชุด

3. สำเนาข่าวผู้จัดการออนไลน์ลงวันที่ 23 สิงหาคม 2566 สื่อนอกตีข่าว 'ทักษิณ' ป่วยทันทีหลังกลับไทย ถูกส่งตัวจากเรือนจำเข้าโรงพยาบาลเมื่อคืนนี้ จำนวน 1 ชุด 

4. หนังสือนายวัชระ เพชรทอง ลงวันที่ 20 ธันวาคม 2566 เรื่องขอให้ระงับยับยั้งการที่จะส่งตัว นช.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษไปคุมขังนอกเรือนจำและขอให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนลงโทษข้าราชการกรมราชทัณฑ์ เรียน พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม จำนวน 1 ชุด 

5. หนังสือนายวัชระ เพชรทอง ลงวันที่ 26 ธันวาคม 2566 เรื่องขอให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนกรณี นช.ทักษิณ ชินวัตร ต้องคำพิพากษาให้จำคุก 1 ปี แต่ไม่ได้จำคุกจริงในเรือนจำแม้แต่วันเดียว และขอให้บังคับโทษตามคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองทั้งโทษอาญาและแพ่งให้ นช.ทักษิณชำระเงินให้แก่รัฐคดีทุจริตปล่อยกู้ของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงค์) จำนวนเงิน 189,125,644.55 บาท พร้อมดอกเบี้ย กราบเรียนนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จำนวน 1 ชุด 

6. หนังสือสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีที่ นร 0105.5/47874 ลงวันที่ 27 ธันวาคม 2566 ถึงนายวัชระ เพชรทอง จำนวน 1 ชุด ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่อ้างถึง นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มอบหมายและมอบอำนาจให้ รองนายกรัฐมนตรี (นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค) ในฐานะปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี รับผิดชอบกระทรวงยุติธรรม (ยกเว้นกรมสอบสวนคดีพิเศษ) นั้น 

ข้าพเจ้านายวัชระ เพชรทอง อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาธิปัตย์ ได้รับการร้องเรียนจากประชาชนกรณีเคลือบแคลงสงสัยว่า นช.ทักษิณ ชินวัตร ผู้ต้องคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จำนวน 3 คดี รวมกำหนดโทษจำคุก 8 ปี (สิ่งที่ส่งมาด้วย 1) และประกาศราชกิจจานุเบกษา ลงวันที่ 1 กันยายน 2566 มีการประกาศให้โทษจำคุกเหลือ 1 ปี (สิ่งที่ส่งมาด้วย 2) และข่าว นช. ทักษิณฯ ถูกส่งตัวจากเรือนจำเข้าโรงพยาบาลคืนวันที่ 23 สิงหาคม 2566 (สิ่งที่ส่งมาด้วย 3) แต่ไม่ได้มีการจำคุกจริงตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 (ไม่เท่าเทียมนักโทษทั่วไป) 

ต่อมาข้าพเจ้ามีหนังสือร้องเรียนกรณีดังกล่าวถึง พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม (สิ่งที่ส่งมาด้วย 4) และนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (สิ่งที่ส่งมาด้วย 5) เนื่องจากมีการเอื้อประโยชน์เพื่อช่วยเหลือ นช.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นบิดาของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร (อุ๊งอิ๊ง) หัวหน้าพรรคเพื่อไทยและรองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ซึ่งเข้าข่ายผลประโยชน์ทับซ้อนของบุคคลในรัฐบาลนี้

ในการนี้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีได้มีหนังสือถึงข้าพเจ้าว่าได้ส่งเรื่องให้กระทรวงการคลังและกระทรวงยุติธรรมซึ่งมีหน้าที่และอำนาจเพื่อพิจารณา (สิ่งที่ส่งมาด้วย 6) ซึ่งหมายถึงนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ยังละเว้นไม่ปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ตั้งคณะกรรมการสอบสวน ตามที่ข้าพเจ้าได้ร้องเรียนตามหนังสือลงวันที่ 26 ธันวาคม 2566 (สิ่งที่ส่งมาด้วย 5) 

บัดนี้ท่านพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี รับผิดชอบกระทรวงยุติธรรม โปรดดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนกรณี นช.ทักษิณ ชินวัตร ต้องคำพิพากษาให้จำคุก 1 ปี แต่ไม่ได้จำคุกจริงในเรือนจำแม้แต่วันเดียวจริงหรือไม่ ดังนี้

1. ปรากฏข้อเท็จจริงว่าวันที่ 22 สิงหาคม 2566 กรมราชทัณฑ์มีการดำเนินการตามขั้นตอนเมื่อรับ นช.ทักษิณ ชินวัตร เข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ หรือไม่ มีการกรอกทะเบียนประวัตินักโทษ (ร.ท.101) ครบทุกข้อจำนวน 4 หน้าหรือไม่ ถ่ายรูปในชุดนักโทษและตัดผมทรงนักโทษหรือไม่ เข้าห้องขังหรือไม่ มีข้าราชการการเมืองสั่งการให้ข้าราชการกรมราชทัณฑ์กระทำการขัดต่อระเบียบ กฎ กฎหมายของกรมราชทัณฑ์หรือไม่ และขอให้ท่านมีข้อสั่งการให้กรมราชทัณฑ์ส่งคลิปกล้องวงจรปิดของเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ 

ในวันที่ 22-23 สิงหาคม 2566 ในจุดที่ นช.ทักษิณ เดินเข้าและออกจากเรือนจำแก่คณะกรรมาธิการการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร และให้เปิดเผยต่อสาธารณชนด้วย 

2. กรณีแพทย์โรงพยาบาลราชทัณฑ์ส่งตัว นช.ทักษิณ ชินวัตร ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจมีอาการเจ็บป่วยจริงหรือไม่ ออกใบรับรองเท็จหรือไม่ และขอให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนแพทย์และพยาบาลทุกคนที่เกี่ยวข้อง โดยขอให้กันข้าราชการที่ให้การเป็นประโยชน์ไว้เป็นพยานด้วย

3. นช.ทักษิณ ชินวัตร อยู่พักรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจตลอดเวลาหรือไม่ ป่วยจริงหรือไม่ มีแพทย์และพยาบาลดำเนินการรักษาจริงทุกวันอย่างต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 23 สิงหาคม 2566 จนถึงปัจจุบันหรือไม่ มีเวชระเบียนการรักษาทุกวันหรือไม่ ขอให้เปิดเผยรายชื่อเจ้าพนักงานเรือนจำที่ควบคุม นช.ทักษิณไปโรงพยาบาลตำรวจทุกนาย และขอให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนเจ้าพนักงานเรือนจำที่ควบคุม นช.ทักษิณ ทุกนายและผู้ตรวจเวรที่ไปเฝ้า นช.ทักษิณทุกวันว่าได้พบ นช.ทักษิณหรือไม่ มีการบันทึกภาพหรือไม่ และมีอาการเจ็บป่วยหรือไม่ โดยขอให้กันข้าราชการที่ให้การเป็นประโยชน์ไว้เป็นพยานด้วย

4. การออกระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ. 2566 ลงวันที่ 6 ธันวาคม 2566 นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ได้เร่งรัดบังคับให้เจ้าหน้าที่ของรัฐดำเนินการออกระเบียบให้ทันบังคับใช้ในปี 2566 หรือไม่ ขอให้ท่านมีข้อสั่งการให้กรมราชทัณฑ์ส่งสำเนาการประชุมการร่างออกระเบียบดังกล่าวทุกครั้งแก่คณะกรรมาธิการการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร และส่งสำเนาให้ข้าพเจ้าด้วยจำนวน 1 ชุด

5. ขอให้ตั้งกรรมการสอบสวนกรณีกล้องวงจรปิดโรงพยาบาลตำรวจเสียทุกตัวทุกชั้นและขอให้ประสานงานสั่งการให้ติดตั้งกล้องวงจรปิดที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจภายใน 7 วันเพราะ นช.ทักษิณ ชินวัตร มีสภาพเป็นนักโทษเด็ดขาดอยู่ภายใต้กฎหมายของกรมราชทัณฑ์

6. ระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ. 2566 ลงวันที่ 6 ธันวาคม 2566 มีอำนาจเหนือคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษา จำนวน 3 คดี (สิ่งที่ส่งมาด้วย 1) หรือไม่ และมีอำนาจเหนือราชกิจจานุเบกษา ลงวันที่ 1 กันยายน 2566 (สิ่งที่ส่งมาด้วย 2) หรือไม่ การเร่งรัดออกระเบียบฯ เพื่อเอื้อประโยชน์ให้นช.ทักษิณเป็นการละเมิดพระราชอำนาจตามพระบรมราชโองการที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาวันที่ 1 กันยายน 2566 หรือไม่ ท่านจะดำเนินการอย่างไร

7. ขอให้บังคับโทษทางแพ่ง นช.ทักษิณ ชินวัตร ชำระเงินให้แก่รัฐคดีทุจริตปล่อยกู้ของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงค์) จำนวนเงิน 189,125,644.55 บาท พร้อมดอกเบี้ย คดีหมายเลขแดง ที่ อม. 4/2551 มีการบังคับคดีแล้วหรือยัง เมื่อไร ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายของกรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม ถ้ายังไม่ดำเนินการท่านจะสั่งการตามอำนาจหน้าที่อย่างไร

8. นช.ทักษิณ ชินวัตร พักรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจเกินกว่าหนึ่งร้อยยี่สิบวัน ตามกฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ. 2563 ข้อ 7 (3) ที่ต้องรายงานต่อรัฐมนตรีทราบนั้นขอให้เปิดเผยรายงานต่อพี่น้องประชาชนทั้งประเทศภายใน 7 วัน

9. ขอให้ท่านพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เดินทางไปโรงพยาบาลตำรวจชั้น 14 ภายใน 7 วัน เพื่อตรวจสอบว่า นช.ทักษิณ ชินวัตร ป่วยจริงหรือไม่ และอยู่โรงพยาบาลตลอดเวลาหรือไม่

10. มีข่าวว่าจะมีการทำบัญชีโยกย้ายข้าราชกรมราชทัณฑ์ที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของฝ่ายการเมืองในกรณีนี้หลายตำแหน่ง ท่านจะให้ความยุติธรรมเบื้องต้นแก่ข้าราชการอย่างไร การกระทำของข้าราชการการเมืองและข้าราชการประจำตามข้อ 1 - ข้อ 8 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาและกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่างกรรมต่างวาระ ผิดประมวลจริยธรรมอย่างร้ายแรงจึงขอให้ท่านตั้งคณะกรรมการสอบสวนภายใน 7 วันเพื่อผดุงไว้ซึ่งหลักนิติรัฐและนิติธรรม

ดังนั้นจึงขอให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนทุกประเด็นในเรื่องนี้ เพื่อมาตรฐานความยุติธรรมที่เท่าเทียมกับนักโทษ 280,000 รายทั่วประเทศ รวมทั้งขอให้บังคับโทษทางอาญา นช.ทักษิณ ชินวัตร อย่างเคร่งครัด หากท่านไม่ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ตามที่พี่น้องประชาชนร้องเรียนข้าพเจ้ามานี้ภายใน 7 วัน ข้าพเจ้าจำเป็นต้องยื่นร้องเรียนกล่าวโทษบุคคลที่มีอำนาจหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ตั้งแต่นายกรัฐมนตรีลงมาเพื่อให้ ป.ป.ช.สอบสวนตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องทุกมาตราและสอบจริยธรรมร้ายแรงต่อไป และข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าท่านรักษาและปฏิบัติตามกฎหมาย ด้วยหลักนิติรัฐ นิติธรรม และจริยธรรมทรงการเมืองอย่างเคร่งครัด จึงได้ส่งหนังสือร้องเรียนมายังท่าน

อนึ่งขอให้กันข้าราชการกรมราชทัณฑ์ แพทย์ พยาบาลโรงพยาบาลราชทัณฑ์และโรงพยาบาลตำรวจที่ให้การตามความจริงและเป็นประโยชน์แก่ทางราชการทุกคนไว้เป็นพยานทุกราย และเอกสารทุกข้อ ข้าพเจ้ามีความประสงค์ที่จะขอตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 ขอให้จัดส่งแก่ข้าพเจ้าภายใน 30 วัน พร้อมลงลายมือชื่อรับรองเอกสารทุกแผ่น

จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่และกฎหมายโดยเร่งด่วน หากผลเป็นประการใดโปรดแจ้งให้ข้าพเจ้าและพี่น้องประชาชนทราบโดยเร็วที่สุดด้วย จักขอบคุณ

โรงเรียนกฎหมายและการเมือง มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สนใจทำข้อตกลงความร่วมมือกับ ก.พ.ค.ตร.

วันที่ 4 ม.ค. 67 เวลา 10:30 น. นายสมรรถชัย วิศาลาภรณ์ ประธาน ก.พ.ค.ตร. และคณะกรรมการ ก.พ.ค.ตร. ให้การต้อนรับ รศ.ดร.ธนภัทร  ปัจฉิมม์ คณบดีโรงเรียนกฎหมายและการเมือง มหาวิทยาลัยสวนดุสิต และคณะ ประกอบด้วย ผศ.สรศักดิ์  มั่นศิลป์ รองคณบดีโรงเรียนกฎหมายและการเมือง ผศ.ดร.เบญจพร  พึงไชย ผู้ช่วยคณบดีฯ  ดร. มุทิตา  มากวิจิตร อาจารย์ประจำฯ  และ น.ส.เต็มใจ มนต์ไธสงค์  หัวหน้าสำนักงานฯ  โดยโรงเรียนกฎหมายและการเมือง มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ได้ให้ความสนใจที่จะร่วมมือกับคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ หรือ ก.พ.ค.ตร. และสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ หรือ ก.ตร.

ในการเผยแพร่องค์ความรู้เกี่ยวกับการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจไปเผยแพร่ทั้งในด้านวิชาการ การวิจัย และการประชาสัมพันธ์ เช่น การจัดอบรม การสัมมนาหรือเสวนาทางวิชาการ โดยในอนาคตจะมีการทำข้อตกลงความร่วมมือร่วมกันทั้งสองหน่วยงาน เพื่อทำงานร่วมกันต่อไป จึงนับว่าเป็นสถาบันการศึกษาแห่งแรกที่บรรลุข้อตกลงความร่วมทางวิชาการร่วมกันกับ ก.พ.ค.ตร. 

📸 ดูโพสต์นี้บน Facebook https://www.facebook.com/share/p/594qRsGKcNPuGLYT/?mibextid=7TVuMX

คุณยายวัย 84 ถักเสื้อกันหนาวกว่า 1,500 ตัวแจกฟรีมานาน 15 ปี เผย!! อยากอบอุ่นหัวใจ 'เด็ก-คนยากไร้' ที่ไร้เงินซื้อเสื้อกันยามหนาว

(5 ม.ค. 67) สื่อต่างประเทศรายงานข่าว เรื่องราวอันแสนอบอุ่นของคุณยาย 'หานชุ่ยจวี๋' วัย 84 ปี จากหนิงโป มณฑลเจ้อเจียง ผู้มีงานอดิเรกเป็นการถักเสื้อสเวตเตอร์ และนำไปบริจาคให้เด็กยากจนทั่วทั้งประเทศจีน

ตลอดระยะเวลา 15 ปีที่ผ่านมา คุณยายหานบริจาคเสื้อสเวตเตอร์ไปมากกว่า 1,500 ตัว จนได้รับฉายาว่า 'คุณยายสเวตเตอร์'

จุดเริ่มต้นในการถักเสื้อสเวตเตอร์ของคุณยายหานมาจากความบังเอิญ เมื่อลูกสาวของคุณยายเปิดไปเจอคลิปวิดีโอของเด็กยากจนที่สวมเพียงเสื้อผ้าบางๆ ต้องอดทนต่อความหนาวเหน็บในฤดูหนาว เนื่องจากไม่มีเงินซื้อเสื้อกันหนาว

“เด็กพวกนี้น่าสงสารเกินไป ที่บ้านมีขนแกะเหลืออยู่ ฉันจะถักเสื้อสเวตเตอร์ส่งไปให้พวกเขาสักหน่อย!” คุณยายหาน กล่าว

จากนั้นคุณยายหานก็ทุ่มเทแรงกายแรงใจ ตั้งใจถักเสื้อสเวตเตอร์ให้เด็กๆ โดย 2-3 เดือนต่อมา เสื้อสเวตเตอร์ฝีมือคุณยายหานทั้ง 36 ตัวก็ถูกจัดส่งไปยังโรงเรียนประถมแห่งหนึ่ง โดยนักเรียนส่วนใหญ่ของที่นี่ล้วนเป็นลูกของแรงงานต่างถิ่นจากพื้นที่ห่างไกล

เด็กๆ ที่ได้รับเสื้อสเวตเตอร์ต่างดีใจเป็นอย่างมาก ทำให้คุณยายหานปลื้มใจสุดๆ นับแต่นั้นมา คุณยายหานก็ไม่หยุดถักเสื้อสเวตเตอร์เลย โดยคุณยายหานจะพกอุปกรณ์สำหรับถักเสื้อสเวตเตอร์ไปทุกที่

เรียกว่าทุกครั้งที่มีโอกาส คุณยายหานก็ไม่พลาดที่จะหยิบอุปกรณ์ขึ้นมาถักเสื้อสเวตเตอร์ ถึงขนาดที่เข้าโรงพยาบาลก็ยังไม่เว้น หรือกระทั่งไปเที่ยวเกาหลีใต้กับเพื่อนๆ คุณยายหานก็ยังไปนั่งถักเสื้อสเวตเตอร์ที่ชายหาดมาแล้ว

“ตราบใดที่ร่างกายของฉันยังไหวอยู่ ฉันก็จะถักเสื้อสเวตเตอร์ต่อไป” คุณยายหานกล่าว

ทั้งนี้ ไม่เพียงแต่เสื้อสเวตเตอร์ของคุณยายหานจะถูกนำไปบริจาคให้เด็กๆ เท่านั้น แต่ยังถูกบริจาคให้คนพิการและผู้ประสบภัยทางภัยพิบัติต่างๆ ด้วย

ความใจดีของคุณยายหาน สร้างความประทับใจให้ใครหลายคน และทำให้คุณยายได้รับคำชมมากมายจากชาวเน็ต เช่น “คุณยายคนนี้ทำให้ฤดูหนาวอบอุ่นขึ้น ฉันรู้สึกซาบซึ้งในความใจดีและมีน้ำใจของคุณยายมาก ขอให้คุณยายมีสุขภาพดี” “ช่างเต็มไปด้วยพลังบวก ขอคารวะคุณยาย” และ "คุณยายเป็นคนที่มีจิตใจดีอย่างแท้จริง...น้อยคนนักที่จะทำกิจกรรมเช่นนี้ติดต่อกันเป็นเวลานาน ขอบคุณ 'คุณยายสเวตเตอร์'!”

‘นายกฯ’ เรียก ‘รมว.กห.-ผบ.ทบ.’ ถกแก้ปัญหา ‘บำบัดผู้ติดยา’ เล็งเปิด ‘รพ.ค่ายทหาร’ จ่อแถลงแผนงานภายใน 2 สัปดาห์นี้

(5 ม.ค.67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ทวิตข้อความ ถึงการแก้ปัญหายาเสพติดว่า “ปัญหาการบำบัดผู้ติดยาเสพติด เป็นปัญหาที่กระทบต่อสังคมไทย สส.ในพื้นที่ก็ได้สะท้อนปัญหาที่รับร้องเรียนจากพี่น้องประชาชนมาเป็นจำนวนมาก 

ผมได้เชิญท่าน รมว.กลาโหม และผบ.ทบ.. เพื่อร่วมหาแนวทางแก้ไขปัญหา ฝ่ายความมั่นคงยินดีที่จะเปิดค่ายทหาร เพื่อรองรับผู้เสพยาเสพติด โดยคัดกรองนำผู้เสพยาจากหมู่บ้าน คัดแยกผู้ที่ติดยาเสพติดออกจากชุมชน และส่งไปบำบัดยังโรงพยาบาลของค่ายทหารประจำจังหวัดต่อไป ซึ่งจะแถลงข่าวถึงแผนการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมภายใน 2 สัปดาห์นี้ครับ“

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายกรัฐมนตรีได้เชิญ นายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม และ พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์ ผบ.ทบ. เข้าพบเพื่อหารือเมื่อช่วงบ่ายวันที่ 4 ม.ค.ที่อาคารรัฐสภา ระหว่างร่วมประชุมพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567

'ไซเบอร์ทรัก' ชนรถคู่กรณีกลางถนนรัฐแคลิฟอร์เนีย อีกฝ่ายพังยับ ด้าน ตำรวจเทกซัสถาม 'อีลอน มัสก์' ขอใช้เป็นรถตำรวจได้ไหม?

(5 ม.ค. 67) รอยเตอร์ส รายงาน ภายหลังรถไซเบอร์ทรักของเทสลา (Tesla Cybertruck) เกิดอุบัติเหตุชนกับรถคู่กรณีที่ 'พาโล อัลโต' (Palo Alto) รัฐแคลิฟอร์เนียเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 28 ธ.ค.ที่ผ่านมา ได้กลายเป็นเรื่องโจษจันไปทั่ว หลังภาพที่ปรากฏพบรถเก๋งฝ่ายตรงข้าม (โตโยต้า) อยู่ในสภาพยับเยิน แต่รถกระบะไฟฟ้าของเทสลานั้นแค่บุบ ขณะที่ตำรวจรัฐเทกซัสเกิดความสนใจและส่งทวีตหา 'อีลอน มัสก์' ว่า "ไซเบอร์ทรักเป็นรถตำรวจได้ไหม"

สำหรับเหตุการณ์นี้ ตำรวจทางหลวงรัฐแคลิฟอร์เนีย CHP ที่เดินทางไปจุดเกิดเหตุบนถนนสกายไลน์ บูเลวาร์ด (Skyline Boulevard) ในพาโล อัลโต (Palo Alto) ยืนยันว่า คนขับไซเบอร์ทรักเป็นวิศวกรเทสลาจากซานฟรานซิสโก และช่วงเกิดเหตุรถไม่ได้ใช้ระบบขับอัตโนมัติ

ส่วนอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น มาจากรถโตโยต้าที่ผู้ขับขี่วัย 17 ปี ได้ขับรถชนขอบแนวดินข้างทางและส่งผลทำให้รถพุ่งกลับเข้าไปบนถนนในเลนตรงข้ามและชนกับรถไซเบอร์ทรัก โดยตามการรายงานสภาพในพื้นที่พบว่า สภาพอากาศไม่แจ่มใสและถนนเปียกชื้น

หลังเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ตำรวจเมืองโรเซนเบิร์ก (Rosenberg) รัฐเทกซัส ได้ทวีตถาม 'อีลอน มัสก์'อย่างติดตลกเมื่อวันอังคาร (2 ม.ค.67) ที่ผ่านมา (อ้างอิงจาก NDTV ของอินเดีย) ว่า "คิดว่าไซเบอร์ทรักซึ่งมีสนนราคาสูงลิ่วถึง 60,990 ดอลลาร์ จะเป็นรถตำรวจได้ไหม?" ด้าน มัสก์ ก็ได้ตอบทวีตกลับมาด้วยว่า "100" ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการตอบรับในเชิงเห็นด้วย 100% นั่นเอง

ก่อนหน้านี้ อีลอน มัสก์ เคยออกมาประกาศบนแพลตฟอร์ม X ว่า "ผมเชื่อมั่นอย่างสูงว่า ไซเบอร์ทรักจะเป็นรถที่มีความปลอดภัยมากที่สุดสำหรับคนขับรถเองและสำหรับคนใช้ถนน"

สำหรับเหตุการณ์ครั้งนี้ มีผู้ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยเพียงรายเดียว คือ ผู้ขับขี่รถเก๋งโตโยต้า ซึ่งปฏิเสธการไปโรงพยาบาล ส่วนภายในรถกระบะไฟฟ้าไซเบอร์ทรัก (Tesla Cybertruck) ซึ่งพบว่ามีผู้ที่โดยสารมาในรถด้วย 3 คน ปลอดภัยดี

เหตุการณ์นี้ ได้กลายเป็นไวรัลไปทั่วโลกในทันที เพราะเหมือนมีคนมาช่วยพิสูจน์ความแข็งแกร่งของ Tesla Cybertruck กันจริงๆ ให้เห็นแล้ว

‘พีระพันธุ์’ อึ้ง!! ‘สส.ก้าวไกล’ ใช้ ‘ข้อมูลคาดการณ์’ อภิปรายฯ งัดข้อมูลจริง ‘กฟผ.’ ยัน!! ‘ลดค่าไฟ’ ไม่ได้สร้างปัญหาการเงิน

(5 ม.ค. 67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กระบุว่า…

วันนี้ติดภารกิจตลอดทั้งวัน เพิ่งมีโอกาสได้สรุปข้อเท็จจริง

ช่วงหัวค่ำเมื่อวันที่ 3 ม.ค. 66 ท่านศุภโชติ ไชยสัจ สส. บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล อภิปรายงบประมาณ ปี 2567 พาดพิงเรื่องที่รัฐบาลลดค่าไฟฟ้าให้ประชาชนว่าทำให้เป็นปัญหาการเงินให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.)

น่าแปลกที่เรื่องเดียวกันท่านกลับเลือกพูดเรื่องปัญหาการเงินของ กฟผ. แทนที่จะพูดเรื่องประโยชน์ที่ประชาชนได้รับจากการช่วยแก้ปัญหาค่าไฟฟ้าให้ประชาชนทั้งประเทศที่ผมและรัฐบาลนี้ทำสำเร็จ

ท่านบอกว่า กฟผ. มีสถานะเงินสดต่ำมากจนน่าเป็นห่วง โดยมีแนวโน้มตามกราฟิกที่นำมาแสดงว่าตั้งแต่เดือนมกราคม 2567 กฟผ. จะมีกระแสเงินสดเหลือเพียง 39,234 ล้านบาท และลดลงเรื่อย ๆ ถึงขั้นมีกระแสเงินสดเหลือแค่ 10,000 กว่าล้านบาท โดยเฉพาะเดือนกรกฎาคม ตุลาคม และธันวาคม 2567 จะไปถึงขั้นกระแสเงินสดติดลบเอาเลย แถมยังมีหนี้สินที่ต้องชำระให้ ปตท. อีกหลายหมื่นล้านบาท 

ในขณะที่จะต้องส่งรายได้ให้รัฐอีกปีละหลายหมื่นล้านโดยปี 2566 กฟผ. ต้องนำรายได้ส่งรัฐ 17,142 ล้านบาท และปี 2567 ที่จะติดลบกระแสเงินสดด้วยนี้ กฟผ. กลับจะต้องนำส่งรายได้ให้รัฐถึง 28,386 ล้านบาท สูงกว่าปี 66 ถึง 65% แล้วจะทำอย่างไร

ฟังแล้วน่าตกใจว่ารัฐไปยัดปัญหาให้ กฟผ. เพิ่มทำไม ประชาชนทางบ้านและสื่อมวลชนที่ไม่รู้ข้อเท็จจริงก็จะตกใจตามไปด้วย

ผมก็ตกใจครับ ไม่ได้ตกใจในข้อมูลและตัวเลขที่ท่านพูด แต่ตกใจว่าทำไมท่านเลือกเอาข้อมูลที่เป็นเพียง ‘ข้อมูลคาดการณ์’ ที่ทำล่วงหน้าก่อนของจริงตั้งแต่ตุลาคม 2566 ปีที่แล้วมาพูด แทนที่จะเอา ‘ข้อมูลจริง’ ที่ ‘เกิดขึ้นจริง’ ณ เวลานี้ มาพูด

ขอเรียนตามนี้ครับ
1) ข้อมูลตัวเลขต่าง ๆ ที่ผมนำมานั้น มาจากรองผู้ว่าการ กฟผ. ฝ่ายการเงิน หรือ CFO ที่ให้ข้อมูลผมตอนที่จะนำงบการเงินปี 2564 - 2565 ของ กฟผ. รายงานต่อ ครม. เมื่อวันที่ 2 ม.ค. 67 และอีกครั้งก่อนที่ผมจะตอบชี้แจงเมื่อคืน จึงเชื่อถือได้ว่าเป็น ‘ข้อมูลจริง’ แต่ถ้าท่านไม่เชื่อคงต้องไปเถียงกับ กฟผ. เอาเองนะครับ

2) ‘ข้อมูลคาดการณ์’ ที่ท่าน สส. ศุภโชติ แห่งพรรคก้าวไกล นำมาพูดนั้น เป็นการคาดการณ์ล่วงหน้าตั้งแต่ตุลาคม 2566 ก่อนมี ‘ข้อมูลจริง’ ณ ปัจจุบัน ดังนี้

(ก) ตารางหรือกราฟที่ท่าน ส.ส. ศุภโชติ นำมาใช้นั้น เป็นเพียงการคาดการณ์เพื่อแสดงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นเท่านั้น และมิได้แปลว่าจะเกิดขึ้นจริงตามนั้น เพราะ กฟผ. จะต้องบริหารจัดการมิให้เกิดสถานการณ์เช่นนั้น อย่างไรก็ตาม กฟผ. ก็ต้องประมาณการแบบ ‘ร้าย’ หรือแบบ worst case scenario ไว้ก่อน และตารางหรือกราฟนั้นก็เป็นเพียงเอกสารภายในที่ใช้เพื่อชี้แจงพนักงานของ กฟผ. ไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อนำไปใช้เป็นข้อมูลจริงในการบริหาร และไม่อาจใช้อ้างอิงได้ เพราะไม่ใช่ข้อมูลที่จะเกิดขึ้นจริง

(ข) มีปัจจัยที่เป็น ‘ข้อมูลจริง’ อื่น ๆ ที่ทำให้ กฟผ. มีรายได้และกำไรเพิ่มขึ้นจากที่คาดการณ์ไว้ตามตารางที่นำมาแสดงอีกประมาณเกือบ 15,000 ล้านบาท เช่น กำไรจากการขายไฟฟ้าเพิ่มขึ้นประมาณ 4,000 ล้านบาท กำไรจากการรับงานภายนอกองค์กรประมาณ 1,000 ล้านบาท กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 2,600 ล้านบาท ต้นทุนลดลงจากการบริหารจัดการประมาณ 5,000 ล้านบาท และกำไรจากรายได้อื่นๆ ประมาณ 2,100 ล้านบาท เป็นต้น ทำให้ ณ สิ้นปี 2566 กฟผ. มีเงินสดคงเหลือจริงประมาณ 91,000 ล้านบาท ไม่ใช่ 63,623.6 ล้านบาท ตามที่ปรากฏในตารางคาดการณ์ที่นำมาแสดง

(ค) อัตราค่าไฟฟ้าที่จะเรียกเก็บจากประชาชนตามการคาดการณ์ในตารางจะอยู่ที่ 3.99 บาท / หน่วย ตลอดปี 2567 และคาดการณ์ว่าเป็นภาระของ กฟผ. เองทั้งหมดแต่เพียงหน่วยงานเดียว แต่ ‘ข้อมูลจริง’ ค่าไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้น อยู่ระหว่าง 4.15 ถึง 4.20 บาท / หน่วย ตั้งแต่มกราคมถึงเมษายน 2567 ส่วนค่าไฟฟ้าสำหรับผู้ที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกินเดือนละ 300 หน่วย ที่รัฐบาลคงไว้ที่ 3.99 บาท / หน่วย นั้น รัฐบาลเป็นผู้แบกรับภาระจากเงินงบกลางเป็นเงินประมาณ 1,995 ล้านบาท จึงไม่เป็นภาระของ กฟผ. ฝ่ายเดียว ตาม ‘ข้อมูลคาดการณ์’ ที่นำมาแสดง

(ง) การแบกรับภาระอัตราค่าไฟฟ้าที่ลดลงทั้งสองครั้งนี้ ตาม ‘ข้อมูลคาดการณ์’ เป็นการคาดการณ์ว่า กฟผ. จะเป็นผู้แบกรับภาระเองทั้งหมดแต่เพียงหน่วยงานเดียว แต่ตาม ‘ข้อมูลจริง’ รัฐบาลมีการบริหารจัดการและช่วยดำเนินการในหลายรูปแบบ โดยในครั้งนี้รัฐบาลมีการปรับโครงสร้าง Pool Gas และให้ กกพ. เรียกเก็บค่า Shortfall มาลดภาระ รวมทั้งใช้เงินงบกลางเข้ามาช่วยลดภาระ กฟผ. ด้วย
ข้อมูลใน (ค) และ (ง) นี้ก็ไม่ปรากฏในตารางที่เป็น ‘ข้อมูลคาดการณ์’ ที่นำมาพูด เพราะในเวลาที่ทำตารางเมื่อเดือนตุลาคม 2566 นั้น ‘ข้อมูลจริง’ นี้ ยังไม่เกิดขึ้น

3) จากสถานะการเงินที่เป็น ‘ข้อมูลจริง’ ณ สิ้นปี 2566 กฟผ. มีเงินสดในมือประมาณ 91,000 ล้านบาท จึงเป็นไปไม่ได้ที่ ณ เดือนมกราคม 2567 เพียงหนึ่งเดือนให้หลังกระแสเงินสดของ กฟผ. ก่อนหักค่าใช้จ่ายจะเหลือเพียง 39,234 ล้านบาท ตาม ‘ข้อมูลคาดการณ์’ ที่นำมาแสดง

4) มาตรฐานทางการเงินของ กฟผ. จะต้องคงสถานะเงินสดไม่ให้ต่ำกว่า 60,000 ล้านบาท หากเมื่อใดมีแนวโน้มว่าจะลดต่ำลงกว่ามาตรฐานนี้ กฟผ. จะดำเนินการแก้ไขสถานการณ์ทันที และที่ผ่านมา กฟผ. ก็ดำเนินการตามนี้ จึงเป็นไปไม่ได้ในความเป็นจริงที่สถานะการเงินจริงของ กฟผ. ในปี 2567 จะลดลงเรื่อย ๆ จนถึงขั้นติดลบในเดือนกรกฎาคม ตุลาคม และธันวาคม 2567 ตาม ‘ข้อมูลคาดการณ์’ ที่นำมาแสดง

5) ตาม ‘ข้อมูลจริง’ นั้น กฟผ. ชำระหนี้เดิมที่มีกับ ปตท. หมดสิ้นแล้วตั้งแต่มกราคม 2566 สำหรับปี 2566 ทั้งปีนั้น กฟผ. ไม่ได้ติดหนี้อะไร ปตท. โดยมีการชำระหนี้ให้ ปตท. ตามกำหนดเวลาตลอดมา ณ วันนี้ กฟผ. จึงไม่มีหนี้สินอะไรกับ ปตท. อีก

6) การส่งรายได้ให้รัฐของ กฟผ. กำหนดมาตรฐานไว้ที่ประมาณ 50% ของกำไรในแต่ละปี สำหรับปี 2566 ที่ผ่านมา ตาม ‘ข้อมูลคาดการณ์’ ที่คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าในปี 2566 ว่า กฟผ. จะนำส่งรายได้ให้รัฐ 17,142 ล้านบาท แต่ตาม ‘ข้อมูลจริง’ กฟผ. จะนำส่งรายได้ให้รัฐสำหรับปี 2566 นี้ประมาณ 24,000 ล้านบาท ไม่ใช่ 17,142 ล้านบาท ตาม ‘ข้อมูลคาดการณ์’ ที่นำมาพูด ข้อมูลที่นำมาพูดจึงผิดไปจากความจริงที่เป็น ‘ข้อมูลจริง’ ถึง 28.575% และนี้ยังแสดงให้เห็นประสิทธิภาพของ กฟผ. ด้วยว่าขนาดอัตราค่าไฟฟ้าลดลง แต่ กฟผ. ยังสามารถนำส่งรายได้สูงกว่า ‘ข้อมูลคาดการณ์’ ที่คาดการณ์ไว้ล่วงหน้า

7) สำหรับปี 2567 ล่าสุด กฟผ. คาดการณ์ว่าจะนำส่งเงินรายได้ประจำปี 2567 ให้รัฐประมาณ 20,000 ล้านบาท ลดลงจากปี 2566 ประมาณ 16.6666% ไม่ใช่จะนำส่งรายได้เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ถึง 65% จาก 17,142 ล้านบาท เป็น 28,386 ล้านบาท ตาม ‘ข้อมูลคาดการณ์’ ที่นำมาพูดอีกเช่นกัน แต่ไม่แน่นะครับ เอาเข้าจริง กฟผ. อาจสามารถบริหารจัดการให้มีรายได้เพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดการณ์ไว้เช่นเดียวกับปี 2566 ที่ผ่านมานี้ได้อีก ก็เป็นไปได้นะครับ

‘หนุ่ม กรรชัย’ รับ!! เคยทักหา ‘เบียร์’ ยัน ไม่มีเรื่องชู้สาวแน่นอน พร้อมเปิดภาพแชตสุดปั่น เมื่อโดน ‘ป๋อง กพล’ จี้ถามหลังไมค์!!

(5 ม.ค. 67) กรณีเพจดังออกมาเปิดโปงเรื่องราวของนักร้องสาว ‘เบียร์ เดอะวอยซ์’ หรือ ‘เบียร์-ภัสรนันท์ อัษฎมงคล’ อ้างเป็นข่าวเมาท์ฉ่ำกรณีมีความสัมพันธ์ 3 เส้า กับเชฟหนุ่มที่มีคนรักอยู่แล้ว ถึงขั้นกล่าวหาว่าแอบแซ่บภายในงานปาร์ตี้ของสาวคนดังกล่าว ล่าสุดเมื่อวานนี้ (4 ม.ค.) เบียร์ เดอะวอยซ์ ออกมาไลฟ์สด ชี้แจงทุกประเด็น โดยยอมรับว่า มีการจุ๊บกันจริง แต่ไม่ได้เกินเลย และขอโทษแล้ว พร้อมกับออกห่างทุกคน

ต่อมาเธอได้ทิ้งระเบิดลูกใหญ่เอาไว้ว่า “ดารา คนดัง พิธีกร ที่มีลูกมีเมีย ยัง DM มาหาเบียร์ มากดหัวใจให้ โลกความจริงเป็นแบบนี้” พร้อมกับเปิดข้อความปริศนา

แม้ล่าสุด ‘หนุ่ม กรรชัย’ ออกมายอมรับว่าเคยดีเอ็มหา เบียร์ จริง แต่สาบานว่าไม่มีเรื่องชู้สาวแน่นอน

ล่าสุด ‘หนุ่ม กรรชัย’ เคลื่อนไหวอีกครั้ง โพสต์ภาพแชตพูดคุยกับพิธีกรชื่อดัง และเพื่อนคนสนิทอย่าง ‘ป้อง กพล’ ที่พูดคุยถึงประเด็นข่าวที่เกิดขึ้นในขณะนี้

พร้อมระบุข้อความว่า ‘เจอตัวแล้ว มึงนี่เอง พิธีกรดังมีลูกเมียกดหัวใจให้สาว #ไม่หลับไม่นอนนะมึง’

'ดร.สมเกียรติ' ย้อนอดีต!! 'ในหลวง ร.๑๐' ทรงปฏิเสธวิจารณ์เรื่องบ้านเมือง ยกเป็นบทบาทของรัฐบาล ส่วนพระองค์ขอทำหน้าที่ให้คนไทยมีความสุข

เมื่อไม่นานมานี้ ติ๊กต็อกช่อง ‘Gaegood’ ได้โพสต์คลิป ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล สื่อมวลชนอาวุโส ได้เล่าเรื่องในอดีตเกี่ยวกับ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้งที่เป็นมกุฎราชกุมาร ในมุมที่ใครหลายคนอาจจะไม่รู้ โดยระบุว่า…

พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 ครั้งที่เป็นมกุฎราชกุมาร ซึ่งทุกคนคงทราบกันดีว่าชาวบ้านต่างนินทาพูดคุยกันเยอะไปหมด…ซึ่งตอนพ.ศ. 2533 ครั้งที่ผมตามเสด็จไปถึงกรุงลอนดอน เพื่อจะทําข่าวที่คิดว่าครั้งนี้แหละประชาชนคนไทยจะได้เห็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารกับบรรดาปัญญาชนอังกฤษ แล้วก็งานของพระองค์…ซึ่งพระองค์จะอยู่ที่นั่นประมาณ 1 ปี พระองค์นั้นทรงรอบรู้และก็เข้าใจ อีกทั้งยังรู้จักคนเยอะแยะไปหมด…พูดง่าย ๆ คือเนื่องจากพระราชภารกิจของพระองค์แม้จะเป็นมกุฎราชกุมารยังไม่ใช่พระเจ้าแผ่นดินก็จะมีโอกาสเดินทาง ซึ่งพระองค์มีทั้งปฏิสัมพันธ์ มี Connection มี Networking กับใคร ๆ ในโลกนี้… 

ซึ่งผมจะกราบบังคมทูลขอสัมภาษณ์เกี่ยวกับสงครามและสันติภาพ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในโลก แต่ใจหายหล่นไปที่ตาตุ่ม เพราะว่าอดสัมภาษณ์…ทำให้คนไทยจะไม่ได้เห็นพระปรีชาสามารถนี้…โดยพระองค์บอกว่าคุณสมเกียรติ ไม่เอาดีกว่า ซึ่งอันนี้ผมพูดเป็นภาษาของผมนะ ผมไม่ได้บันทึกอะไรเสียงอะไรไว้ กล้องก็ยังไม่ได้เดินแต่ตั้งไว้เรียบร้อยแล้ว โดยตั้งใจว่าวันนี้จะคุยเรื่องยูโรเปียน, Common market, อาเซียน และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ทุกประเทศในโลกนี้ ว่าพระองค์รู้จักอย่างไร โลกมันมีสงครามจะรักษาและสร้างสันติภาพอย่างไร ซึ่งพระองค์รู้หมดเลย เรียกว่าเป็นอาจารย์สอนนิสิตรัฐศาสตร์ จุฬาฯ หรือธรรมศาสตร์ ซึ่งก็เหมือนกับสมเด็จพระเทพฯ สอนที่จปร. ซึ่งพระองค์ก็บอกว่ามาคิดดูอีกทีนึง ไม่ดีกว่าและขอยกเลิกไป…

โดยพระองค์บอกว่าเราเป็นมกุฎราชกุมารมันไม่มีหน้าที่และไม่ควรที่จะไปพูดอะไรที่เป็นเรื่องบ้านเมืองหรือการเมือง และยิ่งเป็นเรื่องของโลก สงคราม สันติภาพ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นหน้าที่ของรัฐบาลไม่ใช่หน้าที่ของมกุฎราชกุมาร หรือพระเจ้าอยู่หัว…ซึ่งอันนี้ผมอธิบายยาวกว่าที่พระองค์พูด เพื่อให้ทุกคนเข้าใจ และจะได้เข้าใจว่าความผิดหวังของผมมันคือความเข้าใจนั่นเอง…ว่าสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร หรือ ในหลวงรัชกาลที่ 10 ในปัจจุบันของเราทําไมจึงเหมือนราชวงศ์อังกฤษเป๊ะเลย…กับการไม่เรียกร้องและไม่อธิบาย แม้ใครจะบ่นใครจะว่าอย่าง พิธา, ปิยบุตร, ช่อ พรรณิการ์, คนที่มีตําแหน่งทางการเมืองกันและเคยมี หรือประชาชนกลุ่มหนึ่งจะว่าอย่างไร ซึ่งพระองค์รู้แต่ก็ไม่วิจารณ์ ไม่ให้ความเห็น ไม่พูด ไม่บ่น ซึ่งเหมือนอังกฤษเลย จะยังไงเราก็จะทํางานทําหน้าที่นี้ต่อไป 

ดังนั้น อยากให้คนรุ่นใหม่ได้รู้ว่าพระองค์มีหน้าที่ที่จะต้องทําให้ประชาชนมีความสุข ไม่มีหน้าที่ที่จะพูดอะไรที่รัฐบาลเขาทํา แล้วเกิดรัฐบาลเขาไม่เห็นด้วย ก็ต้องกระอักกระอ่วน…

พระองค์เปิดกว้างและผ่านโลกแห่งความทันสมัยแห่งยุคสมัยของพระองค์และของเรา ซึ่งก็ยังอยู่ในโลกของความทันสมัย…ดังนั้น ต้องเข้าใจ ซึ่งตัวผมนั้นเข้าใจตั้งแต่ปี 2535 แล้วว่าพระองค์เก่งในเรื่องที่ชํานาญจริง ๆ ซึ่งผมอยากเอาความเก่งนี้มาให้ประชาชนคนไทยได้รู้ ทั้งนี้ รัชกาลที่ 10 งานที่เป็นหลักที่สุด คือ พระองค์จะใส่ใจในเรื่องโรงพยาบาลสําหรับชาวบ้านต่างจังหวัด ดังนั้น จึงริเริ่มก่อตั้งสร้างโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชทุกหนแห่งทุกจังหวัดในประเทศไทยนั่นเอง…

เวียดนามปรับ TikToker ฐานโพสต์ข้อมูลเท็จ 'นครวัด' อยู่เมืองไทย ด้านนักสิทธิฯ บอกไร้สาระ แค่ทำไปเพราะกลัวพนมเปญขุ่นเคือง

(5 ม.ค. 67) รายงานข่าวจากสำนักข่าว Nikkei Asia ระบุว่า ทางการเวียดนามได้สั่งปรับอินฟลูฯ TikTok จำนวน 300 ดอลลาร์ (ประมาณ 10,350 บาท) จากกรณีโพสต์คลิปใน TikTok ความยาว 90 วินาที ซึ่งมีเนื้อหาเป็นภาพนครวัดที่ทับด้วยธงชาติไทย

เวียดนามลงโทษ 'ฮวา ก๊วก อันห์' (Hua Quoc Anh) อินฟลูเอนเซอร์ชาวเวียดนาม โทษฐานที่เขาโพสต์คลิปข้อมูลเท็จ นำเสนอว่า นครวัดของประเทศกัมพูชา ตั้งอยู่ในประเทศไทย 

โดยปัจจุบันคลิปวิดีโอถูกลบไปแล้ว ซึ่งข่าวรายงานว่า มีรูปภาพพระราชวงศ์ของไทยและคำทักทาย "สวัสดี ประเทศไทย" คู่ภาพถ่ายปราสาทอันเป็นเอกลักษณ์ของนครวัด

อย่างไรก็ตาม 'ฟิล โรเบิร์ตสัน' (Phil Robertson) รองผู้อำนวยการ ฮิวแมนไรท์วอทช์ (Human Rights Watch) ประจำภูมิภาคเอเชีย ให้สัมภาษณ์ว่า “นี่เป็นเรื่องไร้สาระจริง ๆ ฮานอยควรปกป้องเสรีภาพในการพูด แทนที่จะกังวลว่าพนมเปญจะขุ่นเคือง เพราะคงไม่มีใครเชื่อจริง ๆ ว่าเสียมราฐเป็นของประเทศไทยหรอก”

“ดังนั้นขั้นตอนที่เหมาะสม น่าจะเป็นการหัวเราะเยาะกับความไม่รู้ของอินฟลูฯ รายนี้ แทนที่จะหันไปใช้บทลงโทษทางอาญามากกว่า” โรเบิร์ตสันแสดงความเห็นเพิ่มเติม

ปัจจุบัน TikTok ถือเป็นโซเชียลมีเดียที่ได้รับความนิยมอย่างมากในเวียดนาม แต่ทางรัฐบาลในยุคปัจจุบันก็เป็นรัฐบาลพรรคเดียวที่เข้มงวดกับการใช้งานอย่างมาก โดยเฉพาะกับการเซ็นเซอร์โซเชียลมีเดีย อย่างกรณีนครวัด ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการเรียกเก็บค่าปรับ หากแต่มักมีการเรียกปรับและเซ็นเซอร์เรื่องราวที่ละเอียดอ่อน เช่น การเมือง หรือสิทธิมนุษยชน อยู่บ่อยครั้ง

‘Lazada’ สั่งปลดพนักงานนับร้อยทั่วอาเซียน หวยออก ‘สิงคโปร์’ ถูกปลดออกมากที่สุด

(5 ม.ค. 67) สำนักข่าวซีเอ็นบีซี (CNBC) รายงานว่า ‘ลาซาด้า’ (Lazada) แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในเครือบิ๊กเทคสัญชาติจีน ‘อาลีบาบา’ (Alibaba) ได้เลิกจ้างพนักงานทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หลายร้อยชีวิตเมื่อวันที่ 3 ม.ค.ที่ผ่านมา

รายงานข่าวระบุว่า การเลิกจ้างครั้งนี้ส่งผลกระทบกับพนักงานในสิงคโปร์มากที่สุด แต่ส่งผลกระทบถึงพนักงานในประเทศอื่น ๆ ที่ Lazada ได้ให้บริการเช่นกัน ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม

โดยพนักงานที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือพนักงานที่อยู่ในฝ่ายการขาย ค้าปลีก และการตลาด

ตัวแทนของ Lazada สิงคโปร์ กล่าวกับสำนักข่าวซีเอ็นบีซีว่า บริษัทกำลังปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรเพื่อเร่งการทำงานแบบเชิงรุก และพัฒนาบริการให้คล่องตัวมากขึ้น พร้อมต่อการตอบสนองความต้องการของผู้ใช้บริการในอนาคต

อย่างไรก็ตาม ตัวแทนรายดังกล่าวยังไม่ยืนยันเกี่ยวกับรายละเอียดการปรับลดพนักงานในครั้งนี้

ทั้งนี้ การปลดพนักงานของ Lazada เกิดขึ้นท่ามกลางการแข่งขันอย่างรุนแรงของแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่ว่าจะเป็นช้อปปี้ (Shopee) และ TikTok Shop ที่บุกตลาดเข้ามาเรื่อย ๆ พร้อมทั้งมีทิศทางการเติบโตของแพลตฟอร์มอย่างต่อเนื่อง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top