Monday, 30 June 2025
NewsFeed

‘EEA’ ชี้ ระดับ ‘มลพิษทางอากาศ’ ในยุโรปยังเสี่ยงสูง แถมคร่าชีวิตคน - ทำให้บางโรคทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น

(25 ธ.ค.66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า จากสำนักงานสิ่งแวดล้อมแห่งยุโรป (EEA) เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน เตือนว่าปัจจุบันมลพิษทางอากาศเป็นปัจจัยเสี่ยงด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมที่สำคัญที่สุดในยุโรป โดยความเข้มข้นของมลพิษทางอากาศในปี 2021 ยังคงสูงเกินระดับที่องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำในแนวปฏิบัติเกี่ยวกับคุณภาพอากาศ

รายงานระบุว่า การลดมลพิษทางอากาศสู่ระดับตามแนวปฏิบัติข้างต้นจะป้องกันการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องในประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปอย่างมีนัยสำคัญ หลังจากสหภาพยุโรปมีการเสียชีวิตเนื่องด้วยมลพิษทางอากาศหลัก 3 ประเภท ได้แก่ ฝุ่นละอองขนาดเล็ก โอโซน และไนโตรเจนไดออกไซด์ มากกว่า 320,000 รายในปี 2021

จำนวนการเสียชีวิตข้างต้นแบ่งเป็นการเสียชีวิตเนื่องด้วยมลพิษจากฝุ่นละอองขนาดเล็กหรือฝุ่นพีเอ็ม 2.5 ราว 253,000 ราย มลพิษจากไนโตรเจนไดออกไซด์ 52,000 ราย มลพิษจากการสัมผัสโอโซนระยะสั้น 22,000 ราย

อย่างไรก็ดี จำนวนการเสียชีวิตเนื่องด้วยมลพิษทางอากาศทั่วยุโรปในปี 2021 จะสูงแตะ 389,000 ราย หากนับรวมตัวเลขของกลุ่มประเทศยุโรปที่อยู่นอกสหภาพยุโรปด้วย

สำนักงานฯ เสริมว่าการสัมผัสมลพิษทางอากาศทำให้เกิดหรือทำให้บางโรคทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคหอบหืด และโรคเบาหวาน หากพิจารณาจากการประเมินผลกระทบต่อสุขภาพฉบับใหม่

บช.ปส. เปิด “ยุทธการสยบไพรีปราบสมุทร (Poseidon 1) ตามแผนปฏิบัติการตามล่า100เครือข่าย ยึดทรัพย์ 140 ล้าน”

ตามนโยบายการปราบปรามยาเสพติดของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เน้นการใช้ทุกมาตรการทางกฎหมายเพื่อทำลายเครือข่ายยาเสพติด และยึดทรัพย์ที่ได้มาจากการค้ายาเสพติด ประกอบกับนโยบายของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศอ.ปส.ตร. และ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา, พล.ต.ท.นิรันดร เหลื่อมศรี, พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะ รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร. มุ่งเน้นในการเร่งรัดดำเนินการป้องกันปราบปรามยาเสพติดในทุกมิติ เนื่องจากปัญหายาเสพติดอาชญากรรมที่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนและเป็นภัยสังคม  

ล่าสุด วันนี้ 26 ธ.ค.66 เวลา 09.00 น.  พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ  พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศอ.ปส.ตร., พล.ต.ท.ภาณุรัตน์  หลักบุญ ผู้ช่วย ผบ.ตร. รักษาราชการแทน เลขาธิการ ป.ป.ส., พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. /รอง ผอ.ศอ.ปส., พล.ต.ท.คีรีศักดิ์ ตันตินวะชัย ผบช.ปส., พล.ต.ต.สมเกียรติ วัฒนพรมงคล, พล.ต.ต.สมบูรณ์ เทียนขาว, พล.ต.ต.ออมสิน ตรารุ่งเรือง, พล.ต.ต.พลัฎฐ์ วิเศษสิงห์ รอง ผบช.ปส., พล.ต.ต.นพสิทธิ์ มิตรภักดี ผบก.ปส.1, พล.ต.ต.อดิศ เจริญสวัสดิ์ ผบก.ปส.3, พล.ต.ต.อิทธิพล จันทร์ศรีบุตร ผบก.ขส. และ พล.ต.ต.วิทัศน์ บริรักษ์ ผบก.สกส. ร่วมแถลงเปิด“ยุทธการสยบไพรีปราบสมุทร (Poseidon 1) ตามแผนปฏิบัติการตามล่า 100 เครือข่าย” ยึดทรัพย์สินเครือข่ายได้กว่า 140 ล้านบาท 

สืบเนื่องเมื่อวันที่ 4 ธ.ค.66 เวลาประมาณ 20.00 น. ตำรวจปราบปรามยาเสพติด โดย บก.ปส.3, บก.ขส., บก.สกส. และ บก.ปส.1 ได้สืบสวนและจับกุมเครือข่ายลำเลียงยาเสพติดข้ามชาติขณะกำลังขนยาเสพติดจากรถยนต์กระบะตู้ทึบลงเรือศรีมงคลทรัพย์ ที่บริเวณท่าเรือของบริษัทท่าเรือบางประกงจำกัด ต.บางประกง อ.บางประกง จ.ฉะเชิงเทรา พบยาเสพติดเป็นไอซ์แพ็กอัดแน่นอยู่ในถุงผลไม้อบแห้งใส่ในกล่อง ๆ ละ 24 ถุง รวมจำนวน 52 กล่อง และคีตามีนบรรจุแพ็กอัดแน่นในถุงชาใส่ในกล่อง ๆ ละ 25 ถุง จำนวน 48 กล่อง รวมน้ำหนักทั้งหมดประมาณ 2,200 กก. พร้อมควบคุมตัวผู้เกี่ยวข้องที่อยู่ในที่เกิดเหตุ ทั้งบนเรือและบนท่าเรือ จำนวน 14 คน จากพฤติกรรมที่พบขณะจับกุมและการสอบสวนผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดแล้ว พบผู้ร่วมกระทำความผิดขณะเกิดเหตุ จำนวน 6 คน แบ่งได้ 2 กลุ่ม คือ 1)กลุ่มขับรถยนต์ลำเลียง รวม 3 คน จับกุม 2 คน หลบหนีไป 1 คน  2) กลุ่มการ์ดบนเรือ จำนวน 3 คน จับกุมได้ 2 คน หลบหนีไป 1 คน ในส่วนคนที่เหลืออีก 8 คนในที่เกิดเหตุนั้น จากการสอบสวนแล้วทำหน้าที่เป็นกัปตันเรือ ลูกเรือและช่างซ่อมเรือ มีหลักฐานการรับจ้างทำงานถูกต้อง ยังไม่พบว่าเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด

วันที่ 7 ธ.ค.66 จากการขยายผล พนักงานสอบสวน ได้ยื่นคำร้องขอหมายจับต่อศาลอาญา และศาลอาญาได้อนุมัติออกหมายจับผู้ร่วมกระทำผิดจำนวน 3 คน ได้แก่ นายชานนท์ฯ หัวหน้าทีมขับรถยนต์ลำเลียง, นายศิริทรัพย์ฯ ทีมการ์ดบนเรือ (ต่อมานายศิริทรัพย์ได้เข้ามามอบตัวแล้ว) และผู้สั่งการคือนายชาญชัยฯ หรือกัปตันตุ้ย อดีตกัปตันเรือเรือที่มีชื่อเสียงระดับท็อปของประเทศไทย ที่ผันตัวมาเปิดบริษัทเดินเรือ โดยเป็นผู้บริหารจัดการลำเลียงยาเสพติดทางเรือ ครั้งนี้ได้เช่าเรือศรีมงคลทรัพย์ไปส่งยาเสพติดในน่านน้ำสากลและพบว่าเคยมีการลักลอบลำเลียงมาแล้วถึง 7 ครั้ง ในช่วงเดือน มิ.ย.-ธ.ค.66 โดยอ้างว่ามี “พ่อเลี้ยง” เป็นคนสั่งการใหญ่ที่จะเป็นผู้สั่งการนายชาญชัยฯ และทีมงานทั้งหมดนี้ และออกหมายจับนายอนุรุตฯ ซึ่งเป็นตัวการสำคัญอีกคนหนึ่ง โดยเป็นลูกน้องของนายชาญชัยฯ ทำหน้าที่ในการประสานงานกับหัวหน้าการ์ดบนเรือ รวมทั้งกับพ่อเลี้ยงและนายชาญชัยฯ

ต่อมาในห้วงวันที่ 9 - 20 ธ.ค.66 บก.ปส.3, บก.ขส.และสำนักงาน ป.ป.ส. ได้ร่วมกันเปิด “ยุทธการสยบไพรีปราบสมุทร(Poseidon 1) ภายใต้แผนปฏิบัติการตามล่า 100 เครือข่าย” เพื่อปิดล้อมตรวจค้นจับกุม รวบรวมพยานหลักฐานและยึดทรัพย์ผู้ต้องหาตามหมายจับ จำนวน 3 คน มีเป้าหมายจุดปิดล้อมจำนวน 10 จุด ผลการปฏิบัติ จับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับได้ 1 คนคือนายอนุรุตฯ และยึดทรัพย์สินของนายชาญชัยฯ กับพวกทั้งหมด มีทั้งที่ดินและกิจการของนายชาญชัยฯ เช่น ร้านอาหารตำทะลวงและกิจการเดินเรือและกิจการอื่น ๆ เงินสด ทองแท่งและทองรูปพรรณ พระเครื่อง รถยนต์และรถจักรยานยนต์จำนวนมาก  รวมมูลค่าทรัพย์สินที่ทาง สำนักงาน ป.ป.ส. ได้ตรวจสอบเพื่อตรวจยึดทรัพย์สินตามมูลค่ารวมประมาณ 140 ล้านบาท 

ด้าน พล.ต.ท.คีรีศักดิ์ ตันตินวะชัย ผบช.ปส. ระบุว่า ภายหลังการจับกุม ตำรวจปราบปรามยาเสพติด ได้สืบสวนขยายผลกันมาอย่างต่อเนื่องโดยกลุ่มเครือข่ายนี้มีการลักลอบลำเลียงยาเสพติดปริมาณมากออกไปยังต่างประเทศโดยทางเรือมาแล้วหลายครั้ง ปลายทาง ได้แก่ ประเทศไต้หวัน ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ออสเตรเลีย ซึ่งถือเป็นเครือข่ายยาเสพติดข้ามชาติที่ใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่านในการลักลอบลำเลียง โดยเครือข่ายนี้มีลักษณะการทำงานเป็นองค์กรอาชญากรรม มีการแบ่งหน้าที่ในการทำงานซึ่งมีผู้เกี่ยวข้องอีกจำนวนมาก  ซึ่งขณะนี้ตำรวจปราบปรามยาเสพติดกำลังทำการสืบสวนขยายผลเพื่อจับกุมและยึดทรัพย์เครือข่ายที่เกี่ยวข้องทั้งระดับผู้สั่งการและผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ ในประเทศและต่างประเทศต่อไป

แม่ทัพภาค 4 สั่งเร่งระดมกำลังพลช่วยผู้ประสบอุทกภัยนราธิวาส  หลังน้ำป่าไหลหลากมวลมาไม่ทันตั้งตัว รับ!! หนักสุดในรอบ 30 ปี 

(26 ธ.ค.66) ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศจากสถานการณ์ ที่ได้เกิดฝนตกหนักและหนักมากในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส ตั้งแต่วันที่ 23-24 ธันวาคม 2566 ทำให้เกิดสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส ซึ่งทางจังหวัดนราธิวาสได้เปิดศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ขึ้น เพื่อร่วมปฏิบัติการบริหารจัดการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส โดยว่าที่ร้อยตรีตระกูล โทธรรม ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส ผู้บัญชาการเหตุการณ์ เป็นประธานประชุมติดตามการบริหารจัดการอุทกภัย และ เจ้าหน้าที่สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดนราธิวาส พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมรายงานผลการปฏิบัติงานจากสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส

โดยสรุปวันที่ 25 สถานการณ์น้ำในพื้นที่จังหวัดนราธิวาสตามที่ได้เกิดฝนตกหนักเมื่อวันที่ 22-24 ธันวาคม 2566 เป็นเหตุให้เกิดอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส โดยได้รับผลกระทบ เป็นเหตุให้เกิดอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส โดยได้รับผลกระทบแล้ว 9 อำเภอ 44 ตำบล 196 หมู่บ้าน 9,558 ครัวเรือน 37,901 คน 4 ชุมชน โรงเรียน 11 แห่ง ปศุสัตว์ (แพะ) 2 ตัว

แนวโน้มสถานการณ์ ลุ่มน้ำหลัก 3 ลุ่มน้ำ 1.ลุ่มน้ำโก-ลก ระดับน้ำยังปกติ แต่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง 2.ลุ่มน้ำบางนรา ระดับน้ำต่ำกว่าตลิ่ง (เฝ้าระวัง) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง 3.ลุ่มน้ำสายบุรี ระดับน้ำต่ำกว่าตลิ่ง (เฝ้าระวัง) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเจ้าหน้าที่ยังคงเตือนประชาชนไม่ประมาทต่อมวลน้ำ เพราะยังคมมีฟ้าฝนตกอยู่ต่อเนื่องในหลายพื้นที่

ด้านนายจิรัส ศิริวัลลภ นายอำเภอเมือง จ.นราธิวาส ได้ลงพื้นที่ตรวจสถานการณ์อุทกภัยวาตภัย ในพื้นที่ ต.ลำภู อ.เมือง จ.นราธิวาส ซึ่งมีราษฎร์เดือดร้อนและบ้านจมน้ำจำนวนมาก โดยประสานหน่วยทหารหน่วยนาวิกโยธิน ทหารหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส นำเรือท้องแบน รถทหารยี่เอ็มซี่ พร้อมกำลังพลอพยพช่วยเหลือชาวบ้าน คนชรา เด็กและคนไข้ติดเตียงให้มาพักพิงที่ ของทางการจัดให้ในที่ศูนย์ซึ่งพบว่ามวลน้ำยังคงกำลังสูง และเชี่ยวกราดให้สิ่งของในบ้าน เสียหายอีกจำนวนมาก ทั้งนี้นายอำเภอเมืองกล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า น้ำป่าไหลหลากมวลน้ำมาก ประชาชนไม่ได้ตั้งตัวมา เร็วท่วมเต็มพื้นที่ ถือว่าท่วมสูงสุดมากในรอบ 30 ปี

ขณะที่ชาวบ้าน ผู้ประสบภัยน้ำท่วม กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า น้ำท่วมรอบนี้หนักมาก น้ำมากลางคืนขณะนอนหลับในบ้าน เมื่อน้ำมาช่วยได้เฉพาะคนในครอบครัวขึ้นที่สูง ส่วนอุปกรณ์ในบ้าน รถเครื่อง ตู้เย็น ทีวี และอื่นเสียหายหมด ไม่ทันขนย้ายไปเก็บในที่สูงเสียหายหมดตัว ยากเรียกร้อง ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส เข้ามาดูแลเร่งด่วนด้วย

ด้านพลโท ศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4 ผอ.รมน.ภาค 4 แม่ทัพภาคที่ 4 สั่งหน่วยทหารในพื้นที่ทุกหน่วยเร่งดำเนินการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่เกิดอุทกภัยในพื้นที่โดยด่วนที่สุด โดยเฉพาะผู้ป่วยติดเตียง ผู้หญิง และคนชราออกนอกพื้นที่โดยเร็วที่สุด และเน้นย้ำให้การเข้าช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ทุกคนต้องมีความระมัดระวังรักษาความปลอดภัยตนเองและทุกคนที่ลงไปจะต้องใส่เสื้อชูชีพ ซึ่งประชาชนที่ประสบภัยสามารถติดต่อขอความช่วยเหลือ ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยมณฑลทหารบกที่ 46 โทร.073-340141-4 ต่อ 43011 #ศูนย์ประชาสัมพันธ์ #กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค4ส่วนหน้า

สะพัด!! ต้นเหตุโปรเจกต์รถไฟความเร็วสูงลาวข้ามอ่าวไทย เวอร์ชันไร้ไทย อาจมาจากสิงคโปร์จะซื้อไฟจากลาวโดยขอผ่านไทย แต่ไทยไม่ยอม

(26 ธ.ค. 66) จากเพจ 'สานต่อเจตนารมณ์ อาจารย์สมเกียรติ โอสถสภา' ได้แชร์ข้อความจากผู้ใช้เฟซบุ๊ก 'สันติ์เพชร ปานนุ้ย' ซึ่งได้โพสต์มูลเหตุหนึ่งที่อาจเป็นประเด็นให้ทาง รมว.ท่านหนึ่งของ สปป.ลาว ออกมาสะพัดถึงความต้องการสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูงจากลาวข้ามอ่าวไทยไปสิงคโปร์ โดยไม่ผ่านไทย ว่า...

ทำไม บริษัท ดาต้าเซ็นเตอร์ และ บริษัทคลาวด์ดิจิทัล เซ็นเตอร์ ยักษ์ใหญ่ของโลก จะเข้ามาตั้งศูนย์กลางการให้บริการที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย ในประเทศไทย ทั้งที่บริษัท ดาต้า และ บริษัทคลาวด์ มีเฮดออฟฟิศอยู่ที่สิงคโปร์ 

เพราะ สิงคโปร์ ไม่สามารถหาพลังงานสะอาดให้ได้ เนื่องจากสิงคโปร์มีพื้นที่จำกัด 

ในความโชคร้าย ก็มีความโชคดี ในช่วง 5-10 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยที่มีการเปลี่ยนผ่านจากพลังงานถ่านหินไปสู่พลังงานสะอาด มันจึงทำให้ประเทศไทยมีพลังงานเหลือสูงถึง 30% และมีราคาสูง แต่กลับเป็นความโชคดีที่เรานำหน้าประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้เรามีพลังงานสะอาดมากพอที่จะดึงดูดการลงทุน

เวียดนามก็พลังงานไม่พอติด ๆ ดับ ๆ สูงเกินค่ามาตรฐาน และเวียดนามใช้พลังงานถ่านหินสูงถึง 70% 

และอีกเรื่องหนึ่งที่ไทยเป็นตัวเลือกอันดับ 1 คือความเร็วและความเสถียรของอินเตอร์เน็ตที่สูงกว่าเพื่อนบ้าน

เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา เราจึงเห็นข่าวที่สิงคโปร์จะซื้อไฟฟ้าจากลาวโดยขอผ่านสายส่งของไทย โดยทางไทยไม่ยอม จึงทำให้ รองนายกฯ ลาวท่านหนึ่งไม่พอใจ จึงเป็นที่มาของการโพสต์ปล่อยข่าวว่า ลาวจะสร้างรถไฟความเร็วสูงจากลาวไปสิงคโปร์โดยผ่านกัมพูชาข้ามอ่าวไทยเข้ามาเลเซีย โดยไม่มีประเทศไทย 

นอกจากนี้ผู้ใช้เฟซบุ๊กท่านดังกล่าว ยังทิ้งท้ายอีกว่า...หลายคนอาจจะไม่ทราบว่า บริษัท อโกด้า ผู้ให้บริการสำรองห้องพัก โรงแรม ทางออนไลน์ ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ กรุงเทพ มีพนักงาน 2,000 คน เป็นคนไทย 1,000 คนและตนต่างชาติ 1,000 คน

ด้านเพจ 'สานต่อเจตนารมณ์ อาจารย์สมเกียรติ โอสถสภา' ก็ได้โพสต์เสริมประเด็นดังกล่าวด้วยว่า...

ขออนุญาตผู้ติดตามเพจ...ถ้าเป็นจริงตามนี้ กลายเป็นว่าการที่ประเทศไทยมีไฟฟ้าใช้เหลือเฟือ ไม่มีไฟดับ ไฟตก...กลายเป็นจุดแข็งที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสำคัญที่สุด โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ต้องการใช้กระแสไฟฟ้ามากและต่อเนื่อง อย่างอุตสาหกรรมเก็บข้อมูลคลาวด์...ถือเป็นจุดขายที่ไม่มีใครเลียนแบบได้ในย่านอาเซียน

'สื่อทำเนียบ' ยกคำ 'นายกฯ' วาทะแห่งปี "ผมจะทำงานไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย" 

(26 ธ.ค. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การตั้งฉายารัฐบาล และ รัฐมนตรีประจำปี ของผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาล ที่ยึดถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติสืบต่อกันมาอย่างยาวนาน เพื่อสะท้อนความคิดเห็นของสื่อมวลชนต่อการทำงานของรัฐบาล โดยปราศจากอคติ ได้มีมติร่วมกันตั้งฉายารัฐบาล รัฐมนตรี และ วาทะแห่งปี ประจำปี 2566 ดังนี้

>> ฉายารัฐบาล แกง​ส้ม ‘ผลัก’ รวม

‘แกง’ คือ คำสแลงที่ใช้แทนความหมายว่า แกล้ง ‘ส้ม’ คือ สีของพรรคก้าวไกล ส่วนคำว่า ‘ผลักรวม’ ล้อมาจากคำว่า ‘ผักรวม’ เมนูแกงส้มยอดนิยมประเภทหนึ่ง เมื่อรวมกันแล้ว นิยามความหมายในทางการเมือง สะท้อนกระแสสังคม มองพรรคก้าวไกลถูกกลั่นแกล้ง MOU ถูกฉีก และ ถูกผลักออกจากการร่วมรัฐบาล ด้วยเงื่อนไขทางกฎหมาย และ ข้ออ้างทางการเมือง ส้มจึงหล่นใส่พรรคอันดับรอง กลืนน้ำลายจัดตั้งรัฐบาล ‘มีลุง’ ก็ไม่เป็นไร โดยให้เหตุผลเพื่อความสมานฉันท์ ทำเอาแฟนคลับผู้รักประชาธิปไตยถึงกับหัวใจสลาย ก่อเกิดวาทกรรม ‘ตระบัดสัตย์’

ดังนั้น แกง​ส้ม ‘ผลัก’ รวม จึงใช้อธิบายปรากฏการณ์ทางการเมือง ของการจัดตั้งรัฐบาลที่ว่า ‘ชนะเลือกตั้ง แต่แพ้จัดตั้ง’ ได้เป็นอย่างดี

>>นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง : เซลล์แมนสแตนด์ ‘ชิน’

นับแต่เศรษฐีที่ชื่อ ‘เศรษฐา’ เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็เดินหน้าทำงานทันที โดยเฉพาะการหารายได้เข้าประเทศ ต้องยอมรับในความมุ่งมั่นตั้งใจ คิดเร็วทำไว เดินสายพกประเทศไทยใส่กระเป๋า ไปโรดโชว์จีบนักลงทุนทั่วโลก ประกาศตัวเป็นเซลล์แมนเต็มรูปแบบ

แต่ในทางการเมือง ยังถูกมองว่า ไม่ใช่นายกฯ ตัวจริง เงาของคนในตระกูล ‘ชินวัตร’ ยังปกคลุม เปรียบเสมือนตัวแสดงแทน หรือ สแตนด์อิน เพราะเคยหลุดปากขณะออกงานพร้อม น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวสุดที่รักของนายใหญ่ หนึ่งในแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทยเช่นกัน ว่า “นายกฯ คนไหน มีนายกฯ 2 คน” อีกทั้งหลายนโยบาย ก็ถูกวิจารณ์ว่า ต่อยอดมาจากนโยบายเดิม ของรัฐบาลนายทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

>>นายภูมิธรรม​ เวชย​ชัย​ รองนายก​รัฐมนตรี​และ​รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวง​พาณิชย์ : รองกอง

รองนายกรัฐมนตรี คนที่ 1 คนที่นายกรัฐมนตรีต้องเชื่อใจ และ ปล่อยให้ดูแลทุกอย่าง เมื่อต้องออกไปเดินสายขายของในต่างประเทศ ต้องรับเละทุกงานในมิติการเมือง และ ถูกโยนให้รับผิดชอบเป็นเจ้าภาพหลักหลายเรื่อง ที่นายกฯ หลายยุคหลายสมัยต้องนั่งหัวโต๊ะ กลับกลายเป็นการประชุมครั้งแรกของรัฐบาลนี้ รองนายกฯ ที่ชื่อ ‘ภูมิธรรม’ ต้องทำหน้าที่แทน นับตั้งแต่การจัดตั้งรัฐบาล การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปัญหาประมง กลุ่มพีมูฟ สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ EEC หรือแม้แต่ช่วงวิกฤตนาทีชีวิตแรงงานไทยในอิสราเอล ประชุมนัดแรก ก็ยังเป็น ‘ท่านรอง ภูมิธรรม’ ไหนจะงานหลักในกระทรวง ปัญหาของแพง ราคาอ้อย น้ำตาล อีรุงตุงนัง กองสุมอยู่รอบตัว เหมือนลองกอง ผลดก พวงยาว กิ่งใหญ่

>>นายสุทิน คลังแสง​ รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวง​กลาโหม​ : พลิกทินสู่ดาว

ได้ยินแทบไม่เชื่อหู ใครเห็นเป็นต้องขยี้ตา เมื่อพลเมืองเต็มขั้น เคยรับเงินเดือนครู หลงใหลในดนตรีหมอลำ ผันตัวเข้าสู่แวดวงการเมือง ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับกองทัพ นอกจากนามสกุล ‘คลังแสง’ ขนาดเจ้าตัวยังไม่เคยนึกฝัน ว่าชีวิตนี้จะได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แต่ด้วยบุคลิกสุภาพ ใจเย็น มืออ่อน และ ลีลาร้องรำน่าเอ็นดู จึงเข้าได้กับทหารทุกกรมกอง พลิกชีวิตลูกอีสาน สู่ดาวเจิดจรัสเฉิดฉาย ท่ามกลางเหล่าทัพได้อย่างแนบเนียน

>>พ.ต.อ. ทวี​ สอดส่อง​ รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวงยุติธรรม : ทวี สอดไส้

ยิ่งกว่านอนมา สำหรับตำแหน่งเจ้ากระทรวงยุติธรรม เต็งหนึ่งชื่อเดียว แบบไร้คู่แข่งมาตั้งแต่ต้น สะท้อนความไว้วางใจจากนายใหญ่แค่ไหน คงไม่ต้องพูดถึง

แม้จะไม่โดดเด่นในการบริหารราชการช่วง 3 เดือนแรก แต่กลับถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก โดยเฉพาะประเด็น เอื้อประโยชน์ให้กับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หลังเดินทางกลับมารับโทษ ถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลตำรวจ ทำให้ไม่ต้องนอนคุกแม้แต่คืนเดียว เผือกร้อนแค่ไหนคงไม่ต้องถาม มือพองแค่ไหนก็ต้องถือ กว่านายทักษิณจะออกจากคุก ต้องถูกจ้องถล่มอีกมากแค่ไหน คงไม่ต้องเดา

>>นายชาดา ไทย​เศรษฐ์​ รัฐมนตรี​ช่วยว่าการ​กระทรวง​มหาดไทย​ : มาเฟียละเหี่ยใจ​

นักการเมืองชื่อดังแห่งจังหวัดอุทัยธานี ประวัติโลดโผน ภาพจำพัวพันวงการนักเลง ถูกประทับตรามาเฟีย ผู้คนยกสถานะให้เป็นผู้ทรงอิทธิพล แต่เจ้าตัวก็ปฏิเสธมาโดยตลอด พร้อมให้คำจำกัดความตัวเองไว้ว่า “ ความดีพอสมควร ความชั่วพอประมาณ สันดานพอคบได้”

หน้าที่การงานในตำแหน่งรัฐมนตรี ได้รับมอบหมายภารกิจสำคัญ เป็นโต้โผปราบปราม ‘ผู้มีอิทธิพล’ จนฮือฮากันทั้งประเทศ แต่ยังไม่ทันได้สร้างผลงาน ‘ลูกเขย’ ก็สร้างเรื่องก่อน ถูกเจ้าหน้าที่กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ปปป.) จับกุม ในข้อหาเรียกรับสินบนจากผู้รับเหมาก่อสร้างโครงการระบบประปาหมู่บ้านแบบบาดาล 2 โครงการ งานนี้เก้าอี้รัฐมนตรีร้อนระอุ เปิดแถลงข่าวภายใน 24 ชั่วโมง สั่ง ‘ลูกเขย’ ยื่นใบลาออกทันที ไม่ต้องรอสอบสวน ลั่นเป็นลูกเขยชาดา สปิริตต้องมากกว่าคนอื่น

>>วาทะแห่งปี

“ผมจะทำงานไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย​”

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ประกาศเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2566 หลังพิธีรับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ณ ที่ทำการพรรคเพื่อไทย

โดยขอทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี ที่ไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อย เป็นรัฐบาลที่จะทุ่มเท ทำงานหนัก รับฟังเสียงของประชาชน นำความสามัคคีกลับคืนสู่คนในชาติ แต่ทำงานยังไม่ถึง 4 เดือน กลับขอลาพักผ่อนกับครอบครัวเป็นเวลา 4 วัน จนชาวโซเชียล อดแซวไม่ได้

หากถามนักข่าวหลายคนที่คุ้นเคย และ ตามติดภารกิจนายเศรษฐา ต่างรู้ซึ้งเป็นอย่างดี ถึงคำว่า “ทำงานไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย” แทบทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า ตามนายกฯ 3 เดือนเหมือน 3 ปี ให้สัมภาษณ์ทุกที่ ที่มีโอกาส ถึงไม่เห็นหน้าก็มาทางโซเชียล ค่ำคืนไม่พักไม่ผ่อน โพสต์ประเด็นร้อนทันใจ ‘ภูเก็ตก็แค่ปากซอย’ นักข่าวพิสูจน์แล้ว นายกฯ ทำได้จริง พร้อมสะท้อนปัญหาหลักของนายกฯ ที่มักบอกว่าเป็นคนพูดตรง คือ การสื่อสาร หลายครั้งนำภัยมาสู่ตน เมื่อขึ้นศักราชใหม่แล้วจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไร คงต้องรอติดตามกันต่อไป

‘EA’ คว้ารางวัล ‘Entrepreneur of the Year 2023’ ในงาน Asia Corporate Excellence & Sustainability Awards

(26 ธ.ค.66) บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA ผู้นำนวัตกรรมพลังงานสะอาด คว้ารางวัล Entrepreneur of the Year 2023 ในเวทีระดับสากล Asia Corporate Excellence & Sustainability Awards (ACES) แห่งปี 2023 เชิดชูเกียรติกลุ่มพลังงานบริสุทธิ์ในฐานะผู้ประกอบการที่เป็นเลิศด้านการบริหารงานและสร้างการเติบโตทางธุรกิจด้วยนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง ได้มีคัดเลือกจากผู้ประกอบการที่มีผลงานดีเด่นในการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืนทั่วภูมิภาคเอเชีย โดยมี ดร.อัครินทร์ สุวรรณรัตน์ Executive Vice President เป็นผู้เข้ารับมอบรางวัล ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย

บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทแรกๆ ในประเทศไทยที่ได้เริ่มธุรกิจด้วย         การนำเทคโนโลยีมาพัฒนานวัตกรรมด้านพลังงานสะอาด เริ่มจากพลังงานทดแทนในการเพิ่มมูลค่า ให้แก่ปาล์มเป็นน้ำมันไบโอดีเซล ต่อยอดเป็นสารเปลี่ยนสถานะ และกรีนดีเซล ด้านพลังงานหมุนเวียน ทั้งพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ และได้ต่อยอดธุรกิจในการผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนและยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ โดยมีโรงงานผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน อมิตา เทคโนโลยี (ประเทศไทย) กำลังผลิตเริ่มต้น 1 GWh ที่มีกำลังการผลิตขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน ต่อยอดสู่ธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ครบวงจร ปัจจุบันสามารถส่งมอบรถโดยสารไฟฟ้า รถหัวลากไฟฟ้า และรถบรรทุกไฟฟ้ากว่า 2,079 คัน อีกทั้งให้บริการสถานีชาร์จ EA Anywhere ที่ครอบคลุมทุกภูมิภาค

ทั้งนี้ รางวัล Entrepreneur of the Year 2023 เป็นอีกหนึ่งรางวัลที่สะท้อนถึงการบริหารจัดการองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลที่ดีเลิศ มีพัฒนาองค์กรให้เติบโตอย่างมั่นคงแข็งแกร่งและยั่งยืน การันตีความสำเร็จของกลุ่ม EA จากการขับเคลื่อนองค์กรด้วยการนำเทคโนโลยีพัฒนานวัตกรรมด้วยฝีมือคนไทยในด้านพลังงานสะอาดสู่เวทีระดับสากล โดยครอบคลุมในทุกมิติด้านพลังงานสะอาดทั้ง ธุรกิจพลังงานทดแทน ธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ธุรกิจผลิตแบตเตอรี่และยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องและสร้างนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า (EA’s EV Ecosystem) อย่างครบวงจรเป็นรูปธรรมต่อไป

‘ร.ฟ.ท.’ นำทัพนักแสดงดัง แต่งตัวเป็นซานตาคลอส มอบของขวัญ ส่งสุขให้ ‘ผู้ใช้บริการสายสีแดง’ เนื่องในวันคริสต์มาส-ปีใหม่ 2567

เมื่อวานนี้ (25 ธ.ค. 66) นายสุเทพ พันธุ์เพ็ง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด หรือผู้ให้บริการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง ได้นำทัพนักแสดงช่อง 7 แต่งตัวเป็นซานตาคลอส ร่วมมอบของขวัญ เช่น น้ำอัดลมและกาแฟกระป๋อง ให้แก่ผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าสายสีแดง เนื่องในวันคริสต์มาส และปีใหม่ 2567

สำหรับนักแสดงช่อง 7 ที่เข้าร่วมกิจกรรมนี้ ได้แก่ แอนดรูว์ โคร์นิน, แอมป์ พีรวัศ, หมู ภูษณะ รวมถึง ตี๋ บุญเกียรติ วงค์ษาแจ่ม ผู้รักษาประตูจาก UTFC

เรียกได้ว่า บรรยากาศกิจกรรมอบอวลไปด้วยความสุข ความสนุกสนาน ทั้งผู้ให้และผู้รับ และหากใครอยากติดตามกิจกรรมดีๆ แบบนี้ จากรถไฟฟ้าสายสีแดง ก็สามารถติดตามได้ที่ https://www.facebook.com/REDLineSRTET/ ได้เลย

'พีระพันธุ์' ยัน!! กฎหมาย 'เผื่อเหลือเผื่อขาด' ไม่ใช่เจตนาให้ขาย 'น้ำมัน' ไม่เต็มลิตร

(26 ธ.ค.66) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน โพสต์เฟซบุ๊ก ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค - Pirapan Salirathavibhaga’ ดังนี้...

“เมื่อคืนผมมีโอกาสพบกับท่านรองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ที่งานแต่งงานบุตรสาวของท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้หารือกันเรื่องปัญหาปั๊มน้ำมันเติมน้ำมันไม่เต็มลิตร ซึ่งท่านเองก็เป็นห่วงเรื่องนี้มากและได้สั่งการให้หน่วยงานของท่านทำงานจริงจังในเรื่องนี้ เราทั้งสองกระทรวงจะช่วยกันแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจังต่อไป ต้องขอขอบคุณท่านรองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ภูมิธรรม เวชยชัย เป็นอย่างยิ่งครับ

อีกเรื่องหนึ่งครับ ผมได้รับรายงานว่าปั๊มน้ำมันบางแห่งที่เรามีการออกตรวจตรากันนั้น มีเจตนาตั้งหัวจ่ายให้จ่ายน้ำมันไม่เต็มลิตรโดยอ้างกฎกระทรวงของกระทรวงพาณิชย์ที่ให้มีอัตรา ‘เผื่อเหลือเผื่อขาด’ ที่ไม่เป็นความผิดตามกฎหมาย

ผมเลยต้องขออธิบายเพื่อความเข้าใจกฎหมายที่ถูกต้องครับ

คือ กฎหมายมาตราชั่งตวงวัดและกฎกระทรวงที่อ้างถึงกันนั้นไม่ได้มีเจตนาให้ขายน้ำมันไม่เต็มลิตรนะครับ แต่กฎหมายเข้าใจว่าหัวจ่ายหรือเครื่องชั่งตวงวัดแต่ละเครื่องอาจมีความผิดเพี้ยนจากการวัดปริมาตรที่แท้จริงได้ ซึ่งเป็นไปตามปกติของเครื่องมือแต่ละเครื่อง จึงกำหนดค่า ‘เผื่อเหลือเผื่อขาด’ ไว้ ซึ่งหมายความว่าปริมาตรที่ขาดหายไปนั้นเป็นผลของความผิดเพี้ยนของหัวจ่ายหรือเครื่องตรวจวัดเอง ไม่ใช่โดยเจตนาจงใจปรับแต่งหัวจ่ายให้จ่ายน้ำมันไม่เต็มลิตร เช่นนี้จึงไม่เป็นความผิดครับ 

แต่หากตามกรณีที่เกิดขึ้นหรือปั๊มไหนจ่ายน้ำมันไม่เต็มลิตรโดยเจตนาจงใจปรับแต่งหัวจ่ายแล้ว จะมาอ้างกฎกระทรวงไม่ได้ และยังเข้าข่ายเป็นความผิดอาญาฐานฉ้อโกงประชาชนที่มีโทษจำคุกถึง 5 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 อีกด้วยนะครับ

ผมจะดำเนินการแก้ไขเรื่องนี้ต่อครับ”

หมู่บ้านดัง ร้องโรงเรียนเลิกใช้นกหวีดจัดจราจร อ้างเสียสุขภาพจิต  ทั้งที่ รร.มาก่อนหมู่บ้าน 30 ปี แถมตอนสร้างก็ไม่มีใครออกมาบ่น

เมื่อวานนี้ (25 ธ.ค.66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้ใช้เฟซบุ๊ก Theeraphat Sirirat โพสต์ถึงกรณีปัญหาการปรับตัวระหว่างโรงเรียนกับชุมชนใกล้เคียง โดยระบุว่า…

“โรงเรียนแห่งหนึ่งตั้งมาก่อนหมู่บ้านเกือบ 30 ปี

แต่พอมีหมู่บ้านแล้วผู้คนเริ่มเข้ามาพักอาศัย กลับถูกผู้พักอาศัยบางกลุ่มร้องเรียนเรื่องการจราจร
(เสียงนกหวีด) ที่ว่าทำให้ส่งผลเสียต่อสุขภาพจิต ให้เปลี่ยนไปใช้สัญญาณไฟแทน

อย่าลืมว่า มันคือเขตโรงเรียน ความปลอดภัยหน้าโรงเรียนต้องมีเป็นอันดับแรก ยังไงก็ขอให้ปรับสภาพและหาพื้นที่ตรงกลางกันให้ได้นะครับ จะได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข”

ขณะที่มีผู้มาคอมเมนต์ ระบุว่า ในช่วงเวลาที่ผ่านมามีการก่อสร้างโรงเรียนได้รับผลกระทบเรื่องรถบรรทุกที่เข้ามาถมดินในโครงการในช่วงเวลาที่นักเรียนต้องมาโรงเรียน ครูก็อำนวยความสะดวกให้ต่างๆ ทำไมโรงเรียนไม่เคยร้องเรียนคุณเลย นั้นเพราะเรามองเห็นการเปลี่ยนแปลงและโรงเรียนต้องปรับตัวเหมือนที่ครูได้เล่าให้ฟังทุกอย่าง ที่โรงเรียนมีกิจกรรมเราถูกร้องเรียนหมดครับ แต่เราเลือกที่จะเงียบแค่นั้นเอง

และระบุว่า เสียงนกหวีดจะหายไป ปิดถนนข้างโรงเรียนกลับไปใช้เส้นทางเดิมเหมือนเมื่อก่อน วนขวาไปไม่มีถนนตรงนี้เราก็อยู่ได้ นักเรียนข้ามถนนได้ปลอดภัยครูไม่ต้องเป่านกหวีด นักเรียนครูปลอดภัย…เพื่อลดแรงกระแทกของผู้พักอาศัยเพียงคนเดียว…แต่เขาต้องตอบสังคมให้ได้ครับ…ว่าต้องการเช่นนั้นไหม

ในฐานะครูเป็นหัวหน้างานจราจรของโรงเรียน ครูปรับเปลี่ยนการเดินรถของครูและบุคลากรของโรงเรียนให้วนเข้าประตูด้านหลังเข้าประตู 2 ข้างห้องพลศึกษา เพื่อที่จะไม่ขวางรถที่จะต้องวิ่งผ่านทางตรงหน้าโรงเรียนและเข้าซอยหมู่บ้าน ทุกคนปรับเปลี่ยนเวลาที่ปริมาณรถที่มาจากไทยรามัญจำนวนมาก เราก็จะปล่อยในปริมาณมาก เราทำแบบนี้ทุกวัน รถจำนวนมาก คนจำนวนมาก เราจึงจำเป็นต้องใช้สัญญาณนกหวีดเพื่อเป็นการออกคำสั่งระยะไกล เสียงนกหวีดยาวคือหยุด สั้นๆ สลับกันคือให้เคลื่อนที่ และเราเป่าเฉพาะทิศทางหน้าโรงเรียนให้หยุดทางทิศทางรถที่มาจากไทยรามัญเท่านั้น นอกนั้นกรรมการนักเรียนจะมีธงสีแดงกั้นรถ แค่ช่วงเวลา 06.30-07.30 น. หลังจากนั้นจะปล่อยรถวิ่งสวนกันสลับกันเองตามปกติ แค่นั้น

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบพบว่าโรงเรียนดังกล่าวอยู่ในย่าน ถนนไทยรามัญ แขวงสามวาตะวันตก เขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร

‘สมเด็จพระสังฆราช’ ทรงผ่อนพระกรณียกิจลง ตามคำแนะนำของแพทย์ หลังรักษาพระปิตตะอักเสบ

(26 ธ.ค.66) สำนักงานเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช ออกประกาศเรื่อง แนวปฏิบัติในการขอประทานพระกรุณา ลงวันที่ 25 ธันวาคม ความว่า ด้วย เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ได้เสด็จไปประทับที่โรงพยาบาลศิริราช ตามคำกราบทูลอาราธนาของคณะแพทย์ผู้ถวายอภิบาล เนื่องจากมีพระอาการพระปิตตะ (ถุงน้ำดี) อักเสบ คณะแพทย์ได้ถวายการรักษาตามพระอาการและสมุฏฐานเป็นผลสำเร็จ และเสด็จกลับวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เมื่อวันอาทิตย์ที่ 24 ธันวาคม 2566

การนี้ คณะแพทย์กราบทูลขอประทานให้ทรงผ่อนพระกรณียกิจลง โดยลดจำนวนและระยะเวลาในการประทานพระวโรกาสให้คณะบุคคลเฝ้า อันเนื่องมาจากพระชนมายุสูง กอปรกับพระศาสนกิจเพิ่มพูนขึ้นเป็นอันมาก สำนักงานเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช โดยอนุวัตตามคำแนะนำของคณะแพทย์ จึงประกาศแนวปฏิบัติในการขอประทานพระกรุณา ดังนี้

1.การขอประทานพระกรุณาทุกกรณี ให้เสนอเรื่องเป็นหนังสือถึงเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช พร้อมแนบผลการตรวจสอบประวัติอาชญากรรมจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติของผู้ขอประทานพระกรุณา ในการดังกล่าว สำนักงานจะพิจารณาเหตุผลความจำเป็น ความเหมาะสม และสวัสดิภาพแห่งพระอนามัยเป็นสำคัญ โดยสำนักงานจะขอประทานพระวโรกาสให้เฝ้าถวายสักการะไม่เกิน 3 วันต่อสัปดาห์ และจำนวนคณะไม่เกิน 5 คณะต่อวัน

2.การขอรับประทานน้ำพระพุทธมนต์ในโอกาสต่างๆ เช่น การมงคลสมรส เมื่อเสนอเรื่องตามขั้นตอนแล้ว สำนักงานจะจัดให้เข้ารับประทานน้ำพระพุทธมนต์ที่หน้าพระรูป หรือพระเถระที่โปรดให้เชิญมา แล้วแต่กรณี

3.ให้ผู้ถวายงานและผู้ที่ได้รับประทานพระกรุณาปฏิบัติตามประกาศนี้อย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ หากพบการปฏิบัติที่ไม่เป็นไปตามประกาศนี้ สามารถแจ้งกลุ่มงานกิจการพิเศษ สำนักงานเลขานุการสมเด็จพระสังฆราชทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ [email protected]

4.ให้ใช้บังคับแนวปฏิบัติตามประกาศนี้ตั้งแต่วันประกาศ ยกเว้นกรณีที่ได้รับประทานพระกรุณาตามหลักเกณฑ์เดิมไว้ก่อนประกาศนี้ใช้บังคับ ทั้งนี้ สำนักงานงดการพิจารณาการขอเฝ้าถวายสักการะตามแนวทางนี้จนถึงวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2567 เพื่อให้เป็นไปตามคำแนะนำของคณะแพทย์


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top