Monday, 30 June 2025
NewsFeed

‘นิด้าโพล’ เปิดผลสำรวจคะแนนนิยมนักการเมือง 'พิธา' นำโด่ง เหตุมีความเป็นผู้นำ-วิสัยทัศนดี แซงหน้า 'เศรษฐา' อันดับ 2

(24 ธ.ค.66) ศูนย์สำรวจความคิดเห็น ‘นิด้าโพล’ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง ‘การสำรวจคะแนนนิยมทางการเมืองรายไตรมาสปี 2566’ ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 13-18 ธันวาคม 2566 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 2,000 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับคะแนนนิยมทางการเมือง การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ ‘นิด้าโพล’ สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0

จากการสำรวจเมื่อถามถึงบุคคลที่ประชาชนจะสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรีในวันนี้ พบว่า

อันดับ 1 ร้อยละ 39.40 ระบุว่าเป็น นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ (พรรคก้าวไกล) เพราะมีความเป็นผู้นำ เป็นคนรุ่นใหม่ วิสัยทัศน์ดี บุคลิกดี และเข้าถึงประชาชน 
อันดับ 2 ร้อยละ 22.35 ระบุว่าเป็น นายเศรษฐา ทวีสิน (พรรคเพื่อไทย) เพราะมีความรู้ความสามารถ ตรงไปตรงมา และชื่นชอบพรรคเพื่อไทย 
อันดับ 3 ร้อยละ 18.60 ระบุว่ายังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ 
อันดับ 4 ร้อยละ 5.75 ระบุว่าเป็น น.ส.แพทองธาร (อุ๊งอิ๊งค์) ชินวัตร (พรรคเพื่อไทย) เพราะเป็นคนรุ่นใหม่ ชื่นชอบพรรคและนโยบายพรรคเพื่อไทย และชื่นชอบผลงานในอดีตของตระกูลชินวัตร 
อันดับ 5 ร้อยละ 2.40 ระบุว่าเป็น นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค (พรรครวมไทยสร้างชาติ) เพราะมีความรู้ความสามารถ มีความน่าเชื่อถือ ตรงไปตรงมา และมีความซื่อสัตย์สุจริต 
อันดับ 6 ร้อยละ 1.70 ระบุว่าเป็น นายอนุทิน ชาญวีรกูล (พรรคภูมิใจไทย) เพราะเข้าถึงประชาชนทุกกลุ่ม ตรงไปตรงมา และชื่นชอบผลงานที่ผ่านมา 
อันดับ 7 ร้อยละ 1.65 ระบุว่าเป็น คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ (พรรคไทยสร้างไทย) เพราะมีประสบการณ์ด้านการบริหารประเทศ และต้องการเปิดโอกาสให้ผู้หญิงเข้ามาบริหารประเทศ 

ร้อยละ 3.90 ระบุอื่น ๆ ได้แก่ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ (พรรคพลังประชารัฐ) นายชัยธวัช ตุลาธน (พรรคก้าวไกล) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (พรรคประชาธิปัตย์) นายวราวุธ ศิลปอาชา (พรรคชาติไทยพัฒนา) นายชวน หลีกภัย (พรรคประชาธิปัตย์) นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน (พรรคประชาธิปัตย์) นายเทวัญ ลิปตพัลลภ (พรรคชาติพัฒนากล้า) นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา (พรรคประชาชาติ) พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง (พรรคประชาชาติ) นายเฉลิม อยู่บำรุง (พรรคเพื่อไทย) นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ (พรรคไทยศรีวิไลย์) และ ดร.ศุภชัย พานิชภักดิ์
และร้อยละ 4.25 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงพรรคการเมืองที่ประชาชนจะสนับสนุนในวันนี้ พบว่า อันดับ 1 ร้อยละ 44.05 ระบุว่าเป็น พรรคก้าวไกล อันดับ 2 ร้อยละ 24.05 ระบุว่าเป็น พรรคเพื่อไทย อันดับ 3 ร้อยละ 16.10 ระบุว่า ยังหาพรรคการเมืองที่เหมาะสมไม่ได้ อันดับ 4 ร้อยละ 3.60 ระบุว่าเป็น พรรคประชาธิปัตย์ อันดับ 5 ร้อยละ 3.20 ระบุว่าเป็น พรรครวมไทยสร้างชาติ อันดับ 6 ร้อยละ 1.75 ระบุว่าเป็น พรรคภูมิใจไทย อันดับ 7 ร้อยละ 1.45 ระบุว่าเป็น พรรคพลังประชารัฐ ร้อยละ 1.85 ระบุอื่น ๆ ได้แก่ พรรคไทยสร้างไทย พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคเพื่อไทยรวมพลัง พรรคประชาชาติ พรรคชาติพัฒนากล้า และพรรคเสรีรวมไทย และร้อยละ 3.95 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

‘ไทย’ เดินหน้ายกระดับมาตรการดูแล ’นักท่องเที่ยว‘ ส่งท้ายปี หวังทำให้ประเทศกลายเป็นหมุดหมายที่ ‘ปลอดภัย-เป็นมิตร’

เมื่อวานนี้ (23 ธ.ค.66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า นายชัย วัชรงค์ โฆษกรัฐบาลไทย เปิดเผยว่าไทยกำลังยกระดับมาตรการต่างๆ เพื่อรับประกันความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวและอำนวยความสะดวกแก่การเดินทาง เพื่อตอบสนองการท่องเที่ยวที่คาดว่าจะคึกคักเพิ่มขึ้นในช่วงส่งท้ายปี

กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาของไทย รายงานว่าไทยจะเน้นย้ำการเสริมสร้างมาตรการรักษาความปลอดภัย การบริการคมนาคมขนส่ง และการตระหนักรู้ความปลอดภัย ผ่านความร่วมมือระหว่างหน่วยงานรัฐ 12 แห่ง

ความพยายามเหล่านี้สอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาลไทย ซึ่งมุ่งทำให้ไทยเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวอันปลอดภัยและเป็นมิตร เพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูเศรษฐกิจที่พึ่งพาการท่องเที่ยวอันต้องการความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยว

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ช่วงวันที่ 22 ธ.ค.66 จนถึง 1 ม.ค.67 จะรวมอยู่ที่ 1.18 ล้านคน ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 56 และรายได้จากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจะอยู่ที่ 4.17 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 60 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า

ก่อนหน้านี้ นายชัย วัชรงค์ กล่าวว่า จำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เดินทางเยือนไทยจะอยู่ที่ 3.4-3.5 ล้านคน เมื่อนับถึงสิ้นปีนี้ และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยตั้งเป้าหมายดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวจีนในปี 2024 จำนวน 8.2 ล้านคน

อนึ่ง นักท่องเที่ยวชาวจีนครองสัดส่วนประมาณร้อยละ 28 ของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเยือนไทยรวมเกือบ 40 ล้านคนในปี 2019 อันเป็นช่วงก่อนเกิดโรคระบาดใหญ่ โดยการท่องเที่ยวมีส่วนส่งเสริมผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของไทยราวร้อยละ 12

ดาบสองคมจาก ‘สมศักดิ์’ หลังออกโรงป้อง ‘โทนี่’ พร้อมจับตา!! ปรับครม.จองเก้าอี้ใหญ่ ฝันไกลมท.1

สรุปว่ากรณี นช.ทักษิณ ชินวัตร ได้นอนพักรักษาตัวอยู่ที่รพ.ตำรวจ ชั้น 14 จนถูกโจมตีว่าเป็นนักโทษเทวดานั้น บัดนี้ครบ 120 วันแล้ว เมื่อวันที่ 21 ธ.ค.2566 ที่ผ่านมา…ตามกฎกระทรวง (ยุติธรรม) ว่าด้วย ‘การส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ.2563’ ที่นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ในฐานะรมว.ยุติธรรม ลงนามให้ไว้ ณ วันที่ 25 ก.ย.2563 ระบุไว้ชัดเจนในข้อ 7(3) ว่า

กรณีพักรักษาตัวเกิน 120 วัน ให้ผบ.เรือนจำมีหนังสือขอความเห็นชอบจากอธิบดี (ราชทัณฑ์)พร้อมกับความเห็นของแพทย์ผู้ทำการรักษา และหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้อง และรายงานให้รัฐมนตรีทราบ…

ปัญหามีอยู่ว่าตอนนี้ที่ นช.ทักษิณ ได้ใช้บริการชั้น 14 ต่อนั้น...ด้วยเหตุผลใด ตามข้อ 7(3) ที่ว่ามา หรือว่า นช.ทักษิณ ได้เปลี่ยนไปใช้สิทธิ์ระเบียบราชทัณฑ์ล่าสุดว่าด้วย ‘คุกนอกเรือนจำ’  หรือรอย้ายไปคุมขังที่รพ.พระราม 9, ที่บ้าน หรือที่อื่น ๆ...

ไม่มีการแถลงจากอธิบดีกรมราชทัณฑ์คนใหม่หมาด…สหการณ์ เพชรนรินทร์ ว่าอะไรเป็นอย่างไร...มีแต่เสียงปกป้องนายใหญ่ของสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกฯ ที่ตอบคำถามนักข่าวเมื่อ 22 ธ.ค. กรณีกรรมาธิการการตำรวจสภาฯ จะไปตรวจชั้น 14 ว่าหากเขาไม่อนุญาตก็ไปไม่ได้ เพราะเป็นเอกสิทธิ์ของผู้ป่วย “หากถามว่าเป็นโรคอะไร เจ็บป่วยอะไร และเขาไม่อยากเปิดเผย  หากเปิดเผยจะถูกฟ้องตายห่า...”

ก่อนหน้านั้นวันที่ 21 ธ.ค. ในฐานะรมว.ยุติธรรมเก่า สมศักดิ์อธิบายความเป็นมาตั้งแต่พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ 2560 และกฎกระทรวง 2563 จนมาถึงระเบียบราชทัณฑ์ 2566 ที่รับช่วงต่อยอดเรื่องการพัฒนาการคุมขังนอกเรือนจำตามหลักสากล หลักสิทธิมนุษยชนได้อย่างค่อนข้างชัดเจน...ก่อนที่จะฟันธงตรงประเด็นว่า...ทักษิณเข้าเกณฑ์ที่จะใช้สิทธิ์ ‘คุกนอกเรือนจำ’

‘เล็ก เลียบด่วน’ เช็กข่าวจากแนวรบพรรคเพื่อไทยมาแล้วว่า...การออกมาพูดสองรอบของสมศักดิ์ เข้าตา-โดนใจกรรมการบ้านชินวัตรเป็นยิ่งนัก...เป็นการออกมาพูดในจังหวะที่ถูกที่ถูกเวลา

- สมศักดิ์รู้ดีว่าโดยเนื้อแท้สังคมไม่ได้คัดค้านเนื้อหาระเบียบราชทัณฑ์ เพราะมันจะตอบโจทย์นักโทษกว่าหมื่นคนที่จะได้ใช้บริการ ‘คุกนอกเรือนจำ’ ทักษิณก็เป็นเพียงหนึ่งในนั้น..

-อดีตรัฐมนตรี 13 -14 สมัย อย่างสมศักดิ์ย่อมอ่านขาดว่าอีกไม่นาน...หรืออย่างช้าประมาณ พ.ค.-มิ.ย. จะมีการปรับครม.อย่างแน่นอน และรอบนี้เขาน่าจะได้ทำงานใหญ่กว่ารองนายกฯ...อย่างน้อยควรจะได้ดูแลกระทรวงเกษตรฯ อีกสักครั้ง หรือหากให้เขาเลือกได้ก็จะขอเลือกเก้าอี้รมว.มหาดไทยโน่นเลย...แม้จะยากเพราะภูมิใจไทยถือโควต้าอยู่..

อย่างไรก็ตาม แม้จะออกตัวแรงและทำได้เข้าตากรรมการประชาชนชาวพรรคเพื่อไทย แต่ในอีกมุมก็ย่อมมีแรงต้านเป็นธรรมดา..การออกโรงของสมศักดิ์ เมื่อผสมกับคำประกาศของนายทักษิณ ‘วิญญัติ ชาติมนตรี’ ที่ขู่ฟอด ๆ จะฟ้องทุกคนที่ละเมิดสิทธิ์ทักษิณ แบบว่าเมื่ออ่านที่ทนายวิญญัติประกาศแล้ว...เกือบจะทำให้คิดว่า..แค่เอ่ยชื่อทักษิณกรูก็อาจถูกฟ้องได้…

อันนี้แหละมันจะเป็นดาบอีกคมยิ่งทำให้...คนหมั่นไส้และชิงชังในปรากฏการณ์ทักษิณที่ถูกมองว่าเป็นนักโทษเทวดา...ทั้ง ๆ ที่จะไม่มีปัญหาอะไรเลย หากทุกฝ่ายทุกคนพูดความจริง…

แต่ที่มันไม่พูดกันไม่ได้…ใช่หรือไม่ว่าเพราะมีการโกงความยุติธรรม โกงความจริงกัน!?

'อินเดีย' จ่อขึ้นแท่น 1 ในชาติ ‘เศรษฐกิจ’ โตเร็วสุดปีหน้า คาด!! จะแซง 'ญี่ปุ่น' และขึ้นเป็นเบอร์ 2 ในเอเชียปี 2573

(24 ธ.ค.66) ฟิทช์ เรตติ้งส์คาดว่า ‘อินเดีย’ จะเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจเร็วที่สุดในโลก โดยผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) จะขยายตัว 6.5% ในปี 2567-2568 ขณะที่การขยายตัวของ GDP ของอินเดียในปี 2566-2567 ซึ่งเป็นปีงบประมาณปัจจุบันนั้นอยู่ที่ 6.9%

ฟิทช์ ระบุในรายงานที่เปิดเผยเมื่อวันศุกร์ (22 ธ.ค.) ว่า "อุปสงค์จะยังคงแข็งแกร่งสำหรับผลิตภัณฑ์ปูนซีเมนต์ ไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม โดยอุปสงค์ในปี 2566 ยังคงอยู่สูงกว่าระดับก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 การใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานที่เพิ่มขึ้นของอินเดีย จะช่วยเพิ่มความต้องการเหล็กด้วย และยอดขายรถยนต์จะยังคงเพิ่มขึ้นต่อไป แม้เราคาดว่าอาจจะชะลอตัวหลังจากขยายตัวอย่างแข็งแกร่งในปี 2566"

โดยปัจจุบันอินเดียมีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 5 ของโลก รองจากสหรัฐ, จีน, เยอรมนี และญี่ปุ่น

ภายในปี 2573 คาดว่า GDP อินเดีย จะแซงหน้าญี่ปุ่น ซึ่งจะทำให้อินเดียกลายเป็นประเทศเศรษฐกิจใหญ่สุดอันดับสองในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก

ฟิทช์ ระบุว่า การขยายตัวทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของอินเดียจะหนุนอุปสงค์ในภาคธุรกิจ แม้มีความอ่อนแอจากการขยายตัวที่ชะลอลงในตลาดต่างประเทศที่สำคัญ ๆ ก็ตาม

เมื่อต้นสัปดาห์นี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดว่า เศรษฐกิจอินเดีย จะขยายตัวที่ 6.3% ในปีงบประมาณปัจจุบัน (2566-2567) และในปีงบประมาณหน้า และคาดว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจของอินเดียจะยังคงแข็งแกร่ง โดยได้แรงหนุนจากความมีเสถียรภาพด้านเศรษฐกิจมหภาคและด้านการเงิน

ด้าน โกลด์แมน แซคส์ รีเสิร์ช คาดการณ์ในเดือน ธ.ค.ปีนี้ว่าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจอินเดียจะอยู่ที่ 6.2% สูงที่สุดในบรรดาประเทศขนาดใหญ่ 13 แห่งในปี 2567 ขณะที่จีนตามมาเป็นอันดับ 2 โดยมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ระดับ 4.8%

ส่วนเอสแอนด์พี (S&P) คาดว่า GDP ของอินเดียจะขยายตัว 6-7.1% ต่อปีในปีงบประมาณ 2567-2569 ขณะที่ธนาคารกลางอินเดีย (RBI) ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ของอินเดียในปีงบประมาณ 2566-2567 ขึ้น 0.50% สู่ระดับ 7% จากการคาดการณ์ในการประชุมเดือนต.ค.ที่ 6.5%

สรุปรางเหล็กที่ร่วงของรถไฟฟ้าสายสีชมพู คือ 'รางนำไฟฟ้า' แม้หลุดร่วง!! แต่ก็ไม่ทำให้ขบวนรถไฟฟ้าโมโนเรลหล่น

(24 ธ.ค.66) จากกรณีที่รางเหล็กของโครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายสีชมพู ขนาดกว้าง 4 นิ้ว หนา 2 นิ้ว หล่นลงมาทับรถยนต์และเสาไฟฟ้าแรงสูงได้รับความเสียหายเป็นระยะทางกว่า 3 กิโลเมตร บริเวณถนนติวานนท์ ตั้งแต่ธนาคารกสิกรไทย สาขาถนนติวานนท์ (แคราย) ต.ท่าทราย อ.เมืองฯ จ.นนทบุรี ถึงจุดกลับรถหน้าตลาดกรมชลประทาน ต.บางตลาด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี เมื่อเวลาประมาณ 05.00 น. ที่ผ่านมา ทำให้มีรถยนต์ได้รับความเสียหาย 3 คัน และเสาไฟฟ้าแรงสูงหักโค่น 1 ต้น แต่ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ และเวลาดังกล่าวรถไฟฟ้ายังไม่เปิดให้บริการ

ขณะที่บริษัท นอร์ทเทิร์น บางกอก โมโนเรล จำกัด (NBM) ผู้ให้บริการรถไฟฟ้ามหานคร สายสีชมพู แจ้งปิดให้บริการเป็นการชั่วคราว ระหว่างสถานีศูนย์ราชการนนทบุรี ถึงสถานีเลี่ยงเมืองปากเกร็ด โดยยังคงให้บริการตั้งแต่สถานีแจ้งวัฒนะ-ปากเกร็ด 28 (หน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัล แจ้งวัฒนะ) ถึงสถานีมีนบุรี แต่ต้องเปลี่ยนขบวนรถที่สถานีโทรคมนาคมแห่งชาติ แนะนำให้ผู้โดยสารโปรดพิจารณาการเดินทาง ขออภัยในความไม่สะดวก

สำหรับรางเหล็กที่หล่นลงมานั้น เป็นรางนำไฟฟ้าที่เรียกว่า Conductor Rail ติดอยู่บนทางวิ่ง (Guide Beam) ที่เป็นคานปูนหรือเหล็ก โดยมีทั้ง Power Rail (หรือ Positive Rail) เป็นรางจ่ายกระแสไฟฟ้า เป็นขั้วบวก และ Return Rail (หรือ Negative Rail) เป็นรางนำไฟฟ้ากลับไปครบวงจรที่สถานีไฟฟ้าขับเคลื่อน หรือ Traction Sub Station (TSS) เป็นขั้วลบ

สำหรับรถไฟฟ้ามหานคร สายสีชมพู และสายสีเหลือง เป็นรถไฟโมโนเรลแบบคร่อมราง (Straddle Monorail) ซึ่งมีชุดล้อยางใต้ตัวรถที่ออกแบบมาเพื่อวิ่งคร่อมบนคานทางวิ่งเดี่ยวโดยเฉพาะ โดยมีล้อยางรับน้ำหนักอยู่ตรงกลางด้านใน โบกี้ละ 2 ล้อ หรือ 4 ล้อต่อตู้ และล้อประคองด้านข้างทั้งสองฝั่งของคาน โบกี้ละ 6 ล้อ หรือ 12 ล้อต่อตู้

ข้อมูลจากเพจ The Electric Railway System - เรียนรู้ระบบรถไฟฟ้า ระบุว่า การเดินรถจะมีชุดล้อ 4 ประเภท ได้แก่

1. Driving Wheel ทำหน้าที่ฉุดลากตัวรถ โดยชุดมอเตอร์ขับเคลื่อน วิ่งอยู่บน Guide Beam

2. Auxiliary Wheel ทำหน้าที่ช่วยประคอง Driving Wheel กรณีลมยางอ่อนหรือมีปัญหา วิ่งอยู่บน Guide Beam

3. Guide Wheels ล้อด้านข้างที่คอยประคอง Driving Wheel และตัวรถให้วิ่งไปตาม Guide Beam

4. Safety Wheels ล้อด้านข้างที่คอยประคอง Guide Wheels กรณีลมยางอ่อนหรือมีปัญหา

เมื่อสังเกตด้วยตาเปล่า ขณะที่รถไฟฟ้าโมโนเรลวิ่งผ่าน จะเห็นเฉพาะล้อยาง Guide Wheels ขนาดเล็กวิ่งอยู่บนรางเท่านั้น แต่จะไม่เห็นล้อยาง Driving Wheel เพราะจะถูกซ่อนด้วยตัวรถไฟฟ้า โดยภายในห้องโดยสารจะมีคอนโซล (Console) บริเวณด้านหน้า และแก๊งเวย์ (Gangway) บริเวณรอยต่อของขบวน ซ่อนล้อยาง Driving Wheel เอาไว้อยู่

สำหรับล้อยางที่ใช้กับรถไฟฟ้ามหานคร สายสีชมพู และสายสีเหลือง จะใช้ยาง MICHELIN รุ่น X Metro และรุ่น XPM ของบริษัท มิชลิน มีการทดสอบบนลูกกลิ้งทดสอบมากกว่า 4 แสนชั่วโมง ก่อนที่ยางจะถูกนำมาใช้งานจริง และติดตามการใช้งานในแต่ละปีมากกว่า 50 ล้านกิโลเมตร คุณสมบัติเด่น คือ ค่าการยึดเกาะที่สูง ทำให้ช่วยเร่งความเร็ว การเบรกทำได้ดีในทุกสภาพอากาศ ลดการสั่นสะเทือนของยาง ทำให้ลดเสียงรบกวนแก่สภาพแวดล้อม และยังให้ความนุ่มสบายแก่ผู้โดยสาร

ส่วนขบวนรถที่ใช้มีชื่อว่า อินโนเวีย โมโนเรล 300 (INIOVIA Monorail 300) ผลิตโดยบริษัท อัลสตอม (Alstom) จากโรงงานในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน สามารถวิ่งผ่านทางโค้งที่มีรัศมีแคบได้ถึง 70 เมตร และไต่ทางลาดชันได้สูงสุด 6% ให้บริการด้วยความเร็วสูงสุด 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

ใช้ระบบควบคุมการเดินรถอัตโนมัติ แต่ไม่มีคนขับประจำในขบวนรถ โดยมีเจ้าหน้าที่จากศูนย์ควบคุมการเดินรถ ที่อยู่ในศูนย์ซ่อมบำรุง (Depot) เป็นผู้ควบคุมระบบการเดินรถและความปลอดภัยของรถไฟฟ้าทุกขบวนที่วิ่งให้บริการอยู่ในระบบ ขับเคลื่อนด้วยระบบมอเตอร์แม่เหล็กแบบถาวร โดยใช้ระบบจ่ายไฟกระแสตรง 750 โวลต์

รูปแบบของขบวนรถไฟฟ้ามีทั้งหมด 4 ตู้ ภายใน 1 ตู้โดยสารจะมีทั้งหมด 14-16 ที่นั่งต่อตู้ สามารถจุผู้โดยสารได้สูงสุด 568 คนต่อขบวน และยังมีที่นั่งสำรองสำหรับบุคคลพิเศษไว้ให้บริการอีกด้วย

'นายกฯ' ยัน!! ปม 'ทักษิณ' ทำตามกฎระเบียบ ไม่เอื้อประโยชน์ให้ใคร  ชี้!! หากโยงเข้าการเมืองก็ทำได้ทุกเรื่อง ลั่น!! มีปัญหาต้องแก้ไขกันไป

(24 ธ.ค.66) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์สดผ่านทางสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่งถึงกรณีการรักษาตัวในโรงพยาบาลครบ 120 วันของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก รวมถึงเมื่อวันที่ 22 ธ.ค. ที่ผ่านมา กรณี พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเดินทางเข้าทำเนียบรัฐบาล และมีกระแสข่าวว่านำเรื่องดังกล่าวเข้าหารือ รวมถึงยังมีอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมทั้งผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางเข้ามาด้วยว่า...

"มีการพูดคุยกันในหลายเรื่องที่เราติดตามกันอยู่ เป็นคดีที่พี่น้องประชาชนให้ความสนใจ ประเด็นของนายทักษิณ อย่างที่ตนได้ให้สัมภาษณ์ไปแล้วเมื่อวันที่ 23 ธ.ค. ว่าขอให้เป็นหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์กับโรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งตนมั่นใจว่าเขาไม่ได้ออกกฎระเบียบมาเพื่อดูแลคนๆ เดียว ต้องคิดถึงส่วนรวมเป็นหลัก รวมถึงเชื่อว่าทั้งสองหน่วยงานจะยึดถึงผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้งอยู่แล้ว ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายด้วย"

เมื่อถามถึงความพยายามเชื่อมโยงประเด็นของนายทักษิณมาเป็นเรื่องของการเมือง จะส่งผลต่อการกดดันทางการเมืองในปีหน้าด้วยหรือไม่? นายกฯ กล่าวว่า "ทุกเรื่องก็คงเป็นประเด็นการเมืองทั้งหมดหากจะโยงกันจริงๆ แต่เราก็ยึดมั่นในกฎระเบียบที่ไม่ได้ทำมาเพื่อใครคนใดคนหนึ่ง ซึ่งถ้าเป็นไปตามกฎแล้วทุกคนมีสิทธิ ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ถูกกล่าวโทษหรือผู้ที่อยู่ในโรงพยาบาลตำรวจเอง ท่านเองก็เป็นนายกรัฐมนตรีมาสองสมัย และเป็นบุคคลที่ทำประโยชน์ให้ประเทศชาติมา ท่านก็ได้รับการดูแล แต่เชื่อทุกอย่างเป็นไปตามกฎกติกาที่ได้วางกันไว้ ส่วนเรื่องจะมาเป็นประเด็นทางการเมืองมากน้อยขนาดไหนอย่างไร ตนคงไม่ไปทำนายส่วนนั้นได้"

"มีปัญหาก็ต้องแก้ไขกันไป มีอะไรไม่กระจ่างก็ต้องชี้แจงกันไป แต่เรายึดมั่นในกระบวนการยุติธรรมอยู่แล้ว" นายเศรษฐา กล่าว

เมื่อถามถึงกรณีพรรคการเมืองฝ่ายค้านออกมาระบุ เตรียมขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลในช่วงปีหน้า? นายกฯ กล่าวว่า "การตรวจสอบเป็นหน้าที่ของฝ่ายค้านอยู่แล้ว หน้าที่เราคือทำงาน แต่หากมีการสอบถามมาหรือถึงขั้นเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจเราก็มีหน้าที่ต้องตอบ และยืนยันไม่มีความหนักใจ เราทำงานเอาประชาชนเป็นที่ตั้งอยู่แล้ว เชื่อว่ารัฐมนตรีทุกท่านรวมถึงตน ตอบอยู่แล้วถึงเรื่องที่เราทำกันมา"

บริษัทแม่ ‘Pornhub’ โดนปรับ 62 ล้านบาท ปมแพร่คลิปโป๊ที่เหยื่อถูกหลอกให้เข้าร่วม

(24 ธ.ค.66) สำนักข่าว ซีเอ็นเอ็น รายงานว่า บริษัท Aylo บริษัทแม่ของเว็บไซต์ พอร์นฮับ เจ้าของเว็บไซต์หนังโป๊ออนไลน์รายใหญ่ ตกลงกับอัยการสหรัฐ จ่ายค่าปรับ 62 ล้านบาท โดยยอมรับว่า บนเว็บไซต์ของพวกเขามีวิดีโอโป๊ของบริษัทเจ้าหนึ่งที่หลอกให้ผู้หญิงมาร่วมแสดง

ตามรายงานของสื่อท้องถิ่น เผยว่า บริษัท Aylo จะจ่ายค่าปรับและเงินชดเชยรวม 1.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือราว 62 ล้านบาท แก่เหยื่อการค้าประเวณี พร้อมยอมรับว่า คลิปวิดีโอผิดกฎหมายถูกโพสต์ลงบนเว็บไซต์ของพวกเขาจริง แต่ปฏิเสธข้อกล่าวหาของรัฐบาลที่ว่า มีส่วนร่วมในการทำธุรกรรมทางการเงินผิดกฎหมายอันเกี่ยวข้องกับกระบวนการค้าประเวณี

ขณะที่ ทางด้านรัฐบาลสหรัฐ ไม่ได้กล่าวหาทาง Aylo ว่าละเมิดกฎหมายการค้าประเวณีใดๆ แต่ระบุว่า บริษัทควรรู้ว่าตัวเองกำลังทำธุรกิจอยู่กับกลุ่มคนที่มีส่วนร่วมกับการค้ามนุษย์ ซึ่งตามข้อตกลงระบุไว้ว่า ทางบริษัทจะถูกเจ้าหน้าที่สังเกตการณ์เป็นเวลา 3 ปี ซึ่งรัฐจะยอมยกฟ้องหากพวกเขาทำตามข้อตกลงตลอดระยะเวลาดังกล่าว

ตามรายงานของคำร้องระบุว่า ในปี 2559 ทางบริษัทเริ่มได้รับคำร้องจากผู้หญิงที่ปรากฏในคลิปวิดีโอ เพื่อขอให้ลบคลิปออกจากแพลตฟอร์ม โดยให้เหตุผลว่าพวกเธอถูกหลอกให้ทำ ก่อนที่บริษัทจะรับรู้เรื่องการฟ้องร้องเอาผิดบริษัทผู้ผลิตรายดังกล่าวในปี 2560

อย่างไรก็ตาม ทางด้านเอฟบีไอ ระบุว่า ทางบริษัทควรลงมือลบวิดีโอออกจากแพลตฟอร์มเร็วกว่านี้ เพื่อผลประโยชน์ บริษัท Aylo Holding จงใจเพิ่มความมั่งคั่งให้ตัวเอง ด้วยการทำเป็นไม่สนใจคำร้องของผู้ตกเป็นเหยื่อ ซึ่งติดต่อกับบริษัทว่า พวกเธอกำลังตกเป็นเหยื่อให้ร่วมกิจกรรมทางเพศโดยไม่ยินยอม

ทั้งนี้ ทางด้าน Aylo ภายใต้คณะบริหารใหม่ ออกแถลงการณ์ว่า พวกเขาเสียใจอย่างยิ่งที่พอร์นฮับเป็นโฮสต์ให้กับวิดีโอผิดกฎหมายเหล่านี้ เรารู้สึกกังวลมากที่รู้ว่า บริษัทผู้ผลิตรายหนึ่งใช้วิธีผิดกฎหมายในการผลิตเนื้อหาของตัวเอง และยื่นเอกสารแสดงความยินยอมที่ตอนนี้เรารู้แล้วว่าได้มาด้วยการฉ้อโกงและการข่มขู่

นอกจากนี้ เราต้องเฝ้าระวังเพื่อหยุดผู้ที่ต้องการใช้แพลตฟอร์มของเราอย่างผิดกฎหมาย และเพื่อตอบสนองต่อภัยคุกคาม และความท้าทายที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

‘สุริยะ’ สั่งการ!! รถตรวจทางวิ่งสำรวจ 'สายสีชมพู' ตอนตี 4 ก่อนเปิดทุกวัน พร้อมเผยสาเหตุเบื้องต้น 'รางจ่ายกระแสไฟฟ้า' ที่อาจทำให้หลุดร่วง

(24 ธ.ค.66) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่โครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายสีชมพู บริเวณถนนติวานนท์ วันนี้ว่า ตามที่วันนี้เมื่อเวลา 04.45 น. บริเวณสถานีสามัคคี (PK04) เกิดเหตุรางจ่ายกระแสไฟฟ้า (Conductor rail) หลุดร่วงลงชั้นพื้นถนน และเกี่ยวสายไฟฟ้าบริเวณหน้าตลาดชลประทาน ได้รับความเสียหาย โดยส่งผลกระทบต่อการให้บริการเดินรถนั้น

ทั้งนี้ จากการหารือร่วมกับกรมการขนส่งทางราง (ขร.), การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และบริษัท นอร์ทเทิร์น บางกอกโมโนเรล จำกัด (NBM) ผู้รับสัมปทานโครงการฯ โดยเพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสาร และพี่น้องประชาชน ตนจึงได้สั่งการให้ปิดการให้บริการรถไฟฟ้าสายสีชมพูในวันนี้ ตั้งแต่เวลา 12.00 น. เพื่อตรวจสอบสาเหตุอย่างละเอียด

สำหรับในวันพรุ่งนี้ (25 ธ.ค.66) จะเปิดให้บริการจำนวน 23 สถานี คือ ตั้งแต่สถานีแจ้งวัฒนะ (PK08) - สถานีมีนบุรี (PK30) ขณะที่ตั้งแต่สถานีศูนย์ราชการนนทบุรี (PK01) ไปจนถึงสถานีเลี่ยงเมืองปากเกร็ด (PK07) รวม 7 สถานีนั้น ขร.จะต้องดำเนินการตรวจสอบ และประเมินเบื้องต้น 7 วัน จากนั้นจะตรวจสอบให้มั่นใจในด้านความปลอดภัย ก่อนที่พิจารณาเปิดให้บริการอีกครั้งต่อไป ทั้งนี้ ได้กำชับว่าหากเกิดเหตุการณ์ขึ้นอีก จะมีบทลงโทษครอบคลุมตามสัญญา ด้วยเงื่อนไขในการเดินรถต่อไป

นายสุริยะ กล่าวต่อว่า สาเหตุที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ จากการรายงานเบื้องต้น ระบุว่า รถตรวจรางพบวัสดุแปลกปลอม ซึ่ง วัสดุแปลกปลอมดังกล่าว อาจจะเกิดจากรถเครนที่เข้าไปเคลียร์พื้นที่ เพื่อคืนผิวจราจร แล้วไปขัดบริเวณตัวล้อด้านข้าง ทำให้ลากรางจ่ายกระแสไฟฟ้าหลุดออกทั้งแนว ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้ ไม่มีผู้บาดเจ็บ แต่มีรถยนต์บริเวณดังกล่าวเสียหาย 3 คัน และสายไฟฟ้าล้ม โดย NBM จะเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้จะมีรถตรวจทางวิ่งตรวจสอบในช่วงเวลา 04.00 น. ก่อนให้เปิดบริการทุกวัน เพื่อให้มั่นใจได้ว่าโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูมีความปลอดภัยในการให้บริการและการเดินทางอย่างแน่นอน

‘หนึ่ง จักรวาล’ ส่งต่อโอกาสดีๆ ให้เด็กๆ จากใจคนผ่านมาก่อน มอบ 'เปียโน' เพื่อสนับสนุนความพยายาม ในวันคริสต์มาส

(24 ธ.ค.66) เป็นอีกหนึ่งคนที่คอยเล่าถึงจุดเริ่มต้นของตัวเองฝ่าฟันอุปสรรคความยากไร้ รวมถึงได้รับโอกาสดีๆ จนกลายเป็นนักดนตรีที่มีชื่อเสียงอย่างทุกวันนี้ สำหรับ ‘หนึ่ง จักรวาล เสาธงยุติธรรม’ ที่ล่าสุดก็ขอส่งต่อโอกาสให้เด็กๆ เป็นการสนับสนุนในความพยายาม พร้อมบอกเล่าไว้ว่า

“Merry Christmas ‘โอกาส มีให้สำหรับคนที่พร้อมเท่านั้น’ ของขวัญจากลุงนะลูก…

ครั้งหนึ่งลุงก็เคยได้รับโอกาสจากบ้านหลังนี้ บ้านหลังที่ 2 ของนักดนตรีหลายคน

โอกาสถูกส่งต่อไปเรื่อยๆ…

ครั้งหนึ่งลุงเป็นแค่ไอ้เด็กดำ เด็กนักเรียนตัวดำ ยืนเกาะกระจกดูเขาเล่นเปียโนกัน เพราะไม่มีปัญญาซื้อเลยได้แต่เดินผ่านไปมาตามร้านขายเปียโน ป๊าธีระ ใครก็เรียก ‘อาเจ็ก’ เจ้าของร้านขายเครื่องดนตรีในตรอกเวิ้งนครเกษม ‘เวิ้งนาครเขษม หรือ นครเขษม’ ณ ตอนนั้น กวักมือเรียกให้เข้าไปในร้าน

เด็กดำคนนั้นยืนเงอะงะไม่กล้าเข้าไป ป๊าบอกไม่ซื้อไม่เป็นไร มานั่งเล่นก่อนมาๆ…มาทีไรป๊าก็กวักมือเรียกทุกที รู้แหละไอ้เด็กคนนี้มันไม่ซื้อหรอก มันอยากมาเล่น เล่นทีเป็นชั่วโมงนะ เพราะไม่มีเงินซื้อจริงๆ ได้ใช้เปียโนจริงๆ นั่งในแอร์เย็นๆ เพราะป๊าเลย

วันนี้ผมเป็นฝ่ายมอบโอกาสนั้นบ้าง โดยการพาลูกๆ มาพบของขวัญชิ้นใหญ่ 

เปียโนตัวใหม่ พร้อมขาตั้งให้ลูกทั้ง 2 เอาไปใช้งานและพัฒนาฝีมือตัวเองเพิ่มขึ้น ‘ไม่มีความพยายามใดที่ไร้ค่า ทุกความพยายามมีโอกาสรออยู่เสมอ’

ขอบคุณธีระมิวสิคที่ช่วยสนับสนุนตู้แอมป์และอุปกรณ์เอฟเฟกต์ เพื่อเพิ่มคุณภาพของเสียงให้ดีขึ้นอีกด้วยครับ

หวังว่าในชีวิตของลูกทั้ง 2 จะมีโอกาสเข้ามาอีกมากมาย ไม่ว่าโอกาสนั้นจะเล็กหรือใหญ่ ก็จงเตรียมพร้อม ไขว่คว้า เก็บเกี่ยวทุกโอกาสไว้นะ และรับโอกาสนั้นไว้ด้วยความยินดีเสมอนะลูก

วันนี้ลุงเป็นแค่สะพานเล็กๆ ให้ลูกได้ก้าวข้ามไป อนาคตข้างหน้าลูกอาจมีอาชีพใหม่ แต่ก็ขอให้ ความรู้ในดนตรีนี้ หาเลี้ยงชีพครอบครัวลูกให้ได้มากที่สุด ลุงก็ชื่นใจแล้ว

ต่อจากนี้ลูกต้องเดินด้วยตัวเองอย่างมั่นคงและอดทนต่อสู้กับอุปสรรคทุกสิ่ง แม้จะยากลำบากแค่ไหนขอให้หัวใจของลูกเข้มแข็งนะ…ขอให้ลูกโชคดี

#ก้าวข้ามอุปสรรค #โอกาสมีไว้สำหรับคนที่พร้อม #หนึ่งจักรวาล #1jakkawal #ธีระมิวสิค”

‘ลิซ่า’ กอดลา ‘พี่เตอร์’ แมวสุดที่รักครั้งสุดท้าย พร้อมขอบคุณที่อยู่ด้วยกันมาตลอด 18 ปี

เมื่อวานนี้ (23 ธ.ค.66) หลายคนจะรู้ว่า ‘ลิซ่า ลลิษา มโนบาล’ สาวไทยสมาชิกวงเกิร์ลกรุ๊ป BLACKPINK เป็น ‘ทาสแมว’ โดยแฟนคลับทั่วโลกจะเห็นว่าเธอนั้นเลี้ยงน้องแมว 5 ตัว ซึ่งประกอบไปด้วย LEO, LUCA, LILY, LOUIS และ LEGO นอกจากนี้ได้เลี้ยงน้องหมาอีก 1 ตัวชื่อ LOVE อีกด้วย

โดยเธอได้เปิดไอจี ‘lalala_lfamily’ เพื่ออัปเดตเหล่าสัตว์เลี้ยงให้แฟนคลับได้ชมความน่ารักของน้องๆ

แต่ล่าสุด ‘ลิซ่า’ ได้แจ้งข่าวเศร้า หลังจากที่เธอกลับไทย และมาพบน้องแมวที่เธอเลี้ยงไว้ตั้งแต่เด็ก ถือเป็นแมวแสนรักเพื่อนซี้ที่อยู่ด้วยกันมานานอย่าง ‘ฮันเตอร์’ หรือที่เจ้าตัวเรียกติดปากว่า ‘พี่เตอร์’ ได้กลับดาวแมวแล้ว

โดยเธอระบุว่า “โชคดีมากที่ได้กลับมากอดลาเพื่อนซี้ที่โตมาด้วยกันทัน ขอบคุณที่รอ พี่เตอร์เป็นผู้ฟังที่ดี และไม่เคยทำให้วัยเด็กของเราเหงาเลย ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันมาตลอด 18 ปี ไม่ต้องรออยู่อีกฝั่งนะ กลับดาวแมวไปเลยจ้า”

หลังจากที่โพสต์ไปไม่นานมีแฟนๆ เข้ามาให้กำลังใจจำนวนมาก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top